ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักนี้หมูกระทะจอง

    ลำดับตอนที่ #1 : แก้มอ้วนของนที ครั้งที่ 1 : หมูกระทะเป็นเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 30 ธ.ค. 63


     

     

    ‘หมูกระทะทำให้คนอ้วน แต่ถึงจะอ้วนก็เป็นคนอ้วนที่น่ารัก’

     

    “มึง วันนี้ไปกินหมูกระทะกันเหอะ” ผมเอ่ยชวน 'ไอ้นที' เพื่อนคนแรกในมหาวิทยาลัยของเขา มันเป็นคนหน้าตาดีระดับหนึ่ง แต่ยังน้อยกว่าผม และ มันยังมีนิสัยที่เฮฮา ไปไหนไปกัน และที่สำคัญปากมันยังหมา

    “มึงอิ่มบ้างเถอะไอ้สัส แดกจนไม่รู้จะแดกยังไงอยู่แล้ว” ไอ้นทีมันพูดกับผมด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายและรำคาญผมที่ชอบชวนมันไปกิน

    “ก็มันจะทำไม ก็กูหิวนี่หว่า” ผมยู้ปากก่อนจะนั่งลงตรงหน้าของมัน หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากโรงอาหาร

    “กระเพาะหรือหลุมดำไอ้สัส สูบเอาสูบเอา”

    “กระเพาะนี่แหละไม่ใช่หลุมดำที่ไหน”

     ผมว่าพลางดันแว่นที่ล่วงล่นมาบริเวณจมูกขึ้นไปยังดวงตาทั้งสองข้าง ผมเป็นคนสายตาสั้นชนิดที่ถอดแว่นก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ คล้ายกับโลกนี้เจือจาง ผมจึงต้องคอยใช้นิ้วดันแว่นขึ้นตลอดจนติดเป็นนิสัย

    “กูล่ะสงสารแม่มึงจริง ๆ”

    ไอ้นทีมันพูดแซะผมยังไม่พอมันยังส่ายหน้าระอาผมอีก ผมจะไม่ยอม นายภาคินคนนี้ไม่ยอม ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับสายตาของไอ้นทีที่มองมายังผมอย่างสงสัย แต่ผมไม่ปล่อยให้มันสงสัยนานหรอก ผมรีบหมุนตัวออกจากโต๊ะและเดินดุ่ม ๆ ไปหามันเพื่อที่จะ ผวะ! ตบกะบาลมันไปหนึ่งที

    “โอ๊ย! ไอ้สัสมือคนหรือมือช้างกันแน่วะหนักฉิบ” ไอ้นทีมันร้องออกมาซะดัง จนคนที่เดินผ่านไปมามองกันมาเป็นแถว

    “เวอร์ไอ้สัสเวอร์ไปละ กูตบเบา ๆ เอง สำออย”

    “สำออยบ้านมึงสิ กูเจ็บจริง ๆ” ไอ้นทีมันยกมือกุมหัวของมัน พลันทำหน้าเจ็บปางตาย

    “โอเค โอเค เห็นว่ามึงเจ็บเหมือนจะขาดใจหลอกนะ เอามาดูดิ ยืนหัวมา” ผมบอกไอ้นทีและมันก็ยื่นหัวเข้ามาหาผมจริง ๆ แต่วินาทีที่ผมกำลังก้มไปดูนั้น ผมรู้สึกถึงรังสีเร็วแสงพุ่งลงสู่หัวผมอย่างจัง

    ผวะ! น๊อกไปเลย

    “อือ กูเจ็บ ไอ้นที” ผมกุมหัวตรงที่มันตบลงมา พลางจ้องหน้ามันไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า

    “อย่ามาสำออย” ไอ้นทีมันว่าผมเหมือนที่ผมว่ามัน ไม่ต้องมาน้ำตาคลอเบ้า ทีนี้มึงรู้รึยังว่าแรงที่มึงตบลงมาไม่ใช่เบา ๆ

     “อือ” ผมพยักหน้าตอบมัน โดยที่มือยังคงคลึงหัวไปมา

    “ทีหลังถ้าไม่อยากเจ็บตัว อย่าตบกูแรง กูก็เจ็บไม่ต่างจากมึง” ไอ้นทีมันชี้หน้าสอนผมยกใหญ่เลย ผมแค่ตบศรีษะมันด้วยแรงนิดเดียวของผมเอง ไม่รู้มันเจ็บอะไรหนักหนา ถึงตบหัวผมลงมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีของมัน

    “พอ ๆ เลิกน้ำตาคลอได้แล้ว จะไปกินไหม หมูกระทะ”คำว่าหมูกระทะที่ออกมาจากปากไอ้นทีทำเอาน้ำตาที่กำลังจะไหล ถดถอยกลับไปในทันที

    “จริงนะ มึงไปกับกูจริงนะ”

    ผมถามไอ้นทีด้วยแววตาเป็นประกายพร้อกกับนำมือที่กุมหัวตัวเองไปจับแขนของมันพลางเขย่าไปมา ไอ้นทีมันมองผมด้วยความเอือมระอา เพราะเวลาผมจับแขนมันเขย่าแบบนี้ทีไร มันมักใจอ่อนกับผมทุกครั้ง ผมรู้มมาตลอดเลยใช้วิธีนี้กับมัน ทว่าวันนี้กลับผิดคลาดผมยังไม่ทันได้ใช้ มันกลับเป็นคนเอ่ยปากออกมาเองที่ชวนผมไปกินหมูกระทะ หรือว่ามันจะรู้สึกผิดที่ตบหัวผมจนน้ำตาคลอเบ้ากัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมควรยอมให้มันตบหัวจนเหมือนครั้งนี้ดีไหม ผมจะได้ไม่ต้องเสียแรงไปยืนอ้อนวอนมัน

    ไอ้นทีมันมองผมและชักสีหน้าใส่ ทำให้ใบหน้าตอนนี้ของมันดูหน้ากลัวขึ้นมา 10%

    “เออ อย่าถามมาก” ไอ้นทีมันสลัดมือผมทิ้งและชี้หน้าผม “ถ้ามึงยังถามมากอีก  ไม่ต้องไป”

    “แหม เพื่อนนทีที่รัก กูไม่ถามแล้วก็ได้จ้ะ ใจเย็น ๆ นะ” ผมรีบปรี่เข้าไปนวดแขนของมันทั้งสองข้างสลับไปมา อันที่จริงผมอยากจะนวดไหล่มันด้วยซ้ำ ทว่าติดที่ตัวผมนั้นเตี้ยไปนิด

    “ไม่ต้องมาประจบกู ไป” ไอ้นทีมันสลัดมือผมทิ้งอีกครั้ง พลันดึงคอเสื้อของผมหิ้วปีกติดมันไป

    “คะ…แค่ก ๆ” ผมทุบหน้าอกตนเอง กูหายใจไม่ออก ปล่อยกูหน่อยได้ไหม

    “ไม่ ปล่อยเดี๋ยวมึงก็พูดมากอีก” ดู ๆ ดูมันตอบผมกลับมา เห็นแก่ที่มันจะพาผมไปกินหมูกระทะหรอกนะ  ให้อภัยก็ได้

    “แล้วมึงจะไปแบบนี้เนี่ยนะ ไม่อายคนอื่นเขาหรือไง” ผมบอกกับมันให้มันสนใจสายตาของชาวมหา’ลัยที่มองมา ดูดิคนมองหมดแล้ว

    ไอ้นทีมันหันไปมองคนรอบตัวตามที่ผมบอก “แล้วไงทำไมต้องแคร์” แต่มันกลับไม่แยแสอะไรเลย

    “กูต้องแคร์ดิ คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะกูเอา กูไม่อยากได้สายตาแบบนั้นอีกแล้ว”

    น้ำเสียงของผมเริ่มเบาลง เมื่อนึกคิดว่าจะมีคนหัวเราะใส่ ก็พลันนึกถึงเรื่องราวในช่วงวัยมัธยม ตอนนั้นผมอยู่ม.4 ผมเป็นเด็กใหม่ที่ย้ายเข้าไปในโรงเรียนดังในจังหวัด ผมคิดว่าผมจะมีเพื่อนที่ดีและสังคมที่พร้อมต้อนรับผม แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะผมใส่แว่น และตัวผมมันอ้วนต้วมเตี้ยม ผมจึงโดนรังแก หัวเราะเยาะใส่ สารพัดอย่างที่ผมจะโดน ทว่าถึงแม้จะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับผม แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจถึงได้ประทาน ‘ไอ้นที’ เพื่อนคนเดียวในชีวิตของผมมาให้


     

    ไอ้นทีมันหยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับปล่อยมือของมันออกจากคอเสื้อของผม พอมันปล่อยผมเป็นอิสระ ผมจึงรีบจัดคอเสื้อของตนเองให้เรียบร้อย กะว่าจะเงยหน้าขึ้นไปด่ามันสักหน่อย แต่เมื่อเจอกับสายตาของมันที่มองมายังผมนิ่ง ๆ ผมถึงกับหุบปากลงและก้มหน้ามองเท้าทันที

    “กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม” นั่นไงเสียงเข้มขึ้นด้วย นทีโหมดจริงจังแบบนี้โคตรหน้ากลัว

    “ว่าอย่าไปแคร์คนทั้งโลก มึงไม่สามารถที่จะทำให้เขาพึ่งพอใจได้ตลอดหรอกนะ ใครจะขำมึง จะหัวเราะมึงแล้วไง จำเป็นต้องแคร์สายตาคนพวกนั้นไหม”

    “มาเป็นชุดเลย” อุ๊บ ผมรีบยกมือปปิดปาดตนเองแทบไม่ทัน เชี่ยเอ้ย หลุดออกมาจนได้

    “แหะ ๆ” ผมหัวเราะใส่มัน แต่มันกลับแยกเขี้ยวใส่ผม

    “มันใช่เรื่องไหมภาคิน” ถ้าเมื่อไหร่มันเรียกชื่อผมเต็ม ๆ แบบนี้แล้วล่ะก็ เมื่อนั้นอารมณ์มันถึงจุดสูงสุดแล้ว

    “ขอโทษ” ผมกล่าวขอโทษมันออกไปด้วยน้ำเสียงหงอย

    “กูจำได้ในสิ่งที่มึงบอกไม่ให้แคร์คนทั้งโลก แต่มันก็อดที่จะแคร์ไม่ได้นี่หว่า ก็มึงดูสภาพกูตอนนี้ดิ กูใส่แว่นเฉิ่มขนาดนี้” ผมชี้เข้ายังแว่นตาทรงคุณลุงของผม “ตัวกูอ้วนต้วมเตี้ยมม่อต่อแบบนี้ กูยิ่งต้องแคร์สายตาคน แค่เกิดมาขี้เหร่ก็มากพอแล้ว กูไม่ได้เกิดมาหน้าตาดี หล่อเหลาแบบมึงนิ ที่เลือกจะไม่แคร์คนอื่นได้ มึงไม่เป็นกูมึงไม่เข้าใจหรอก”

    “ใช่ กูไม่เป็นมึงกูไม่เข้าใจอย่างที่มึงพูด แล้วยังไง แต่กูก็ไม่เคยที่จะดูถูกตัวเองแบบมึง ถ้ามึงไม่อยากให้ใครเขาดูถูกมึง มึงต้องเริ่มด้วยการไม่ถูกตัวเองก่อน คนเราถึงต่อให้หน้าตาดี แต่ข้างในกับชั่วร้ายคนเขาก็ตราหน้าอยู่ดี สู้ดีจากภายใน ถึงหน้าตาจะไม่ได้ดีในสายตาของคนอื่น แต่ความดีของเขาจะสามารถชนะใจได้”

    “….” ผมยืนฟังอย่างเงียบ เพราะสามารถเถียงออกไปได้ ว่าผมนั้นดูถูกตัวเองอย่างที่มันพูดจริง ๆ

    “เงยหน้ามองกู มองเท้าทำไม เท้ามันดีกว่าหน้ากูว่างั้น” เข้มจริง เสียงมึงเนี่ยเข้มจริงไอ้สัส

    “เออ เงยมองแล้วนี่ไง” ผมตอบมันด้วยใบหน้ามุ่ย ๆ

    “มึงฟังกูนะ ที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้ มันก็น่ารักมากแล้ว รู้ไหม”มันว่าพลางลูบหัวของผม คอของผมค่อย ๆ ล่นคอลง ถึงมันจะลูบบ่อยก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ชินอยู่ดี  

    “กูเนี่ยนะน่ารัก ไม่อะมึงอย่ามาหลอกกูให้ดีใจเลย กูไม่เชื่อมึงหลอก”

    “กูไม่ได้หลอก” มันยืนยันเสียงแข็งกับผม

    “ไม่จริง ถ้าน่ารักจริงคนอื่นคงมองกูน่ารัก และอยากทำความรู้จักกับกูแล้ว”

    “อย่าคิดแบบนั้น เพราะต่อให้มึงไม่น่ารักกับคนอื่น แต่สำหรับกูมึงน่ารักที่สุดแล้ว”

    “….” ผมยืนอึ้งกิ่มกี่ เพราะไม่คิดว่ามันจะชมผมออกมา ปกติมันต้องด่าผม บ่นผม แต่มันในโหมดชมผมแบบนี้ผมไม่คุ้นเลยสักนิด ‘แล้วมึงจะใจหวิว ๆ ทำไมเนี่ยไอ้คิน’

    “อย่างที่กูเคยบอก มึง ไม่ต้องไปแคร์คนทั้งโลก แคร์กูคนเดียวก็พอแล้ว เข้าใจไหม”

    ผมพยักหน้าเข้าใจด้วยอาการตกตะลึงของมันยังไม่จางหายไปไหน

    “ดีมาก เด็กดี”

    “…..” ผมว่าผมตาย ตาย ตายแน่ ๆ มึงกินยาลืมเขย่าขวดใช่ไหม บอกกูมา บอกกูมาเดี๋ยวนี้

    “ไป ไปกินหมูกระทะเดิน” มันจูงมือผมให้เดินตามมันไป “เดี๋ยววันนี้กูเลี้ยงมึงเอง กินให้เต็มที่นะมึง” เทพบุตร เทพบุตรลงมาจุติชัด ๆ

     


     

             #รักนี้หมูกระทะจอง


     


     

    “คนเยอะฉิบหายเลยมึง” ผมเขย่งเท้ามองดูผู้คนที่หลั่งไหลมากินหมูกระทะในตอนนี้

    “มันก็เยอะทุกวันอยู่แล้ว แปลกตรงไหน” ไอ้นทีมันมองผมและยู้ปากไปทางคนในร้าน อย่างที่มันบอกจริง ๆ นั่นแหละ เยอะทุกวันอยู่แล้วก็จริง แต่แปลกที่วันนี้มันเยอะมากกว่าทุกวัน ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย

    “มึงนที” ผมกวักมือเรียกมัน

    “พูดมาเลย ไม่ต้องกวักเรียกกูก้มลงไป มันเมื่อย”

    “ไม่ได้ มันเป็นความลับ ก้มลงมาเร็ว” ผมยังคงกวัดมือเรียกมันก้มลงมาอยู่ดี มันถอนหายใจใส่ผมก่อนจะโค้งตัวลงมาตามที่ผมบอก

    “กูแค่อยากจะรู้ว่า ทำไมวันนี้คนถึงเยอะวะ” ผมกระซิบมันเสร็จผมจึงมองไปยังใบหน้าของมันที่จ้องจะด่าผม ด้วยความอยากรู้ ทว่ามันกลับแปลกไป ที่ใบหน้าของมันดันอยู่นิ่งและจ้องมองผมอยู่แบบนั้น โดยไม่มีคำด่าพ่นออกมาจากปากหมา ๆ ของมัน

    ‘เป็นอะไรของมัน’

    “ไอ้นที นที นทีโว้ย” ผมเรียกมันด้วยน้ำเสียงดังขึ้นเมื่อมันยังอยู่นิ่ง

    ‘….’

    “นทีว่าซ่าน นที” คราวนี้ผมลงโบกมือไปยังข้างหน้าของมัน เผื่อจะเรียกจิตมันกลับมาได้บ้าง

    “ฮาโหลลลลลล ไอ้ยินอ้ายบ่” ผมจ้องมองไปยังมันอีกครั้ง แต่มันก็ยังคงนิ่ง วิธีนี้ได้ผลแน่นอน

     

    ผวะ!

    “โอ๊ย ไอ้คิน ตบกูทำไมวะ” มันกลับไปยืนเต็มความสูงของมัน ก่อนจะลูบศรีษะปอย ๆ

    “ก็ใครใช้ให้มึงยืนเม่อล่ะ ถามจริงคิดอะไรอยู่วะ” ผมถามมันไปด้วยความอยากรู้

    “โอ๊ย ไอ้นที” แต่มันกลับผลักศรีษะของผมก่อนจะเดินไปยังโต๊ะประจำที่ว่างอยู่

    “รอกูด้วยดิ” ผมรีบสับขาเดินตามมันไป ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลง “จะรีบไปตามควายรึไง”

    “เออ” มันตอบผมกลับมาเพียงเท่านั้น ก่อนที่พี่พนักงานจะเดินเข้ามาหา

    “มากี่คนครับ” คำถามของพี่พนักงานทำเอา ผมมองหน้าไอ้นที พร้อมกับรับรู้ทันทีว่ามันจะใช้ปากหมา ๆ ของมันตอบกลับไป

    “ไม่เห…” ผมจึงพุ่งตัวไปปิดปากมัน

    “2 คนครับ” และเป็นฝ่ายตอบพี่เขาไปแทน ขืนปล่อยให้ไอ้นทีตอบ มีหวังได้กินลูกตะกั่วแทนหมูกระทะแน่นอน

    “อ่อยอู อ่อย” ผมทำตาดุใส่มัน

    “ครับ” หลังจากพี่พนักงานเดินออกไป ผมจึงปล่อยมือผมออก

    “ปิดปากกูทำไม” มันยังไม่รู้ตัว ยังไม่รู้อีก

    “ก็มึงจะปากหมาใส่พี่เขาไง”

    “กูปากหมาตรงไหน กูแค่อยากจะถามพี่เขาเฉย ๆ ว่าพี่เห็นพวกผมมากี่คนเหรอครับ” ดูมันลอยหน้าลอยตา เห็นแล้วอยากจะประทับตีนบนหน้ามันสักที เห็นแก่หน้าหล่อ ๆ ของมันหรอกนะ ผมจะไม่ทำ

    ผมเงียบพลางกอดอกจ้องมองไปยังไอ้นที “กูเห็นหลายรอบละ เท่าที่กูสังเกตมา มึงต้องมีปัญหาอะไรกับพี่พนักงานหล่อ ๆ คนนั้นแน่ ๆ”

    “หน้าแบบนั้นหล่อแล้วเหรอ กูหล่อกว่าตั้งเยอะ”

    “ก็เขาหล่อจริง ๆ นี่หว่า”

    “เหอะ” ไอ้นทีมันสะบัดหน้าหนีผมและไม่ยอมหันกลับมามองผมอีกเลย

     

    สงสัยเป็นวัยทอง ผมละเหนื่อยใจกับมันจริง ๆ แต่จะให้เลิกคบก็ไม่ได้ เพราะนอกจากคบกันเองก็ไม่มีใครคบแล้ว

     

    ‘หมูกระทะเป็นเหตุทำให้คนอ้วน ความรักล้วน ๆ เป็นเหตุทำให้เธอรัก’


     

     

     

     

    ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ ถ้าเจอขออภัยด้วยนะคะ

    อาจจะมีบางช่วงที่ดูไม่สมูทไม่ลื่นไหล ขออภัยด้วยนะคะ

    เข้ามาพูดคุยกัน ได้ที่เฟซบุ๊ก : นักเขียน หน้าใหม่ ได้นะคะ

    สามารถเข้าไปเล่นแท็กทวิตเตอร์

    โดยใช้ #รักนี้หมูกระทะจอง

    ส่วนทวิตของไรท์ @Mousyy8893

    ไปเล่นกันเยอะ ๆ น๊า

    ช่วยคอมเมนต์และรีวิวเพื่อเป็นกำลังให้นักเขียนด้วยนะคะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×