ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัก(แรก) ผูกพัน

    ลำดับตอนที่ #3 : กำเริบ

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 67


    บทที่ 3

    กำเริบ…

     

    “ใช่พายหรือเปล่า…ต้องใช่ซิพี่จำได้ นี่พี่เองไง….พี่วิน พายจำพี่ไม่ได้เหรอ มองหน้าพี่ดีๆ แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่พายจะจำพี่ไม่ได้ในตอนแรก เพราะเราไม่เจอกันนานหลายปีเลย…”

    คนโดนเรียกชื่อขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำพูดของผู้ที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายคนใหม่ของที่นี่มากนัก เธอไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ และคิดว่าเรื่องนั้นก็ไม่น่าเกี่ยวกับตัวเองด้วย

    เพราะเธอไม่รู้จักเขา…

     

    “อ…เอ่อ ดิฉันคิดว่าคุณน่าจะจำคนผิดแล้วค่ะ ดิฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเลยนะคะ เอ่อ…ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

     

    “โกหก!”

     

    แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปไหนไกล จู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยตะคอกออกมาเสียงดัง ดังจนคนเป็นพนักงานตัวแข็งทื่อไปทันที

    เธอตกใจที่ได้ยินเสียงคนพูดใส่แบบนั้น เพราะมันเสียงดัง และเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบมากที่สุด เธอไม่ชอบโดนคนตวาดใส่ เธอกลัวการตะคอกมาตลอด มันก็เป็นการกลัวที่ทำให้เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยสักครั้ง เธอมักจะกลัวจนตัวสั่น

    จนบางทีมันอาจจะทำให้เธอร้องไห้ออกมาเลยก็ได้…

     

    “อ…เอ่อ ขอโทษค่ะ”

     

    เมื่อต้องประสบพบเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งเดียวที่เธอจะทำเป็นประจำก็คือ เอ่ยคำขอโทษออกไป ขอโทษในสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดในเรื่องอะไร แต่ที่เอ่ยออกไปเพราะนั้นเป็นวิธีเดียวที่เธอคิดว่าจะสามารถให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดตวาดใส่เธอได้

    ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ตอนเด็กเธอคงวิ่งหนีไปแล้ว แต่พอโตมาเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว เธอไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกแล้ว ถ้าเจอก็แค่หยุดนิ่งและฟังฝ่ายตรงข้ามให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยเอ่ยคำขอโทษออกไปอย่างเช่นเมื่อครู่

     

    “เป็นอะไรไป…ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ด้วย หรือพายจะโกรธ…โกรธที่พี่ไม่กลับมาหาอย่างใช่ไหม พี่พูดถูกไหม…ถ้าไม่ใช่ ก็บอกพี่มาซิว่าเพราะอะไร พี่จะได้รู้”

    “อ..เอ่อ..ข..ขอโทษค่ะ…แต่หนูไม่รู้จักคุณจริงๆ”

     

    เมื่อควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว เธอก็มักจะเผลอหลุดคำว่าหนูแทนตัวเองออกอย่างไม่รู้ตัว พูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ พูดเพื่อปกป้องตัวเองจากสิ่งที่กลัว แม้จะต้องพูดไปด้วยเสียงสั่นเครือก็ตามที

    และความกลัวที่แสดงออกไปนั้น กลับยิ่งทำให้คนตัวสูงรู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิม โมโหเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องทำท่าตื่นกลัวเขาได้ขนาดนั้น

    และความโมโหก็ทำให้เควินเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กทันที

     

    สิ่งที่ชายหนุ่มทำคือเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังตัวสั่นเท่าด้วยความกลัวลากเข้ามาในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว และเมื่อสามารถพาเธอมาอยู่ในห้องได้แล้ว เควินก็ลากพนักงานสาวเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกทันที

    แต่พอเขาปล่อยมือเธอก็ทำท่าจะลุกหนี

    นั้นจึงทำให้เขาเผลอผลักเธอลงไปนอนบนโซฟาอย่างไม่เป็นท่า ไม่พอชายหนุ่มยังลงไปคร่อมร่างเล็กเพื่อกักขังไม่ให้เธอวิ่งหนีไปไหนได้ก่อนที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำ

    เขาต้องการคุย…

    คุยให้รู้เรื่องว่าทำไมน้องถึงได้ทำเป็นจำเขาไม่ได้ ทำไมถึงต้องแสดงท่าทีไร้เยื่อใยกับเขา ทำไมถึงต้องทำเหมือนกลัวราวกับเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างนั้นด้วย

     

    “ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ค่อยๆ คุยกันดีกว่า อย่าทำอะไรหนูเลย หนูขอโทษ…หนูไม่ได้โกหกคุณเลยจริงๆ นะคะ อื้อ…”

    คำพูดนั้นถูกหยุดไปทันที…

    จากการกระทำบางอย่าง…

     

    การกระทำบางอย่างที่ทำเรียวปากของกันและกันถูกสัมผัสกัน และค้างอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะ เพราะความตกใจของทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้กระทำเอง และผู้ที่ถูกกระทำด้วย

    เมื่อเวลาผ่านไปสักพักบางอย่างก็เริ่มแปรเปลี่ยน จากแค่ปากแตะปากเปลี่ยนเป็นการขบเม้นริมฝีปากบนและล่างสลับไปมาอย่างอ่อนโยนจนฝ่ายถูกกระทำก็โอนอ่อนไปด้วยความรู้สึกดีจนไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

    ยิ่งได้สัมผัสชายหนุ่มก็ยิ่งอยากขยับริมฝีปากให้แรงขึ้นกว่าเดิมตามแรงอารมณ์ที่กำลังนำพาทุกสิ่ง ริมฝีปากบางของคนใต้ร่างนุ่มละมุนจนเขาไม่อาจถอดถอนได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

    และเรียวปากของทั้งสองคนก็ยังคงสัมผัสอยู่อย่างนั้น มันเนิ่นนานจนคนตัวเล็กเริ่มที่จะขาดอากาศหายใจอยู่แล้ว

     

    “อื้อ!”

     

    การขาดอากาศหายใจทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้ง หลังจากที่ได้แต่นอนนิ่งปล่อยให้เขาทำตามใจไปนานสองนาน

    แต่เสียงอื้ออึ้งและมือที่ดันหน้าอกอยู่ ไม่ได้ทำให้เควินสนใจเลยสักนิด เพราะเขายังคงตักตวงความหวานต่อไปอย่างคนหลุ่มหลงอยู่ในมนต์บางอย่างที่ไม่อาจถอดถอนได้จริงๆ

     

    เมื่อได้สัมผัสภายนอกแล้วก็อยากจะเข้าไปสัมผัส และสำรวจข้างในอีก แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะเจ้าของมันกลับเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น เหมือนรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

    แต่เพราะความอยาก…ทำให้เควินลืมสิ้นถึงความถูกผิด ความอยากลิ้มลองรสชาติในปากนุ่มละมุนนี้ว่าข้างในจะหวานแค่ไหนทำให้เขาเผลอกัดริมฝีปากของคนตัวเล็กใต้ร่างไปอย่างจัง

    แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจต้องการ จู่ๆ กลิ่นเหม็นขาวของเลือดก็ตีขึ้นจมูกของเขาอย่างจัง

     

    นั่นจึงทำให้เขาตกใจ…

    จนถอนตัวออกมาจากคนตัวเล็กทันที…

     

    “อ…เอ่อ พาย…ดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

     

    เมื่อหลุดจากชายหนุ่มได้แล้ว ร่างบางก็รีบลุกออกมาจากโซฟาทันที เพราะความกลัวและความตกใจทำให้เธอไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอนี้ได้อย่างไร

    สิ่งที่นึกได้ตอนนี้คือการหนีออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น และเมื่อเอ่ยเสร็จแล้วเธอก็หันหลังเตรียมที่จะเดินหนีออกไปทันที

     

    แต่จู่ๆ สิ่งรอบตัวก็กลับพร่ามัวขึ้นมาจนเวียนหัว ไม่นานก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองควบคุมไม่ได้อีกต่อไป

    กระทั้งจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากชายหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้นมา

     

    “พาย!”

     

    เสียงเรียกนั้นดังเพราะตกใจที่พนักงานสาวล้มลงไปนอนบนพื้นต่อหน้าต่อตาของชายหนุ่มไปอย่างจัง อาการแปลกๆ ที่เธอเป็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งตัวสั่น หายใจหอบแรง ทำให้เควินถลาเข้าไปหาร่างเล็กทันที

    “พาย…เป็นอะไรไป ทำไมตัวสั่นแบบนี้”

    “ฮึก…อย่าเข้ามาน่ะ ขอร้อง…อย่าทำอะไรหนูเลยนะคะ อย่าทำ…พายขอโทษ…อย่าทำอะไรพายเลยนะ…ได้โปรด”

    พะพายหลับตาแน่นพลางพูดออกมาเสียงสั่น หายใจแรง และคำพูดขาดห่วงนั้นทำให้เควินทำอะไรไม่ถูก เพราะตอนนี้คนตรงหน้าเขาเหมือนคนสติแตกกระเจิงจากอะไรบางอย่างอยู่

     

    “พาย…ใจเย็นๆ นะ พี่ขอโทษ…ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรพายแล้ว ไม่ต้องกลัว…พี่ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ”

    “ฮึก…หนูไม่เป็นไร อย่าทำอะไรหนูอีกเลยได้ไหม หนูกลัว…หนูขอโทษหนูกลัวแล้ว…”

     

    กล่าวโกหกออกไปว่าไม่เป็นอะไร…

    ทั้งที่กำลังมีอาการผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

    และเธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นยืนเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งพยายามพูดก็ยิ่งทำให้การหายใจของเธอติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหายใจไม่ออก มันทรมานจนเธอทนไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำไป

    เธอปวดหัวเหมือนมันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ภาพที่เคยก็มองเห็นเริ่มพร่ามัวลงเรื่อยๆ จนไม่อาจลืมตาได้อีก

     

    ใจเย็นๆ นะพาย…

    ค่อยๆ หายใจเข้าออก…

     

    เดี๋ยวมันก็จะหายแล้ว…หายอย่างเช่นทุกทีที่เคยเป็นไง…

    พะพายเลือกที่จะหลับตาลง แล้วปลอบตัวเองอย่างที่เคยทำเป็นประจำเมื่อเกิดอาการขึ้นมาอย่างนี้

     

    “แต่พายหน้าซีดมากเลยนะ ตัวก็สั่นด้วย ไหนจะหายใจแรงผิดปกติอีก จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง”

    “หนูไม่เป็นไรค่ะ…ขอตัวก่อนนะคะ”

    เมื่อพยายามควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่งเธอก็ตัดสินใจลืมตาขึ้นมาอย่างลำบาก และเอ่ยตอบชายหนุ่มที่เอาแต่ถามเธอไม่หยุด เอ่ยออกไปด้วยเสียงเบาๆ ที่เธอพยายามเอ่ยออกมาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

    ทั้งที่ตอนนี้แม้จะหายใจก็แทบจะทำไม่ได้…

     

    พะพายพยายามต่อสู้กับอาการของตัวเอง จนสามารถลุกขึ้นมายืนได้ในที่สุด แล้วก็ค่อยๆ ฝืนร่างกายก้าวเดินออกไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนเลยก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอีกครั้ง

    ซึ่งครั้งนี้ต่างจากครั้งแรก เพราะมีคนเข้ามาพยุงตัวเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง

     

    “พาย! เป็นอะไร! เจ็บตรงไหนไหม!”

     

    “ฮึก…ปวดหัว”

     

    ด้วยความตกใจทำให้เควินรีบเข้าไปประคองร่างที่กำลังอ่อนปวกเปียกขึ้นมานั่งบนโซฟาทันที นั่นจึงทำให้เขาได้เห็นสีหน้าและริมฝีปากซีดเผือดคนตัวเล็ก แล้วไหนจะผมที่ชื้นเหงื่ออีก

    “พ…พายปวดหัว…ช่วยด้วย…ช่วยพายด้วย”

    ตอนนี้น้องดูไม่มีสติอีกต่อไปแล้ว เธอเอาแต่ร้องเรียกหา และขอความช่วยเหลืออย่างคนที่กำลังทนทรมานอยู่ มือเล็กเอาแต่ควานหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาจนเขาทำอะไรไม่ถูก

    เขาตกใจและแทบจะทนมองน้องในสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ได้

     

    “ช่วย…ด้ว…”

    “พาย…พะพาย!”

    ยังไม่ทันได้ทำอะไรจู่ๆ คนตัวเล็กก็หมดสติต่อหน้าต่อตาเขาไปเลย และไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกยังไงเธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

    “พาย…อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ อย่าพึ่งเป็นอะไรเลย”

    เควินรู้สึกหายใจไม่ออก อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็รีบดึงสติตัวเองกลับมา เพื่อช่วยอุ้มน้องออกไปจากห้อง ที่คิดได้ตอนนี้คือ เขาต้องพาเธอไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามที

     

    พี่กลับมาหาเราแล้วนะ…

     

    อย่าพึ่งเป็นอะไรไปเลย...

    อยู่กับพี่ก่อนนะ…

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×