ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Kimetsu no yaiba) เมื่อSekiro หลุดมาอยู่โลกอสูร

    ลำดับตอนที่ #2 : พบเจออสูรครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 66


    สุริยันถึงคราวอัสดง เป็นมรคาเวลาของเหล่าอสูร กายาแกร่งเกินนรชาติ ดวงเนตรแสดงเจตจำนง 
    เขี้ยวเล็บดั่งพยัคฆา กระหายในโลหิตแลอินทรีย์ จิตบิดเบี้ยวเคี้ยวคดไร้สิ้นสุด ไม่อาจคงไว้ได้ซึ่งตัวตน 

    เสียงที่ดูเก่าแก่แต่ก็ทรงพลังได้กล่าวขึ้น
    “โอคามิ… โอคามิ…” 
    “จงตื่นขึ้น… ฟื้นขึ้นมา… ลุกขึ้นมา….”
    “มันถึงคราที่เจ้าจะได้แปรเปลื่ยนโชคชะตาแล้ว…”

    ตอนนั้นเองที่ตัวของโอคามิได้ลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่าตนเองนั้นอยู่สถานที่ไม่คุ้นตา  เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นว่าตนเองนั้นอยู่ในศาลเจ้าเก่าๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย 

    ยกเว้นแต่ตรงแท่นบูชาที่มีพระพุทธรูปที่คุ้นตาตั้งอยู่อย่างผิดสังเกตุ เมื่อโอคามิลุกขึ้นก็พบว่ามุมมองของตัวเองนั้นแปลกไป ราวกับว่าตัวของเขาเล็กลง 

    เมื่อสำรวจดูร่างกายตนเองก็พบว่าตัวเองนั้นเด็กลงไปซัก 10 ปีได้ (โอคามืในเนื้อเรื่องหลักก่อนหน้านี้อายุประมาณ 25-29 ปี เท่ากับตอนนี้อายุประมาณ 15-19 ปี) โอคามิก็ได้แต่ฉงนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อมองไปที่แขนกลของตนเองก็ถึงกับต้องตกตลึง 

    Pin on Video Game Artwork

    เนื่องจากแขนกลของตนนั้นก็มีขนาดเล็กตามร่างกายของตน อุปกรณ์นินจาทั้งหมดก็ได้หายไปเช่นกัน

    หลังจากสำรวจร่างกายตนเองเสร็จ โอคามิได้เดินเข้าไปหาตัวของพระพุทธรูป แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงดังจากกำแพงไม้ของศาลเจ้า 
    ‘ปึง!!!’ ได้มีบางอย่างทะลุกำแพงออกมา จากนั้นแขนที่ทรงพลังเกินมนุษย์ก็ได้พุ่งเข้ามา หมายจะสังหารตัวของโอคามิ

    โอคามิได้พุ่งตัวหลบการขว้าได้อย่างทันท่วงที แต่ก็กระเด็นไปตามแรงปะทะของอีกฝ่าย เมื่อฝุ่นควันจางลง  ก็ได้พบกับอสูรรูปร่างเหมือนกับนักซูโม่สูง 2.5 เมตร

    ‘นั่นมันอะไรกันเหมือนจะเป็นมนุษย์แต่กลับมีบางอย่างต่างออกไป’ โอคามิคิดในใจพร้อมวิเคราะห์อีกฝ่าย ‘ร่างกายมีกำลังเกินมนุษย์ธรรมดา ดวงตามีขีดเหมือนสัตว์ป่า อีกทั้งยังมีกรงเล็บและเขี้ยวอีกด้วย’ 

    ตัวเขารู้ได้โดยทันทีว่าสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน การโดนจับเพียงครั้งเดียวก็สามารถตายได้เลย เนื่องจากร่างกายไม่ได้ทนทานเหมือนก่อนหน้านี้ 

    แต่เมื่อโอคามิมองพื้นที่โดยรอบก็พบกับ ดาบคุซาบิมารุ ดาบคู่ใจของตนเองที่องค์ชายคุโร่ได้มอบให้ อยู่ด้านหลังของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ 

    Pin on Оружие

    โอคามิได้ทำท่าทีว่าจะหนีหลอกสิ่งมีชีวิตข้างหน้า ทำให้มันย่ามใจพุ่งเข้าใส่ตัวโอคามิทันที 

    เมื่อเห็นดังนั้น ตัวของโอคามิได้กระโดดเหยียบไปที่บ่าของมันแล้วกระโดดหลบการขว้าของครั้งที่สองอีกที แล้วหยิบดาบคุซาบิมารุ จากนั้นก็วิ่งออกไปข้างนอกโดยทันที

    การที่ออกมาข้างนอกศาลเจ้านั้น เนื่องจากการต่อสู้ในที่แคบกับศัตรูที่ตัวใหญ่และทรงพลังนั้น จะทำให้เสียเปรียบกว่ามาก

    “หลบ หลบอยู่ได้น่ารำคาญเสียจริงนะ… จะดิ้นรนไปก็ไร้ความหมาย สุดท้ายเจ้าก็จะกลายเป็น อาหารของข้า!!!!! อสูรโคชิกิผู้นี้” อสูรตัวนั้นได้กล่าวออกมาพร้อมจ้องมองตัวของโอคามิอย่างหิวกระหาย

    อสูรโคขิกิพุ่งตัวเข้ามาหมายจะฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ทว่าตัวของมันไม่ได้สังเกตุเลยว่า ในมือของเหยื่อที่มันหมายจะกินนั้นได้ถือดาบไว้ในมือแล้ว

    โอคามิกระชับดาบในมือแล้วกันการโจมตีด้วยมือของอสูร ในขณะเดียวกันเมื่อเห็นว่าถูกกันไว้ได้มันก็ยื่นมือมาอีกข้างเพื่อจะโจมตีจากจุดที่ไม่สามารถกันได้
    แต่ว่า โอคามิก็แก้สถานการโดยออกแรงเฉือนมือของอสูรแล้วกระโดดตีลังกาถอยหลังกลับไป

    เมื่อมองกลับไปที่อสูรก็พบว่ามือที่ถูกเฉือนของอสูรนั้นได้ฟื้นฟู รอยแผลค่อยๆหายไป
    ตัวของโอคามิถึงกับตกตลึงแล้วคิดว่าแม้ว่าจะเป็นอมรณาหรือผู้มีแมลงสิงสู่ ก็ไม่อาจฟื้นฟูได้เร็วเท่านี้ จึงตั้งทฤษฎีว่าอีกฝ่ายต้องมีจุดอ่อนบางอย่างแน่นอน 

    ตอนนั้นเองที่อสูรก็ได้คำรามออกมาด้วยความโกรธ แล้วพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง แต่คราวนี้โอคามิได้หลบไปด้านข้างแล้วฟันสวนกลับไปที่บริเวณขา เพื่อทำลายสมดุลของเจ้าอสูรตัวใหญ่นี่ 

    เมื่อขาถูกตัดไปหนึ่งข้างตัวของมันก็ล้มโดยทันที… โอคามิไม่รอช้าจับหัวยกขึ้นมาแล้วปาดดาบเข้าไปที่คอของมัน
    แต่ทว่าเลือดที่่ออกมากลับมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    ตอนนั้นเองที่อสูรหันมามองโอคามิแล้วพูดเยาะเย้ยใส่ว่า “เจ้าโง่ ข้าน่ะไม่มีวันตายไม่ว่าเจ้าจะแทงหรือฟันข้ามากแค่ไหนข้าก็ไม่มีวันตาย ฮ่าฮ่าฮะ ฮ่า… ” 

    “พูดพล่ามไร้สาระ” เมื่อกล่าวจบ โอคามิก็นำดาบทางเข้าไปในหัวใจแล้วลากยาวออกมาถึงไหปลาร้า จากนั้นก็ตัดหัวอีกทีหนึ่ง แล้วถอยออกมาสังเกตห่างๆ

    แต่ก็ต้องตกตลึงอีกครั้ง หัวที่ถูกตัดยังคงพูดเยาะเย้ยไม่หยุด ส่วนลำตัวของมันก็ค่อยๆลุกขึ้นมาจากขาที่ฟื้นฟูแล้ว จากนั้นก็ เดินเข้าไปหาหัวของตนเอง

    แต่โอคามิไม่ยอมให้มันทำตามใจ ตัวโอคามิได้กระโดดเข้าไปฟันแขนและขาทั้งหมดของมันทันที โดยที่มันไม่ทันตั้งตัว แล้วทำการมัดมัดมันด้วยตะขอเชือกที่ยิงจากแขนกลผูกติดกับต้นไม้ แล้วถ้ามันคิดจะฟื้นฟูงอกแขนขา ตัวของเขาก็จะฟันแขนขาที่ฟื้นฟูทิ้งทันที แล้วระหว่างนั้นก็คิดหาหนทางกำจัดมันให้ได้

    เวลาล่วงเลยผ่านไป การฟื้นฟูก็เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวของอสูรโคชิกินั้นได้รู้ซึ้งแล้วว่า การที่มันได้รับความเป็นอมตะนั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด 

    ตอนนั้นเองที่มันได้เห็นแสงบางอย่างส่องอยู่หลังภูเขา มันรู้ได้ทันทีว่าดวงตะวันกำลังจะขึ้นแล้ว 

    “ปล่อย ปล่อยข้า!!!” ตัวของอสูรโคชิกิตะโกนออกมาพร้อมดิ้นอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจแก้พันธนาการได้ 

    โอคามิได้แต่สงสัยว่าทำไมอยู่ๆดีถึงร้องโวยวายขึ้นมาสะงั้น ทันใดนั้นเมื่อแสงตะวันสาดสองใส่ตัวของอสูร มันก็ได้ร้องออกมาอย่างทรมาณ และร่างกายก็กำลังสลายไป

    ตอนนั้นเองที่มันได้นึกย้อนกลับไป ในสมัยที่ยังคงเป็นมนุษย์ ตอนนั้นโคชิกิยังคงเป็นเพียงคนๆหนึ่ง
    ที่มีความฝันจะเป็นนักซูโม่ที่ทุกคนยอมรับ 

    ด้วยความตั้งใจเขาได้ฝึกฝนซูโม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการฝึกฝนอย่างไม่ขาดสายใครๆก็คิดว่าสักวันเขาต้องเป็นซูโม่ที่เก่งกาจได้แน่ 

    แต่ว่าความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น แม้ว่าตัวของเขาจะมีขนาดใหญ่พอๆกับนักซูโม่ทั่วไปกระนั้น เขานั้นไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นนักซูโม่เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะฝึกหนักแค่ไหนพยายามสักเท่าไหร่ก็เหมือนกับการย่ำอยู่กับที่ 
    ในโรงฝึกเดียวกันแม้แต่เด็กใหม่ที่พึ่งเข้าเพียง 2 เดือน ก็ชนะเขาที่ฝึกมา 1 ปีได้ จนได้ฉายา “ซูโม่แค่ร่างกาย”  

    ด้วยความผิดหวังและความอับอาย เขาได้ออกจากโรงฝึกแล้วเดินเตร่ดเตร่ไปเรื่อยๆ หลังจากนั้น เขาก็ได้เจอกับราชาอสูรโดยบังเอิญและได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอสูรอันน่าชิงชัง

    และแล้วตัวของอสูรโคชิกิก็ค่อยๆสลายไปไม่เหลือสิ่งใด 

    โอคามิได้มองภาพตรงหน้า แล้วพนมมือส่งดวงวิญญาณของโคชิกิ ขณะมองไปที่เศษขี้เถ้าที่ลอยไปกับสายลม


     


     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×