คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : แต่ปางก่อน ๓
เช้าวันจันทร์วันแรกของการฝึกงานของนภัทรและริท ตึกสูงตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ริทพานภัทรเข้ามาที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของภาคินผู้เป็นอา ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดที่เป็นที่ทำงานของภาคินเพื่อรายงานตัวสำหรับการฝึกงานวันแรก ริทเดินนำนภัทรเข้ามาหาพี่เลขาหน้าห้อง ยื่นเอกสารที่ทางมหาวิทยาลัยได้ทำเรื่องส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนพี่เลขาจะโทรศัพท์บอกภาคิน
“เชิญเลยค่ะ” พี่เลขาผายมือไปทางประตูห้องทำงานของภาคิน ริทกับนภัทรผงกศีรษะขอบคุณพี่เลขาก่อนจะมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ริทจัดการเคาะประตู ได้ยินเสียงคนข้างในพูดว่าให้เข้ามาได้ ริทจึงเปิดประตูเข้าไปก่อนนภัทรจะเดินตามเข้ามา
“เชิญนั่งก่อนสิ” ภาคินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานวางปากกาลง เอ่ยบอกให้เด็กทั้งสองนั่งลงตรงหน้าโต๊ะของเขาที่เลขาได้จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ให้แล้ว โดยไม่ทันได้เห็นหน้าคนที่เดินตามหลังริทเข้ามาชัดๆ
ริทและนภัทรนั่งลงตามที่ภาคินบอก แม้ริทจะเป็นหลานแท้ๆของภาคินแต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแบบแผน ไม่มีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ทั้งสองคนยกมือไหว้ภาคินก่อนที่เขาจะรับไหว้อย่างไม่ได้มองหน้าทั้งสองคนตรงๆ นภัทรเองก็ไม่ได้มองหน้าภาคินเพราะความรู้สึกเกร็งๆกับการพูดคุยกับผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย
“ผมภาคิน เป็นประธานบริษัทของที่นี่” นภัทรชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อภาคิน เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามพลันสายตาประสานกับอีกฝ่ายที่มองเขาอย่างเต็มตาครั้งแรกพอดี ทั้งคู่เบิกตาโพลงอย่างตกใจ ภาคินช่างเหมือนกับผู้ชายคนรักของนาราภัทรในฝันของเขา นภัทรรู้ทันทีว่าคนที่เขาตามหามานานคือคนตรงหน้านี่เอง ภาคินเองก็มองนภัทรไม่วางตา เหมือน ทำไมถึงเหมือนกันได้ขนาดนี้ “ภัทร” ภาคินเผลอเรียกชื่อคนรัก แม้ว่าจะอยู่ในร่างของผู้ชาย แต่เขายังจดจำใบหน้าหวานนั้นที่ยังตราตรึงอยู่ในใจเขาตลอดมาได้อย่างไม่ลืมเลือน
“ผมชื่อนภัทรครับ” นภัทรแนะนำตัวเมื่อได้ยินภาคินเรียกเขาว่าภัทร ยิ่งทำให้เขามั่นใจไปอีกว่าตัวเขากับนาราภัทรคือคนๆเดียวกันและภาคินคนนี้เป็นภาคินคนเดียวกับในฝัน คนที่เขาเฝ้ารอคอยมานาน ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะอะไรเขาก็ยังตอบไม่ได้
“ผมขอโทษ” ภาคินที่ตั้งสติได้เอ่ยขอโทษก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “วันนี้ฝึกงานวันแรกนะ ทางบริษัทของเรามีเงินเดือนให้ด้วย เดี๋ยวจะมีหัวหน้าพนักงานมาพาไปแนะนำและอธิบายงานให้มีอะไรก็ถามเขาได้ มีคำถามอะไรไหม” ภาคินมองเด็กฝึกงานทั้งสอง เมื่อเห็นว่าไม่มีคำถามอะไร เขาก็เรียกหัวหน้าพนักงาน เข้ามาพาทั้งคู่ไปยังออฟฟิสที่ฝึกงาน
หลังจากที่พบประธานบริษัทแล้วนภัทรกับริทก็ตามหัวหน้าพนักงานคนนั้นมาที่ออฟฟิสที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับเด็กฝึกงาน โต๊ะทำงานทันสมัยถูกออกแบบมาเพื่อสถาปนิกโดยเฉพาะ นภัทรกับริทมองอย่างตื่นเต้น และเริ่มเรียนรู้งานวันแรก
กลางดึกคืนนั้น นภัทรนอนอยู่บนเตียงนอนสีขาวในห้องของเขา เปลือกตาสวยปิดลงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเหนื่อยอ่อน
ท้องฟ้าสีครามสดใสปราศจากกลุ่มเมฆ ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ตามลำต้นใหญ่เหล่านั้นมีไม้ประดับต้นเล็กเช่นกล้วยไม้ประดับอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกสายหยุดในเวลาเช้าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ นาราภัทรนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลาไม้สีขาวที่สวนหลังบ้าน
“ภัทร มาอยู่นี่เองพี่ตามหาตั้งนาน” รินรดาเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆน้องสาวตนเอง
“ภัทรเห็นบรรยากาศมันร่มรื่นดีก็เลยเอาหนังสือมานั่งอ่านน่ะค่ะ พี่รินมีอะไรหรือเปล่าคะ” นาราภัทรวางหนังสือในมือลงกับโต๊ะ มองพี่สาวอย่างตั้งใจรอฟัง
“เมื่อกี้คินโทรมา บอกว่าวันนี้ตอน 6 โมงเย็นให้ภัทรไปหา คินมีเรื่องจะคุยด้วย” รินรดาบอกน้องสาวยิ้มๆ
“คุยเรื่องอะไรหรอคะ” นาราภัทรมองพี่สาวอย่างสงสัย
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คินไม่ได้บอก” รินรดาตอบเรียบๆแต่ในใจแอบยิ้มเพราะรู้ดีว่าภาคินจะขอคุยกับน้องสาวตนเรื่องอะไร
“งั้นเดี๋ยวสัก 5 โมงครึ่งค่อยออกก็ได้ค่ะ บ้านพี่คินไม่ได้ไกลมาก ภัทรขออ่านหนังสือก่อน” หญิงสาวหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดอ่านต่อ รินรดาแตะที่ข้อมือเล็กของน้องสาวเบาๆเชิงเรียก นาราภัทรเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวอย่างสงสัย
“คินไม่ได้บอกให้ไปที่บ้าน แต่บอกให้ไปที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา” รินรดาไขข้อสงสัยให้ นาราภัทรพยักหน้าเข้าใจ “เดี๋ยวพี่พาไปพี่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน 5 โมงพี่จะมารับนะ วันนี้พี่จะเข้าไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยก่อน” นาราภัทรส่งยิ้มให้พี่สาว รินรดายีศีรษะน้องเล่นอย่างเอ็นดูก่อนจะขอตัวออกไปทำธุระตามที่บอกไว้
ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ท้องฟ้าที่เคยสดใสบัดนี้มืดครึ้มด้วยเมฆสีเทา เสียงฟ้าร้องครืนๆสลับกับแสงฟ้าแลบแปล๊บๆ รินรดาพานาราภัทรมาที่ๆภาคินได้บอกเอาไว้ อดแปลกใจไม่ได้เมื่อยังไม่เห็นวี่แววของคนนัด
“พี่คินอยู่ไหนหรอคะ” นาราภัทรถามหาคนที่นัดตนเองกับพี่สาว
“นั่นน่ะสิ อยู่ไหนของเขา ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก” รินรดาบ่นพลางชะเง้อมองหาเพื่อน
ปั่ก! เสียงของแข็งตีเข้าที่ท้ายทอยของรินรดาอย่างแรง หญิงสาวล้มลงหมดสติ นาราภัทรที่อยู่ในอาการตกใจยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชายฉกรรจ์สองคนโพกผ้าปิดบังใบหน้าทิ้งท่อนไม้ที่ใช้ตีรินรดาเมื่อครู่ย่างสามขุมเข้ามาหาหญิงสาว นาราภัทรที่พอจะตั้งสติได้รีบหันหลังเตรียมจะวิ่งแต่ข้อมือเล็กถูกคว้าไว้ได้ทัน แรงกระชากทำให้หญิงสาวตัวปลิวเข้าหาชายฉกรรจ์คนนั้น
“ไม่ต้องหนีหรอกสาวน้อย หนียังไงก็ไม่รอดหรอก” ชายฉกรรจ์อีกคนพูดขึ้น
“ปล่อยนะ! จะทำอะไร!” หญิงสาวพยายามด้ินให้หลุดพ้นจากพันธนาการของชายฉกรรจ์แต่ก็ไม่อาจสู้แรงจากทั้งสองได้
ฝนเม็ดเล็กเริ่มตกปรอยปราย บริเวณที่เงียบอยู่แล้งยิ่งร้างผู้คนเข้าไปอีก หญิงสาวถูกเชือกไนลอนมัดข้อมือไพ่หลังรวมถึงข้อเท้าไว้โดยชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ขาเรียวสองถูกมัดถ่วงด้วยแท่งปูน แม้ว่าหญิงสาวจะดิ้นรนก็เหมือนจะออกแรงเปล่าในเมื่อแรงที่มีอยู่น้อยนิดไม่สามารถสู้แรงชายฉกรรจ์ทั้งสองคนได้เลย ไม่ว่าเธอจะตะโกนร้องขอให้ใครช่วยเท่าไหร่ก็ไม่มีใครได้ยิน
หยดน้ำใสๆไหลลงบนแก้มเนียนด้วยความกลัว วิงวอนขอชีวิตทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นไปไม่ได้ ร่างไร้สติของรินรดาถูกลากไปไว้ที่หนึ่งซึ่งลับสายตาของนาราภัทร หญิงสาวพยายามตะโกนเรียกตามหลังพี่สาวที่ถูกลากออกไปเหมือนเป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ แต่ก็ไร้วี่แววการตอบรับอีกเช่นเคย
ฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาหนักขึ้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวถูกกลืนไปกับเสียงฟ้าเสียงฝน ชายฉกรรจ์คนที่จับตัวเธอไว้พูดขึ้นกับเพื่อนของมันอีกคนที่เดินกลับมา
“เฮ้ยมึงเร็วๆหน่อยดิ! เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้าหรอก คุณภาคินกำชับหนักหนาว่าอย่าให้พลาด” หญิงสาวชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อภาคิน รีบเถียงออกไป
“ไม่จริง! พี่คินไม่มีทางทำแบบนี้!” ชายฉกรรจ์อีกคนที่เพิ่งมาถึงเข้ามาบีบคางหญิงสาว
“เงียบเถอะน่า! โดนหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” หญิงสาวนิ่งคิดไปชั่วครู่ ภาคินนัดเธอออกมาที่นี่ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แล้วชายสองคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเธอมาที่นี่ เรื่องที่เธอมาวันนี้มีเพียงแค่เธอ รินรดา และภาคินเท่านั้นที่รู้เรื่อง เธอไม่ได้บอกใคร รินรดาก็ไม่ได้บอกใคร ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่...
“พี่คิน...” หญิงสาวอุทานแผ่วเบา น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเจ็บปวด เสียใจที่คนรักหักหลัง ถ้าไม่รักกันแล้วทำไมถึงไม่บอกกันดีๆ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้...
สติที่เลื่อนลอยทำให้หญิงสาวไม่อาจรับรู้อะไรอีก รู้สึกตัวอีกทีเธอก็ถูกโยนลงมาในแม่น้ำแล้ว ร่างบอบบางค่อยๆจมลงสู่ท้องน้ำตามแรงถ่วงของแท่งปูน ก่อนสติจะดับวูบไป
ความรู้สึกหายใจไม่ออกคล้ายกำลังจมน้ำปลุกนภัทรให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา เนื้อตัวเปียกปอนเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ ความฝันที่หยุดฝันไปแล้วตั้งแต่ที่ทำบุญวันนั้น แต่วันนี้เมื่อเขาได้พบภาคิน ทำให้ความแค้นในใจถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้ม ความรู้สึกเหมือนเข้าไปเป็นนาราภัทรจริงๆตอกย้ำว่าเขากับนาราภัทรคือคนๆเดียวกัน ก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้น
“คุณเองสินะที่ฆ่าผม คุณภาคิน” นภัทรกำมือแน่น บอกกับตัวเองว่าเขาจะต้องล้างแค้นให้นาราภัทรให้ได้ โดยไม่รู้ว่าเขากำลังเข้าใจภาคินผิด แต่เพราะความรู้สึกที่ฝังใจแบบนั้นมาตั้งแต่อดีตชาติทำให้เขาเชื่ออย่างนั้น
เย็นหลังเลิกงานของวันที่สองของการฝึกงาน พนักงานทุกคนกำลังเก็บของเพื่อกลับบ้านไปพักผ่อน ริทกับนภัทรก็เช่นกัน นภัทรเหลือบมองริทครู่หนึ่งก่อนจะนึกอะไรได้
“ริท” คนที่ถูกเรียกชื่อหันมาตามเสียง “เย็นนี้กันขอไปบ้านริทได้ไหม” คำถามที่ดูแปลกๆทำให้ริทอดสงสัยไม่ได้
“แต่มันเย็นมากแล้วนะกัน ถ้ากันไปกว่าจะกลับก็คงมืด ไว้ไปวันหลังดีไหมกัน” ริทอธิบายเหตุผลให้เพื่อนฟัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เพื่อนไปที่บ้านแต่เขาเป็นห่วงว่าขากลับเพื่อนจะกลับอย่างไร
“แต่กันอยากไปวันนี้นี่ริท ไม่เป็นไรหรอกขากลับกันกลับเองได้ กันจะได้ไปเจอพ่อริทด้วยไง คลาดกันมาหลายทีแล้ว” นภัทรพยายามพูดโน้มน้าวเพื่อน แต่เหตุผลที่แท้จริงคือเขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างที่ค้างคาใจ
“แต่ริทว่า...” ริทกำลังจะปฏิเสธ แต่ถูกภาคินขัดขึ้นเสียก่อน
“ให้เพื่อนไปเถอะริท อาก็อยากรู้จักเพื่อนเราให้มากขึ้นด้วย” ภาคินเดินเข้ามา สายตาจ้องไปที่นภัทรอย่างมีความหมาย
ที่บ้านของภาคิน
ภาคินเดินนำนภัทรและริทเข้ามาในบ้าน ความจริงแล้วเขาเพียงแค่อยากพิสูจน์ว่านภัทรคือคนเดียวกันกับนาราภัทรหรือไม่ ทีแรกเขาก็ไม่ติดใจอะไร คิดเพียงว่าแค่คนบังเอิญหน้าคล้ายกัน แต่ในแววตาของเด็กคนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างยามที่มองเขา และเขาคงไม่ได้คิดไปเอง ถ้าหากนภัทรคือคนเดียวกับนาราภัทรจริง เขาก็อยากจะรู้ว่านภัทรขอริทมาที่บ้านเขาเพื่ออะไร
ทั้งสามเดินเข้ามาในบ้าน สนนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ยิ้มให้น้องชายกับลูกชายที่พาเพื่อนมาด้วยอีกคน นภัทรเดินตามหลังริทเข้ามา สนจึงไม่ทันเห็นหน้าชัดๆ ริทยกมือไหว้พ่อก่อนจะส่งยิ้มสดใสให้
“ไหนล่ะเพื่อนที่บอกจะพามา” สนถามลูกชายก่อนที่ริทจะดึงเพื่อนให้มายืนข้างๆเขา สนเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเพื่อนของริท นภัทรมองสนอย่างจำได้แต่ทำเป็นเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก เขายกมือไหว้ก่อนที่สนจะรับไหว้อย่างอึ้งๆ เขาหันไปมองหน้าภาคินอย่างต้องการคำอธิบาย
“ไปทานข้าวกันเถอะ นภัทร ผมให้แม่บ้านเตรียมข้าวไว้เผื่อแล้ว ทานข้าวด้วยกันนะ” ภาคินไม่ตอบสน แต่เอ่ยชวนนภัทรให้อยู่ทานข้าวด้วยกัน
“ครับ” นภัทรรับคำสั้นๆก่อนจะเดินตามทุกคนไปที่โต๊ะอาหาร
อาหารหลากหลายอย่างวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะทานข้าวตัวยาว มีสนนั่งหัวโต๊ะ ถัดมาเป็นภาคินที่นั่งตรงข้ามกับริท และนภัทรก็นั่งข้างๆถัดมาจากริทอีกที ทั้งหมดทานอาหารร่วมกันก่อนที่ริทจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้สนกับภาคินฟังอย่างเป็นทางการ
“นี่กันฮะ เป็นเพื่อนของริทที่ริทเล่าให้ฟัง” นภัทรยิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเหมือนไม่เคยรู้จักมาก่อน “ส่วนกัน นี่พ่อของริท แล้วก็นี่อาคิน เป็นอาของริท” ริทแนะนำครอบครัวของเขาให้นภัทรรู้จัก
“กันชื่อจริงชื่อนภัทรหรอ” สนเอ่ยถามขึ้นเพราะได้ยินภาคินเรียกอย่างนั้น
“ครับ” นภัทรตอบรับสั้นๆ สายตาแอบเหลือบมองภาคินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ภาคินที่รู้ตัวว่าถูกนภัทรแอบมองอยู่แกล้งตักอาหารเข้าปากอย่างปกติเหมือนไม่รู้ตัว ในขณะที่ริทพยายามชวนคนนู้นคนนี้คุยทีอย่างสนุกสนาน
“คิน พี่มีเรื่องจะคุยด้วย เดี๋ยวขึ้นไปหาพี่ที่ห้องด้วยนะ” สนหันไปบอกน้องชาย ภาคินพยักหน้ารับอย่างรู้ดีว่าสนหมายถึงเรื่องอะไร สนหันมายิ้มให้นภัทรก่อนจะเดินขึ้นชั้น2ของตัวบ้านไป
“ริทอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวอาขึ้นไปหาพ่อเราก่อน” ภาคินลุกขึ้นตบบ่าหลายชายทีหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดตามสนไป ไม่วายเหลือบมองนภัทรที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้วจนคนที่โดนจับได้ว่าแอบมองต้องเสตาหลบ ริทที่ดูจะงงๆกับท่าทีของผู้ใหญ่ทั้งสอง หันมามองหน้าเพื่อน แล้วส่งยิ้มแหยๆให้
ภายในห้องนอนของสน ชายหนุ่มยืนกอดอกครุ่นคิดอยู่อย่างรอคอยใครบางคน ไม่นานภาคินก็เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับน้องชายตรงๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่ต้องการคำอธิบาย” ภาคินที่รู้อยู่แล้วว่าคนตรางหน้าหมายถึงเรื่องอะไร เขาถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะตอบออกไป
“ก็อย่างที่พี่เห็น เขาบอกเขาชื่อนภัทร เป็นเพื่อนของริท ผมก็เช็กประวัติส่วนตัวที่ทางมหาวิทยาลัยส่งมาแล้ว เขาก็อายุเท่าริทจริงๆ” ภาคินอธิบายไปตามที่ตนเองทราบ
“แต่พี่ว่าเด็กคนนี้แปลกๆ เหมือนเขามีอะไรในใจยังไงไม่รู้ แล้วคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันจะบังเอิญหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนั้นเลยหรอ” สนถามภาคินอย่างไม่ปักใจเชื่อนัก
“ผมก็คิดเหมือนกันกับพี่นั่นแหละถึงได้ให้เขามาวันนี้” ภาคินตอบอย่างมีแผนการอยู่แล้ว สนมองหน้าน้องชายอย่างไม่เข้าใจ
ห้องนั่งเล่นสีขาวสไตล์โมเดิร์น นภัทรและริทนั่งคุยกันตามประสาเพื่อนสนิท ถามไถ่ถึงเรื่องงานบ้างสลับกับเรื่องส่วนตัว สนที่เดินลงบันไดมาเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ
“ริทมาช่วยพ่อแปลเอกสารหน่อยสิงานเร่งด่วนด้วยกำหนดส่งพรุ่งนี้เช้าแล้ว” ริทกับนภัทรชะงักบทสนทนาก่อนที่ริทจะมองพ่อตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหัวบันไดอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อก็แปลได้หนิฮะ ทำไมต้องให้ริทแปลด้วย” ใบหน้ากลมฉายแววสงสัย
“ก็มันเยอะมากเลยน่ะสิ พ่อแปลคนเดียวไม่ทันส่งหรอก” ริทพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อน
“แล้วกันจะอยู่กับใครละฮะ” ริทถามขึ้นอย่างนึกห่วงเพื่อน
“เดี๋ยวให้อาคินมาอยู่ด้วย เร็วๆ จะได้รีบทำ” สนเร่งลูกชายตัวเอง ริทหันมาโบกมือให้นภัทรประมาณว่าไปก่อนนะ นภัทรส่งยิ้มให้ ก่อนที่ริทจะวิ่งขึ้นบันไดไปเมื่อได้ยินเสียงพ่อตนเองตะโกนเร่งเร้าให้เขารีบขึ้นไป
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ นภัทรมองไปรอบๆห้องที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเหมือนครั้งที่นาราภัทรมาที่นี่ เขาพินิจมองสิ่งรอบตัวอย่างพิจารณา ภาพนาราภัทรกับภาคินนั่งคุยกันอย่างมีความสุขที่ห้องนี้ในอดีตฉายขึ้นในหัว นภัทรพยายามกระพริบตาถี่ๆสะบัดหัวไล่ภาพเหล่านั้นออกไป ภาคินที่ลอบมองอยู่นานแล้วเดินเข้ามา
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขานั่งลงข้างๆนภัทร เอ่ยถามขึ้นอย่างปกติ แต่สายตาเต็มไปด้วยการจับผิด
“ผมไม่เป็นไร” นภัทรตอบเสียงแผ่วไม่กล้าสบตาคนข้างๆ ภาพในอดีตที่ฉายขึ้นค่อยๆเลือนหายไป ใบหน้าหวานซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“แต่หน้าคุณดูซีดๆนะ ไหวหรือเปล่า” ภาคินมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั้นซีดลงจริงๆ ความเป็นห่วงก่อตัวขึ้นในใจอย่างไม่รู้ตัว เผลอเอามือไปอังหน้าผากนภัทรด้วยลืมตัวคิดว่าคนๆนี้คือนาราภัทร
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง!” นภัทรเผลอตัวขึ้นเสียงกับภาคิน ปัดมือที่อังหน้าผากตนเองออก ภาคินมีสีหน้าอึ้งเล็กน้อยและเพิ่งนึกขี้นได้ว่าคนตรงหน้าเขาคือนภัทรไม่ใช่นาราภัทร แม้ว่าเขาจะไม่ได้เชื่ออย่างนั้นก็ตาม แต่ในเมื่อเขายังพิสูจน์ไม่ได้เขาก็จะไม่แสดงท่าทีใดๆทั้งสิ้น “เอ่อ..ผมขอโทษครับ” นภัทรที่เพิ่งรู้ตัวกล่าวขอโทษคนสูงอายุกว่า เตือนตัวเองในใจว่าต้องใจเย็นกว่านี้
“ไม่เป็นไร” ภาคินมองชายหนุ่มข้างๆที่มองเขาอย่างเต็มตาครั้งแรก เหมือนต้องมนตร์สะกด ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน ยิ่งเหมือนก็ยิ่งคิดถึง ภาคินเป็นฝ่ายเบือนหน้าหลบก่อน กลัวตัวเองจะเผลอแสดงท่าทีอะไรออกไปมากกว่านี้
“รู้สึกผิดหรือครับ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นภัทรโพล่งออกไปแบบนั้น ภาคินชะงักกับคำพูดนั้น เขาหันมองนภัทรอย่างแปลกใจ นภัทรที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดอะไรไปอีกแล้วรีบกลบเกลื่อน “คือ...ผมหมายถึงตัวเองน่ะครับ” ภาคินพยักหน้าแม้จะยังติดใจกับประโยคนั้น
“นี่ก็มืดแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านนะ” ภาคินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว ให้เขากลับบ้านเองก็คงไม่ดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้” นภัทรปฏิเสธด้วยกลัวว่าจะเผลอหลุดอะไรเกี่ยวกับนาราภัทรอีกหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้เขาล้าจากการทำงานเกินกว่าที่จะมีสติควบคุมตัวเองได้
“ไม่ได้หรอก ให้ผมไปส่งเถอะ” ภาคินยังยืนยันคำเดิมหนักแน่นจนนภัทรไม่กล้าปฏิเสธ
ครืด~ ครืด~ เสียงโทรศัพท์ภาคินสั่น ภาคินมองโทรศัพท์ในมือยกยิ้มขึ้นในใจ เขาขอตัวจากนภัทรไปรับโทรศัพท์ข้างนอกบ้าน
ภาคินเดินถือโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดตัดสายอย่างพอใจ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนระเบียงชั้น2 ของบ้าน เห็นสนยืนยิ้มให้เขาอยู่ ในมือมีโทรศัพท์หน้าจอปรากฏข้อความว่าถูกตัดสายจากภาคิน สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างรู้กัน ก่อนที่สนจะเดินเข้าห้องไปเมื่อได้ยินเสียงริทเรียก
ความจริงแล้วเขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างในตัวนภัทร เรื่องที่สนเรียกริทให้ขึ้นไปช่วยทำงานก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการครั้งนี้ที่จะแยกริทออกไปแล้วปล่อยให้นภัทรอยู่คนเดียว เขาอยากรู้ว่านภัทรจะทำอะไร ภาคินแกล้งยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่จริงๆ สายตาเหลือบมองนภัทรผ่านกระจกบานใสเป็นระยะ
นภัทรเห็นว่าภาคินออกไปนานแล้วและดูท่าทางจะยังคุยไม่เสร็จแน่ๆ เขามองภาคินอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจอะไรบางอย่าง
นภัทรก้าวเข้ามาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ห้องที่เขายังคาใจเมื่อคราวก่อน ห้องที่แปลกไปจากส่วนอื่นของบ้าน ห้องโทนสีครีม พื้นพรมสีน้ำเงินตัดกับฝาผนังไม้สักสีแก่ชั้นดีขนาดประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของวอลเปเปอร์สีครีม มุมห้องมีโต๊ะไม้สักกลมสีเดียวกับฝาผนังเป็นที่วางของแจกันสีขาว ดอกเยอบีราหลากหลายสีถูกปักแซมไว้ในแจกันใบนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นคนละสีกับคราวที่แล้วที่เขามา บ่งบอกว่ามีการดูแลเปลี่ยนมันอยู่เสมอ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างวางอยู่ที่เดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน กรอบรูปตั้งโต๊ะที่ตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะทำงานไม้คือเป้าหมายของเขา
เขาไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหามัน มือบางคว้าหยิบกรอบรูปใบนั้นขึ้นมาดูชัดๆ รูปถ่ายคู่ของนาราภัทรและภาคิน ภาคินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปกสีฟ้าอ่อนนุ่งทับกางเกงขายาวสีกากีกำลังยืนอยู่บนจุดชมวิวทะเลกำลังสบตากับนาราภัทรในชุดเดรสจีบเอวสีขาวลายดอกไม้สีม่วง เขาชะงักอึ้งเล็กน้อย นึกทบทวนภาพเหตุการณ์ในฝัน
นาราภัทรนั่งลงบนโต๊ะทำงานไม้ของภาคิน ก่อนจะสังเกตเห็นกรอบรูปใบหนึ่ง เธอหยิบมาดูใกล้ๆ รูปถ่ายคู่ของเธอและภาคินครั้งที่ครอบครัวของเราไปเที่ยวหัวหินด้วยกัน ภาคินอมยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินมาใกล้ๆ
“พี่ขอรูปนี้มาจากรินน่ะ” นาราภัทรเงยหน้ามองชายหนุ่มก่อนจะก้มมองพิจารณารูปนั้นอีกครั้ง ภาพภาคินในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปกสีฟ้าอ่อนนุ่งทับกางเกงขายาวสีกากีกำลังยืนอยู่บนจุดชมวิวทะเลกำลังสบตากับนาราภัทรในชุดเดรสจีบเอวสีขาวลายดอกไม้สีม่วงพอดี
“พี่รินไม่เห็นเคยเอาให้ภัทรดูเลย” หญิงสาวเงยหน้ามองภาคิน
“พี่ขอรินมาตั้งแต่ไปร้านล้างรูปด้วยกันแล้ว ภัทรเลยไม่เคยเห็นน่ะสิ” ภาคินตอบอย่างอ่อนโยน
“ใช่จริงๆด้วย” นภัทรพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขามั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันไม่ใช่การจินตนาการหรือคิดไปเองของเขาแน่ๆ เพราะเขาฝันเห็นมันก่อนที่จะได้มาเห็นของจริงเสียอีก
“ทำอะไรน่ะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่หน้าประตูทำเอานภัทรต้องรีบวางกรอบรูปนั้นลง ภาคินเดินเข้ามาทางด้านหลังของนภัทร ร่างบางหันไปเผชิญหน้าแล้วปั้นสีหน้าปกติ
“ผมแค่มาเดินเล่นน่ะครับ ขอโทษด้วยถ้าเสียมารยาท” ใบหน้าหวานก้มหน้าเก็บอาการพิรุธ
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คุณสนใจของพวกนี้หรอ” ภาคินถามอย่างสบายๆ แต่แอบลอบสังเกตอาการของคนตรงหน้า นภัทรลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามบางอย่างออกไป
“ผู้หญิงคนนั้น....” นภัทรเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก มองไปที่กรอบรูปใบนั้นอย่างต้องการสื่อถึงให้ภาคินเข้าใจ
“เหมือนคุณเลยใช่ไหมล่ะ” นภัทรพยักหน้า ไม่ใช่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ใครบ้างจะจำตัวเองไม่ได้ แต่เขาแค่อยากรู้ว่าภาคินจะพูดถึงเขาอย่างไร “เธอชื่อนาราภัทร เป็นคนรักของผม”
“โกหก” นภัทรพึมพำเบาๆอย่างลืมตัว
“อะไรนะ” ภาคินที่ไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยินถามขึ้นอย่างตกใจ นภัทรรู้ตัวว่าเผลอพูดออกไปอีกแล้ว
“ไม่มีอะไรครับ” ภาคินมองนภัทรอย่างจับพิรุธ ก่อนจะเล่าต่อ
“คุณสังเกตไหมว่าห้องนี้มันต่างจากห้องอื่น ผมยังอยากเก็บภาพความทรงจำทุกอย่างไว้ ห้องนี้มีความหมายกับผมมาก ห้องนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวระหว่างผมกับเขา เพราะแบบนี้ผมถึงไม่แต่งห้องนี้ใหม่เหมือนห้องอื่นๆ” ภาคินเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยามนึกถึงคนรัก ไม่ทันได้สังเกตนภัทรที่มองเขาอย่างไม่เชื่อด้วยสายตาแค้นๆ
“นั่นทีวีที่เรามักจะชอบดูด้วยกันเวลาที่เขามาที่นี่” ภาคินชี้ไปที่โทรทัศน์โบราณสีเงินด้านทรงสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายตู้หน้าจอแคบขนาบข้างด้วยปุ่มเยอะแยะมากมาย “โทรศัพท์เครื่องนั้นผมใช้โทรไปหาเขาทุกวัน” น้ิวชี้ใหญ่เบนทิศทางมาที่โทรศัพท์มือถือสีดำลักษณะคล้ายรีโมทโทรศัทน์ปัจจุบันแต่มีเสารับสัญญาณ “แล้วเราก็ชอบมานั่งฟังเพลงด้วยกัน” ภาคินชี้ไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงปากแตรโบราณฐานทำจากไม้มีแผ่นเสียงโบราณคล้ายซีดีขนาดใหญ่วางอยู่บนแท่นเล่น
นภัทรตั้งใจฟังสิ่งที่ภาคินเล่า อดใจอ่อนไม่ได้ที่คนๆหนึ่งจะจดจำเรื่องราวอะไรได้มากขนาดนี้แม้ว่าจะผ่านมานานหลายสิบปี แต่อีกใจหนึ่งมันย้ำว่าคนๆนี้คือคนที่ฆ่านาราภัทร ถ้อยคำที่ออกจากปากคนๆนี้ก็แค่สร้างภาพให้ตัวเองดูดีก็แค่นั้น คำพูดโกหกพวกนี้มันเคยหลอกคนจนตายมาแล้วคนหนึ่ง เขาจะไม่พลาดหลงเชื่อคำพูดพวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ทำไมคุณเล่าให้ผมฟังล่ะ” นภัทรถามขึ้นอย่างหยั่งเชิงในคำตอบ
“ไม่รู้สิ เพราะคุณหน้าเหมือนเขามั้ง” ภาคินตอบอย่างสบายๆ “ไปกันเถอะ กลับบ้านดึกเดี๋ยวที่บ้านคุณจะเป็นห่วง” พูดจบเขาก็เดินนำหน้าออกไป นภัทรต้องเดินตามมาอย่างเสียไม่ได้
บรรยากาศในรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ไม่มีบทสนทนาใดๆออกจากปากทั้งคู่ จะมีก็แต่เสียงบอกทางเป็นระยะจากร่างบาง
“เลี้ยวขวาแยกหน้าครับ” นภัทรเอ่ยบอก สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เมืองหลวงยามราตรี แสงไฟสีส้มสลัวตลอดสองข้างทางไม่ได้ทำให้เมืองกรุงแห่งนี้ดูเงียบเหงาวังเวง การจราจรที่ติดขัดเป็นบางระยะตลาดนัดข้างทางที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนบ่งบอกว่ากรุงเทพไม่เคยหลับใหล นภัทรมองทุกอย่างอย่างเคยชินโดยไม่รู้ตัวว่าภาพเหล่านั้นเป็นภาพเคยชินของนาราภัทรไม่ใช่นภัทร
ตลอดเส้นทางที่ภาคินขับรถตามที่นภัทรบอก เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว...นี่คือทางที่เขาแทบจะขับรถไปกลับทุกวันเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ทางไปบ้านของนาราภัทร...
“เลี้ยวเข้าซอยหน้าเลยครับ” นภัทรตอบอย่างเคยชิน ทั้งที่จริงบ้านของเขาอยู่คนละทางกับที่นี่ด้วยซ้ำ แต่เพราะความเคยชินในอดีตชาติทำให้เขาบอกทางภาคินให้มาที่นี่
ภาคินใจเต้นแรงระส่ำด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้ จะว่าตกใจก็อาจจะใช่ จะว่าดีใจก็ไม่เชิง หลังจากที่รินรดาเสียชีวิตเขาก็ไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย ภาคินกำลังจะเลี้ยวรถเข้าซอยตามที่นภัทรบอก
“เอ่อไม่ใช่ครับ! บ้านผมไม่ได้ไปทางนั้นครับ” เสียงหวานที่โพล่งออกมาทำให้ภาคินต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ร่างของนภัทรปลิวไปตามแรงเบรก ศีรษะเกือบกระแทกกับคอนโซลรถ โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังมา
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ภาคินถามคนข้างๆอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับ” นภัทรลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เกือบอีกแล้ว วันนี้เขาหลุดอะไรไปโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้งจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังมันไปได้นานแค่ไหน เขาตบแก้มตัวเองเบาๆเรียกสติไม่ให้เผลอหลุดอะไรออกไปมากกว่านี้
“แล้วสรุปบ้านคุณอยู่ไหนล่ะ” ภาคินถามขึ้นในขณะที่กำลังออกรถ เหมือนสิ่งที่เขากำลังสงสัยเริ่มจะคลายปมได้บ้าง แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด
“ตรงไปก่อนครับ เดี๋ยวผมบอก”
____________________________________________________________________________________________
หายไปซะนานเลย ไม่รู้ลืมเรื่องนี้กันยัง
ฝากด้วยนะคร้าบบบบ
อักษรนารา
ความคิดเห็น