ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF NOGUN 63

    ลำดับตอนที่ #3 : My Angel III (จบ)

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 58


     

    My Angel III


     

              อากาศเย็นสบายในยามเช้าทำให้ร่างเล็กของนางฟ้าจอมซนแทบไม่อยากลุกจากเตียงถ้้าไม่ได้ยินประโยคชวนน่าตื่นเต้นจากร่างสูง

     

             “กัน พ่อชวนไปนาแน่ะ” ร่างสูงกระซิบเบาๆข้างหูเล็กหลังจากนางฟ้าของเขาพอจะสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา พอได้ยินว่าไปนาเท่านั้น นางฟ้าจอมซนถึงกับกระโดดลุกพรวดขึ้นมานั่งบนเตียง สร้างความตกใจให้แก่ร่างสูงไม่น้อย

     

             “อ้ะกันไปด้วย บอกให้พ่อรอแป๊บนะ อย่าเพิ่งไปนะ รอกันก่อนนะ” นางฟ้าจอมซนรีบพูดอย่างกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่งพูดแล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัว โดยไม่ได้สนใจกับขนปีกที่ร่วงเกรียวกราวตามทางที่ตนวิ่งไป ร้อนถึงร่างสูงต้องวิ่งตามเก็บเพราะเกรงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า

     

             ช่วงสายของวัน ร่างสูงนั่งอยู่หน้าระเบียงไม้ สายตาคมทอดมองไปรอบๆ ธรรมชาติที่สวยงาม ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น กลิ่มหอมอ่อนๆของดอกแก้ว ทำให้เขาผ่อนคลาย ปล่อยให้สมองนึกทบทวนชีวิตเมื่อวัยเยาว์ยามที่ตนอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่นานความคิดทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงคุ้นเคยของแม่ที่กำลังทำความสะอาดบ้านเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น

     

             “เฮ้อ นกที่ไหนมันบินเข้ามาในบ้านนะ ดูสิ มาทิ้งขนไว้ให้เก็บกวาดอีก” หญิงวัยกลางคนบ่นอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ตรงกันข้าม ร่างสูงพอได้ยินก็ตกใจ ใบหน้าขาวซีดลงไปอีก หัวใจเต้นแรงอย่างเก็บอาการไม่มิด เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาแม่ตัวเองก็เบาใจลงบ้างเมื่อไม่เห็นว่าแม่ตนเอะใจอะไร นึกโทษตัวเองที่เมื่อตอนเก็บไม่รู้จักดูให้รอบคอบว่าเก็บหมดแล้วหรือยัง คิดเป็นห่วงนางฟ้าของเขาขึ้นมา หากถูกจับได้ว่ามีปีกจะเป็นอย่างไร แต่ป่านนี้นางฟ้าของเขาคงกำลังมีความสุขกับการทำนาแน่ๆ ร่างสูงยกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงเจ้าตัวเล็กของเขา คำพูดของพ่อเมื่อคืนวิ่งเข้ามาในหัว สมองกำลังคิดหาโอกาสบอกความในใจกับเจ้าตัวเล็กเสียที

     

             “โน่ ยิ้มอะไรลูก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักถามลูกชายที่เอาแต่นั่งยิ้มมานานแล้วเท่าที่เธอสังเกต

     

             “เปล่าครับแม่” ถึงตอบแบบนั้นปากก็ยังยกยิ้มไว้แบบนั้น

     

             “แน่ใจนะ ไม่ใช่แม่จะมีลูกสะใภ้นะ” ผู้เป็นแม่กระเซ้าลูกชายตนเอง

     

             “เฮ้อ คิดถึงแม่จัง” ร่างสูงไม่ตอบแต่พยายามเปลี่ยนประเด็นเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามที่ชวนเขินของแม่ตน แขนแกร่งโอบกอดแม่ตัวเองจากด้านหลังอ้อนๆ

     

             “หืมไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย” ตีแขนลูกชายตัวเองเบาๆอย่างไม่จริงจังนัก เรียกเสียงหัวเราะเขินๆจากร่างสูง “อืมแม่ว่าหนูกันเขาก็น่ารักดีนะ”

     

             “แม่!!” ได้ยินแม่ตัวเองพูดแบบนั้นร่างสูงก็ยิ่งเขินหนักกว่าเก่า แขนแกร่งปล่อยแม่จากอ้อมกอด โวยวายเรียกแม่เสียงดังอย่างเด็กถูกขัดใจ

     

             “อะไรๆๆ” คนเป็นแม่แกล้งขานรับอย่างกวนๆ “แม่ก็แค่บอกว่าหนูกันเขาน่ารักเฉยๆ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเลย ร้อนตัวนะเจ้าลูกชาย” พูดจบก็ดีดหน้าผากลูกชายตัวเองทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้ร่างสูงยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่หน้าระเบียง นึกเจ็บใจที่โดนแกล้งอีกแล้ว

     

             ทุ่งนา

     

             “อย่าโยนอย่างงั้นสิลูก เดี๋ยวข้าวมันก็ขึ้นเป็นกระจุกๆหรอก ค่อยๆหว่านแบบนี้” ชายวัยกลางคนสาธิตการหว่านเมล็ดข้าวให้นางฟ้าจอมซนดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งเด็กน้อยก็ตั้งใจดูและทำตามได้อย่างดี เรียกร้อยยิ้มเอ็นดูจากเขาได้ไม่ยาก

     

             “เป็นไง เหนื่อยยัง” ชายวัยกลางคนถามนางฟ้าตัวน้อยที่ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่ก ใบหน้าหวานขึ้นสีเลือดฝาดจนแดงก่ำ หลังจากที่ช่วยเขาทำนามาครึ่งวัน

     

             “อื้อครับ” หัวกลมๆสั่นขึ้นลงหงึกหงัก

     

             “งั้นเดี๋ยวพ่อพาไปส่งบ้าน” ชายวัยกลางคนเก็บเครื่องมือเรียบร้อยก่อนจะพาเจ้าตัวเล็กไปส่งที่บ้าน

     

             บนบ้าน

     

             หนุ่มน้อยมีปีกเดินขึ้นบันไดบ้านอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากทำงานอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ขาเล็กก้าวขึ้นบันไดอย่างไม่ชินนัก และต้องชะงักลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแมวสีสวาดที่จำได้ว่าชื่อเจ้าถุงเงินนอนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย

     

             สายตาหวานจดจ้องไปที่เจ้าถุงเงินอย่างระแวดระวัง เหตุการณ์เมื่อคืนยังฝังอยู่ในจิตใจ ขาเล็กๆค่อยๆก้าวถอยหลังลงบันได สายตาไม่ละไปจากเจ้าถุงเงิน จนเหยียบพลาดเสียหลักล้มตกลงมา

     

             “โอ๊ยย!” เสียงร้องนั้นทำให้เจ้าถุงเงินตกใจวิ่งหนีไป มือน้อยๆคลำสะโพกตนเองเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บ

     

             “ตายแล้วลูก! หนูกัน!” หญิงวัยกลางคนที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งออกมาดู พบเพื่อนรุ่นน้องของลูกชายนั่งลูบสะโพกตัวเองป้อยๆอยู่ตรงหัวกะได จึงรีบวิ่งลงมาดู เสียงอุทานเรียกชื่อที่คุ้นเคยทำให้ร่างสูงรีบวิ่งตามออกมาดู เขากุลีกุจอตรงเข้าไปอุ้มนางฟ้าของเขาในท่าเจ้าสาวพาขึ้นมาพักบนบ้าน จัดการทายาถามไถ่สาเหตุกับเจ้าตัวเล็กด้วยความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด จนคนเป็นแม่ที่ดูอยู่ห่างๆยิ้มบางๆ ในใจแอบคิดจะมีลูกสะใภ้ก็คราวนี้


             “เอ้อเย็นนี้มีงานวัดแน่ะ ไปเที่ยวงานวัดกันไหม หืม” ผู้เป็นแม่ถามลูกชายตนกับหนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆ เหมือนว่าคำว่างานวัดจะเป็นศัพท์ใหม่สำหรับนางฟ้าอย่างกัน แววตาใสฉายความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะตอบตกลง

     

             “ไปครับ” ส่งยิ้มกว้างให้หญิงวัยกลางคน ความดีใจที่จะได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ทำให้ลืมความเจ็บเมื่อครู่

     

             งานวัด

     

             เสียงเพลงดังกระหึ่มตั้งแต่ทั้ง 4 คนยังไม่ถึงวัดดี แสง สี เสียงทุกอย่างสร้างความแปลกใหม่ให้กับนางฟ้าจอมซนเป็นอย่างมาก ตาใสกวาดมองสิ่งรอบๆตัวอย่างสนใจ ปีกน้อยๆสั่นระริก เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากร่างสูงเช่นเคย ชายวัยกลางคนพาทุกคนมาหยุดที่จุดศูนย์กลางเด่นของงาน เวทีใหญ่ถูกตกแต่งด้วยไฟนีออนหลากสีอย่างอลังการ เสียงเพลงหมอลำดังออกมาจากลำโพงตัวใหญ่ที่ตั้งซ้อนๆกันอยู่ข้างเวทีซ้ายขวา หางเครื่องแข่งกันเต้นไปตามจังหวะเพลงอย่างพร้อมเพรียง ตรงกลางปรากฏร่างนักร้องที่ดูจะถูกอกถูกใจแม่ยกแถวนี้เป็นอย่างมาก

     

             จังหวะเสียงเพลงสนุกสนานตามแบบฉบับของภาคอีสานเรียกการขยับโยกย้ายจากผู้ชมผู้ฟังได้ไม่ยาก รวมถึงนางฟ้าน้อยๆอย่างกันที่รักความสนุกสนานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ร่างเล็กโยกย้ายส่ายเอวไปตามจังหวะเพลงที่เจ้าตัวก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรียกความเอ็นดูจากผู้พบเห็น

     

             เมื่อพ่อแม่ของร่างสูงเห็นว่าเจ้าตัวเล็กคงกำลังสนุกก็ขอตัวไปเดินเที่ยวกันตามลำพัง ร่างสูงส่งสายตาล้อเลียนที่พ่อแม่อยากจะไปสวีทกันสองคนก็ได้รับสายตาล้อเลียนจากผู้เป็นพ่อที่แกล้งมองเขากับนางฟ้าของเขาสลับกันไปมากลับมา พร้อมทำนิ้วชี้สองข้างคู่กันถูไปมาประหนึ่งว่าอยากให้เขาสวีทกับกันสองคนตามลำพัง ร่างสูงทำท่าจะเอาเรื่องแต่พ่อตนชิ่งหนีไปเสียก่อน ได้แต่บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว โดยแกล้งอีกตามเคย

     

             สายตาคมลอบมองนางฟ้าจอมซนที่ยังคงสนุกกับเพลงหมอลำไม่ได้สนใจรอบข้าง เชื่อเลยจริงๆว่านางฟ้าของเขาเป็นคนหัวไว ตอนนี้นางฟ้าของเขาเต้นท่าเดียวกับหางเครื่องบนเวทีไม่มีผิดเพี้ยน แต่บางท่าก็คิดว่าไม่ควรให้นางฟ้าของเขาเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง อย่างท่าเด้งช่วงล่างที่เจ้าตัวเล็กกำลังเด้งอย่างเมามัน คิดว่าต้องรีบพาเจ้าตัวเล็กออกไปจากตรงนี้โดยเร็วก่อนที่จะจำท่าเต้นล่อแหลมไปมากกว่านี้

     

             “กัน ไปตรงโน้นกันเถอะ เดี๋ยวพาไปนั่งชิงช้าสวรรค์” ร่างสูงรู้ดีว่าการจะล่อนางฟ้าของเขาออกจากสิ่งสนใจจะต้องหาสิ่งใหม่มาล่อ แล้วก็ได้ผล พอได้ยินศัพท์ใหม่อย่างชิงช้าสวรรค์ เจ้าตัวเล็กก็หยุดเต้นทันที ความสนใจถูกเปลี่ยนมาที่คำพูดของร่างสูงแทน

     

             “ไหนๆๆๆ กันอยากนั่งชิงช้าสวรรค์” เจ้าตัวเล็กพยายามเขย่งชะเง้อไปรอบๆเพื่อมองหาสิ่งที่เรียกว่าชิงช้าสวรรค์

     

             “ตามมาสิ” มือใหญ่กุมมือน้อยพาเดินไปตรงไปที่ชิงช้าสวรรค์

     

             บนชิงช้าสวรรค์

     

             “หูวววว คนเยอะจัง” พอชิงช้าขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุด มือสองข้างก็ยกขึ้นมาเกาะลูกกรงเหล็กของตัวชิงช้า เอาหน้าแนบกับซี่เหล็กมองออกไปเบื้องล่างอย่างตื่นเต้น จนร่างสูงกลัวใบหบ้าน่ารักนั่นจะเป็นรอยซี่เหล็กเอา

     

             “กันมานั่งดีๆมา” มือใหญ่เอื้อมไปจับใหล่นางฟ้าของเขาออกแรงดึงเบาๆให้นั่งประจำที่ตามเดิม

     

             “งานวัดนี่สนุกสุดๆเลยว่าไหมพี่โน่” เจ้าตัวเล็กหันมาถามความเห็นร่างสูงที่นั่งคิดอะไรเพลินๆจึงไม่ทันได้ฟัง เมื่อเห็นอีกคนเงียบไป ตาใสก็ฉายแววฉงน กำลังจะเรียกแต่ถูกอีกคนแย่งเรียกชื่อเขาไว้ก่อน ท่าทางที่จริงจังของร่างสูงทำให้นางฟ้าจอมซนยอมตั้งใจฟัง

     

             “กัน...” เสียงเรียกชื่อที่จริงจัง แววตาที่ดูลังเลนิดๆ ทำให้หนุ่มน้อยมีปีกเกร็งขึ้นมา ร่างสูงลังเลกับสิ่งที่อยากจะบอกเจ้าตัวเล็ก คำพูดพ่อเมื่อคืนวานแล่นเข้ามาในหัว เขาตัดสินใจพูดออกไป “คือ...ไปปาโป่งกันไหม” สุดท้ายก็ไม่กล้า กันที่ดูจะงงๆกับท่าทีที่จริงจังของร่างสูงแต่กลับเพียงแค่ชวนไปเล่นของเล่นบางอย่างตามที่เขาเข้าใจ ก็ได้แต่พยักหน้าอือออ

     

             “พี่โน่สู้ๆๆพี่โน่สู้ตาย” นางฟ้าจอมซนที่ตอนนี้เต้นเป็นปอมๆเชียร์อยู่ข้างๆร่างสูงที่กำลังตั้งสมาธิในการปาลูกโป่งเพื่อชิงตุ๊กตาเดอะฮัคตัวเขียวเพื่อนางฟ้าของเขา หลังจากที่ตัวเองปาไม่โดนเลยขอให้ร่างสูงปาให้แทน

     

             เหลืออีกดอกเดียวเท่านั้น ตุ๊กตาเดอะฮัคก็จะเป็นของเขา

     

             โป๊ะ!

     

             “เยยยยยย้!!” และนางฟ้าจอมซนก็ได้ตุ๊กตาเดอะฮัคมากอดอย่างสมใจ

     

             เช้าวันต่อมาทั้งคู่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพเนื่องจากร่างสูงมีออร์เดอร์เร่งด่วนจากลูกค้า กว่าจะถึงกรุงเทพก็ตกบ่ายเข้าไปแล้ว ร่างสูงพานางฟ้าของเขามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องวางกระเป๋าลงก่อนจะไขกุญแจ ส่วนนางฟ้าจอมซนที่คงจะเพลียจากการเดินทางได้แต่กอดตุ๊กตาเดอะฮัคเดินตามมาเงียบๆ ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิด นางฟ้าจอมซนก็พุ่งเข้าไปในห้องจัดการกางปีกโบกไปมาไล่อาการเมื่อยล้าหลังจากการเก็บปีกมาหลายวัน และทันทีที่กางปีกออกนั้น ขนขาวๆก็ร่วงลงมาประหนึ่งใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง สร้างความตกใจให้แก่ร่างสูงรวมถึงเจ้าตัวเองก็เถอะ

     

             “กัน ทำไมร่วงเยอะแบบนี้ล่ะ” ร่างสูงเข้ามาจับตัวนางฟ้าของเขาอย่างเป็นห่วง

     

             “กะ..กันไม่รู้” ตาหวานเสหลบอย่างคนปิดบังอะไรบางอย่าง

     

             “…” ตอนนี้ในหัวร่างสูงคิดไปต่างๆนาๆว่านางฟ้าของเขาเป็นอะไรกันแน่ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย

     

             ตอนนี้ร่างสูงนั่งอยู่หน้าบอร์ดติดกับกระดาษแผ่นใหญ่อย่างเคย พยายามตั้งสมาธิเพื่อให้ผลงานเสร็จโดยเร็ว แต่ความคิดกังวลเรื่องนางฟ้าของเขาก็ยังไม่วายเข้ามารบกวนสมอง ไม่ใช่แต่ร่างสูง หนุ่มน้อยมีปีกก็เช่นกัน อีกไม่นานร่างสูงก็จะต้องรู้ความจริงแล้วสินะ
     

             “กัน เดี๋ยวพี่จะเอาของไปส่งลูกค้านะ ไปด้วยกะ... อ้าว” ร่างสูงที่เตรียมจะนำผลงานไปส่งให้ถึงมือลูกค้าเอ่ยปากชวนนางฟ้าของเขา แต่ก็ต้องหยุดประโยคไว้ตั้งแต่ยังไม่จบประโยคดีเมื่อเหลือบไปเห็นนางฟ้าของเขานอนกอดตุ๊กตาเดอะฮัคอยู่บนโซฟา ตาหวานๆถูกปิดสนิท ปากบางเผยอออกน้อยๆ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนหน้าร่างสูง

     

             เขาเดินเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าโซฟาที่หนุ่มน้อยมีปีกนอนอยู่ เอื้อมมือค่อยๆลูบใบหน้าหวานที่เขาหลงใหลอย่างถนุถนอม มือหนาเกลี่ยไรผมที่ปรกลงบนหน้าผาก ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากทาบลงบนปากเล็กบางอย่างอ่อนโยน ไม่มีการรุกร้ำไปมากกว่านั้น ก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยเกรงว่านางฟ้าของเขาจะตื่น ใบหน้าคมเคลื่อนไปใกล้ๆใบหูเล็ก อยากจะบอกความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจ ร่างสูงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจถอนตัวออกมา

     

             “ตื่นมาค่อยบอกแล้วกันเนอะ” ร่างสูงตัดสินใจดังนั้น เขาจึงเดินออกมาไม่ลืมที่จะหยิบผลงานของเขาเพื่อไปส่งลูกค้า มือหนาที่บิดลูกบิดประตูชะงักลง นึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง เหลือบมองนางฟ้าของเขาที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนโซฟา คงไม่มีอะไรมั้ง เขาตัดสินใจปล่อยความคิดนั้นทิ้งไปและออกไปพบลูกค้า ตั้งใจว่าจะรีบไปรีบกลับ

     

             3 ชั่วโมงผ่านไป พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าบ่งบอกเวลาช่วงหัวค่ำ ร่างสูงที่เพิ่งกลับถึงคอนโด รีบสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างนึกเป็นห่วงนางฟ้าของเขา ที่จริงไม่ได้ตั้งใจออกไปนานขนาดนี้ แต่ด้วยสภาพการจราจรของเมืองหลวงทำให้เสียเวลาอยู่บนถนนเสียส่วนใหญ่ มือหนาหิ้วถุงข้าวสำหรับมือเย็นของเขาและเจ้าตัวเล็กที่ไม่ลืมซื้อมาจากหน้าปากซอย ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว

     

             มือหนาเปิดประตูห้องออก ตาคมเหลือบมองโซฟาที่นางฟ้าของเขานอนหลับก่อนที่เขาจะออกไปก็ไม่พบเจ้าตัวเล็กของเขาแล้ว มีเพียงตุ๊กตาเดอะฮัคตัวเขียวนอนแอ้งแม้งอยู่ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เงียบจนเหมือนไม่มีใครอยู่ ร่างสูงเริ่มใจหวิวแปลกๆ พยายามคิดในแง่ดี คงตื่นแล้วสินะ เขาวางถุงกับเข้าบนโต๊ะอาหาร เปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องนอน บางทีนางฟ้าของเขาอาจจะย้ายไปนอนที่เตียงก็ได้ ต้องใช่สิ นางฟ้าของเขารักความสบายจะตายไป

     

             มือสั่นๆค่อยๆบิดลูกประตูห้องนอนออก ว่างเปล่า ห้องทั้งห้องไม่ได้มีร่องรอยการใช้หรือเข้ามาแม้แต่น้อย ผู้ปูเตียงเรียบอย่างไม่เคยไม่คนนอนมาหลายวัน หมอนวางไว้เป็นระเบียบ ผ้าห่มถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย เหมือนวันที่เขากลับต่างจังหวัดไม่มีผิดเพี้ยน แล้วนางฟ้าของเขาไปไหน

     

             “กัน อยู่ไหนน่ะ” ตัดสินใจเรียกด้วยเสียงสั่นๆ ใจคอไม่ดีเมื่อไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

     

             ห้องน้ำ ใช่สิ บางทีนางฟ้าของเขาอาจจะเข้าห้องน้ำอยู่ เลยไม่ได้ยินเสียงเขาก็ได้ ร่างสูงเดินตรงไปยังห้องน้ำ เคาะประตูเรียก แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบ จึงตัดสินใจเปิดดูเนื่องจากประตูไม่ได้ล็อค ว่างเปล่า อีกเช่นเคย ใจเต้นแรงระส่ำ เหงื่อผุดขึ้นเต็มฝ่ามือ กังวลเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

     

             ร่างสูงตัดสินใจจะออกไปตามหานางฟ้าของเขา มือหนาคว้ากุญแจห้อง เตรียมจะออกไปข้างนอก แต่สิ่งคุ้นเคยบางอย่างสะดุดตามคม ทำให้เขาชะงัก ขนปีกขาวๆกองอยู่ใกล้ๆโซฟาที่เดอะฮัคนอนอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไร สมองนึกทบทวนบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณบอกมานานแล้ว
     

             “กัน...” ร่งสูงอุทานเบาหวิว ใจกระตุกวูบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆมา

     

     

     

             “ก็เพราะว่าสีนี้มันไม่ใช่สีที่เขาเอาไว้ย้อมผมกันนะสิ ทิ้งไว้นานๆเดี๋ยวก็ขนร่วงหรอก”

     

             “โอ๊ะ!” เจ้าตัวเล็กอุทานเบาๆ มองที่ต้นเหตุซึ่งไม่ใช่ที่อื่นไกล ก็มาจากปีกฟ้าๆนั่นแหละ ยังไม่ทันขาดคำ ขนหนึ่งก้านค่อยๆร่วงลงสู่พื้น

     

             “เห็นไหม ยังไม่ทันขาดคำเลย รีบไปล้างเลย”

     

     

     

             “โอ๊ะโอ๋!” ขนปีกอีกก้านค่อยๆร่วงลงไม่ต่างจากก้านที่แล้ว

     

             “ขนร่วงอีกแล้วหรอกัน” ร่างสูงชะเง้อมองมาจากฝั่งตรงข้าม

     

             “อะ..อื้อ”

     

             “เฮ้อซนไม่เข้าท่า เป็นไงล่ะทีนี้” ร่างสูงว่าไปตามที่ตนเองเข้าใจ

     

     

     

             “ก็กันไม่ได้แพ้สักหน่อย กันรู้น่าว่ากันเป็นอะไร”

     

             “แล้วกันเป็นอะไร”

     

             “กะ..กัน อาจจะอยู่ในช่วง....ผลัดขน”

     

             “ผลัดขน?”

     

             “อื้อ”

     

     

     

             ถ้าเขาเอะใจสักนิด บางทีเรื่องอาจจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเขาถามกันสักนิด อาจจะพอแก้ไขได้ทัน ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆตุ๊กตาเดอะฮัค ยิ่งมองยิ่งเป็นห่วงเจ้าตัวเล็ก ไปอยู่ที่ไหนกันนะ มือหนายกขึ้นเสยผมพร้อมกับดึงทึ้งผมตัวเอง ดวงตาแดงก่ำ เมื่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัวเล็กของเขากันแน่ ตัดสินใจลุกออกไปตามหานางฟ้าของเขา
     

             มือใหญ่บิดลูกบิดประตูออก ภาพตรงหน้าทำให้เขาหัวใจลิงโลด นางฟ้าของเขายืนอยู่หน้าประตูห้อง ตาแป๋วๆจ้องมาที่เขาอย่างงงๆ แขนแกร่งดึงหนุ่มน้อยมีปีกเข้ามากอดแน่นอย่างหวงแหน

     

             “ไปไหนมา” ถามเสียงแผ่วเบา ดวงตาแดงก่ำกว่าเดิม ระบายความรู้สึกเมื่อครู่ออกมา ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่ดีใจมากต่างหาก แขนแกร่งยังคงโอบกอดนางฟ้าของเขาไว้แน่นอย่างกลัวว่าร่างในอ้อมกอดจะหายไปอีก

     

             “อื้อพี่โน่ ปล่อยกันก่อนสิ” หนุ่มน้อยมีปีกท้วงขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดรัดที่แน่นเกินไป

     

             ร่างสูงที่เพิ่งรู้ตัวรีบผละออก พร้อมกับจูงมือนางฟ้าของเขาเข้าห้องไป

     

             “สรุปว่าไปไหนมา” ร่างสูงถามเสียงอ่อนโยน

     

             “ก็พี่โน่ไม่มาสักทีนี่ กันหิวทนไม่ไหว ก็เลยลงไปซื้อแฮมชีสที่เซเว่นข้างล่างมา” หนุ่มน้อยมีีปีกชูถุงแซนวิชแฮมชีสในมือให้เขาดู

     

             “เฮ้อ ไอ้เราก็เป็นห่วงแทบแย่” ร่างสูงถอนหายใจออกมา มือหนาขยี้หัวทุย

     

             “ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงเลย” หนุ่มน้อยมีปีกตอบพลางกัดแซนวิชกิน ท่าทางจะหิวมากสินะ

     

             “ไม่ให้ห่วงได้ยังไง กลับมาไม่เจอ เจอแต่กองขนกองอยู่ข้างโซฟาเนี่ย นึกว่าเป็นอะไรไปแล้ว”

     

             “แหะๆ” เจ้าตัวเล็กหัวเราะแหะๆ ปากเคี้ยวแซนวิชตุ้ยๆ

     

             “แล้วจะบอกพี่ได้หรือยังว่าที่ขนปีกร่วงเนี่ยเพราะอะไร” พอเจอคำถามนี้ หนุ่มน้อยมีปีกถึงกับไปไม่เป็น คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม

     

             “คือ...” ตาหวานหลุบมองต่ำ

     

             “บอกมาเถอะ ถ้ามันเป็นอะไรจะได้ช่วยกันแก้ไขทัน” ร่างสูงที่เห็นนางฟ้าของเขากังวลก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เป็นอะไรมากหรือเปล่านะถึงบอกเขาไม่ได้ สองมือจับไหล่เล็กยืดไว้ไม่ให้หนีไปไหนจนกว่าเขาจะได้คำตอบ

     

             “คือมันเป็น...เพราะว่ากัน.....”

     

             “กัน...” ร่างสูงทวนคำของเจ้าตัวเล็กเพื่อเร่งเอาคำตอบ

     

             “กันมีความรัก” เมื่อจบประโยคทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงก้านขนขาวๆที่ร่วงเกรียวกราวเสียดสีกับอากาศ ใบหน้าหวานก้มหน้างุด หูแดงก่ำ ร่างสูงที่ตั้งตัวไม่ทันก็เอาแต่อึ้งปนดีใจ เมื่อตั้งสติได้จึงรวบตัวนางฟ้าของเขามากอดทันที โดยไม่สนใจปีกน้อยๆที่กำลังโปรยปรายก้านขนลงมา
     

             “แล้วทำไมไม่บอกพี่” ใบหน้าคมยิ้มกว้างอย่างคนมีความสุข ใจเต้นระส่ำจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอกกับประโยคบอกรักที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาผละออก เชยคางมนขึ้นให้สบตาเขา ใบหน้าหวานแดงก่ำนั่นเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้เป็นอย่างดี

     

             “ก็...กันอายนี่นา” เจ้าตัวเล็กยิ้มเขิน ใบหน้าแดงหนักกว่าเก่า

     

             ฟอด ร่างสูงขโมยหอมแก้มแดงๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ไม่ได้ว่าอะไร ปีกน้อยๆแข็งทื่อ ขนปีกยิ่งร่วงเกรียวกราวหนักกว่าเก่าเมื่อเจ้าตัวสารภาพรักออกไป

     

             “กัน” เสียงเรียกที่่อ่อนโยนและจริงจังในคราเดียวกันทำให้หนุ่มน้อยมีปีกเงยหน้าขึ้นสบตาคนเรียก ใบหน้าคมโน้มลงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหูเล็ก “พี่ก็รักกันนะ”

     

             เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ดังก้องไปทั้งหัวใจดวงน้อย ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ต่างคนต่างเขิน ปีกน้อยๆยังคงแข็งทื่อ แต่สิ่งที่แปลกไปจนร่างสูงสังเกตได้คือขนปีกขาวๆนั่นหยุดร่วงแล้ว ตาคมมองอย่างสงสัย จนเจ้าของปีกต้องไขข้อข้องใจให้

     

             “คือ..มันจะหยุดร่วงก็ต่อเมื่อความรักสมหวังน่ะ” ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

     

             โครกคราก

     

             “โอ๊ะ!” มือน้อยๆวางบนท้องตัวเองหลังจากได้ยินเสียงมันประท้วง เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากร่างสูง

     

             “ป่ะ ไปกินข้าวกัน พี่ซื้อของโปรดกันมาด้วยนะ” ร่างสูงจูงมือนางฟ้าของเขามาที่โต๊ะอาหาร จัดแจงถ้วยชามให้เสร็จสรรพ 

     

             หลายวันต่อมา

     

             “ลมมมมมมมม พัดตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้งๆๆ ตึ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” นางฟ้าจอมซนกำลังร้องเพลงพร้อมกับเต้นเด้งช่วงล่างที่จำมาจากหางเครื่องงานวัดวันนั้นใส่ผมที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในครัว ปีกน้อยๆกระพือไปตามจังหวะเพลง เล่นอะไรไม่ห่วงความปลอดภัยตัวเองเสียแล้ว

     

             “กันหยุด”

     

             “ก้ำภูกระดึงเขตเมืองเลยยย~” นั่นไง ฟังที่ไหน

     

             “ไม่หยุดใช่ไหมๆ” ผมล้างมือตัวเองก่อนจะหันมาก็พบว่าเจ้าตัวเล็กวิ่งหนีไปแล้ว “ไม่ต้องหนีเลย” ผมวิ่งตามเจ้าตัวเล็กไป

     

             “ฮ่าๆๆๆ” นางฟ้าของผมวิ่งดุ๊กดิ๊กๆหลบผม

     

             “มาให้ทำโทษซะดีๆ” ผมวิ่งไล่จับนางฟ้าจอมซนที่วิ่งหนีไปรอบห้องจนผมเหนื่อยไปหมด ต้องก้มตัวหอบกับที่อยู่กลางห้อง ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักๆ ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบินวนๆไปรอบตัว

     

             นางฟ้าจอมซนบินวนผ่านหน้าผมไปนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เวียนหัวบ้างหรือไง

     

             “เหนื่อยแล้วหรอ” คำพูดเยาะเย้ยกับเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเมื่อเขาบินผ่านหน้าผม

     

             “ไหวม้ายย” ผ่านไปอีกรอบ

     

             “แก่แล้วอ่ะดิ” อีกรอบ

     

             “อ่อน” และอีกรอบ

     

             หมับ! ผมจัดการคว้าเอวบางไว้ไม่ปล่อยให้เขาบินไปอีกรอบ จัดการฟัดพุงที่ลอยอยู่ระดับเดียวกับหน้าผมพอดีอย่างหมั่นเขี้ยว

     

             “ฮ่าๆๆๆ พอแล้ว ฮ่าๆ พี่โน่ ฮ่าๆๆๆ จั๊กจี๋ ฮ่าๆๆๆๆ” ผมฟัดเขาจนพอใจแล้วก็หยุด เงยหน้ามองนางฟ้าจอมซนที่หอบตัวโยนจากการโดนจั๊กจี้เมื่อครู่ ปีกข้างหลังโบกเข้าโบกออกเพื่อพยุงตัวให้ลอยอยู่ในอากาศ สายตาหวานจ้องกลับมาเมื่อรู้สึกว่าตนเองโดนจ้อง เรายิ้มให้กัน

     

             “พี่รักกันนะ นางฟ้าของพี่” ผมบอกยิ้มๆ

     

             “นางฟ้าอะไรเล่า กันเป็นเทวดาต่างหาก” เจ้าตัวเล็กทำแก้มพองลม มันน่าฟัดอีกสักยกจริงๆ

     

             “ยอมรับซะเถอะ มาเป็นนางฟ้าของพี่ดีกว่า” ผมกระเซ้าเขา

     

             “ไม่!” เจ้าตัวเล็กตอบเสียงแข็ง หน้างอ

     

             “ไม่หรอ” ผมรู้ดีว่าจะทำยังไงกับเจ้าตัวเล็ก แค่แกล้งจะก้มลงไปฟัดพุงเขาอีกรอบเจ้าตัวเล็กก็ยอมเป็นนางฟ้าของผมอย่างง่ายดาย

     

             “อ้ะไม่เอาแล้วๆ นางฟ้าก็นางฟ้า” มือน้อยๆรีบห้ามพัลวัน ผมยิ้มอย่างชอบใจ

     

             “ไหนบอกรักพี่สิ”

     

             “ไม่เอา”
     

             “น่าา”

     

             “ไม่! กันเขิน”

     

             “หรืออยากโดนฟัดพุงอีกรอบ”

     

             “อื้อไม่เอาๆ”

     

             “งั้นก็เร็วๆ รอฟังอยู่” ผมเงี่ยหูเข้าไปใกล้ๆ หลับตารอฟัง

     

             ฟอด

     

             “กันรักพี่โน่นะ” สัมผัสบนแก้มทำเอาผมแปลกใจ ชอบทำอะไรให้ผมเซอร์ไพรส์อยู่เรื่อยสินะ

     

             ชีวิตนี้ของผมจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปเมื่อมีนางฟ้าคนนี้มาเติมเต็ม นางฟ้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็ออกมาจากภาพวาด แต่ผมเชื่อว่ามันคือพรหมลิขิตที่พระเจ้าขีดไว้ และเชื่อว่าท่านก็ประทานเขามาให้เช่นกัน ‘นางฟ้าของผม’


     

    ___________________________________________________________________________________________________________________________________________


    จบแล้วน้า อาจจะแต่งได้ไม่ดีเท่าไหร่ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งเลย
    ติชมได้เลยน้า จะพยายามเอาไปปรับแก้
    รักรีดเดอร์ทุกคน

    อักษรนารา
    (มันอ่านว่า อัก-สะ-ระ-นา-รา นะ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×