ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายอลเวง

    ลำดับตอนที่ #1 : เปิดตำนานบทใหม่ เทพนิยายอลเวง

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 60


    โดยปกติเทพนิยายส่วนใหญ่มักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดำเนินเรื่องเรื่อยมาและจบลงด้วยคำว่า แล้วพวกเค้า ก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป แต่นั่นเป็นเทพนิยายโดยทั่วไป ซึ่งเทพนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยคำว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เพราะเทพนิยายเรื่องนี้จะเริ่มต้นจาก

     

     

    ยังมีเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเพียร์  มีพระนามว่า เจ้าหญิงชาลีน่า แต่นางมักให้ใครๆเรียกนางว่า เจ้าหญิงชาช่า เจ้าหญิงน่าจะเป็นเจ้าหญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน อ่อนโยน รักสัตว์ มีเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง เหมือนเจ้าหญิงทั่วๆ ไป แต่ในความจริงถึงแม้เจ้าหญิงจะมีเสียงอันแสนไพเราะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และจะมีเสียงที่ไพเราะเมื่อเฉพาะตอนที่ต่อหน้าพระพักตร์เจ้าชายต่าง ๆ เท่านั้น นอกจากนั้นจะเป็นเสียงแบบแผด ๆ ตวาดและด่าทอนางกำนัล ถึงแม้เจ้าหญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงามเพียงใด แต่อุปนิสัยนั้นหาได้งดงามเหมือนดังหน้าตาไม่ นั่นคือ เจ้าหญิงชาช่านั้น เป็นเจ้าหญิงที่ขี้เกียจ ชอบดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ใจร้อน อารมณ์เสียง่าย  สรุปง่ายๆก็คือ นิสัยไม่ดีนั่นเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะแน่นอนเจ้าหญิงชาช่าเป็นถึงพระธิดาขององค์กษัตริย์ ใครจะทำอะไรองค์ได้ และในวันนี้ก็จะมีงานเลี้ยงรื่นเริงส่วนพระองค์ ในช่วงค่ำ

     

    นางกำนัลนางหนึ่งเดินเข้าไปปลุกเจ้าหญิง เนื่องจากเจ้าหญิงทรงกำชับไว้ว่า ต้องปลุกพระองค์ก่อนที่จะต้องเสด็จไปงานถึงงาน 5-6 ชั่งโมง เพราะเจ้าหญิงจะต้องขัดผิว พอกหน้า แต่งหน้า ทำผม เข้าสปา ทำเล็บ แล้วก็อีกจิปาถะแบบสารพัด และแน่นอนเจ้าหญิงถึงเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ดำเนินเข้าไปในงานสายเสมอ เพื่อให้ตกเป็นเป้าสายพระเนตรของเจ้าชาย และผู้ที่เข้ามาร่วมงาน และแน่นอน นางกำนัลผู้น่าสงสารได้แต่โอดครวญอยู่ในใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเธอ โชคไม่ดีเสียเลย ถ้านางกำนัลปลุกเจ้าหญิงขึ้นมา เจ้าหญิงจะต้องอาละวาด ฟาดหัวฟาดหางใส่เธอเป็นแน่ 

     

    "เจ้าหญิง เจ้าหญิงชาช่าทรงตื่นบรรทมเถอะเพคะ บ่ายโมงแล้วนะเพคะ พระองค์จะทรงไปงานเลี้ยงเต้นรำไม่ใช่หรือเพคะ"

     

    "เจ้าไปให้พ้นๆหน้าเรา วุ่นวายกับเราจริงๆ เราจะนอน ไม่ต้องมายุ่ง ไปให้พ้น ออกไปสิ" นางกำนัลไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ได้แต่หันรีหันขวาง แล้วจึงตัดสินใจลองเรียกดูอีกครั้ง ถ้าไม่ตื่น เธอจะไม่เรียกอีกแล้ว

     

    "เจ้าหญิงเพคะ สาย เอ้ย บ่ายแล้วเพคะ ถ้าเจ้าหญิงไม่ทรงลุกจากบรรทมพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปงานเลี้ยงคืนนี้ไม่ทันนะเพคะ"

     

    "เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องเลยหรือไงนะ เราอยากนอน อยากนอนน่ะ เจ้าเข้าใจไหม"

     

    "พะ เพคะ"

     

    และเวลาก็ผ่านพ้นไปจวบจนถึงช่วงหัวค่ำ


    "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด..."

     

    "เกิดอะไรขึ้นน่ะ/เพคะ" เสียงร้องถาม 2 เสียงประสานกันอย่างตกใจของนางกำนัลและท่านราชองครักษ์

     

    "นี่มันกี่โมงแล้ว เราบอกแล้วใช่ไหมว่าวันนี้เราจะต้องไปงานเลี้ยงของเราแล้วนี่เราจะไปงานเลี้ยงทันได้ยังไง" ท้ายเสียงตวัดอย่างไม่พอใจ

     

    "เอ่อ เพคะ  แต่..."

     

    "ไม่ต้องมาต่งมาแต่ นี่เจ้ากล้ามีปัญหากับเราหรอ"

     

    "มิได้เพคะ เพียงแต่จะชี้แจงให้พระองค์ทรงทราบว่า หม่อมฉันได้เข้ามาปลุกพระองค์แล้วแต่..."

     

    "พอได้แล้ว ไม่ต้องมาแก้ตัว แล้วไปตามช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ทุกคนมาหาเราเดี๋ยวนี้"

     

    "เพคะ" นางกำนัลรับคำแล้วจึงรีบลนลานออกจากห้องบรรทมไปเพราะเกรงจะโดนลงโทษ

     

     

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหญิงก็ทรงเสด็จไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องเพื่อเข้าไปหากระจกวิเศษเพียงเพื่อจะถามคำถามที่ตนเองเฝ้าถามซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า

     

     

    "กระจกวิเศษ บอกเราเถิดใครงามเลิศ ในจักรวาล"

     

    "ในจักรวาลนี้ เมื่อก่อนนั้นเจ้าหญิงชาช่า ย่อมต้องเป็นท่าน ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดหาใครเปรียบมิได้ แต่บัดนี้ ผู้ที่งามเลิศที่สุดคือ ราพันปี"

     

    "เจ้าว่าไงนะ มะ มะ มะ ไม่จริง ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด... เราไม่เชื่อ เจ้าโกหก นังนั่งอยู่ที่ๆไหน เราจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง"

     

    "อย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าหญิง นางเป็นเจ้าหญิงผมยาว ที่ถูกขังอยู่ในหอคอยสูง โดยมีเมดูซ่าคอยเฝ้า ไม่ให้นางหนี"

     

    "นั่นแหละ หอคอยที่ว่านั่นมันอยู่ที่ไหน"

     

    "ใจเย็นก่อนเจ้าหญิง ท่านต้องไปงานเลี้ยงมิใช่หรือ ข้าว่า ท่านไปงานเลี้ยงนั่นก่อน จะดีกว่านะ แล้วกลับมา ท่านค่อยมาถามเรา เราตอบท่านแน่ ท่านอย่ากังวล" กระจกวิเศษตัดบทด้วยความรำคาญ

     

    "ตกลง เราจะไปงานเลี้ยงก่อน แต่ท่านต้องต้องบอกเรา เข้าใจใช่ไหม"

     

    "ข้าไม่โกหกท่านหรอก เจ้าหญิงน้อย"


     

    จากนั้นเจ้าหญิงก็ไปยังงานเต้นรำ แน่นอน พระองค์ทรงถึงงานเป็นองค์สุดท้าย จึงทำให้ทุกคนมองเจ้าหญิงเป็นตาเดียว มีทั้งสายตาชื่นชมจากชสยหนุ่มที่มาร่วมงาน และสายตาที่มองมามีแต่ความไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจ ว่าทำไมเจ้าของงานแท้ ๆ ถึงได้เสด็จมาเอาป่านนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใด กล้าที่จะต่อว่าพระองค์

     

    และเมื่องานเลี้ยงเต้นรำเริ่มต้นขึ้น ชายหนุ่มและเจ้าชายทั้งหลายต่างพากันเข้ามาขอเจ้าหญิงชาช่าเต้นรำ แต่เจ้าหญิงก็ปฏิเสธ ไปจนหมด แต่เมื่อเจ้าชายที่พระองค์ทรงหมายตาไว้ไม่ข้ามาขอพระองค์เต้นรำ แต่กลับเดินผ่านพระองค์ไปขอ หนูน้อยหมวกแดงเต้นรำ แทนที่จะเป็นพระองค์ เจ้าหญิงชาช่าจึงโกรธมาก จากนั้นเมื่อได้จังหวะเหมาะก็ค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้ๆหนูน้อยหมวกแดง แล้วกระชากผ้าคลุมออก ทันใดนั้นก็มีเสียงฮือฮาทันที เพราะภายใต้หมวกสีแดงใบนั้น ใบหน้าของมันคือ หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ต่างหาก แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ความจริงแล้วจิตใจที่แท้จริงของหมาป่านั้น อยากเล่นเป็นตัวเอกที่ดีบ้าง ไม่ใช่เป็นตัวร้ายอย่างที่ทุกๆคนรู้กัน เพียงแต่ตอนที่ไปแคสบทหนูน้อยหมวกแดง เค้าบอกว่าเอาเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย หน้าใส ตากลมดวงโต ๆ ไม่ใช่หมาป่าที่มีขนมากมาย ปากยื่น ๆ แบบนี้ หมาป่าจึงต้องจำใจรับบทเป็นตัวร้ายแทน และเมื่อหมาป่าถูกเปิดผ้าคลุม ก็อับอายมาก จึงวิ่งหนีไป ซึ่งในระหว่างที่วิ่งหนีออกไปจากงานนั้น รองเท้าเตะหูคีบข้างหนึ่งของหมาป่าก็หลุด ทำให้ต้องวิ่งออกไปโดยที่เท้าเปล่าแบบนั้น

    เมื่อเจ้าหญิงชาช่าเห็นรองเท้า ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง เจ้าหญิงจึงแกล้งทำเป็นเต้นรำกับเจ้าชาย ที่เคยเต้นอยู่กับหมาป่า แต่เจ้าหญิงอาศัยจังหวะที่กำลังเต้นรำนั้นเตะรองเท้าของหมาป่ากระเด็นออกไป

     

    และเมื่อได้เวลาเที่ยงคืน ราชองครักษ์ที่คอยอารักขาเจ้าหญิงก็ได้เข้ามาเตือนเจ้าหญิงให้เสด็จกลับวัง แต่เจ้าหญิงก็มิได้ฟัง หากแต่ยังพูดจาทำร้ายจิตใจราชองครักษ์ ที่มีใจให้เจ้าหญิงได้เจ็บช้ำน้ำใจ ราชองครักษ์นั้นเติบโตมากับองค์หญิงจึงได้รู้นิสัยของพระองค์ดี จนในที่สุดราชองครักษ์จึงได้แสร้งพูดถึงเจ้าหญิงราพันปี ทำนองว่าเจ้าหญิงราพันปีจะงดงามเพียงใดหนอ แต่เพียงเท่านั้นเอง เจ้าหญิงชาช่า ก็ทรงกระฟัดกระเฟียดและรีบเสด็จพระราชดำเนินกลับทันที ปล่อยให้เจ้าชายที่เต้นรำอยู่กับพระองค์ยืนเคว้งเพียงลำพังด้วยความงงงวย


     

    เช้าวันถัดมา เจ้าหญิงทรงตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทำให้ทุก ๆ คนต่างพากันฉงนว่าเพราะเหตุใด เจ้าหญิงจึงตื่นบรรทมแต่เช้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามหรือพูดกับเจ้าหญิงโดยไม่จำเป็นเพราะอาจโดนพาลได้ง่ายๆ หากเจ้าหญิงไม่พอพระทัย

    ส่วนตัวเจ้าหญิงนั้น หลังจากที่นางกำนัลได้ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เรียกราชองครักษ์เข้ามา

     

    "มีใครเห็นราชองครักษ์บ้างไหม"

     

    "เห็นเพคะ อยู่ที่สวนหน้าพระตำหนัก"

     

    "งั้นให้คนไปตามมาสิ"

     

    "เพคะ"

     

    หลังจากที่ราชองครักษ์เข้ามาในห้อง เจ้าหญิงก็ทรงพระราชดำเนินไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้องบรรทมที่เป็นที่ตั้งกระจกวิเศษแล้วถามว่า

     

    "กระจกวิเศษ บอกเราได้หรือยังว่าราพันปีอยู่ที่ใด"

     

    "อยู่ในอีกมิติหนึ่ง หากพระองค์ประสงค์ที่จะไป พระองค์ต้องยอมลดอายุไขของตนเอง 10 ปี ตกลงไหม"

     

    "ได้"

     

    "งั้นท่านเดินเข้ามาหาข้าเลยเจ้าหญิงน้อย" ระหว่างนั้นนางกำนัลนางหนึ่งเดินเข้ามาในห้องบรรทมขององค์หญิง

     

    "เดี๋ยวองค์หญิง" แต่ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าหญิงได้เดินทะลุมิติไปแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นราชองครักษ์และนางกำนัลก็รีบตามเข้าไปด้วยความตกใจ

     

     

    "ที่นี่ที่ไหนเนี่ย"

     

    อีกมิติ ซึ่งสถานที่คุมขัง เอ้ย สถานที่ที่ราพันปีอยู่นั้น คือบนยอดหอคอยสูงเสียดฟ้า ที่ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ นอกจากนางเมดูซ่า และปีศาจกรงเล็บกระดูกขาว

     

    หลังจากที่ทะลุมายังอีกฟากหนึ่งของกระจกแล้ว ทั้งสามก็ต้องตกตะลึง เพราะดูเหมือนว่าเมืองนี้จะเป็นเมืองที่คล้าย ๆ กับยามานะที่เคยดูในโดเรม่อน ตำนานสุริยกษัตริย์นี่

     

    เจ้าหญิง นางกำนัลและราชองครักษ์ ได้เดินไปเรื่อยๆตามทาง ผ่านร้านค้ามากมายซึ่งทุก ๆ คนต่างพากันมองมาที่บุคคลทั้งสาม ที่เครื่องแต่งกายมิใช่แบบเดียวกับประชาชนที่ใส่กันขณะนั้น ทั้งสามจึงตกเป็นเป้าสายตาของชาวเมืองไปโดยปริยาย แน่นอนว่าภาษาที่ใช้ต่างกัน วิถีชีวิตของพวกเขาก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา แล้วอย่างนี้ทั้งสาม ไม่สิ สองคนกับอีกหนึ่งพระองค์จะทำยังไง เมื่อต้องหลุดเข้ามาอีกมิติหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลกว่าที่จะสามารถกลับไปได้เพราะความไม่คิดหน้าคิดหลังของเจ้าหญิงองค์เดียวแท้ๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×