ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SMY : Sacrificial Magic Year

    ลำดับตอนที่ #8 : Working 3 ... Chemist's Code *Yaoi Warning!* 35%

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 50


    ก่อนที่จะให้อ่านตอนนี้ ขอเตือนอะไรเล็กน้อยครับ

    ตอนนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับYaoiหรือเรียกง่าย ว่าชายรักชาย และที่สำคัญ คาดว่าตอนนี้อาจเรทได้ถ้าไม่ล่มไปก่อน(หรือถ้าคนเขียนไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ตัวเองจะต้องมาแต่งตอน Y ช-ช เรทน่ะนะครับ...) เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ได้ชอบแนวนี้ โปรดอย่าอ่านเลยครับ เพราะถ้าเกิดคุณไม่พอใจขึ้นมา บางทีคุณอาจทำให้ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านคนอื่นๆ(ที่ยังเหลืออยู่...) ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน

    อย่างที่บอกผู้ที่จะอ่านโปรดทำใจรอรับเนื้อเรื่อง(และการดองมหากาฬ)ไว้ก่อนแล้วนะครับ




    แน่ใจแล้วนะ ?





    ช่างเถอะ .....

    เชิญอ่านได้เลยครับ



    "ผมซื้อกาแฟมาให้คุณนะครับ เบริล"   
    "นี่ ! ดูซิว่าภาพวาดของผมเสียหมดแล้ว ออกไปซะ !!"


             
    ปึง !!  และแล้วชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวก็ถูกขับไสไล่ส่งออกมานอกห้องพักของบุรุษศิลปินอีกผู้หนึ่ง แต่ก็ยังทิ้งกาแฟอุ่นๆไว้ในห้องนั้นเผื่อว่าเบริลจะเห็น ... ซีนอสยกมือขึ้นตบหน้าผากเบาๆก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามทางแคบๆในหอพักสู่ห้องของตนเอง

                ซีนอสทิ้งตัวลงบนเตียงขณะที่สายตาเหลือบไปมองรูปหนึ่งในกรอบบนที่วางข้างๆ มือแกร่งเอื้อมไปหยิบมันมาใกล้ก่อนจะค่อยๆลูบกระจกช้าๆอย่างโหยหา ... แววตาที่ส่งผ่านแว่นสายตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไร้กรอบช่างดูอ่อนโยนทว่ามีนัยแห่งความโศกเศร้าซึ่งปิดบังไม่มิด ไม่นานนักเขาก็วางกรอบรูปพลาสติกสีดำนั้นไว้ที่เดิม ก่อนที่จะถอดชุดคลุมสีขาวขว้างทิ้งไปตามยถากรรม

              เพล้ง
    ! ขวดแก้วบรรจุของเหลวใบหนึ่งถูกผ้าเนื้อหนาดึงให้ตกจากชั้นวางสูง มันเป็นสารใสสีฟ้าจางๆ โชคดีที่นั่นคือคอปเปอร์ (II) ซัลเฟต ไม่เช่นนั้นพื้นห้องไม้เก่าๆนี่อาจปล่อยให้บางสิ่งที่เคยอยู่ในขวดไหลหยดลงไปสู่ห้องอื่นๆชั้นล่าง ... ซีนอสพลิกตัวคว่ำลงก่อนจะคว้าหมอนสีขาวใกล้ตัวมานอนกอด เขาไม่ใส่ใจจะหาอะไรมาหนุนศีรษะนอกจากแขนข้างขวาของตนเองซึ่งมีแต่รอยถูกมีดกรีดบาดเต็มไปหมด ชายหนุ่มไม่สนใจกระทั่งจะถอดแว่นสายตาออกไปวางไว้ก่อน เพราะขณะนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะชะงักงันราวกับถูกพ่น LSD ใส่หน้า ...

                เบริลไม่เคยสนใจเขาเลย ... มีแต่จะตะคอกใส่ ทั้งที่ตอนอยู่ชั้นมัธยมก็เรียนมาด้วยกันตลอดแท้ๆ แถมตอนนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทอีกต่างหาก ร่างบอบบางที่ชวนให้ทะนุถนอม ผมสีน้ำตาลจางๆที่พลิ้วไปตามแรงลม ... เด็กหนุ่มที่เขาอยากจะปกป้องเอาไว้ แม้ว่าในตอนนั้นจะไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ... เขาก็รู้ตัวว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว ทว่าเมื่อเขารู้ใจตนเอง เบริลก็กลับโกรธเขาอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่เขาพยายามจะทำดีแล้วแท้ๆ ทั้งที่เขาพยายามจะช่วยเบริลในทุกๆอย่างแล้วแท้ๆ ...

                และแล้วหยดน้ำตาก็ไหลออกมาจากทำนบกั้น มือซ้ายเอื้อมไปหยิบมีดพกข้างกรอบรูปใส่กระจกหนา ก่อนจะบรรจงกรีดเพิ่มรอยตราอีกแผลบนลำแขนข้างขวาที่เขาใช้หนุนต่างหมอน ... เลือดสีสด หนึ่งในของเหลวที่เขาเคยนำมาทดลองค่อยๆรินลงบนผ้าปูเตียงสีขาวสะอาด ซีนอสหงายตัวขึ้นมองเพดาน แล้วจ้องมองหยากไย่ที่เขรอะอยู่แถบมุมห้องราวกับมันช่างน่าสนใจยิ่งนัก บาดแผลที่ตนทำให้เกิดค่อยๆสร้างความเจ็บปวดแปลบให้แก่เขา ช่างน่าแปลกใจที่มันบรรเทาความทุกข์ระทมในจิตใจของเขาได้มากมายนัก ... จนแทบจะเรียกได้ว่า
    'เป็นสุข' เลยทีเดียว


               
    โลหิตที่เจิ่งนองออกมาเอ่อท้นรอยบาดที่เริ่มเชื่อมประสานกันอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาสีเทาเหลือบไปมองมันอย่างไม่ไยดี ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยเกล็ดเลือดซึ่งเริ่มทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติอยู่ออก พลาสมาใสไหลนำออกมา และแล้วเม็ดเลือดแดงก็ทะลักจากแผลที่ใกล้ข้อมือขวาอีกคราเมื่อไม่มีกำแพงใดๆจะหยุดมันได้

                หยาดน้ำไหลรินออกมาจากต้นกำเนิดสามที่ สองที่คือดวงตาที่ไม่สนใจจะเช็ดคราบน้ำใสออก ส่วนอีกหนึ่งก็คือเลือดสีแดงฉานที่ค่อยๆเปรอะเปื้อนผ้าสีขาวให้เป็นด่างดวงช้าๆ ม่านตาสีเทายังคงเบิกโพลง ก่อนจะตัดสินใจหลุบมันลง ปล่อยให้น้ำตาหยดลงมาจากขอบตา ลมหายใจแห่งความโศกเศร้าค่อยๆถี่ขึ้น ... ก่อนจะกลับเป็นปกติช้าๆ

                ชายหนุ่มลุกจากเตียงเมื่อเลือดหยุดแล้ว พลันก็หันไปยังท้ายเตียง หยิบเอาเสื้อกาวน์สีขาวเปื้อนคราบสีฟ้าอ่อนมาสวมใส่อย่างลวกๆ มีหยดสีแดงบางหยดที่ไปเลอะถูกผ้าหนาสีขาว อย่างไรก็ตามซีนอสไม่สนใจมัน เขายืนขึ้น แล้วเริ่มต้นไล่นิ้วและสายตาค้นหาบางอย่างในขวดรูปชมพู่ใสที่วางอย่างเป็นระเบียบบนชั้นไม้โอ๊คสีซีดด้วยไอกรด ในที่สุดก็พบพานกับสิ่งที่เขากำลังค้นหา ...


    Tincture of Iodine


               
    ซีนอสหยิบขวดแก้วบรรจุของเหลวสีน้ำตาลเหลืองมา แล้วเปิดจุกเทราดรดลงไปบนรอยแผลจนหมดขวด



    fff


     

                เมื่อหลายปีก่อน เมื่อตอนที่เขากำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง

                ซีนอสในชุดนักเรียนมัธยมปลาย
    สีดำสนิททั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า - ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเคร่งขรึม แต่ประกายตาที่วาบวับก็ทำให้รู้ได้ว่าชายคนนี้กำลังพึงพอใจกับอะไรบางอย่าง ... หลายๆอย่าง ... แม้ว่ารสนิยมชอบความมืดมนจะทำให้ทักษะการแสดงอารมณ์เป็นสุขของเขาด้านชาไปนานแล้วก็ตาม ทว่าความพึงพอใจนี้กลับไม่ได้สื่อออกมาด้วยความตั้งใจ มันคือความรู้สึกที่ส่งออกมาโดยไม่รู้ตัวผ่านทางอากาศอันอบอุ่น ซึ่งสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจน

                เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินสีดำสนิทที่มีเส้นสีขาวประดับเป็นรอยริ้วจางๆในบางจุด กระเป๋าสะพายคล้ายของโรงเรียนสีดำสนิทที่ไม่ได้ปักตราใดๆลงไปวางไว้อยู่ข้างตัว ขาของชายหนุ่มไขว้กันหลวมๆ ปลายรองเท้าหนังสีดำมันขลับที่วางอยู่บนพื้นหญ้ากำลังกระดิกเล็กน้อยอย่างเริงร่าขณะที่เจ้าของร่างสูงกำลังฮัมเพลงทำนองโหยหวนอยู่ในใจ ต้นไม้สูงข้างเคียงให้ร่มเงาที่บดบังแสงสว่างไม่ให้แตะต้องผิวกายซีดเซียวของเขา อากาศค่อนข้างเย็นแล้ว แต่ความรู้สึกพอใจของเขากลับทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก    
      

                สายตาเหม่อลอยเพ่งมองไปยังอาคารเรียนด้านหน้า ตึกสามชั้นสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยด่างดำให้เป็นมลทินใดๆ       

                และร่างบางที่รอคอยก็วิ่งฝ่าสนามหญ้ามาทางเขา ...

                เมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองคอยอยู่กำลังวิ่งมาทางนี้ ซีนอสก็ยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นมาพาดบ่า แล้วออกเดินนำไปก่อน แต่เนื่องจากความยาวของขาที่แตกต่างกันทำให้คนที่อยู่ด้านหลังวิ่งตามมาไม่ทันสักที รอยยิ้มบนหน้าซีด ๆ นั้นแย้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้แกล้งคนที่ตัวเองห่วงใยที่สุด     

              "ซีนอส รอเดี๋ยวสิ !"      

                คนที่ถูกเรียกหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ดวงตาสีดำที่มักมีประกายความดุหลังกรอบแว่นในเวลานี้มองบุคคลที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มคอยส่งความห่วงใยไปให้ตลอดเวลา แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าเปรียบเสมือน
    'แก้ว' ที่ยังว่างเปล่า แต่เพราะความสนิทห่วงใยในแบบเพื่อนที่เต็มเปี่ยมกลับทำให้ไม่มีที่ว่างพอที่เขาจะใส่ความสัมพันธ์รูปแบบอื่นลงไปได้เลย    
          

                เบริลที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมปลายช่างดูสดใสร่าเริง แม้ร่างกายที่ดูบอบบางนั้นจะค่อนข้าง
    'อ่อนแอ' แต่ในสายตาเขามันเหมือนกับอัญมณีเม็ดน้อยที่ควรค่าแก่การปกป้อง            

                "นายก็เดินให้มันเร็ว ๆ หน่อยสิ" ซีนอสแหย่คนที่กำลังยืนหอบอยู่     
       

                "นายเดินเร็วไปต่างหาก" คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมาค้อนนิด ๆ


               
    อารมณ์รื่นเริงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างผอมบางหายไป ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเหลือบมองคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากจะให้คนคนนี้อยู่กับเขาตลอดเวลา อยากให้คนคนนี้คอยดูแลปกป้อง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของเขาเราคงไม่สามารถล้ำเส้นเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้อีกแล้ว


               
    น้ำตาของเบริลรื้นขึ้นทั้งที่คงไม่มีใครเห็น


               
    ... เรามาไกลได้แค่นี้


                   
    "นายร้องไห้ทำไม ?" ร่างสูงย่อตัวลงพลางพยายามจะสบตาด้วย ทว่าเท่าที่สำรวจพบคือรอยยิ้มฝืนๆบนใบหน้าสดใสเท่านั้น


               
    อัญมณีเม็ดน้อยยื่นมือมาให้ซีนอสจับไว้
    "ช่วยฉันหน่อยสิ ..."


               
    "ช่วยอะไร ?" นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองอย่างสับสนแต่ก็ไม่ปฏิเสธมือน้อยข้างนั้น เขากระชับมันไว้ไม่ให้หลุดจากไปไหน "การบ้าน ถือกระเป๋า ... ?"


               
    "ไม่ใช่" เสียงหัวเราะเริงร่าดังขึ้น "ก็แค่ ..."


               
    ซีนอสรู้สึกว่าผิวหน้าซีดเซียวของตนเองเริ่มมีเลือดสูบฉีดขึ้นเมื่อมือของเบริลจับเขาไว้แน่นเช่นกัน ... ราวกับทั้งสองปรารถนาในสิ่งเดียวกันก็ไม่ปาน ...


               
    "พาฉันไปส่งบ้านทีนะ" เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนจางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ...

                ... กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลสดสวยกลับดูว่างเปล่า



    fff



               
    ดวงตาสีดำว่างเปล่าจดจ้องไปที่บานประตูไม้ซึ่งกำลังปิดอยู่ทำให้มองไม่เห็นว่าภายในเป็นอย่างไร ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะเปิดประตูนี้เข้าไปแล้วทักทายคนที่อยู่หลังประตูบานนี้


               
    .....แต่เขาทำไม่ได้


               
    เป็นเพราะอะไรนั้นเขาก็ไม่ทราบตัวเองเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะอายที่จะต้องอยู่กับคน ๆ นั้นสองต่อสอง หรือว่าเขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง กลัวที่จะต้องมองตาเขาตรง ๆ


               
    ตั้งแต่วันไหนกันนะ ? ที่เขากับเบริลเริ่มห่างเหินกัน ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนนี้ตัวเขาคงพูดคุยกับเบริลอย่างสนุกสนานได้โดยไม่คิดอะไร เป็นเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้ เพราะอะไรกัน......


               
    มือซีดกำหมัดแน่นเหมือนพยายามระงับความอยากของตัวเองไว้เพียงเท่านี้ ถึงเขาจะไม่รู้เหตุผลที่ทำให้เขาห่างเหินจากคนที่รัก แต่เขารู้ว่าตัวเองควรหยุดอยู่กับที่ได้แล้ว เขาไม่ควรเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาต้องการ ไม่เช่นนั้นแล้วเส้นทางนี้อาจไปทับเส้นทางความสุขของใครบางคน.... คนที่เขาไม่อยากเห็นความเศร้า ไม่อยากเห็นความทุกข์ในดวงตาและและจิตใจ


               
    "......เบริล"


               
    ช่างเสียงที่เบาราวกับกระซิบกันตนเอง ไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน คงไม่มีใครได้ยินคำพูดในหัวใจของเขาอย่างแน่นอน แม้อยากจะตะโกนออกไปให้ใครต่อใครรับรู้ แต่ก็คงทำได้เพียงเท่านี้


               
    ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งพิงประตูไม้ที่น้ำตาล ภาพกำแพงสีหม่นตรงหน้าเขาช่างเหมือนภายในจิตใจอันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสีสันอันสดใสใด ๆ และไร้ซึ่งความอบอุ่นที่คอยโหยหาจากใครบางคน


               
    บรรยากาศทีที่เศร้าหมองนี้ ทำให้คนที่แอบมองอยู่ที่มุมทางเดินเหมือนรู้สึกคล้อยตามไปกับความเศร้านี้ด้วย สายตาสีน้ำทะเลดูหม่นหมองลงไปเมื่อเห็นความเศร้าตรงหน้า


               
    .....ช่างเป็นความเศร้าที่ดูทรมานเหลือเกิน.....


             
    วิลแซ็คถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาได้เห็นแล้วว่าความทุกข์จากสิ่งที่สวยงามเป็นอย่างไร


               
    "จะเอายังไงต่อกับคู่นี้ดีละ"


               
    ชายในชุดดำเดินออกมาจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง พลางพูดกับสิ่งที่เดินตามมาข้าง ๆ ตัว เสียงกระดิ่งดังเป็นจังหวะตามการก้าวขาของสิ่งมีชีวิตสีดำสนิท


               
    "งานคุณ หัดคิดเองบ้างไม่เป็นเหรอครับ?"


               
    "มันก็เป็นงานของคุณด้วยไม่ใช่เหรอครับ?"


               
    เจ้าแมวดำเงยหน้าขึ้นมามองพลางส่งสายตาตำหนิมาให้


               
    "ไม่ต้องมามอง คิดอะไรได้ก็รีบ ๆ บอกมา"


               
    ผู้ร่วมงานจำเป็นก้มตัวลงไปอุ้มอาจารย์ตนในร่างแมวมาไว้ระดับอก เจ้าแมวดิ้นทำท่าไม่พอใจนิด ๆ พอเป็นพิธีก่อนเงยหน้ามองคนอุ้มอย่างไม่พอใจ


               
    "พูดกับผู้อาวุโสกว่าแบบนี้ได้ยังไงครับ"


               
    "มีความคิดดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ" น้ำเสียงดูเหมือนจะเริ่มมีการปะทุนิด ๆ


               
    ผู้ที่อาวุโสกว่าแยกเขี้ยวนิด ๆ มันไม่ได้ขู่ แต่เหมือนพยายามจะยิ้มในร่างแมว ก่อนเอามือ(ขาหน้า)ตบอกคนตัวใหญ่อย่างมีชัย


               
    "เดี๋ยวคุณก็รู้เอง"


               
    พูดจบก็กระโดดขึ้นไปเกาะไหล่กว้างอย่างสวยงาม


               
    "ช่วยทำตัวให้เหมือนแมวสักวันได้ไหมครับ"


               
    "ยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว....."

                เวนเจียนซ์มองไปยังทิศทางที่เขาเพิ่งเดินออกมา พลางส่ายหน้ากับการกระทำของคนคู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะหอคอยบาเบลจึงทำให้มนุษย์สื่อสารกันยากเย็นเพียงนี้


               
    บรรยากาศที่หน้าประตู แม้จะดูเศร้าหมองและชวนให้ปวดร้าวเพียงใด แม้จะดูเหมือนปกคลุมไปด้วยความมืดมนมากแค่ไหน แต่เบื้องหลังประตูบานทึบ บานที่ยังปิดสนิท ซึ่งควรจะมีแสงสว่างและสีสันอย่างที่ชายหนุ่มผมดำคาดไว้ ก็กลับไม่ได้อยู่ในสภาพที่ควรจะเป็น...


               
    ...ไม่ใช่ว่าผู้ควรเต็มไปด้วยความสดใสและรื่นเริง จะตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานไม่ได้


             

                เสียงลมหายใจแผ่วๆของใครบางคนที่อีกฟากของประตูห้องทำให้อวัยวะขนาดพอกับกำปั้นใต้กระดูกซี่โครงของเขาเต้นตุบดังขึ้นผิดจังหวะ ชายหนุ่มลุกจากเตียงแล้วย่องไปช้าๆด้วยไม่หมายให้ใครบางคนข้างนอกนั่นได้ยินเสียง เขาแนบใบหน้าลงกับบานประตูไม้ซึ่งกำลังปิดอยู่ มือทั้งสองแผ่ราบไว้เช่นกัน เขาเองไม่ได้อยากให้มีประตูบานไม้นี่กั้นกลางอยู่เลยสักนิด แต่ในเมื่อเราเดินมาผิดทางเสียแล้ว สิ่งนี้ก็จำเป็นแก่การกีดกันไม่ให้เส้นที่ควรจะคู่ขนานมาบรรจบกันอีก


               
    ท่าทางราวกับโหยหาไออุ่นจากคนข้างนอกนั่นเต็มทีของตัวเองทำให้ชายหนุ่มชะงักถอยหลังมาสองสามก้าวแล้วหยุดยืนนิ่ง ม่านตาสีน้ำตาลอ่อนรื้นด้วยน้ำใสๆ สองแขนกอดร่างบอบบางของตนราวกับการดำรงอยู่นี้อาจจางหายไปได้ทุกขณะ


               
    เบริลทิ้งร่างของตนลงบนเตียงสีขาว รู้ทั้งรู้ว่าคนคนนั้นอยู่ห่างแค่เอื้อม แต่ความกล้าของเขาก็มีไม่มากพอ เขาไม่ใช่คนคนเดียวที่สนใจในคนคนนั้น ทว่ามีคนอื่น ... ที่เหมาะสมกว่า ทั้งฐานะ สังคม นิสัย และที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์แบบนั้นจะเป็นความสัมพันธ์ตามสมควรของสังคม ซึ่งจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากเขาและใครคนนั้นใจตรงกันขึ้นมา


               
    ชายหนุ่มหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาที่รื้นขึ้นไหลรินอาบนวลแก้ม สักพักจึงหรี่ตาขึ้นเหลือบมองไปทางประตูที่ยังคงปิดสนิท ร่างกายอุณหภูมิปกติกลับรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นฉับพลัน ซึ่งมั่นใจได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของอากาศ หากเกิดจากความสับสนในจิตใจมนุษย์


               
    เขาไม่รู้ ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ... ว่าคนอีกฟากฝั่งของประตูจะยังจำความหลังเก่าๆเหล่านั้นได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของการเพียรตามหาเขาทุกวันนั้นคืออะไรกันแน่ เขาไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะตัวเขาก็ทำผิดต่อคนคนนั้นมามาก สักวันคนที่อยู่อีกฟากของประตูจะต้องแน่ใจว่า ความรู้สึกที่ เคย มีต่อเขานั้นเป็นแค่ภาพมายาลวงโลกแห่งความพร่ำเพ้อ


               
    มันไม่เหมาะ มันไม่ควร มันไม่สมควรอย่างยิ่ง... กระนั้นก็ยังตัดใจไม่ได้ ความผูกพันระหว่างกันมีมากเกินกว่าที่จะตัดลงได้ง่ายๆเพียงแค่หักห้ามความคิด เขาพยายามจะห้ามตนเองมาตลอดหลายปี แต่ก็ยังไม่สำเร็จ


               
    หัวใจดวงนี้มันผิดบาปเอง ที่ลืมใครบางคนนั่นไม่ลง



              ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงสถิตย์อยู่จริงแล้วไซร้ ขอได้โปรดประทานความกล้าให้แก่ข้าพระองค์ เพื่อทำในสิ่งซึ่งความต้องการเบื้องลึกเรียกร้องมาโดยตลอดด้วยเถิด


               
    ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์สถิตย์อยู่จริงแล้วไซร้ ข้าพระองค์คงต้องน้อมรับบทลงโทษนี้
    โดยดุษณี เนื่องด้วยสิ่งซึ่งความต้องการเบื้องลึกของข้าพระองค์เรียกร้องนั้นช่างผิดบาป ... นับเป็นอนันตริยกรรมโดยแท้


               
    ทว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์มิได้สถิตย์อยู่จริงแล้วไซร้ ...


               
    ... คงไม่มีความหวังใดๆหลงเหลือไว้ให้แก่ข้าพระองค์อีกเลย



               
    เสียงกระซิบหนึ่งดังแว่วจากอีกฟากฝังของประตูที่ปิดสนิทล่องลอยไปในอากาศร้องเรียกชื่อของเขา
    ...แม้จะแผ่วเบา แต่คำสั้นๆนี้ก็ดังก้องอยู่ในหัวใจของใครคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นปรารถนาจะให้ได้ยินที่สุด


               
    ชายหนุ่มในห้องกัดริมฝีปากจนเลือดซึม ความรุ่มร้อนในอกมันมากเกินกว่าจะทานทนไหว เขาหันไปทางประตูบานทึบ หากกำแพงแห่งการควบคุมตนพังทลายไปเมื่อใด เขาคงรีบถลาไปหาคนที่อยู่อีกฝั่งฟากเพื่อให้ช่วยปลดปล่อยความทรมานนี้เป็นแน่


               
    มันผิด มันบาป มันไม่ควร ไม่เหมาะสม ... เบริลพร่ำบอกตนเองในใจ ซ้ำไปซ้ำมาจนสติเริ่มพร่าเลือนด้วยความทุกข์ระทม ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาที่ไม่สมหวังทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงสีขาว ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงขณะปล่อยให้มโนจิตล่องลอยไปตามความต้องการของตน


               
    ถึงจะพยายามหักห้ามเพียงใด


               
    อนิจจา ... หัวใจดวงนี้กลับไม่เคยฟังเลยสักที


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ดีครับ กระผมมิวมิวเอง ในที่สุดก็ได้กลับมาดูแลนิยายตัวเอง 555+
    ปัจจุบันยังใช้คอมพี่อยู่ นี่ลงทุนแอบเอามาลงให้เลยนะ (ตั้ง7หน้าแนะ - -")

    สวัสดีครับทุกท่าน
    ทำไมมันล็อกอินพร้อมกันสองคนได้แฮะ.... (Star* of Radiance แก้ไขการเว้นช่วงที่อ่านแล้วพิลึกๆ- -")
    ถ้ามีอะไรแปลกๆก็ช่วยทักทีนะครับ บางทีมันอาจเพราะผมสองคนใช้เวลาครึ่งปีปั่นจนเบลอเองน่ะ แหะๆ (ครึ่งปีนี่เรียกว่าปั่น??) (ใช่แล้วเอื้อ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×