ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โลกที่ไม่ต้องการฉัน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : ย้อนกลับไปครั้งที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 58


    { Winter Dark Theme }

    บทที่ 1 : ย้อนกลับไปครั้งที่ 1

    เด็กน้อยคนหนึ่งได้ตื่นมาลืมตาดูโลก ณ วันที่ 17 เดือน 6 ไร้ปี พ.ศ.

    เรื่องราวของเธอนั้นเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น...

    อิลชื่อที่พ่อและแม่ตั้งให้แต่ไร้ความยินดีที่จะตั้ง ผู้ที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก และยังเป็นผู้ที่ถูกโลกรังเกียจ เธอโตมาพร้อมกับพลังบางอย่างซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามีมันอยู่ ด้วยพลังนี้เองทำให้เธอต้องทนทรมานกับความเดียวดายท่ามกลางโลกที่แสนจะเบี้ยวบิด แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอถูกโลกใบนี้เกลียดเธออีก...

    มันเป็นเหตุผลที่เด็กอนุบาลก็พูดกันบ่อยๆ และไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดที่โลกทำกับเธอถึงขนาดนี้

     

    17/6/10

    .ไม่มีความสุข.

    วันนี้เป็นวันเกิดครอบรอบ 8 ขวบของฉัน มันยังคงเงียบเหงาเช่นเดิม ทั้งที่วันเกิดน่าจะมีเค้กและของขวัญมากมายแต่สิ่งที่ฉันได้กลับทีเพียงความเงียบ...

    20/6/10

    .ไม่มีความสุข.

    อะไรกัน! วันนี้เดินตกท่อที่โรงเรียนโดนเพื่อนล้อว่า ยัยปลาไหลเปียก น่าอายที่สุด! แค่เดินตกท่อระบายน้ำลึก 1 เมตรทำไมต้องหัวเราะกันขนาดนั้นด้วย! ต้นตระกูลแกไม่แกเคยตกท่อกันหรือไง! เชยจริงๆ!’

    30/6/10

    .ไม่มีความสุข.

    ทำไมต้องลงโทษฉันคนเดียวด้วย...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่? ฉันก็แค่ลืมของของอาจารย์ไว้ที่ตลาด แค่นี้ทำไมถึงต้องตีด้วยไม้เรียวด้วยล่ะ มันจะมากเกินไปแล้ว

                    

                   บันทึกเล่มน้อยร้อยเรียงคำออกมาจากใจอิล เธอจดบันทึกมันทุกวันราวกับว่ามันคือกิจวัตรประจำวันของเธออย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ละวันที่ผ่านมานั้นมันช่างแสนจะเจ็บปวดและยากที่จะฝ่ามันมาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่สำหรับอิลแล้ว...เธอไม่มีใครให้พึงพิงต่างจากคนอื่นๆที่มีทั้ง ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก แต่กลับอิล...เธอไม่มีสักอย่างในชีวิต

                   เด็กน้อยที่เติบโตมาจากความยากลำบาก นามว่า อิล เรื่องราวของเธอไม่จบเพียงแค่นี้แน่ เพราะมัน เพิ่งเริ่มต้น

                   ทำไมคนอื่นถึงได้สบายกันจังเลยนะ? มีทั้งแอร์ มีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งโทรศัพท์ และมีอะไรอีกหลายๆอย่างเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะขาดมันไม่ได้เลยก็คือ ‘Wi-Fi’ กับ ‘3G’ ฉันเข้าใจว่าโลกเรากำลังพัฒนาแต่มันเร็วเกินไปไหมไอ้รถไฟฟ้าที่ฉันยืนโหนราวเบียดเสียดกับคนอื่นๆอยู่นี้

                   ปวดกบาลจะตายชัก...ทั้งกลิ่นน้ำหอมของพวกนักเรียนวัยรุ่นหญิงและกลิ่นเหม็นของบุหรี่ที่ติดตัวมากับพนักงานบริษัท ทั้งสองอย่างนี้มันคนละทางกันเลยหน่า...

                   ไม่เป็นไร...ทุกทีก็เป็นแบบนี้ ฉันควรจะชินกับมันได้แล้ว ฉันคิดในใจแล้วฝืนทนดมกลิ่นทั้งสองเข้าไปเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

                   วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 9 ขวบของฉัน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกดีใจสักนิดที่มันมาถึง รู้สึกเกลียดมันมากกว่าไอ้วันที่ทำให้ฉันแก่ลงอีก 1 ปี และยังเป็นวันที่ไม่มีอะไรดีในชีวิต... ความซวยรออยู่ข้างหน้านะอิล เธออาจจะตกรถไฟหรืออาจจะโดนนกขี้ใส่หัวแบบครั้งที่แล้วก็ได้

                   ความซวยที่หลีกหนีไม่ได้มันกำลังจะมาเยือนเมื่อประตูรถไฟฟ้าเปิดออก... ฉันที่ยืนโหนราวเป็นอุรังอุตังอยู่หน้าประตูทางออกรถไฟฟ้าพอดิบพอดีกำลังชักสีหน้าหวาดกลัวออกมาเพื่อถึงป้ายที่กลุ่มพนักงานบริษัทต้องลงจากรถไฟฟ้า

                   ‘นี่ยังไม่ถึงสถานีที่ฉันต้องลงฉันคิดพลางหาทางมุดหนีจากประตูนี้แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะไม่ว่าจะเป็นทางไหนมันก็ตันไปหมดแม้แต่จะขยับมือเพื่อเกาตูดตัวเองก็ยังทำไม่ได้

                   ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ!

                   เสียงฝีเท้าพนังงานบริษัทดังรัวราวกับจังหวะเพลงร็อคที่มีเพียงมนุษย์ต่างดาวเท่านั้นที่สามารถทนฟังได้ ตัวฉันค่อยๆไหลออกมาจากรถไฟฟ้าทีละนิดอย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งฝืนเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งถูกดันออกมาเรื่อยๆ

                   “ขอโทษนะคะ หนูขอทางหน่อยค่ะ...!” เสียงที่แผ่วเบาดังออกมาแต่ไร้ผู้คนได้ยิน

                   ‘ทำไมฉันถึงตะโกนได้แค่นี้? รถไฟฟ้าออกตัวไปไกลเหลือเพียงฉันยืนอาลัยตัวเองอยู่คนเดียว... เป็นแบบนี้ตลอด

                   ‘ไม่เป็นไร...ทุกทีก็เป็นแบบนี้ ฉันควรจะชินกับมันได้แล้ว คำปลอบใจคำเดิมดังก้องขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ น้ำตาที่ล้นเอ่อหัวใจไม่แสดงให้ใครได้เห็นอีกต่อไป เพราะในวันนี้ ฉันเข้มแข็ง  

                   ไม่เป็นไร...แค่ตกรถไฟแบบนี้ฉันเคยโดนมาแล้วเป็นสิบๆรอบ

                   บอกเลยว่า...แต่ละวันของฉันมันไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป... แต่ทนอ่านหน่อยล่ะกันเพราะฉันเชื่อว่าเธอกับฉันมีอะไรที่เหมือนกัน : )

                   บางวันฉันโดนกลั่นแกล้งจนไม่มีแรงจะเดินกลับบ้าน ใครน่ะเหรอที่แกล้งฉันจนโทรมแบบนี้...

                   หึ! ...ก็โลกใบนี้แหละ!

                   ไม่รู้หรอกนะว่าจะเกลียดอะไรกันนักกันหนา! ฉันเองก็เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนกับคนอื่นแท้ๆ แต่สิ่งที่โลกใบนี้ทำกับฉันมันแรงเกินไปจนรู้สึกว่า โลกนี้ไม่ต้องการฉัน

                   มีครั้งหนึ่งที่ฉันเคยจมน้ำแต่มีคนช่วยไว้ได้ทัน...

                   มีคราวหนึ่งฉันโดนครูหักคะแนนสอบจนเกรดย่อยยับแต่มีคนบริจาคคะแนนให้...

                   มีวันหนึ่งฉันจะโดนรถชนแต่มีคนคว้าแขนฉันไว้...

                   และยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไปจากโลกใบนี้... เรื่องราวที่แสนอันตรายหาได้ยากที่ใครจะเจอมันทุกวันทุกเวลาแล้วสามารถรอดชีวิตมาได้อย่างอัศจรรย์ ถึงจะโดนลอบฆ่าโดยโลกใบนี้แล้วรอดมาได้ทุกครั้งแต่ฉันก็ไม่รู้สึกดีสักนิดที่รอดมาได้ หากมันฆ่าฉันได้จริงๆฉันก็จะยอมให้มันฆ่าฉัน ณ บัดนี้ ไม่แน่อีก 5 นาทีต่อไปฉันอาจจะโดนโลกกำจัดทิ้งจริงๆก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้คำตอบของอนาคตหรอก เพราะว่า...

                   โลกใบนี้มันเบี้ยวบิด

                   เมื่อฉันหันกลับไปมองดูกลุ่มนักเรียนด้านหลังตัวเอง พวกเขามองฉันกลับด้วยสายตาที่เหยียดหยามหยาบคายราวกับเห็นฉันเป็นเพียงเศษขยะที่ไม่ว่าทำยังก็ก็ไม่มีใครต้องการ ก่อนจะหันไปซุบซิบนินทากับเพื่อน ดูจากชุดนักเรียนที่ใส่ซึ่งเป็นของโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงและโทรศัพท์ในมือเขาแล้วคงบ่งบอกได้ว่า เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย คนรวยนี่เหยียดหยามชาวบ้านเป็นอย่างเดียวหรือไง?

                   “ผู้ที่หยั่งรู้อนาคตนี่ดีจังเลยว่ะ กูก็อยากเห็นอนาคตของกูบ้าง” เสียงของนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งเดินผ่านฉันไปพลางพูดกับเพื่อน

                   หึ...อยากรู้งั้นเหรอ? ได้สิฉันจะดูให้

                   นายจะถูกโลกกำจัดตอนบ่าย 1 ของวันนี้ นี่แหละ...คำตอบของอนาคตที่นายอยากรู้

                   ความคิดชั่ววูบผ่านเข้ามาในสมองของฉันซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันไม่ตั้งใจจะคิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่ว่าทำไมมันถึงได้เข้ามาในสมองฉันล่ะ? หรือว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่แอบคิดอยู่ในใจลึกๆกัน... ใช่สิ ฉันอิจฉาพวกมันที่สุด! พวกคนที่ชอบมองคนอื่นด้วยความเหยียดหยาบแบบนั้นมันควรตาย!

     

     

                   ฉันเดินทางมาถึงโรงเรียนได้โดยรถไฟฟ้าเที่ยวต่อไป แต่มันก็ทำให้ฉันมาโรงเรียนสายจนต้องโดนอาจารย์ด่าและถูกเพื่อนหัวเราะแถมยังโดนหักคะแนนพฤติกรรมซึ่งเดิมทีก็แทบจะไม่เหลือไว้ให้ดู

                   ฉันที่ไม่มีเพื่อนเวลาจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวคนเดียวตลอด... นั่งเรียนคนเดียว กินข้าวคนเดียว เล่นคนเดียว ทำงานคนเดียว หรือหากเป็นงานที่ต้องทำกับเพื่อนฉันมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด ทั้งแรงกายและทรัพย์สิน เวลาทำเวรห้องฉันมักจะอยู่เป็นคนสุดท้ายเพราะโดนคนอื่นโยนหน้าที่มาให้ฉันหมด

                   ทรมาน...เจ็บปวด...แต่ไม่สามารถเอ่ยออกเป็นถ้อยคำได้ 

                   ทำไมคนพวกนี้เขาถึงได้พยายามจะทำตัวให้มันแปลกและแตกต่างล่ะ? พวกที่หัวเราะชาวบ้านด้วยความสนุกสนาน พวกที่ด่าคนอื่นโดยไม่ย้อนกลับไปดูตัวเอง พวกที่เห็นแก่ตัว ทำไมโลกถึงไม่กำจัดมันออกไปซะล่ะ!

                   หรือเป็นเพราะ... คนดีไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้?

                   ขณะนี่เป็นเวลาบ่ายโมงตรงพอดี ฉันและเพื่อนคนอื่นเข้ามานั่งรอในห้องเรียนเพื่อรอเรียนคาบต่อไปหลังจากที่กินข้าวเรียบร้อย ในห้องเต็มไปด้วยคำพูดที่ต่างคนต่างเอ่ยออกมาจนรู้สึกว่าเสียงมันดังก้องห้องเรียนจนน่ารำคาญ แต่สำหรับฉัน... แม้แต่จะพูดเบาๆก็ไม่สามารถทำได้...

                   ฉันนั่งเงียบสีหน้านิ่งเฉยอยู่หลังห้องคนเดียวเสมอ นั่งอย่างนี้มาเป็นเวลาหลายปี... นั่งจนชินชากับการต้องโดนคนอื่นรังเกียจแล้วล่ะ ทำไมต้องเกลียดฉันขนาดนั้นด้วย? ทั้งพ่อแม่ เพื่อนฝูง หรือแม้แต่โลกใบนี้ ทุกคนคงไม่อยากให้ฉันมีชีวิตอยู่เลยสินะ

                   ฉันเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง... ครั้งล่าสุดคือเมื่อวานตอน 6 โมงเย็น แต่ความคิดนั้นก็ต้องหมดไปเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนกระซิบข้างๆหูอย่างเยือกเย็น

                   ปึง!!

                   เสียงประตูห้องเปิดอย่างรุนแรงจนประตูกระแทกกับผนังห้องเรียนเกิดเป็นเสียงดังลั่น ทุกคนที่คุยกันหยุดอยู่ในอาการสงบแล้วมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหอบลิ้นห้อยอยู่หน้าห้องเรียนราวกับได้เรื่องอะไรบางอย่างมาบอกคนในห้องคงไม่ใช่คำปัญญาอ่อนแบบคำว่า ‘ครูมาแล้ว!’ หรอกมั้ง?

                   “มายด์! ไอ้นิวแฟนแกอ่ะมันตกบันไดเมื่อกี้เว้ย! เพื่อนฉันที่โรงเรียนนั้นเขาโทรมาบอกว่ามัน...เอ่อ” เธอคนนั้นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อ มายด์หันไปจ้องมองเธอด้วยความตื่นตกใจ

                   “...บอกมาสิวะ!!!” มายด์ที่นั่งอยู่ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วตะเบ็งถามอย่างกระโชกโฮกฮากจนเธอยืนตัวแข็งทื่อเป็นหิน

                   “มัน...มันตายแล้ว!!

                   สิ้นเสียงบอกกล่าวของเพื่อน มายด์ล้มลงช็อกเป็นลมหมดสติจนเพื่อนที่อยู่ข้างๆต้องวิ่งเข้าไปหามส่งห้องพยาบาลโดยเร็ว เมื่อร่างของมายด์ถูกหามออกไปจากห้องเพื่อนที่เหลือก็เริ่มคุยกัน

                   “นิวมันคือใครวะ? ทำไมไอ้มายด์มันไม่บอกฉันเลยว่ามันมีแฟน โกหกว่าไม่มีแบบนี้สมควรแล้วล่ะที่เจอเรื่องแบบนี้”

                   “นิวคนที่รวยๆอ่ะ อยู่โรงเรียนเอกชนในเมือง ที่หน้าตาดีๆดังๆอ่ะ” เพื่อนคนหนึ่งตอบเสียงดัง

                   เอาแล้วสิ...ฉันทำมันอีกแล้ว... ไม่น่าคิดแบบนั้นเลย... ฉันขอโทษนะนิว ขอโทษนะมายด์...ถ้าเกิดว่าฉันเตือนเขาไปตรงๆตั้งแต่ตอนเช้าก็คงจะดี... ฉันได้แต่นั่งสำนึกผิดหลังห้องคนเดียว น้ำตาไหลออกมาอย่างนี้ทุกวันไม่หมดสิ้น อยากจะหายไปจากโลกนี้เสียที...

                   ทำไมฉันถึงได้ไร้ค่าแบบนี้...

                   หลายครั้งแล้วล่ะที่มันเป็นแบบนี้ จบแบบนี้เสมอ... หากฉันกล้าที่จะพูดมากกว่านี้คงไม่ต้องมีใครตาย...แต่หากว่าฉันเอ่ยออกไป...

                   ใครจะเชื่อล่ะ?

                   ผู้ชายคนเมื่อเช้าน่ะ...เป็นแฟนของเพื่อนในห้องฉันเอง...


    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-


    ปล.ฝีมือโอเองก็ไม่ใช่ว่าจะดีเลิศ ผิดตรงไหนติเตือนกันได้เลยนะคะ ชอบอ่ะ ๕๕๕+
    อาจมีผิดบ้าง ไม่ถูกบ้าง ก็ขอโภัยทุกท่านด้วยนะคะ จะพยายามให้มันออกมาดีที่สุดค่ะ !
    #ช่วยกันแชร์ต่อด้วยนะคะ อยากให้ใครบางคนได้อ่านมัน :D

    #กันกันเม้นต์หน่อยจิๆ ขอล่ะน้าา
    #อยู่ด้วยกันไปนานๆน้า-3-
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×