คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 7 Wonders Project : WONDER ME
7 Wonders project : WONDER ME
คุณเคยรู้สึกดีกับใครสองคนไปพร้อมๆกันไหม...
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นานาต้นไม้ใหญ่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทอดเงาดำลงบนพื้นตัดกับแสงสีส้มของดวงตะวันยามบ่ายแก่ เหล่านิสิตชายหญิงเดินสวนกันขวักไขว่ด้วยที่หมายที่ไปที่แตกต่างกัน อาคารเก่าแก่สองชั้นปรากฏร่างนิสิตหนุ่มสองคนกำลังเดินลงมาจากตัวอาคาร
“เฮ้ยไอ้โน่คืนนี้กูว่าจะไปแถวทองหล่อ เห็นพวกเพื่อนที่คณะแนะนำมา มึงไปด้วยกันป่ะ” ชายหนุ่มหน้าหวานเอ่ยชวนพลางยกมือขึ้นกอดคอเพื่อน
“เฮ้ยไอ้กันมึงอย่าเล่นงี้ดิ!” มือหนารีบปัดมือเพื่อนตัวเล็กออก เรียกสีหน้างุนงงจากคนหน้าหวาน
“เป็นไรของมึงวะ” ร่างสูงนิ่งเงียบเมื่อไม่รู้จะบอกเพื่อนตัวเล็กยังไงดีว่าแท้จริงแล้วเขากำลังหวั่นไหวกับเพื่อนตัวดีนี่ จึงตอบปัดๆออกไป
“อากาศมันร้อน” มือหนาจับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง มันจะรู้ตัวบ้างไหมว่าผมใจเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้มัน ยิ่งมันชอบเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“เออ แล้วสรุปเอาไง ไปป่ะเนี่ย” คนหน้าหวานย้ำคำถามอีกรอบเพื่อเอาคำตอบ จริงๆพวกคุณอาจจะสงสัยว่าแค่แอบชอบเพื่อนทำไมต้องถึงไม่บอกไปตรงๆ ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อย
“ไม่ได้ว่ะ กู...นัดแฟนไว้” เอาจริงๆก็ไม่ใช่แฟนหรอกครับ เขาน่ะแฟนผม แต่ผมไม่ใช่แฟนเขา งงไหม รักเขาข้างเดียวน่ะ นั่นแหละ แต่แปลกไหมที่ผมก็รู้สึกกับไอ้เพื่อนตัวดีนี่เหมือนกับที่ผมรู้สึกกับเขา ใบหน้าหวานนั่นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มปกติ
“เฮ้ยไม่เป็นไร กู...กูไปกับไอ้พวกนั้นก็ได้ มึง...ไปเหอะ” คำพูดตะกุกตะกักของอีกฝ่ายทำเอาผมรู้สึกผิดแปลกๆ จ้องใบหน้าหวานอย่างห่วงความรู้สึกไอ้เพื่อนคนนี้ขึ้นมาดื้อๆ
“อย่าทำหน้างั้นดิ กูไม่เป็นไรหรอก มึงไปเหอะ” มันบอกเหมือนทุกครั้งที่ผมปฏิเสธคำชวนของมัน แล้วผมก็ต้องรู้สึกผิดกับมันทุกครั้ง แม้ใบหน้าหวานนั่นจะไม่แสดงอาการน้อยใจอะไรแต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
ผมกับกันเราเป็นเพื่อนคณะเดียวกัน แต่ผมแก่กว่ามันสองปีนะ จะบอกว่าผมเรียนซ้ำชั้นก็ไม่เชิง ตอนผมอยู่ปีสองผมซิ่วมาเข้าปีหนึ่งพร้อมมันนั่นแหละ ตอนแรกผมไม่ได้บอกใครว่าซิ่วมารวมถึงมันด้วย ก็เรียกกันเป็นเพื่อนมาตลอดจนติดปาก พอเริ่มสนิทกันผมถึงเพิ่งบอกมันว่าผมซิ่วมา จะให้เรียกพี่มันก็คงไม่ชินแล้ว ก็เลยเลยตามเลย
ที่จริงเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้ง 2 ปีแล้วนะ แต่ทำไมผมเพิ่งจะมารู้สึกชอบมันเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาเองก็ไม่รู้ ที่จริงผมเริ่มชอบมันหลังจากที่ผมได้เจอกับเขาคนนั้น แปลกไหม แล้วมันก็ทำให้ผมสับสนว่าผมควรจะจัดการกับหัวใจตัวเองยังไงดี
เรากลับคอนโดด้วยกันเพื่อให้ต่างคนต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปตามนัด ซึ่งนอกจากผมกับมันจะเรียนคณะเดียวกันแล้วเรายังเป็นรูมเมทกันด้วย เราเจอกันครั้งแรกตั้งแต่วันที่มาสอบสัมภาษณ์เข้าที่นี่ ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งคู่ก็เลยสนิทกันเร็ว พอเข้ามาเรียนที่นี่ก็เลยซื้อคอนโดอยู่ด้วยกันเพราะต่างคนก็ต่างไม่มีเพื่อน เรียกได้ว่าตัวติดกันแทบจะ 24 ชั่วโมง แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมหวั่นไหวได้ยังไง
“กันมึงเคยชอบใครสองคนไปพร้อมกันป่ะวะ” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบของห้องกับสิ่งที่ผมอึดอัดใจมานาน ผมไม่ได้หลายใจใช่ไหม
“อะไรของมึงเนี่ย ประสาทแล้ว กูไปก่อนนะ” ไอ้กันบอกผมที่ยืนเซตผมอยู่หน้ากระจก ซึ่งมันก็ดูไม่ได้เอะใจอะไรกับคำพูดผมเลยสักนิดว่าจะหมายถึงมัน ผมมองผ่านกระจกเห็นมันแต่งตัวเรียบร้อยดีก็เบาใจ เสื้อยืดสีดำไม่ได้รัดรูปกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ไม่ใช่อะไร กลัวมันจะโดนดักฉุดไปน่ะสิ ผมพยักหน้าให้ก่อนจะบอกให้มันไปดีๆซึ่งมันก็พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไป
ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าอีกสักพักกว่าจะได้เวลานัดจึงไม่ได้รีบมาก ค่อยๆบรรจงแต่งตัว นั่งกดโทรศัพท์ไปพลาง จะโทรหาเขาก็ไม่มีเบอร์ ก็แหงล่ะ ผมไม่ใช่แฟนเขานี่ เขาถึงจะต้องให้เบอร์ผม ทำได้ก็แค่ไปรับไปส่งเขาที่คอนโดนั่นแหละ อย่าถามว่าทำไมผมถึงรู้จักคอนโดเขา ผมเคยจับเขายัดใส่่รถบังคับให้บอกทางมาบ้าน อ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมคิดอะไรลามกๆกับเขานะ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย คือผมเห็นว่ามันดึกแล้ว จะให้กลับบ้านคนเดียวมันก็อันตราย ผมก็อาสาไปส่งให้ แต่เขาไม่ยอม ทำไงได้ ไม่ยอมก็ต้องบังคับอย่างนี้แหละ (เอาที่สบายใจ)
นี่ก็คงได้เวลาแล้วแหละ เผื่อรถติดอีก กว่าจะไปถึงคอนโดเขาก็คงได้เวลานัดพอดี ผมคว้ากุญแจรถ BMW ที่พ่อผมออกให้เป็นของขวัญที่สอบเข้าที่นี่ได้เดินออกจากห้องไป
ทางด้านกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“โอ๊ยยย ไปไหนกันหมดเนี่ย” ผมรัวเคาะประตูด้วยสีหน้าร้อนรน ได้ยินเสียงคนข้างในตะโกนออกมาว่าแป๊บนึงๆ จึงหยุดเคาะ ไม่นานประตูก็เปิดออกโดยคนที่คุ้นเคยดี
“เข้ามาๆ” สิ้นเสียงอนุญาตผมก็รีบแทรกตัวน้องคนสนิทที่มาเปิดประตูให้เข้าไปในห้องทันที
ภายในห้องเต็มไปด้วย เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับของผู้หญิงวางเกลื่อนกลาดเต็มห้องไปหมด ผมมองถึงความวุ่นวายในห้องก็ถึงกับปวดเศียรเวียนเฮด
“ใครมาอ่ะตั้มมี่” เสียงตะโกนถามดังออกมาจากห้องน้ำก่อนจะตามด้วยเจ้าตัวที่โผล่หน้าออกมาจากประตูห้องน้ำ กั้ง...เอ่อ...กั่งกั๊ง อยู่ในสภาพที่กระโปรงหลุดลุ่ยค่อยๆเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อเห็นว่าเป็นผมที่เข้ามา
“กั่งกั๊ง! บอกว่าให้แต๊บให้ดีก่อนไงคะค่อยออกมาจากห้องน้ำ สอนไม่จำ!” ตั้มมี่ที่เพิ่งมาเปิดประตูให้ผมเมื่อกี้ดูจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนใครเดินผ่านผมเข้าไปลากน้องเล็กเข้าห้องน้ำไป
“แกกก ใส่ชุดไหนดีอ้า” ไอ้ริทซี่ที่แต่งหน้าทาปากใส่วิกผมผู้หญิงเรียบร้อยกำลังค้นตู้เสื้อผ้าแล้วเอามาทาบทีละตัวว่าจะใส่ชุดอะไรดี ทาบอย่างเดียวไม่พอนะ ตัวไหนที่มันว่าไม่สวยมันก็โยนๆไว้กลางห้อง ผมล่ะสงสารเจ้าของห้องอย่างพี่ฮั่นเหลือเกิน พูดถึงพี่ฮั่น แล้วนี่พี่ฮั่นไปไหนเนี่ย
“แกง เจ๊บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าใช้ลิปสติกโทนนี้ มันไม่เหมาะกับแก” ผมหันไปตามเสียงก็เจอพี่ฮั่น เอ้ย! เจ๊ฮันนี่กำลังสอนแกงส้ม...เอ่อ...แกงกี้แต่งหน้าอยู่ที่หน้ากระจกอีกมุมนึงของห้อง
“เจ่เจ๊! บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกแกงเฉยๆ มันไม่คิวท์ ให้เรียกว่าแกงกี้” แกงกี้หันมาเหวี่ยงเจ๊ฮันนี่เบาๆก่อนจะทำตามที่เจ๊ฮันนี่สอนต่อ ผมมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้องก่อนจะทนไม่ไหวตะโกนออกไป
“เฮ้ย! มาช่วยกูก่อน!” ทุกคนหยุดชะงักกิจกรรมของตัวเอง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมที่ยืนอยู่กลางห้อง แม้แต่ตั้มมี่กับกั่งกั๊งที่อยู่ในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมาดู ก่อนที่จะ...
“เฮ้ยแกชุดนี้ฉันว่าเบาไปอ่ะ” ริทซี่หันไปสนใจเสื้อผ้ามันต่อ
“แกงกี้ เจ๊ว่าเข้มกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า” เจ๊ฮันนี่จับหน้าแกงกี้หันไปมาก่อนจะเดินหาลิปสติกสีที่เข้มกว่านี้ตามกองเสื้อผ้าเครื่องสำอางที่ถูกโยนๆไว้กลางห้อง
“เจ๊ แกงกี้ติดขนตาเลยนะ” แกงกี้ตะโกนถามเจ๊ฮันนี่
“อ้าวทำตามที่บอกสิคะกั่งกั๊ง!” ตั้มมี่หันไปโวยกั่งกั๊งต่อ
“ค่ะๆๆ” กั่งกั๊งรับคำก่อนจะพยายามทำตามที่ตั้มมี่บอก
แล้วผมล่ะ...ไม่มีใครคิดจะสนใจผมหน่อยหรอ
“เฮ้ยยย! กูรีบ!” ผมตะโกนอีกที สีหน้าร้อนรนของผมคงบอกพวกมันว่าผมรีบจริงๆ
“กันนี่! กันนี่จะรีบอะไรกันหนักกันหนา” ริทซี่ถามผมในขณะที่เจ้าตัวก็ยังง่วนกับการเอาชุดมาทาบแล้วหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก
“ไอ้โน่กำลังจะมาที่นี่!”
“ฮะ!!! ไอ้โน่กำลังจะมาที่นี่!!” ทั้ง 5 สาวประสานเสียงพร้อมกัน
“เออดิ!”
“ฉิบหาย! ทำไมมึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า” ไอ้ริทซี่โยนชุดในมือมันทิ้งก่อนจะพุ่งเข้ามาลากผมไปที่หน้ากระจกแทน แล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมกลายเป็นสาวน้อยอย่างไว
“เงยหน้าสิกัน ตั้มมี่แต่งหน้าให้ไม่ถนัดนะ” ตั้มมี่จับผมเงยหน้าก่อนจะลงมือแต่งหน้าให้ผมอย่างไวโดยมีแกงกี้เป็นลูกมือ
“โอ๊ยแล้วใครบอกให้วันนั้นแกพามันมาที่ห้องเจ๊เนี่ย” เจ๊ฮันนี่บ่นพลางช่วยกั่งกั๊งเก็บของที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ในห้องอย่างเร่งรีบ
“ก็ผมนึกที่ไหนไม่ออกหนิ” กำลังงงกันใช่ไหมครับว่าผมกำลังทำอะไร คือเรื่องมันมีอยู่ว่าผมติดหนี้บุญคุณเจ๊ฮันนี่แก ผมก็บอกว่ามีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เลยนะผมยินดี แต่ตอนนั้นเจ๊แกนึกไม่ออกว่าจะให้ผมช่วยอะไรดีเลยขอติดไว้ก่อน พอเมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเจ๊แกโทรมาบอกว่าให้ผมไปหาที่ผับที่เจ๊แกเป็นเจ้าของเจ๊มีเรื่องให้ช่วย ผมก็ไป...
“เจ๊จะให้ผมไปเป็นโคโยตี้!?!!?!!” นี่ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เจ๊ฮันนี่จะให้ผมไปเต้นโคโยตี้ “เจ๊ผมขอทำอย่างอื่นไม่ได้หรอ” ผมพยายามทำหน้าตาน่าสงสาร
“ช่วยเจ๊หน่อยไม่ได้หรอกัน เด็กเจ๊ลาป่วยกันหมดเลย เจ๊ไม่มีใครแล้วจริงๆ นะกันนะ” ผมว่าผมทำหน้าน่าสงสารแล้วนะ แต่เจ๊ฮันนี่ทำน่าสงสารกว่า ผมถอนหายใจอย่างใจอ่อนจนได้
“ก็ได้เจ๊ แต่แค่คืนนี้คืนเดียวนะ”
“ได้ๆๆขอบใจมากนะกัน” เจ๊ฮันนี่เข้ามาจับมือผมอย่างดีใจ ก่อนจะตะโกนเรียกพรรคพวก “เด็กๆมาพาเพื่อนไปเปลี่ยนชุดหน่อยเร็ว ร้านใกล้จะเปิดละ”
“ได้เลยค่ะเจ๊” ผู้หญิง(?)คนนึงที่ผมได้ยินพวกพี่เหลือเรียกว่าตั้มมี่เข้ามาจูงมือผมออกไป ผมมองหน้าเด็กๆของเจ๊ฮันนี่แต่ละคน อืม..ผมต้องแต่งแบบนี้จริงๆหรอเนี่ย
“นี่เราชื่อริทซี่นะ ส่วนนี่ตั้มมี่ แกงกี้ แล้วก็กั่งกั๊ง เธอชื่ออะไรหรอ” คนตัวเล็กสุดในกลุ่มแนะนำตัวกับเพื่อนที่เหลือให้ผมรู้จักก่อนจะถามผมบ้าง
“เราชื่อกัน” ผมส่งยิ้มแหยๆไปให้ ดูจากชื่อแต่ละคนแล้วคงไม่พ้นเพื่อนเจ๊ฮันนี่แน่ๆ
“โอ๊ยตายละกิ๊บเก๋!” คนที่ชื่อตั้มมี่บอก เล่นเอาผมงงว่าชื่อผมมันกิ๊บเก๋ตรงไหน หันไปมองคนที่ชื่อริทซี่ก็เห็นเจ้าตัวโบกมือปัดทำนองว่าอย่าไปสนใจเลย
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผมถูกจับแต่งหญิงใส่วิกแต่งตัวแต่งหน้า มาส่องกระจกอีกทีแทบจำตัวเองไม่ได้ ผมเดินออกมาจากห้องแต่งตัวค่อนข้างทุลักทุเลเพราะไม่ชินกับกระโปรงสั้นๆถึงแม้จะมีกางเกงซับก็ตาม โอ๊ยตายๆๆชีวิตผม ผมไม่คิดจริงๆว่าชีวิตนี้จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ ภาวนาขออย่าให้วันนี้เจอคนรู้จักเล้ยยยย
“กันมาเร็วๆเลย ได้เวลาขึ้นเวทีแล้ว” เจ๊ฮันนี่เข้ามาลากตัวผมอย่างไว
“อะ..เอาเลยหรอ” ผมลนลานถามเพราะไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ยังไม่ทำใจเลย
“เอาเลยสิ” เจ๊ฮันนี่ลากผมมาที่บันไดขึ้นเวทีโดยที่ผมขืนตัวไว้
“ดะ..เดี๋ยวสิเจ๊ฮันนะ..ไม่ทันแล้ว” ผมถูกเจ๊ฮันนี่ถีบออกมากลางเวที แสงไฟบนเวทีส่องเข้ามาที่หน้าผม บนเวทีสูงทำให้เห็นวิวทั้งร้านชัดเจน ผมมองไปรอบๆตัวอย่างตื่นๆ มาที่นี่ก็ออกบ่อย แต่ไ่ม่ยักรู้ว่าที่นี่กว้างมาก คงจะเป็นเพราะผมมาบ่อยจนชินสินะ ถึงได้มองว่ามันเล็กไปเลย วัยรุ่นมากมายยืนรายล้อมเวทีกลางร้านที่ผมยืนอยู่ ไม่รู้จะมุงดูอะไรกันหนา ผมส่งยิ้มแหยๆไปให้วัยรุ่นเหล่านั้นก่อนจะเริ่มออกสเต็ปไปตามจังหวะเพลง
ผมล่ะอยากจะรู้เหลือเกินว่าใครเป็นคนลิสต์เพลงให้ผมเต้น แต่ละเพลงนี่อื้อหือมาก ผมมองไปรอบๆด้วยกลัวว่าจะมีคนรู้จักมาเห็นเข้า แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว ทันใดนั้นสายตาผมสะดุดเข้ากับคนๆนึง ก่อนที่ผมจะมีสีหน้าตกใจ ผมรีบหันหลังให้ไอ้โน่ทันที มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมผมไม่เห็น ซวย! พูดได้คำเดียวว่าซวย!
ตลอดเวลาที่เต้นผมเหลือบมองมันเป็นระยะ ซึ่งก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมหันไปแล้วไม่เจอสายตาของมันที่มองผมอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะจำผมได้หรือเปล่า พอเสียงเพลงจบลงผมก็โค้งรับเสียงปรบมือที่ดูจะดังเกินเหตุก่อนจะก้มหน้าก้มตารีบวิ่งลงจากเวทีโดยไม่มองใครอีกเลย
“อุ๊ย!” พอลงเวทีมาก็รู้สึกเหมือนวิ่งชนใครสักคน “ขอทะ...” ผมเงยหน้าจะขอโทษเขาแต่ทันทีที่เงยหน้าสบตามันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิดเอามากๆ โอ๊ยคนในร้านเป็นร้อยเป็นพันต้องมาชนไอ้โน่เนี่ยนะ ผมอยากจะบ้า ผมตัดสินใจจะวิ่งหนีแต่ข้อมือก็ถูกคว้าไว้ทัน
“นี่คุณ ใจคอคุณไม่คิดจะขอโทษผมหน่อยหรอ” ผมถูกดึงกลับมาให้เผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง ผมพยายามหลบสายตามัน ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวมันจะจำได้แต่ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้เลยให้ตายสิ สายตาที่มันมองน่าขนลุกแปลกๆ ไม่เคยเห็นสายตามันเป็นแบบนี้เลย
“ขอโทษ ปล่อยกู..เอ่อ...ปล่อยฉันได้หรือยัง” เอาวะ ไหนๆมันก็คงจำผมไม่ได้แล้วล่ะ ขนาดผมยังจำตัวเองไม่ได้เลย ก็ตามๆน้ำไปละกัน
“พูดไม่เพราะเลยนะคนสวย” นิ้วชี้เรียวของมันแตะลงที่ริมฝีปากของผม มันทำให้ผมขนลุกซู่ทั้งตัว ผมยืนตัวแข็งทื่อด้วยไม่รู้จะทำตัวยังไง เห็นมันหัวเราะน้อยๆ มันมีอะไรน่าหัวเราะเนี่ย “คุณนี่น่ารักจริงๆเลย” พูดจบมันก็หยิกแก้มผมเบาๆแล้วส่งยิ้มหวานมาให้ นี่ผมต้องดีใจใช่ไหมที่แต่งหญิงได้แนบเนียนขนาดนี้
“น่ารักบ้าบออะไรเล่า” ผมหมุนตัวจะเดินหนีมันอีกรอบแต่คราวนี้สองแขนของมันคว้าหมับเข้าที่เอวผม “ปล่อยนะ” ผมพยายามออกแรงดิ้นแต่มันก็รัดแน่นเสียเหลือเกิน
“อย่าดิ้นน่าคนสวย” มันกระซิบข้างหูผม ใบหน้ายิ้มระรื่นของมันทำเอาผมอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ปล่อยนะ ฉันจะกลับบ้าน” ยิ่งดิ้นยิ่งรู้สึกถึงแรงรัดจากข้างหลังแน่นขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นว่าดิ้นไปก็เหนื่อยเปล่าเลยหยุดดิ้น
“ผมชื่อโตโน่ คุณชื่ออะไร” มันถามผม ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ ถ้าบอกว่าชื่อกันก็ความลับแตกน่ะสิ
“ปล่อย! ฉันจะกลับบ้าน” ผมแกล้งดิ้นอีกครั้งเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ถ้าไม่บอกก็ไม่ปล่อย กอดกันอยู่อย่างเนี้ยยันเช้า” ผมถึงกับหันควับมองหน้ามันด้วยความหงุดหงิดอย่างลืมตัว จมูกของผมชนกับปลายจมูกมันที่ก้มลงกระซิบข้างหูผมพอดี ผมถึงกับชะงักทำตัวไม่ถูก สติหลุดลอยไปไหนต่อไหน รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ “ว่าไงคนสวย คุณชื่ออะไร” เสียงทุ้มต่ำของมันเรียกสติผมให้กลับคืนมาและรีบหันหน้ากลับทันที
“กันนี่ ชื่อกันนี่” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตอบมันไปแบบนั้น ชื่อผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะแต่นึกไม่ออก สมองมันโล่งไปหมด เพราะไอ้โน่คนเดียวเลยที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ฮึ่ยย มันปล่อยผมตามสัญญา ทันทีที่หลุดจากอ้อมกอดมันผมก็วิ่งหนีทันที
หมับ! ไอ้โน่วิ่งตามมาคว้าข้อมือผมไว้อีก อะไรของมันนักหนาวะเนี่ย! ผมหันหน้าไปจะเอาเรื่องมันก็เห็นมันส่งยิ้มหวานมาให้ ช่วยสลดกับการกระทำมึงหน่อยได้ไหม
“ผมไปส่ง” มันพูดห้วนๆก่อนจะลากผมให้เดินตามมันไปหลังร้าน ผมที่เพิ่งรวบรวมสติได้รีบตีรัวๆเข้าที่มือมันที่จับมือผมอยู่
“นี่ปล่อยนะ! ฉันกลับเองได้ไม่ต้องไปส่ง” เหมือนผมตีเปล่า มันเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงแรงตีของผมแม้แต่น้อย
ไอ้โน่ลากผมมาที่ลานจอดรถหลังร้านก่อนจะพามาที่รถ BMW คันสีดำที่ผมจำได้ดีว่าเป็นรถที่พ่อมันซื้อให้ตอนสอบเข้ามหาลัยได้แล้วผมก็นั่งรถคันนี้ไปกลับมหาลัยกับมันทุกวัน มันจับผมยัดใส่เบาะข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ แล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับและออกรถทันที
“บ้านคุณอยู่ไหน” มันถามผม แต่ผมยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบ “ถ้าคุณไม่บอกผมจะพาคุณกลับบ้านผมนะ”
“พระรามเก้า” บอกๆไปก่อน คอนโดเจ๊ฮันนี่ละกัน ผมนึกที่ไหนไม่ออกแล้ว จะบอกบ้านจริงๆไปว่าบ้านผมก็บ้านมันก็คงจะไม่ได้ ให้มันพากลับบ้านมันก็ไม่ได้อีก ความลับแตกกันพอดี แล้วผมก็ต้องพามันมาที่คอนโดเจ๊ฮันนี่ ป่านนี้เจ๊แกคงยังไม่กลับเอาไงดี กุญแจห้องก็ไม่มี ขืนให้มันไปส่งบนห้องมันต้องสงสัยแน่ๆ
“ส่งตรงนี้แหละ ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอก” ผมรีบบอกทันทีที่มันจอดรถ ซึ่งมันก็พยักหน้าประมาณว่าตามใจผม นี่ตั้งแต่เจอกันในสภาพนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกที่มันยอมผมนะเนี่ย ผมทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถแต่มันรั้งแขนผมไว้ก่อน ผมส่งสายตาไม่พอใจไปให้มัน กำลังจะอ้าปากด่าแต่มันทำนิ้วจุ๊ปากตัวเอง มันเอานิ้วที่จุ๊ปากเมื่อกี้มาแตะที่ปากผมแล้วเอาไปแตะที่ปากตัวเอง ไอ้บ้าาาา นี่มันจูบผมทางอ้อมหรอ!!!
“ฝันดีนะกันนี่ที่รัก” มันส่งยิ้มกวนประสาทมาให้ ผมได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจทำอะไรมันไม่ได้ ผมเปิดประตูลงจากรถมันก่อนจะปิดอย่างแรงไม่เกรงใจโลโก้ BMW ที่หน้ารถมัน มันเปิดกระจกลงพร้อมกับส่งจูบโบกมือบ้ายบายให้ นั่นทำให้ผมโมโหยิ่งกว่าเดิม
“เย็นพรุ่งนี้ว่างไหมคุณ เดี๋ยวผมมารับคุณนะ ไปละ บ้ายบาย” มันถามผมแต่ยังไม่ทันที่จะรอคำตอบมันก็ขับรถออกไปอย่างสบายใจ ผมได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ แต่ก่อนที่จะไปกังวลเรื่องพรุ่งนี้ เอาตอนนี้ก่อน นี่เสื้อผ้าก็อยู่ร้านเจ๊ฮันนี่ กลับคอนโดสภาพนี้ไอ้โน่จับได้แน่ๆ เอาไงดีตอนออกมาไม่ได้บอกมันด้วย ถ้ามันกลับถึงคอนโดแล้วไม่เจอผมเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะเราตกลงกันว่าจะไปไหนให้บอกก่อนและถ้ามันไม่อนุญาตก็ห้ามผมไป
เอาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยง เมื่อกี้มาก็รถติดพอสมควรอยู่ กว่าไอ้โน่จะกลับถึงคอนโดก็คงจะอีกนาน แต่ถ้าผมไปมอเตอร์ไซด์น่าจะถึงเร็วกว่า ว่าแล้วผมก็เรียกพี่วินแถวนั้นแว๊นกลับคอนโดทันที
ผมมาถึงคอนโดก็รีบกดลิฟต์ขึ้นไปห้องตัวเองทันที เสียบคีย์การ์ดเข้าห้องก่อนจะเห็นว่าไฟปิดหมดทุกดวง โล่งใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยไอ้โน่ก็ยังไม่กลับมา เพิ่งเห็นประโยชน์ของรถติดในกรุงเทพก็คราวนี้แหละ ผมรีบจัดการถอดวิกผม ลบเครื่องสำอาง อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนอย่างรวดเร็ว ส่วนชุดที่ใส่มารวมถึงวิกผมก็พับเก็บใส่ถุงซ่อนไว้หลังตู้
เสียงเปิดประตูห้องทำให้ผมต้องรีบเด้งตัวออกจากตู้ที่ซ่อนถุงนั้นไว้ ไอ้โน่เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผิดปกติจนผมสังเกตุได้
“อ้าวมึงยังไม่นอนหรอ” มันถามผมที่ยืนอยู่กลางห้อง แต่หน้ามันก็ยังไม่หุบยิ้ม หมั่นไส้จริงๆ
“รอมึงไง ไม่กลับพรุ่งนี้เช้าเลยล่ะ” ผมแกล้งงอนกลบเกลื่อน จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะรอมันหรอก แต่เพิ่งซ่อนของเสร็จมันก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ผมซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มทำท่าจะนอน
“เฮ้ยๆอย่าเพิ่งโกรธกูดิ กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย” มันตามมาดึงผ้าห่มออกจากตัวผม ผมส่งสายตาไม่พอใจให้มันก่อนจะดึงผ้าห่มกลับ แต่มันก็ดึงออกอีก จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งคุยกับมัน
“มีอะไร” ผมถามเสียงเบื่อหน่ายต่างจากไอ้โน่ที่ตอนนี้ทำหน้าระรื่นเหมือนหมาได้เจอเจ้าของ
“วันนี้เว้ย กูเจอผู้หญิงคนนึง โคตรน่ารักเลยว่ะ ชื่อกันนี่” พอผมได้ยินชื่อกันนี่ก็ถึงกับหูผึ่ง “มึงงง กูต้องจีบเขาให้ติดให้ได้” ผมถึงกับหันควับ จีบ? “น่ารักโลกแตกเลยมึง อ๊ากกกกก” ไอ้โน่มันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงข้างๆผม หน้าตามันบ่งบอกว่ามีความสุขมาก ผมว่ามันเป็นเอามากแล้วแหละ “พรุ่งนี้เย็นกูไม่ว่างนะ มีนัดกับกันนี่ ฮ่าๆๆ” มันพูดพลางใช้สองมือหยิกแก้มผมส่ายไปส่ายมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะคว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำไป
นั่นแหละครับที่มาที่ไปของการที่ผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ วันนั้นมันมาจริงๆ ดีที่ผมโทรบอกเจ๊ฮันนี่กับพรรคพวกให้เตรียมตัวล่วงหน้า ผมแอบซิ่งพี่วินแซงรถไอ้โน่ไปถึงคอนโดเจ๊ฮันนี่ก่อนได้ แล้วก็ให้พวกนั้นช่วยกันแต่งตัวให้ผมเสร็จภายในพริบตาก่อนที่ไอ้โน่จะมาถึง ถามว่าทำไมผมต้องทำแบบนี้ ทำไมไม่ทำเหมือนกันนี่ไม่มีตัวตนหายไปจากโลกนี้แล้ว ก็เพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนยังไงไง คนอย่างไอ้โน่อยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวมันต้องตามตื้อถามเจ๊ฮันนี่จนได้ว่าผมหายไปไหน ผมกะว่าจะบอกเรื่องนี้กับมันเอง
ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่ได้เจอมันในสภาพกันนี่ คือผมต้องแว๊นพี่วินออกจากบ้านตามหลังมันเพื่อไปหาเจ๊ฮันนี่ที่คอนโดให้ช่วยแต่งตัวแล้วรอมันมารับ พอมืดๆมันมาส่งที่คอนโดเจ๊ฮันนี่ผมก็ต้องรีบแว๊นพี่วินเพื่อชิงกลับบ้านก่อนมัน ทำเป็นกิจวัตรแทบจะทุกวัน ผมก็พยายามจะชวนมันทำนู่นทำนี่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปหาผม(กันนี่) บางวันก็รั้งมันไว้ได้ บางวันก็ไม่ได้ อย่างวันนี้อ่ะรั้งมันไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังโชคดีที่มันอนุญาตให้ผมออกไปเที่ยวได้เลยถือโอกาสออกมาก่อนจะได้มีเวลาเตรียมตัว ยิ่งพักหลังๆมานี่มันรู้เลขที่ห้องเจ๊ฮันนี่ด้วย ไม่รู้มันไปรู้มาได้ยังไง อยู่ดีๆวันนึงมันมาเคาะประตูห้องเจ๊ฮันนี่ เล่นเอาตกใจกันหมด ดีที่ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะบอกความจริงเพื่อนมึงสักทีวะ พวกกูเหนื่อยนะนี่ คอยวิ่งแต่งหญิงให้มึงเนี่ย” ริทซี่บ่นหลังจากแต่งหญิงให้ผมเสร็จ มือเล็กๆไม่ต่างจากผมปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากตัวเอง
“กูกำลังหาโอกาสบอกอยู่” ผมหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเพื่อเช็กความเรียบร้อยให้ตัวเอง
“มึงหาโอกาสมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ” ประโยคนี้ของริทซี่ทำเอาผมชะงัก นั่นสินะ หาโอกาสมาเป็นอาทิตย์แล้ว นี่ผมต้องหลอกมันไปอีกนานแค่ไหน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำเอาทั้งห้องกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เสียงเคาะประตูก็คงไม่พ้นไอ้โน่นั่นแหละ ทุกคนวิ่งวุ่นไปหมดเพื่อหาที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้ดูเป็นการจัดฉาก เมื่อเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันปรจำที่เรียบร้อยแล้วผมจึงเดินไปเปิดประตู และก็เป็นไปตามคาด ไอ้โน่มันยืนยิ้มแฉ่งโชว์ฟัน 32 ซี่อยู่หน้าประตู
“ไปกันหรือยัง” มันถามผม
“อือ ก็ไปสิ” ผมตอบมันห้วนๆอย่างที่เคยตอบ และมันก็ส่งตาหวานมาให้อย่างที่เคยทำซึ่งผมก็ไม่เห็นว่าประโยคนี้มันจะน่าฟินตรงไหนเลย
ไอ้โน่พาผมมาที่ร้านอาหารในห้างๆหนึ่ง ที่ๆผมกับมันมักจะมากินด้วยกันหลังเลิกเรียน แอบเสียใจเล็กนะๆที่มันพาผู้หญิงคนอื่นมาที่ร้านนี้ ที่โต๊ะประจำที่เราเคยนั่ง แม้ผู้หญิงที่ว่าจะเป็นตัวผมเองก็เถอะ แต่ตัวมันไม่รู้หนิ
มันดูแลผมอย่างดี เลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง หยิบเมนูให้ รินน้ำให้ แต่สังเกตุสีหน้ามันดูจะหม่นๆลงไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังร่าเริงดีๆอยู่แท้ๆ ผมเองก็ได้แต่ลอบมองมันเป็นระยะ ไม่กล้าถาม จนมันเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง
“คุณมาที่ร้านนี้บ่อยไหม”
“ก็ไม่บ่อยนะ แล้วคุณล่ะ มาบ่อยหรอ” ผมแกล้งถามเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
“ก็บ่อยอยู่ พอมาที่นี่แล้วผมก็นึกถึงคนๆนึง เย็นๆหลังเลิกเรียนผมจะชอบมากินข้าวที่นี่กับมัน” ระหว่างที่เล่ามันไม่ได้สบตาผม มันมองจ้องไปทางอื่น ถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป สายตายามที่มันพูดถึงผมมันดูมีความสุขยังไงบอกไม่ถูก “เราเป็นเพื่อนกันมาสองปีแล้ว เราสนิทกันมาก มันเป็นคนน่ารักนะ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ถึงมันจะขี้น้อยใจไปบ้างก็เถอะ” ได้ยินมันพูดถึงผมให้คนอื่นฟังแบบนี้ก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ ปกติอยู่ด้วยกันก็ไม่ค่อยจะคุยกันดีๆหรอก แล้วผมก็ไม่เคยรู้ว่าเวลาลับหลังผมไปแล้วมันจะเอาผมไปพูดกับคนอื่นยังไง ก็เพิ่งจะเคยได้ยินวันนี้เอง พอมาได้ยินมันก็...เขินแปลกๆนะ
“ระ..หรอ แล้วคุณมาเล่าให้ฉันฟังทำไมล่ะ” ผมแกล้งถามออกไปทั้งที่ในใจตอนนี้สุขแค่ไหน
“นั่นสินะ แล้วผมจะมาเล่าให้คุณฟังทำไม” มันพูดยิ้มๆก่อนจะตักอาหารเข้าปาก “กันนี่ คุณเคย...” มันลังเลนึดหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม “ช่างมันเถอะ” แล้วมันก็เลือกที่จะไม่ถาม
“คุณ” เมื่อเห็นว่ามันเลือกที่จะไม่พูด ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริงมันแทน มันเงยหน้ามองผม “คือว่าฉันมีเรื่องอยากจะ...” ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคเสียงโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นขัดจัหวะเสียก่อน มันขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกร้าน ไม่นานมันก็กลับมาบอกว่ามีธุระด่วนแล้วมันก็ขอตัวกลับก่อน พร้อมขอโทษขอโพยผมใหญ่ที่ชวนออกมาแล้วมันดันต้องกลับก่อน เอาไงดีล่ะทีนี้ ธุระอะไรมันก็ไม่บอกด้วย แว๊นมอไซด์กลับคอนโดก่อนแล้วกัน
ผมมาถึงคอนโดก็เห็นว่าไอ้โน่ยังไม่ได้กลับมา สงสัยจะเลยไปธุระเลยไม่เข้าคอนโด สรุปวันนี้ก็ไม่ได้บอกความจริงมัน ผมค่อยๆบรรจงลบเครื่องสำอางอย่างสบายใจ ไอ้โน่คงไม่กลับมาเร็วๆนี้แน่ อ้าวพูดถึงก็โทรมาพอดีเลย
“ฮัลโหล” ผมกรอกสายไปตามปกติ
/มึงอยู่ไหน/
“อยู่ทองหล่อ” ผมตอบอย่างสบายๆ เอาไหล่ขวาหนีบโทรศัพท์ไว้ส่วนมือสองข้างช่วยกันถอดกิ๊ฟดำที่ติดวิกผมเข้ากับศีรษะ
/มึงมั่นใจไหมว่ามึงไม่ได้โกหก/ พอมันถามแบบนี้ผมก็เริ่มระแวงขึ้นมา แต่ยังตีเนียน เดี๋ยวมันจะจับพิรุธได้
“ก็..มั่นใจดิ”
/กูให้โอกาสมึงอีกรอบ/ มันกดเสียงต่ำ น้ำเสียงมันฟังดูจริงจังมาก หรือว่ามันไปหาผมที่นั่นไม่เจอ
“ก็อยู่ทองหล่อเนี่ย”
“มึงอยู่ทองหล่อแล้วที่กูเห็นนี่ใคร” คราวนี้เสียงไม่ได้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ผมตกใจตัวชาวาบ ค่อยๆหันหลังไปเจอไอ้โน่ยืนถือโทรศัพท์ที่คุยกับผมอยู่ ไม่รู้ว่ามันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่รู้คือผมไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยสักนิด ใบหน้านิ่งกับน้ำเสียงกดต่ำแบบนี้ดูก็รู้ว่ามันกำลังโกรธ “อ๋อกูลืมไป ไอ้กันมันอยู่ทองหล่อ แต่ที่อยู่ในห้องมันคือ...กันนี่” มันแค่นหัวเราะ “นี่ถ้ากูไม่กลับมาเอาของที่คอนโดกูคงโง่ให้มึงหลอกไปอีกนานสินะ สนุกมากไหมกัน มึงสนุกมากไหม”
“มะ..มึง..ฟังกู..ก่อนนะ” ผมแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ ไม่คิดว่ามันจะเข้ามาเห็นผมในสภาพนี้
“มึงจะโกหกอะไรกูอีกล่ะ” ไม่ชอบเลย สายตาผิดหวังจากมัน
“กูขอโทษ คือกู...ไม่ได้ตั้งใจหลอกมึงนะ แต่ก็..เออนั่นแหละ กูผิดเองที่ไม่กล้าบอกมึง กูขอโทษ ขอโทษ...” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตามัน ผมไม่อยากเห็นสายตาผิดหวังของมันที่มองมาที่ผม ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้
“มึงรู้ไหม...มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้ามาเป็นอาทิตย์ กูต้องนั่งถามตัวเองทุกวันว่ากูปกติดีใช่ไหมที่รักคนสองคนไปพร้อมกันได้ ทั้งที่ความจริงสองคนนั้นแม่งคือคนๆเดียวกัน”
“ที่มึงถามกูเมื่อเย็น คือมึงหมายถึง...กู...หรอ” ผมเริ่มรู้สึกถึงแรงเต้นน้อยๆที่อกข้างซ้ายของตัวเอง ไอ้โน่มันจ้องหน้าผมนิ่ง
“กูรักมึง” ประโยคสั้นๆแต่ให้คำตอบได้ทุกอย่าง ตอนนี้ในหัวผมมันตื้อไปหมด เพิ่งเข้าใจความรู้สึกที่ว่าโลกหยุดหมุนก็วันนี้เอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้บ้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากมันทาบทับลงบนริมฝีปากผมแล้ว เราจูบกันเนิ่นนานจนผมเริ่มจะหมดอากาศหายใจ ผมทุบอกมันเบาๆเพื่อประท้วงก่อนที่มันจะถอนปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“มึงไม่โกรธกูแล้วหรอ”
“โกรธ” ผมมองหน้ามันด้วยความไม่เข้าใจ “แต่หายแล้ว” มันส่งยิ้มหวานอย่างเคยมาให้ ผมขืนตัวออกจากมันเล็กน้อย
“กูไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า” ผมกำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำแต่ก็โดนคว้าเข้าที่ข้อมือ ร่างผมเซเข้าหาคนที่คว้าข้อมือโดยอัตโนมัติ อกของผมชิดอกได้โน่ ใบหน้าห่างกันเพียงลมหายใจกั้น
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ใส่แบบนี้มึงก็น่ารักดีนะ” ไอ้โน่ก้มมองสำรวจชุดเดรสผู้หญิงที่ผมใส่
“น่ารักเชี่ยไร” มันหัวเราะน้อยๆ ผมขืนตัวจะออกจากมันแต่มันก็รัดเอวไว้แน่น
“โคตรรักมึงเลยว่ะ” ผมหยุดดิ้นทันที ไม่รู้ว่าทำไมประโยคบอกรักของมันถึงได้มีอานุภาพกับผมนาดนี้ คำบอกรักของมันทำให้ผมสติหลุดลอยไปอีกแล้ว ผมไม่รับรู้อะไรอีกทั้งนั้น รู้ตัวอีกทีหลังก็สัมผัสเตียงนุ่มแล้ว หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็คงปล่อยให้เป็นไปตามหัวใจแล้วกัน
THE END
_________________________________________________________________________________________________________
เป็นฟิคที่กากที่สุดในโลก 5555555
แต่งเองยังรู้สึกว่ามันแปลกๆเลย
ฝากฟิคกากๆไว้ด้วยนะคะ
หายไปนานมากกกกกกก ลืมกันหมดแล้วมั้ง 55555
สุดท้ายนี้ฝากฟิคอื่นๆในโปรเจก 7 wonders ด้วยนะคะ (มีอีกหลายเรื่องถ้าอัพแล้วจะทยอยเอาลิงค์มาลงให้นะคะ)
ขอโทษครับที่รักพี่เป็นยากูซ่า โดย สุดที่รัก. http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1368005&chapter=1
7 Wonders Project : ครอบครัวตัวก้อน โดย PAKINAPAT http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1344588&chapter=3
7 Wonders Project : Wonder Girls(?) โดย แฟนของกัน http://writer.dek-d.com/mira-nightingale/story/viewlongc.php?id=1328881&chapter=15
7 Wonders Project : Threesome โดย NoGunRitz368 http://writer.dek-d.com/starrynight-ts/story/view.php?id=1341958
ความคิดเห็น