คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Working 2 ... My Heart Will Go On
เปิดเพลงเพื่อเพิ่มอรรถรส
Every night, In my dreams, I see you, I feel you, that is how I know you, go on. ทุกค่ำคืน ... ในความฝันของฉัน ฉันได้เห็น และรู้สึกถึงเธอ ทำให้ฉันได้รู้จักเธอ ... ยังดำเนินไป
Far across the distance and spaces between us, you have come to show you go on. ห่างไกลออกไป และข้ามช่องว่างระหว่างเรา ... เธอได้ก้าวเข้ามา และแสดงให้เห็นว่าเธอยังคงก้าวต่อไป ... เรื่อยไป
Near, far wherever you are, I believe that the heart does, go on. ใกล้หรือไกล ... แม้ว่าเธอจะอยู่ที่ใด ... ฉันเชื่อว่าหัวใจฉันจะก้าวไปหา
Once more, you open the door and your here in my heart and, my heart will go on and on. อีกครั้งหนึ่ง ... ที่เธอได้เปิดประตูและเข้ามาอยู่ภายในจิตใจของฉัน ทำให้หัวใจฉันก้าวต่อไป ... เรื่อยไป
Love can touch us one time and last for a life time, and never let go till we're gone. รักเพียงสัมผัสเราครั้งเดียว ก็จะดำรงอยู่ไปตลอดชั่วชีวิต และไม่จากไปไหนนอกจากเรา ... จะเป็นฝ่ายเดินจากไปเสียเอง
Love was when I loved you, one true time, I hold too; in my life we'll always go on. ความรักคือ ... เมื่อฉันรักเธอ ... มันเป็นความจริงแม้เพียงครั้งเดียว ฉันจะยึดมันใส่ไว้ในชีวิตของฉัน และเราจะก้าวต่อไป... เรื่อยไป
Near, far wherever you are, I believe that the heart does, go on. ใกล้หรือไกล ... แม้ว่าเธอจะอยู่ที่ใด ... ฉันเชื่อว่าหัวใจฉันจะก้าวไปหา
Once more, you open the door and your here in my heart and, my heart will go on and on. อีกครั้งหนึ่ง... ที่เธอได้เปิดประตูและเข้ามาอยู่ในใจฉัน ทำให้หัวใจฉันก้าวต่อไป... เรื่อยไป
You're here, there's nothing I fear, and I know that my heart will go on. เวลาที่เธออยู่กับฉัน ฉันจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และฉันรู้ว่าหัวใจฉันได้ก้าวต่อไป... เรื่อยไป
We'll stay forever this way, you are safe in my heart and, my heart will go on and on. เราจะอยู่ด้วยกันในเส้นทางนี้ตลอดไป เธอจะอยู่อย่างปลอดภัยในใจฉัน และใจของฉันจะก้าวต่อไป ... เรื่อยไป ... ตลอดกาล
fff
วิลแซ็คนั่งอยู่ในห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างสุดเซ็ง เคยมีคนบอกกันว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ใช้ในชีวิตประจำวันและฝึกการให้เหตุผล มันคงจะจริงถ้ามันเป็นโจทย์ระดับประถมประมาณว่า "ถ้าผักกิโลกรัมละ 5 บาท ขายไปได้ 20 กิโลกรัม จะขายได้ทั้งหมดเท่าไร" แต่ไอ้วิชาคณิตศาสตร์ที่นั่งเรียนอยู่ตอนนี้มันคงไม่มีใครเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันเป็นแน่
อาจารย์ร่างท้วมเขียนโจทย์บนกระดานไวท์บอร์ดด้วยลายมือที่ต้องเป็นระดับนายแพทย์เท่านั้นที่เขียนได้ หรือก็คือลายมือที่อ่านไม่ออก "ถ้ากำหนด p(x+2) = 3x2 + 10x +3 แล้วค่าของ p(2x)เท่ากับเท่าใด" ใครมันจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันวะ!
ร่างสูงนั่งควงปากกาเล่น ส่วนเพื่อนรักผมเทานั้นตอนนี้มันคงไปเฝ้าจีซัส ไครสต์แล้ว ส่วนสาเหตุที่มันไม่สามารถไปเฝ้าพระอินทร์คงเนื่องมาจากมันนับถือคริสต์ วิลแซ็คถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าเฟย์มันจะนั่งเรียนวิชานี้ได้ ถ้าไม่โดดก็หลับ ดีนะที่มันทำข้อสอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิวทุกครั้ง ไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งหลับนอนหลับอยู่ในห้องเรียนนี้แน่นอน
"นักเรียนทุกคนคงชินกับโจทย์แบบนี้แล้ว ต่อไปเราจะไปต่อยอดกันต่อในเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้" อาจารย์พูดอย่างเนิบ ๆ เหมือนกำลังร้องเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งมันคงได้ผลอย่างรุนแรง เพราะกว่า 70% ในห้อง กำลังฝันดีได้ที่
วิลแซ็คมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนที่ทำบ่อย ๆ
อะไรมันจะน่าเบื่อขนาดนี้นะ !?
จิตใจพาลก็นึกไปถึงภารกิจนักเปียโนเมื่อคราวก่อน ... เขายินดีจะไปนั่งอ่านตัวขยุกขยุยบนเส้นห้าเส้น กับตัวย่อภาษาอิตาลีมากมาย ดีกว่าจะตั้งมานั่งเหม่อฟังบ้าอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห้องเรียนร้อน ๆ อย่างนี้ !
สายตาเหลือบไปยังแอร์คอนดิชั่นซึ่งเคยเปิดอยู่เสมอๆในช่วงฤดูร้อน ... น่าเสียดายที่วันนี้มันดันเสีย ทำให้วันนี้นักเรียนทั้งหลายต้องเรียนกันในห้องที่ใกล้ชิดกับบรรยากาศธรรมชาติมากขึ้น จะไม่ว่าเลยถ้าตอนนี้เป็นกลางเดือนธันวาคม
ในที่สุดหลังจากฟังเพลงกล่อมเด็กจากอาจารย์คณิตศาสตร์มาหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ เสียงของกระดิงสวรรค์ก็ดังขึ้นจนได้ นักเรียนที่ไปเฝ้าศาสดากระเด้งตัวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง บ้างก็บิดตัวไปมา บ้างก็ยังหาวหวอดอยู่ คนที่ฝืนตาตื่นอยู่ก็แทบจะกระโดดร้องไชโยเมื่ออาจารย์พาร่างท้วม ๆ เดินออกไปจากห้อง ทุกคนในห้องเบิกบานที่จะได้เรียนวิชาต่อไป
หากสังเกตที่ร่างสูงริมหน้าต่าง ซึ่งตอนนี้กำลังเครียดเนื่องจากวิชาต่อไปที่ต้องเจอคือวิชา "ประวัติศาสตร์"!!! แถมดูเหมือนช่วงหลัง ๆ มานี้อาจารย์ร่างจ้อยแทบไม่สนใจกับการสอนแต่อย่างไร มัวแต่เอาเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ทางโรงเรียนให้มายุ่งกับตัวเขา สาเหตุที่คนอื่น ๆ ชอบวิชานี้คงเนื่องมาจากอาจารย์ประจำชั้นให้วิชานี้เป็นช่วงอิสระเต็มที่ ยังไม่พอทุกครั้งที่มีการทดสอบ แม้เด็กในห้องนี้จะส่งกระดาษเปล่า แต่ก็ยังได้คะแนนตั้ง 80% ตกลงแกมาเป็นอาจารย์ทำไม!!!
"สวัสดีครับ นักเรียนที่น่ารักทุกคน วันนี้ผมมีข่าวมาแจ้งนิดหน่อยนะฮะ"ร่างเล็ก ๆ เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี เหมือนดั่งทุกวัน ร่างเล็กอยู่ในชุดสีดำล้วนและใส่ปลอกคอสีแดงสดใส "คือการทดสอบเรื่องยุคจักรวรรดินิยมคงต้องเลื่อนไปวันอื่นก่อนเพราะวันนี้ครูต้องไปนั่งทำเอกสาร ทุกคนอ่านหนังสือกันเองนะครับ" รางเล็กโปรยยิ้มอย่างน่ารักให้กับทุกคน
"อ๊ะ! วิลแซ็คครับช่วยมาจัดเอกสารที่ห้องผมได้ไหมครับ?" เวนเจียนซ์เดินมาที่โต๊ะของคู่หู พลางกุมมือไว้ที่หน้าอกแล้วส่งสารตาวิ้ง ๆ เหมือนในการ์ตูนผู้หญิงไปให้คนที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งกินทุเรียนที่ยังไม่แกะเปลือกเข้าไปทั้งลูก
"ทำไมต้องเป็นผม"วิลแซ็คจ้องตากลับอย่างเอือมระอา
"ก็เพราะผมสนิทกับคุณที่สุดแล้วนี้ครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณหึงผมเวลาที่ผมไปกับใครด้วย" ร่างเล็กตอบกลับโดยไม่อายสายตาคนรอบข้างเลย
"ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องหึงคุณหรอกครับ" วิลแซ็คเริ่มชินกับสายตาของเพื่อนร่วมห้องแล้ว แต่ก็ยังรับไม่ได้กับวิชาการละครของคนตรงหน้า "ไปก็ได้ครับ"
"ขอบคุณครับ" ร่างเล็กเริงร่าอย่างอารมณ์ดีเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ๆ พอร่างสูงลูกขึ้นยืน อาจารย์ตัวน้อยก็รีบไปคล้องแขนคนตัวใหญ่แล้วเดินออกมาอย่างสบายอารมณ์
ปล่อยให้คนในห้องเปิดประเด็นข่าวร้อนกันต่อไป...
หลังจากเดินออกจากห้องมาได้สักพักแล้ว วิลแซ็คก็พยายามแกะมือปลาหมึกน้อยออกจากตัวเต็มที่ พลางพูดลอดไรฟันออกมาอย่างเคือง ๆ "เลิกเกาะผมได้เริ่มครับ แล้วทำไมต้องตั้งรหัสคำว่า 'หึง' เป็นการออกทำงานละครับ คำอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ"
"ก็ทำไมไม่บอกละครับ งั้นต่อไปเอาคำว่า 'รัก' แทนไหมครับ ?" เวนเจียนซ์พูดออกไปอยากไม่ได้สังเกตอารมณ์ของคู่สนทนาเลย แถมยังเอาแก้มไปแนบกับลำแขนอีก ทำให้วิลแซ็ค ระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่
"เปลี่ยนเป็นการชกหน้าเลยดีกว่ามั้งครับ !" ร่างใหญ่เดินกระแทกเท้าไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ตัวจ้อยขณะพยายามสะบัดปลาหมึกน้อยที่แขนอย่างเต็มที่
fff
'คำว่า "ความรัก" เป็นคำที่มีความหมายไม่ตายตัว เป็นนามธรรม ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่ามันคือสิ่งใด มันอาจเป็นได้ทั้งสิ่งดีที่ทำให้เราสุขและสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ หลายคนอยากรู้ว่าความรักคือสิ่งใดกันแน่ แต่ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์'
สายตาสีอ่อนไล่ไปตามตัวหนังสือ หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาไปได้สักพัก เมื่อเห็นว่าหนังสือตรงหน้ามันก็เป็นเพียงหนังสือที่ไม่ได้ความเล่มหนึ่ง หญิงสาวร่างบางแต่ดูมีความแข็งแกร่งอยู่ภายในวางหนังสือเล่มหนาไว้ที่ชั้นวางดังเดิม พลางไล่นิ้วไปที่หนังสือเล่มอื่น ๆ ต่อ สายตาที่ดูอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความดุดันไล่ไปตามสันหนังสือสีต่าง ๆ ดูลายตา
นิ้วเรียวหยุดที่หนังสือปกสีสีกรมท่า ตัวหนังสือสีทองสลักไว้ที่ข้างสันหนังสือเป็นภาษาฝรั่งเศส "Émotion de l'amour" ดูแล้วก็น่าสนใจ เธอหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมากางไว้บนมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งก็วางไว้บนหนังสือ หลังจากอ่านหนังสือจิตวิทยาเป็นภาษาฝรั่งเศสไปสักพัก เธอก็อมยิ้มออกมานิด ๆ สายตาเธอหยุดกับตัวอักษรตัวใหญ่ที่พิมพ์ไว้กลางหน้า
Affliction ou Bonheur (ความทุกข์หรือความสุข)
บทความได้กล่าวถึงด้านสองด้านของความรัก ทั้งความสุขและความทุกข์ แม้คำศัพท์ต่าง ๆ ในหนังสือยากจนหน้าปวดหัว แต่สำหรับเธอมันช่างเป็นหนังสือที่สนุกจริง ๆ หลังจากที่อ่านไปได้สักพัก มือบางก็ปิดหนังสือลง แล้วเดินไปที่แคชเชียร์
ภายในร้านหนังสือที่ตั้งใจกลางย่านชุมชน ภายในถูกตกแต่งบรรยากาศที่ค่อนข้างดูหม่นหมอง แต่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากจนเกินไป ตามชั้นหนังสือมีแต่หนังสือระดับวิชาการที่ถูกแบ่งไว้เป็นสัดส่วน (จะแบนก็แบนไป) ไม่พบหนังสือประเภทนิยายอ่านแก้เครียดแต่อย่างไร จึงไม่ค่อยแปลกที่ทำไมภายในร้านจึงดูค่อนข้างโล่ง
วิลแซ็คลอบมอง 'เหยื่อ' ของตัวเขาจากชั้นหนังสือหมวด "ประวัติศาสตร์โลก" หลังจากที่เห็นเป้าหมายขยับตัว ร่างสูงก็หันไปทางอาจารย์ของตนที่กำลังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์กรีกโรมันอย่างเมามัน พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"ไปได้แล้วครับ" ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ก็ตวัดไปแย่งหนังสือเล่มโตมาจากมือเล็ก ๆ พลางเก็บไว้ตามชั้นที่เดิม สายตาของคนตัวเล็กหันมามองอย่างเคือง ๆ "ผมต้องรีบกลับไปเรียนวิชาคาบบ่ายต่อนะครับ" สายตาสีน้ำทะเลจ้องกลับโดยไม่ได้กลัวเลยสักนิด
"ก็ลาหยุดสะสิครับ เดี๋ยวผมเขียนใบลาให้ก็ได้" เวนเจียนซ์ตอบกลับอย่างเคือง ๆ แล้วส่งสายตาดุ ๆ ไปให้ลูกศิษย์ของตน
ร่างสูงเอามือกุมขมับ อยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าถึงมาเป็นอาจารย์ได้ ทั้งปัดความรับผิดชอบ ช่วยเหลือนักเรียนโดยไม่ชอบธรรม (?) แล้วยังชอบละเลยการสอนอีก (แต่ถ้ามีอาจารย์แบบนี้จริงก็... ดีนะ)
"ขอถามอะไรหน่อยสิครับ ตอนสมัครเป็นอาจารย์คุณใช้เวทมนตร์สะกดจิตคนรับสมัครหรือเปล่า? "วิลแซ็คนึกภาพของอาจารย์ร่างจ้อยกำลังแกว่งลูกตุ้มต่อหน้าผอ.อยู่
"ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย" ร่างเล็ก ๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นตามกางเกง "แค่เสกปริญญาปลอมกับประวัติปลอมเท่านั้นเอง"
วิลแซ็คเอามือตบหน้าผากอีกครั้ง 'มันแย่กว่าเก่าอีกโว้ย!!!' ถ้าเกิดจู่ ๆ คนตรงหน้าถูกจับข้อหาปลอมแปลงเอกสารเขาก็คงเป็นคนแรกที่จะไม่แปลกใจอะไรเลย "ไปเถอะครับ เดี๋ยวเป้าหมายของเราจะหายไปซะก่อน" วิลแซ็คพยายามลืมเรื่องก่อนหน้าแล้วหันมาสนใจงานปัจจุบันก่อน ตอนนี้เหยื่อของพวกเขากำลังเดินออกจากร้านไปแล้ว
"เธอชื่อลีฟ รีมิน่า เป็นนักศึกษาปริญญาเอก คณะอักษรศาสตร์ ลักษณะเด่นคือเธอมีความรู้ทางด้านภาษาฝรั่งเศส และเยอรมันครับ" เวนเจียนซ์บรรยายรายละเอียดของเป้าหมายอย่างละเอียดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีโพย ไม่รู้ว่าในสมองมีเมมโมรี่อยู่หรือไง ถึงจำอะไรได้เยอะนัก
"แล้วคู่ของเธอละ" ร่างสูงที่เปลี่ยนเสื้อเป็นชุดทำงานสีเดียวกับอาจารย์ข้าง ๆ ทั้งตัวถามกลับอย่างห้วน ๆ
"เดี๋ยวคุณก็เจอเองครับ" ร่างเล็กที่ตอนนี้เปลี่ยนร่างเป็นแมวน้อย เดินตามชายร่างสูงพลางร้องหง่าว ๆ ผู้คนรอบข้างเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนไม่ได้เห็นแมวตัวนั้น
หญิงสาวผมสีฟาง ประกอบกันผิวที่ขาวซีด เมื่อมาต้องแสงแดดยามเที่ยงวัน ทำให้ร่างของเธอดูซีดมากขึ้นไปอีก รวมทั้งดวงตาที่น้ำตาลอ่อน ๆ ทำให้เธอดูไร้จิตวิญญาณ แต่เพราะรูปหน้าที่อ่อนหวานและท่าทางการเคลื่อนไหวที่เหมือนดอกหญ้าต้องสายลม ภาพโดยรวมแล้วเธอถือว่าเป็นหญิงสาวที่สวย แต่ไม่ได้สวยแบบพญาหงส์ เธอดูสวยแบบน้ำค้างกลางแสงตะวันที่ไม่ได้เหือดแห้งไป ดูอ่อนหวาน น่าปกป้องไม่ให้แตกสลาย
หญิงสาวเดินไปตามทางริมถนน แสงแดดยามเที่ยงที่ส่องลงมาแรงจัด จนทำให้หน้าเธอแดงนิด ๆ เพราะความร้อน หลังจากที่เดินออกจากร้านหนังสือไปสักพักหนึ่ง เธอตัดสินใจแวะที่ร้านกาแฟเพื่อรอให้แสงแดดอ่อนกว่านี้ก่อน
เสียงกระดิ่งดังขึ้น เมื่อประตูกระจกถูกผลักเข้าไปในร้าน ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไหลออกมาสู่ผ่านนอก เพราะความกดอากาศที่ต่างกัน ชายเจ้าของร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ร่างระหงเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง เพื่อจะได้มีแสงสว่างพอมาอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่
ถัดไปจากที่นั่งของหญิงสาว บุคคลในชุดดำสองคนกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ เวนเจียนซ์ต้องกลับร่างเป็นมนุษย์เพราะตรงประตูทางเข้ามีป้ายแปะหราไว้ว่า "ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า" นอกจากนั้นเขาก็ยังมีอีกเหตุผล
"ขอดับเบิ้ลช็อกโกแลต แบล็คฟอร์เรส ช็อกโกแลตทรีโอ พุดดิ้งช็อกโกแลต ช็อกโกแลตเย็น แล้วก็ช็อกโกแลตซันเดย์ครับ" อาจารย์ตัวน้อยสั่งอาหารกับบริกรสาวโดยที่ยังไม่ได้เปิดเมนูเลยแม้แต่หน้าเดียว หลังจากที่บริกรจดรายการอาหารอันหวานเลี่ยนหมดแล้วจึงหันมาทางชายอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าเบื่อหน่าย
"กาแฟดำครับ" หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ โดยหันมามองทั้งคู่ด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งวิลแซ็คก็คงจะเข้าใจกับความหมายในสายตานั้น เลยส่งสายตาที่มีความหมายไปว่า 'ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด' กลับไปให้
แม้ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยง แต่ภายในร้านแห่งนี้ยังมีลูกค้านั่งอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ถึงแน่นร้าน ส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าพนักงานขายของ หรือคนที่นัดกันมาทำธุรกิจ การค้า
"ช่วยเล่าประวัติของคุณลีฟและคู่ของเธอทีสิครับ" หลังจากนั่งเงียบมาได้สักพัก วิลแซ็คก็เป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน เพราะถ้าจะรอให้อีกฝ่ายพูดอาจต้องรอจนกว่าพระอาทิตย์จะตก
ร่างเล็กที่หันออกไปมองนอกหน้าต่าง หันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ถามสักพัก ก่อนจะหันกลับไปมองบรรยากาศภายนอกแล้วค่อยเอ่ยปากพูดออกมา "อืม... ประวัติของเธอก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนคู่ของเธอผมก็ยังไม่เคยเห็นหน้าครับ รู้สึกจะชื่อดีเอทริช ไอรันเดียร์ เป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับเธอและเป็น... คนรักเก่าของเธอ" คำสุดท้ายที่ออกมาจากริมฝีบากนั้นเบามาก แต่ผู้ที่นั่งฟังอยู่ก็ยังได้ยินชัดเจน
"หมายความว่า.."ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดต่อ บริกรสาวก็ยกรายการอาหารมาให้ทั้งคู่ ซึ่งกว่า90เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นอาหารสุดเลี่ยนที่คนหนึ่งเกลียดแต่อีกคนหนึ่งชอบ
"อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะคะ" คำพูดที่ต้องพบทุกครั้งเวลาเข้าไปในร้านอาหารกล่าวขึ้น ก่อนที่บริกรสาวจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง
"เดี๋ยวนะครับ หมายความว่าไงที่เป็นคนรักเก่า" วิลแซ็คถามคำถามที่ค้างเอาไว้ออกไป
"ก็หมายความว่าเคยคบกันมาก่อนไงครับ แค่นี้ไม่เข้าใจหรือครับ?" เวนเจียนซ์เริ่มสวาปามกองอาหารสุดเลี่ยนโดยไม่สนอีกคนเลยแม้แต่นิดเดียว
"ไม่ใช่แบบนั้น แต่พวกเราต้องไปทำให้คนอื่นรักกัน ทั้ง ๆ ที่อาจยังไม่เคยรู้จักกันหรือว่าไม่ถูกกัน แบบนั้นมันค่อนข้างผิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่หรือครับ"
ร่างเล็กชะงักไปนิดหน่อยกับคำพูดที่ได้ยิน ก่อนจะหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
"คุณยังไม่เข้าใจหรือครับว่าเราต้องทำงานอะไร"
"เข้าใจว่าเราต้องทำให้ผู้อื่นรักกัน แล้วทำไมหรือครับ?" วิลแซ็คตอบกลับ "แต่ทำแบบนี้อะไรเป็นตัวกำหนดหรือครับ"
อาจารย์ตัวน้อยวางมือกับอาหารตรงหน้าแล้วส่งสายตาสีดำไปให้ผู้สงสัย
"แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นตัวกำหนดงานของเราสินะครับ"
"ใช่" เจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลตอบกลับ
"สิ่งที่เราต้องทำนี้ ถูกกำหนดมาตายตัวแล้วครับ เราคือผู้ทำตามสิ่งที่ถูกกำหนด" ดวงตาสีดำเสมองออกไปนอกหน้าต่าง
"แสดงว่าเรื่องความรัก บางคนได้ถูกกำหนดมาแล้วหรือครับ" วิลแซ็คจิบกาแฟเล็กน้อยขณะรอให้อีกฝ่ายตอบคำถามของเขา
เวนเจียนซ์หันกลับมายิ้มให้อีกฝ่าย แล้วหัวเราะนิด ๆ กับท่าทีลูกศิษย์ตัวเอง
"คุณยังเข้าใจผิดอยู่นะครับ ที่จริงแล้วทุกอย่างบนโลกถูกกำหนดตายตัวแล้ว และมนุษย์ทุกคนก็คือนักแสดงที่ต้องคอยแสดงตามบทบาทที่ได้รับ ที่จริงคำว่า 'บังเอิญ' ไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้แต่อย่างไร พวกมนุษย์คิดไปเองว่าสิ่งที่เราเจอนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีใครเคยรู้ว่าตัวเองกำลังเล่นไปตามบทที่ถูกเขียนไว้แล้ว บทละครที่ชื่อว่า 'พรหมลิขิต' "
ผู้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่ได้มีท่าทีตกใจกับเรื่องที่ได้ยินนัก คงจะเป็นเพราะเขาเริ่มชินกับเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาแล้ว
"แล้วใครเป็นผู้กำหนดสิ่งเหล่านั้นละครับ"
"ตั้งแต่เกิดจนตาย เราจะมีสิ่งที่คอยกำหนดเราไว้แล้ว สิ่งนั้นคือด้ายแห่งชะตา" ปากเล็ก ๆ หยุดพักกินเค้ก ก่อนจะเริ่มเปรยต่อ "ซึ่งสิ่งนั้นจะถูกสร้างโดยสามพี่น้องแห่งทุ่งฝ้าย ผู้พี่คอยปั่นฝ้ายให้กำเนิดดวงชะตาของมนุษย์ คนรองคือผู้ดูแลฝ้ายและซ่อมบำรุงฝ้ายที่เสียหาย ส่วนคนเล็กผู้ถือกรรไกรตัดฝ้ายที่หมดอายุขัยแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ"
"อือ ก็พอเข้าใจ แล้วถ้าสิ่งที่ถูกกำหนดไม่ได้เกิดขึ้นละครับ" วิลแซ็คพยักหน้าเออออตาม "เมื่อนั้น ก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา เพราะบางทีเรื่องราวที่ถูกกำหนดอาจบิดเบือนได้ นอกจากพวกเราแล้วก็ยังมีเทพต่าง ๆ ที่ถูกมอบหมายให้เป็นผู้กำกับ ดูแลเนื้อเรื่องให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำกันได้" คนตัวเล็กเริ่มหันไปสนใจอาหารอีกครั้ง
"แล้วทำไมเรื่องราวถึงบิดเบือนได้ละครับ" ร่างสูงยังไม่หมดคำถาม
ผู้ที่กำลังมีความสุขกับช็อกโกแลตเริ่มหงุดหงิดกับคำถามที่ไม่รู้จักจบสิ้น
"คุณรู้มากเกินไปแล้วครับ" เวนเจียนซ์ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย
fff
เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลข 3 แดดภายนอกเริ่มลดระดับความร้อนแรงลง แต่ก็ยังพอให้ความร้อนแก่ร่างบอบบางได้ หญิงสาวพยายามเดินหลบแดดตามร่มเงาที่มีน้อยนิดในเมืองใหญ่แห่งนี้
ลีฟไม่ได้สังเกตบุคคลน่าสงสัย(?)ที่เดินตามเธอมาเลแม้แต่น้อย....
"ขอถามอะไรได้ไหมครับ" คนผมดำหันไปมองแมวที่อยู่บนไหล่ตนเอง
"เชิญ" แมวน้อยที่หาแหล่งพักพิงจากไหล่กว้าง ตอบกลับอย่างห้วน ๆ
"คือ... เราต้องตามคุณลีฟไปอีกนานแค่ไหนหรือครับ? แล้วทำไมเราต้องคอยเดินตามเธอหรือครับ"
"ที่จริง เรามีหน้าที่แค่มาดูหน้าคุณลีฟเท่านั้นครับ ส่วนจะตามไปถึงเมื่อไรผมไม่รู้ครับ" เจ้าแมวน้อยหันหน้ามองชายหนุ่มแล้วขยิบตา บางทีอาจหมายถึงการยักไหล่ของแมว
"แล้วทำไมพวกเราถึงไม่กลับละครับ" วิลแซ็คเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ที่ได้ยินคำตอบ
"ผมขี้เกียจไปสอนคาบบ่ายครับ วันนี้ผมต้องสอนสี่คาบติดเลยถือโอกาสโดดครับ" คราวนี้แมวน้อยแลบลิ้นสองที ดูคล้ายคนอมยิ้มนิด ๆ
วิลแซ็ครู้สึกอยากกระโดดน้ำฆ่าตัวตายกับคำตอบที่ได้รับ เขามีแต่นักเรียนโดดเรียน แต่นี่มันอาจารย์โดดสอน!!! แล้วยังชวนนักเรียนโดดออกมาอีกคนอีต่างหาก
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมเขียนใบลาให้คุณก็ได้นะครับ" เวนเจียนซ์ใช้ขาหน้าตะปบหน้าผากเขาเบา ๆ ทำให้คนแถวนั้นหันมามอง
"ช่วยทำตัวให้เหมือนแมวธรรมดาหน่อยเถอะครับ แล้วจะเอายังไงต่อละครับ จะกลับไปเรียนตอนนี้ก็ดูแปลก ๆ" อีกไม่ถึงชั่วโมงโรงเรียนของเขาก็จะเลิกแล้ว
"เราไปหาคุณดีเอทริชกันดีไหมครับ" เวนเจียนซ์กระโดดลงไปยืนบนพื้น
"ตามใจคุณละกันครับ ยังไงตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะไปไหนแล้ว" ท่าทางร่างสูงจะเริ่มปลงตกกับชีวิตตนเองแล้ว นึกอยากจะเลิกงานก็ไม่ได้ดันไปทำสัญญากับคุณยมทูตตัวน้อยแล้ว
"ผมขออะไรอีกอย่างได้ไหมครับ" นัยน์ตาสีดำรีที่ไม่เหมือนแมวปกติส่งสายตาออกแววอ้อนนิด ๆ มาให้คู่สนทนาตนเอง พลางใช้ลิ้นเลียลิ้มฝีปาก
"อะไรอีกละครับ"
"แวะร้านขนมร้านนั้นหน่อยสิครับ" แมวน้อยหันหน้าไปที่ร้านเบเกอรี่ข้างหน้า "เรื่องเงินเดี๋ยวผมค่อยใช้คืนนะครับ ติดไว้ก่อน"
"ครับ ๆ "
ร้านเบเกอรี่ตรงหัวมุมถนนนี้เป็นร้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ดูจากสภาพแล้วคงมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบปี ด้านหน้าร้านเป็นพื้นที่เปิดโล่งมีโต๊ะเล็ก ๆ สีขาวตั้งอยู่ 3-4 ตัว แต่ทุกที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว ถัดจากนั้นเห็นเพียงตู้กระจกโชว์ขนมสีสดใสละลานตาซึ่งก็มีแต่สาว ๆ วัยรุ่นที่คงเพิ่งเลิกเรียนออกันเต็มไปหมด ท่าทางจะขายดีไม่ใช่น้อย
เรื่องเดินเข้าไปซื้อมันไม่มีปัญหา แต่ปัญหาของวิลแซ็คอยู่ที่ว่าร้านนั้นมีแต่เด็กสาววัยรุ่นกับคุณแม่ลูกอ่อนเลือกซื้อขนมเค้กกันอยู่ ถ้าจะให้เขาเดินแหวกคนเข้าไปในร้านแล้วสั่งรายการอาหารสุดแสนเลี่ยนให้อาจารย์ตัวน้อยในร่างแมว ไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น
สายตาที่เริ่มเครียดตวัดไปมองเจ้าแมวน้อยที่เดินคลอเคลียตามขาเขาอยู่ ตัวเองไม่ลำบากให้มันรู้ไป "คุณกลับเป็นร่างมนุษย์แล้วเดินเข้าไปซื้อเองได้ไหมครับ" คนตัวสูงพยายามนั่งยอง ๆ ให้ระดับสายตาใกล้กับคู่สนทนาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะยังต้องก้มหน้าอยู่ก็ตาม
"ทำไมละครับ ผมอยากให้คุณไปซื้อมาให้ผมนี่ครับ" คำพูดที่เจือความน่าเข้าไปพรากจากบุพการีกล่าวออกมา ตากลมโตคู่น้อยก็พลางส่งสายตาระยิบระยับ (?) คงจะมีแมวตัวเดียวในโลกที่สามารถทำอย่างนี้ได้ แต่สิ่งที่ได้รับก่อนคำตอบคือหน้าที่เริ่มกระตุก
"ถ้าจะให้ผมแหวกฝูงชนที่เป็นสตรีเพศเข้าไปสั่งเค้กละก็ ผมยอมวิ่งเข้าไปหาพายุหมุนดีกว่าครับ"
"นะครับ" สายตาออดอ้อนเริ่มนำกลับมาใช้ แต่ก็ยังไม่ได้ผล
"อย่างน้อยคุณต้องเป็นมนุษย์แล้วเดินไปสั่งเค้กเอง แล้วผมถึงจะเดินตามเข้าไปด้วยครับ" สองมืออุ้มเจ้าตัวน้อยมาไว้ที่ระดับสายตาตัวเอง "หรือไม่ก็ไปหาคุณดีเอทริชกัน"
"ใจร้าย" เวนเจียนซ์คอตก ก้มหน้ามองพื้น "ก็ได้ครับแต่วางผมลงสิครับ"
สักพักต่อมา ทั่วทั้งร้านเบเกอรี่ก็หันมามองแขกใหม่ที่เข้ามาในร้าน คนแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่ทำหน้าเหมือนใครจะตายทุกครั้งเวลาสบตากับคนในร้าน มือข้างหนึ่งก็(พยายาม)จูงเด็กชายที่ดูแล้วอายุไม่เกิน 12-13 ปี เด็กชายส่งยิ้มให้กับทุกคนในร้านเหมือนรู้จักกันมานาน ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่แทบจะละลายหายไปกับอากาศธาตุ
วิลแซ็คเกลียดเวลามีคนมาจ้องตัวเขาที่สุด ปกติเขาก็สะดุดตาคนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขามีเด็กหน้าตาน่ารัก น่าจับขโมยไปเลี้ยงเองพ่วงมาด้วยอีก ทำให้ทุกสายตาเลิกสนใจขนมตรงหน้ามาสนใจกับสิ่งที่ดูแล้วจะน่ากิน(?)กว่า ขายาว ๆ พยายามก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังตู้โชว์ขนมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็อยากให้มีคนมองเขาน้อยลงสักวินาทีก็มีคุณค่าแล้ว
"รับอะไรดีครับ" ชายในชุดผ้ากันเปื้อนหลังตู้กระจกถามลูกค้ารายใหม่ของตน
ท่าทางที่ร้านนี้มีลูกค้าเยอะคงไม่ใช่เป็นเพราะขนมเค้กอย่างเดียว ผู้ที่อยู่หลังตู้กระจกเป็นชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าเขา 5-6 ปี ผมหยักศกสีน้ำตาเข้มที่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยสนใจนักถูกโพกตัวผ้าคาดผมสีขาวแต่ก็ยังมีบางส่วนหลุดออกมา ตาสีเดียวกับเส้นผมประกอบกันได้อย่างดี ร้อยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าดูจริงใจไม่ได้แสแสร้งแต่อย่างไร บุคลิกที่ดูอบอุ่นเหมาะกับร้านเล็ก ๆ แบบนี้ คงจะทำให้เรียกลูกค้าเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
"มากับน้องชายหรือครับ? จะรับอะไรดีละหนูน้อย" เมื่อไม่ได้รับคำตอบจาก 'พี่ชาย' นัยน์ตาแสนอบอุ่นนั้นจึงหันไปทางผู้ที่กำลังเกาะอยู่กับตู้กระจกแทน
.....ใครเป็นพี่ชายใครกันฟะ.....
"มีอะไรแนะนำบ้างละครับ" ดวงตาสีรัตติกาลหันมาสบตากับผู้ถาม เหมือนวิลแซ็คจะเห็นดวงตานั้นกระตุกวูบหนึ่ง แค่เพียงวูบเดียวก่อนจะกลับมาเป็นดวงตาแสนออดอ้อน
"วันนี้ก็มีโรลคัสตาร์ดผลไม้เขตร้อน บาวารัวล์รสส้มกับมองบลังค์เกาลัดสดครับ" รายการอาหารแนะนำถูกร่ายยาวออกมาเหมือนกับมีการท่องเอาไว้ก่อน "แต่สำหรับคุณผมแนะนำอาร์ต บลูเบอร์รี่นะครับ เหมาะสำหรับความสดใสของคุณ" รอยยิ้มแสนอบอุ่นส่งมาให้ลูกค้าที่ดู'สดใส' นอกจากจะดูดีแล้วยังปากหวานอีกนะ
"เอาทั้งหมดครับ" ดูท่าเวนเจียนซ์จะไม่ได้สังเกตเห็นคนที่กำลังทำหน้าหงิกที่ยืนอยู่ข้างตนเลยแม้แต่น้อย
....ไม่จ่ายเองให้มันรู้ไป....
"ครับ เดี๋ยวใส่กล่องให้นะครับ"
ขนมแค่สี่ชิ้นนั้นทำให้ผู้ออกเงินถึงกับอยากจะร้องไห้ ถ้าอาจารย์เขามีบริการเบิกเงินค่าใช้จ่ายเวลาออกปฏิบัติงานก็คงจะดีไม่น้อย หนึ่งปีหลังจากนี้เขาคงต้องบันทึกค่าใช้จ่ายสักหน่อยแล้ว
"เราไปหาคุณดีเอทริชได้หรือยังครับ"
"เราไม่ต้องไปไหนแล้วละครับ วันนี้งานของเราเสร็จแล้ว"
"ว่าไงนะครับ! คุณจะบอกว่าวันนี้ที่ผมหนีเรียนคาบบ่ายทั้งหมดเพื่อมาจ่ายเงินค่าขนมให้คุณหรือไงครับ" วิลแซ็คหยุดพักหอบหายใจ
"ฟังให้จบก่อนสิครับ ที่วันนี้ภารกิจเราลุล่วงแล้วก็เพราะเราเจอกับคุณดีเอทริชแล้วไงครับ" อาจารย์ตัวน้อยที่เดินอย่างเป็นสุขให้มือถือกล่องเค้กที่มีคนเลี้ยงให้ฟรี ๆ
"หมายความว่า..."
"เจ้าของร้านขนมคนนั้น เขาคือคุณดีเอทริชครับ"เวนเจียนซ์ยื่นกล่องขนมให้กับคนที่ยังงง ๆ อยู่ก่อนจะอธิบายต่อ "ผมเคยเห็นแต่เพียงรูปถ่ายเขาจึงยังไม่รู้ว่าขณะนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเราเจอเขาแล้วเราก็ไม่ต้องไปเดินตามหาเหมือนตอนที่เราไปหาคุณดานาเอยังไงละครับ"
"แต่คุณบอกว่าคุณดีเอทริชเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกับคุณลีฟนี่ครับ"
"ครับ ในใบประวัติเขียนไว้เพียงเท่านั้น"
ถ้าอย่างงั้น เรียนจบปริญญาเอกคณะอักษรศาสตร์แล้วแล้วมาเป็นพนักงานร้านขนมทำไมฟะ!
"เก็บอาร์ตบลูเบอร์รี่ไว้ให้ผมด้วยนะครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปหา"
"อะไรนะครับ...." พื้นที่ที่เคยมีเด็กชายในชุดดำ ปัจจุบันเหลือเพียงความว่างเปล่า "เฮ้ย อย่าทิ้งกันแบบนี้สิครับ" วิลแซ็คบ่นกับตัวเองไปก็เท่านั้น เขาไม่เคยตามเจ้ากามเทพตัวนี้ทัน
fff
"อ้าว ทำไมวันนี้วิลกลับมาก่อนพี่ได้ละ" ลูอีสแปลกใจที่เห็นน้องชายตนนั่งอยู่ในห้องแล้ว ปกติเขาจะต้องเป็นคนกลับบ้านเป็นคนแรกเพื่อมาดูความเรียบร้อยภายในบ้านก่อนที่น้องทั้งสองจะมาทำให้มันกลับสภาพเดิม (?) เช่นทุกครั้ง "โรงเรียนเลิกเร็วเหรอ ?"
"ครับ" ท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ
"เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมดูเหมือนกลัวใครจะบุกเข้มาในบ้านเลยนะ"
คืนนี้เดี๋ยวพี่ก็รู้เอง อยากจะพูดอย่างนี้ออกไปแต่วิลแซ็คกลับเบือนหน้าเดินเข้าไปในห้องของตนแทน "พี่ยังจำอาจารย์เวนเจียนซ์ที่ผมพามาที่บ้านเมื่อคืนก่อนได้ไหมครับ?"
"อืม... ทำไมเหรอ"
"วันนี้ช่วยทำอาหารเพื่อไว้ให้แขกด้วยนะครับ" คำตอบสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลงไปอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่คนกำลังหงุดหงิดทำได้
"มีแขกมาแล้วทำไมต้องหงุดหงิดด้วยละ แปลกจังน้องคนนี้" พี่ชายแสนซื่อพูดกับตนเอง ระหว่างนั้นก็สะดุดเข้ากับกล่องสีขาวขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ "กล่องอะไรนะ หรือว่าวิลจะซื้ออะไรมาฝาก" มือเล็ก ๆ เอื้อมมือไปแกะกล่องขนาดใหญ่นั้น
ภายในมีขนมเค้กน่ากินสี่ชิ้น รวมกับแขกที่จะมาแล้วก็ครบจำนวนคน "โธ่ ที่จริงดีใจที่เขาจะมาขนาดซื้อเค้กมาให้ ทำไมน้องเรานิสัยถึงไม่ตรงกับใจสักทีน้า..."
....เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจริง ๆ ....
"มาวางไว้ตรงนี้เดี๋ยวครีมละลายหมดพอดี" ลูอีสพยายามทำให้กล่องอยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด แล้วยกกล่องที่ตนต้องแบกสองมือไปวางไว้ในครัว
ร่างบางเดินออกมาจากห้องแล้วไปหยุดที่ห้องที่น้องชายตัวเองเพิ่งเดินเข้าไป ก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง
"มีอะไรอีกละครับ" ท่าทางอารมณ์ยังไม่ดีขึ้น แต่เพราะคนตัวเล็กกว่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไปจึงยังมองว่าน้องชายตนแกล้งทำอยู่
"ขอพี่เข้าไปเปลี่ยนชุดหน่อย เดี๋ยวจะได้ไปทำอาหารให้"
"นี่ก็เป็นห้องของพี่ทำไมต้องมารอให้ผมอนุญาตด้วยละครับ" อพาร์ตเมนท์ที่นี่มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นและห้องครัว แต่เพราะลูอีสเห็นว่าจะใช้สามห้องไปเลยก็เปลือง จึงย้ายห้องมานอนห้องเดียวกับน้องชาย
ลูอีสยักไหล่ "ก็คนมันชินแล้วนี่" วิลแซ็คหลีกทางให้พี่ชายตนเข้ามา ก่อนจะปิดประตูเบา ๆ ร่างบางเดินเข้าไปรื้อชุดลำลองที่ตู้ตรงมุมห้อง "แล้วทำไมอาจารย์ของวิลถึงได้จะมาบ้านเราอีกละ ?"
"ไม่รู้" ร่างสูงนั่งลงบนเตียง "พี่อย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ ดีกว่า พี่ยังไม่รู้ว่าอาจารย์คนนั้นเขาอันตรายขนาดไหน" น้ำเสียงที่พูดออกมาดูเหมือนมีความหงุดหงิดมากกว่าความกลัว
"อือ... พี่ว่าดูเหมือนเขาเป็นคนดีออกนะ"
.....ลองมาเป็นผมไหมละครับ....
"แล้ว อาจารย์เขาไม่ชอบหรือแพ้อะไรบ้างหรือเปล่า ?" ลูอีสคว้าผ้ากันเปื้อนที่แขวนไว้ข้างเตียงตัวเอง
"ไม่รู้ แต่....."
"มีอะไรเหรอ ?" มือเล็ก ๆ ไขว้หลังพยายามผูกผ้ากั้นเปื้อนของตน
"พี่ควรเปลี่ยนผ้ากันเปื้อนได้แล้ว" ไม่ใช่เพราะว่าชุดมันเก่าหรือสกปรกแต่อย่างใด แต่เขารู้สึกจั๊กจี้ทุกครั้งที่เห็นพี่ชายตัวเอง ในชุดผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายน้อย....
"พี่ไม่เห็นว่ามันไม่ดีตรงไหน อีกอย่างพี่ก็ชอบมันนะ" ลูอีสหัวเราะคิกคักกับท่าทีของน้องชายตัวเอง คงไม่มีใครเคยเห็นวิลแซ็คในสภาพนี้นอกจากตัวเขาแน่นอน "อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ?"
"ไม่ครับ" คนถามพยักหน้านิด ๆ ก่อนเดินไปที่ประตู
"อ๊ะ ลืมไป เค้กที่วิลซื้อมาพี่เอาไปเก็บไว้ในครัวให้แล้วนะ" คำพูดสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลง
วิลแซ็คอยากจะบอกว่าตนไม่ได้ซื้อเค้กมา แต่ก่อนที่จะพูดอะไรประตูห้องก็ปิดแล้ว
หลังจากพี่ชายคนโตเดินเข้าครัวไปสักพักแล้ว สมาชิกคนสุดท้ายในบ้านก็กลับมา ไอวี่เคาะประตูสองสามทีก่อนจะเปิดประตูเข้ามา หญิงสาวคงติดนิสัยนี้มาจากพี่คนโต ร่างอรชรทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหันหน้าไปทางห้องครัว
"พี่ลูอีส ในห้องครัวมีน้ำผลไม้เหลือไหม" คงไม่เคยมีใครเคยสอนมารยาทให้กับหญิงที่ตะโกนโหวกเหวกแบบนี้แน่นอน ถึงมีก็คงไม่มีใครเคยสอนได้สำเร็จ
"มีนะ แต่พี่คิดว่าจะเก็บเอาไว้ดื่มพร้อมอาหารเย็นเลย คืนนี้มีแขกนะ"
"เหรอ ใครละ"
"จำอาจารย์ของวิลแซ็คได้ไหม" ลูอีสละสายตาจากอาหารที่กำลังปรุง ยื่นหน้าออกมาจากประตูห้องครัว "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยหน่อยสิ"
"อือ ไว้ทีหลัง" คำตอบที่ได้รับเหมือนที่คนถามคิดไว้อยู่ก่อนแล้ว
fff
ก๊อก ๆ ...
"วิล ไปเปิดประตูให้แขกหน่อยสิ"
"ทำไมต้องเป็นผมละครับ" แม้จะรู้จุดประสงค์อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากลุกไปเปิดอยู่ดีไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะไม่อยากเจอคนที่อยู่หลังประตูบานนั้นมากกว่า
"แขกของตัวเองก็ต้องไปต้อนรับเขาหน่อยสิ"คราวนี้เป็นน้ำเสียงของน้องสาวตัวเอง สอนมารยาทผู้ดีที่ตัวเองก็แทบไม่เคยคิดจะทำมันแม้แต่นิดเดียว
คนถูกใช้แม้อยากจะบ่นต่อ แต่ถ้าทำไปก็คงสู้ด้วยไม่ได้ ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหารที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่ เพื่อรอแขกอีกท่านหนึ่งที่เพิ่งจะมาถึง ไปที่ประตูไม่สีครีมอ่อน วิลแซ็คยืนทำใจอยู่สักพักก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรับแขกที่ไม่ได้มีใครเชิญแต่อยากมาเอง
"ช้าจังเลยนะครับ" คนที่ยืนรอหลังประตูบ่นนิด ๆ เมื่อเห็นประตูเปิดสักที
"รีบ ๆ เข้ามา" เจ้าของบ้านเชิญแขกอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าทีจะทำได้
"พูดกับอาจารย์แล้วไม่มีหางเสียงได้ยังไงครับ"
"รีบ ๆ เข้ามาสักทีได้ไหมครับ" ผู้พูดพยายามพูดให้เบาที่สุด พยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดเต็มที่ แล้วเปิดทางให้แขกตัวเองเดินเข้ามาในบ้านตน
อาจารย์ร่างน้อยที่ตอนนี้ใส่ชุดโทนสีดำเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้าขายาวสุภาพเหมาะที่จะดูเป็นอาจารย์ มาเป็นเสื้อยืดแขนยาวสีดำ สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาบาง ๆ ประกอบกับกางเกงยีนสีดำ ทำให้คนตรงหน้าดูเหมือนเด็กน้อยวันใสที่ไม่มีคราบของอาจารย์แต่อย่างไร และก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ปลอกคอที่แดงสด และกระพรวนอันใหญ่สีทอง
ว่าแต่ว่าทำไมต้องเอากระเป๋าใบใหญ่ขนาดนั้นมาด้วยนะ...
"ยินดีต้อนรับนะครับ" เข้าบ้านอีกคนที่กำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมาทักผู้มาเยือนอย่างสุภาพนอบน้อม ช่างต่างกันคนที่ไปรับเขาที่หน้าประตูเสียจริง
"ว่าแต่ว่าอาจารย์มีธุระอะไรเหรอคะ ถึงได้แวะมาหาพวกเราวันนี้" สมาชิกคนที่สามในบ้านถามขึ้น ทั้งที่ตัวเองไม่ได้หันหน้ามาทางนี้เพราะกำลัง"พยายาม"ช่วยจัดตะอาหารอยู่
"ไม่ต้องพูดสุภาพก็ได้ครับ พอดีว่าวิลแซ็คเขามีปัญหาเกี่ยวกับคะแนนวิชาประวัติศาสตร์นิดหน่อยผมเลยต้องมาหานะครับ ขอโทษนะครับที่รบกวน"
"หา" คนที่ถูกกล่าวถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองมีปัญหากับวิชานี้ตรงไหน
...ยกเว้นมีปัญหากับคนสอน(ไม่)นิดหน่อยเท่านั้น...
"เหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณลำบาก" ท่าทางของลูอีสเหมือนไม่ได้ตกใจอะไรมากมายกับคำพูดนั้น มือก็ทำงานของตัวเองต่อไป "ไม่ทราบว่าจะกินข้าวกับพวกเราด้วยไหมครับ ?"
"ก็ดีครับ"
และแล้วมื้อเย็นในวันนั้นก็มีผู้ร่วมโต๊ะด้วยเพิ่มอีกอีกหนึ่งคน โต๊ะอาหารที่ปกติมักวุ่นวายอยู่แล้วเพราะมีรายการการทะเลาะกันระหว่างผู้ทำอาหารและผู้ไม่กินอาหารแล้วบ่นว่าไม่ถูกปากทั้ง ๆ กินเอามากกว่าคนอื่น ต้องมีความวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิมเพราะกำลังมีศึกสายตาระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ปะทะกันด้วย
หลังเวลาอาหาร ก็เป็นเวลาของว่างยามค่ำ เค้กสีสันสดใสถูกยกมาวางไว้ที่หน้าแต่ละคน การพูดคุยบนโต๊ะเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเรื่องสัพเหระ เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ จนนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่ม
"นี่ก็ดึกแล้วไม่ทราบว่าคุณเวนเจียนซ์จะค้างที่นี้เลยไหมครับ" พี่คนโตของครอบครัวเอ่ยปากถามแขกที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่ในวงสนทนาราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน
"รบกวนคุณเปล่า ๆ นะครับ"ผู้มาเยือนยังคงถ่อมตัว
"ไม่เป็นไรหรอกคะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" น้องคนสุดท้องเอ่ยขึ้นมาบ้าง
"รบกวนพวกคุณอีกแล้วนะครับ"
'ตั้งใจจะมารบกวนชัด ๆ 'วิลแซ็คคิดอยากจะพูดแบบนั้นออกไป ทำไมไม่มีใครสังเกตเลยว่าเจ้าอาจารย์ตัวน้อยเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาแล้ว
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะอุบัติขึ้นในรัตติกาลที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า คืนที่ความมืดมิดจะขึ้นเป็นใหญ่
fff
"เรากำลังจะไปไหนครับ" ชายในชุดดำสนิทกลืนกินกับฟากฟ้ายามนี้ เอ่ยขึ้น
"ไปหาคนที่จะช่วยให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จยังไงละครับ" แมวน้อยสีนิลที่เดินนำอยู่หันมาตอบผู้ถามก่อนที่จะซอยเท้าถี่ ๆ เดินไปตามริมถนนอันมืดมิดไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากเหล่าแมลงกลางคืนที่กำลังประชันเสียงร้องของตนเองอย่างสุดความสามารถ
กลางดึกจู่ ๆ วิลแซ็คก็รู้สึกเย็น ๆ ชื้น ๆ ตรงแก้ม เมื่อเขาลืมตาตื่นก็พบกับอาจารย์ของเขาในร่างแมวที่กำลังพยายามปลุกคนที่นอนอยู่ด้วยการเอาเท้าตบ ๆ ที่แก้มและเลียหน้า แถมยังมาบอกให้รีบพาออกไปข้างนอกเพื่อปฏิบัติภารกิจ แล้วช่วงเช้าทำไมไม่รีบทำละฟะ
ค่ำคืนนี้ดวงจันทราสุกไสวส่องแสงนวลเต็มดวง กลบแสงเหล่าดวงดาราที่ลอยอยู่เต็มฟากฟ้า แม้อากาศจะไม่ได้หนาวมากนักแต่เพราะลมที่พัดมาเรื่อย ๆ ก็ทำให้คนที่เดินอยู่ข้างนอกแถวนี้รู้สึกขนลุกได้นิด ๆ ถนนที่เวิ้งว้างไร้ผู้คนสัญจรไปมาเหมือนเมื่อตอนกลางวันทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ดูเงียบเหงาดั่งอยู่ในห้วงลึกของมหาสมุทรใหญ่
"แล้วทำไมเราต้องไปหาตอนดึกขนาดนี้ละครับ" คนที่เดินลำพังกลางดึกพยายามกอดตัวเองเพื่อคลายความหนาวบ้าง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี
"เพราะถ้าเราไปหาตอนกลางวันเราก็ไม่สามารถใช้ความสามารถของเขาช่วยได้ครับ"
"หมายความว่าไง"
"เมื่อคุณไปถึงคุณก็จะรู้เอง" เวนเจียนซ์ตัดบทแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ
เจ้าแมวน้อยเดินลัดเลาะไปตามท้องถนนที่ไร้ผู้คน จนมาหยุดที่หน้าทางเข้าร้าน ๆ หนึ่งที่ยังคงเปิดไฟอยู่ท่ามกลางถนนที่มืดมิด วิลแซ็คแปลกใจที่ยังเห็นร้านค้าเปิดอยู่จนดึกขนาดนี้ยิ่งเมื่อเห็นป้ายหน้าร้านก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงยังเปิดบริการอยู่
Rêve
(เราสร้างความฝันให้คุณได้เพียงความจริง)
ภายนอกร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำสนิท หน้าต่างที่มีผ้าม่านสีดำปิดไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นเข้าไปในร้านได้ ถ้าหน้าร้านไม่ได้มีแสงไฟเปิดอยู่ก็อาจจะทำให้ไม่เห็นรานนี้ในยามราตรีก็เป็นได้ เพราะมันช่างดูกลมกลืนกับบรรยากาศรอบด้านมากอนึ่งถูกสร้างมากจากความมืดรอบด้านรวมตัวกัน แสงไฟสลัว ๆ ที่รอดผ่านม่านมานิด ๆ ทำให้รู้ว่าภายในยังเปิดไฟอยู่
แมวน้อยหันมาทางผู้ที่ยังยืนอึ้งกับสถานที่อยู่ แล้วร้องขึ้นเบา ๆ ที่หน้าประตูเหมือนกำลังจะบอกว่า 'รีบ ๆ เปิดประตูสักทีสิ เป็นแมวก็หนาวเป็นเหมือนกันนะ'
คนถูกสั่งรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงร้อง ยื่นมือออกไปผลักบานประตูที่ไม่ได้ล็อค
เมื่อเข้าไปในร้านวิลแซ็คก็ยิ่งอึ้ง ภายในร้านค้าปริศนาแห่งนี้ไม่มีอะไรเลย
..ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ.....
พื้นไม้สีน้ำตาลเข้มกับผนังห้องที่ทาสีเป็นสีเทาเข้มทำให้บรรยากาศดูมืดมน โคมไฟเรียบ ๆ สีนวลตัดกับสีห้องส่องแสงอ่อน ๆ ไม่ช่วยให้ห้องดูสว่างขึ้นแต่อย่างไร ห้องที่มีความกว้างพอสมควรไม่มีสิ่งใดตั้งวางไว้เลยมีเพียงสิ่งเดียว
"เอ่อ.... เรามาถูกที่แน่นะครับ" คนที่ยังยืนอยู่หลังประตูหันซ้ายหันขวาเพื่อพยายามหาบางสิ่งที่ควรจะตั้งไว้บ้าง แต่เขาก็ยังไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโคมไฟที่ให้แสงสลัวบนเพดาน
ผู้นำทางไม่ได้สนใจคำถามนั้น รีบเดินซอยเท้าเข้าไปในห้องอันว่างเปล่านั้นแล้วหันหน้ามามองคนที่ยังยืนเป็นรูปปั้นขวางประตูอยู่ สายตาที่หรี่ลงนั้นเหมือนกำลังสื่อความหมายให้รีบเข้ามา แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมายังคงเป็นความเงียบ เจ้าแมวน้อยทนรอไม่ไหวจึงพยายามร้องเรียกด้วยเสียงแหลม ๆ ของมันสองสามที
คนที่ยืนขวางประตูอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงแหลม ๆ ที่ลอยมาเข้าหู
"รีบ ๆ เข้ามาสักที"เหมือนคนพูดจะหงุดหงิดนิดหน่อย
วิลแซ็คเปิดประตูให้กว้างพอที่ตัวเขาจะเขามาได้แล้วรีบแทรกตัวเขามาในห้องอันว่างเปล่า เขาหันหลังไปปิดประตูให้เรียบร้อย แต่เมื่อเขาหันหน้ากลับมาห้อง ๆ นี้ก็ดูเปลี่ยนไป
.....มีอะไรไม่เหมือนเดิม....
ชายหนุ่มรู้สึกว่าห้องนี้ดูแปลกไปเมื่อเทียบกับตอนแรก บางอย่างที่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นที่ตรงไหน ผนังห้องสีเทาเนี้ยบไม่มีแม้รอยแตกของสีกับพื้นห้องที่ปูด้วยไม้สีเข้ม โคมไฟที่เหมือนจะดับก็ดูเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มันไม่เหมือนเดิม....
เอี๊ยด...
บานประตูไม้เก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่งเสียงเมื่อมีคนผลักประตูให้เปิด
...ประตูที่ตอนแรกเขาไม่เห็น...
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคืออะไร ประตูไม้ที่สลักด้วยลวดลายสวยงามดูเก่าแก่มาก เหมือนเป็นจุดต่างของเวลาในห้องนี้ ประตูนั้นไม่มีลูกบิด แต่มีห่วงสีทองขนาดใหญ่คล้องเอาไว้ที่ริมด้านขวา และขนาดนี้ประตูกำลังเปิดอย่างช้า ๆ
"มารบกวนสุภาพสตรีดึก ๆ แบบนี้มันไม่ดีเลยนะ เด็กน้อย"
เสียงหญิงสาวที่ออกมาจากประตูกระทบโสตสัมผัสของเขาก่อนที่ตัวคนพูดจะแสดงตัวในเวลาต่อมา หญิงสาวอายุราวสามสิบต้น ๆ ที่ดูสง่างามมาในชุดงานราตรีเกาะอกรัดรูปสีน้ำเงินเข้มเกือบดำเผยไหล่ขาวและแผ่นหลังที่ไร้รอยตำหนิของผิวขาวนวล กระโปรงที่ผ่าแหวกให้เห็นตั้งแต่ต้นขาขาว และขนาดของชุดที่กระชับให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งดูยั่วยวนสายตาของผู้ที่พบเห็นทำให้วิลแซ็คเผลอมองอยู่นานสองนาน เธอคนนั้นส่งยิ้มอันแสนสุภาพให้กับคนที่มองเธออยู่ ทำให้คนมองถึงกับหน้าขึ้นสีเรื่อ ๆ
....รอยยิ้มของGorgon*ชัด ๆ.... (*หญิงงามที่ถูกเทพอเธน่าสาปเพราะความโอหัง)
เจ้าแมวน้อยคิดในใจ เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าแท้จริงแล้วเป็นยังไง
ร่างอรชรส่งสายตาเคือง ๆ ไปให้เจ้าแมวที่กำลังเสหน้ามองไปทางอื่นสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อรวบผมสีบรอนซ์เงินให้เรียบร้อยแล้วค่อย ๆ เดินมาหาแขกของตนเอง เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นไม้ดังก้องไปทั่วห้อง
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่ร้านที่ทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง ฉันเรเว่ ยินดีที่ได้รู้จัก" เจ้าของร้านยืนมือมาให้ชายหนุ่มเพื่อเป็นการทักทาย
"เอ่อ... ครับ"แขกของร้านจับมือตอบกลับอย่างเขินอายนิด ๆ
"ยินดีที่ได้รู้จัก" เจ้าแมวน้อยไม่รู้กาลเทศะโพล่งออกมาด้วยอีกคน
"เหมือนเรารู้จักกันมานานแล้วนะ คุณกามเทพ" หญิงสาวส่งยิ้มให้
"ใช่ครับ เรารู้จักกันมานานแล้ว นานพอที่คุณจะเป็นทวดผมได้แล้วครับ" เจ้าแมวน้อยกลับร่างเดิมแล้ว ยิ้มตอบกลับให้เหมือนกับจะเป็นมิตรกัน (?)
"เหรอคะ ว่าแต่ว่าคราวนี้คุณหลอกใครให้ตามมาอีกแล้วคะ ยังไม่เข็ดกับครั้งก่อนอีกเหรอคะ" เหมือนวิลแซ็คเห็นว่าหน้าสวย ๆ นั่นกระตุกครั้งหนึ่ง
"อ๋อ ถึงยังไงผมก็ยังสู้คุณไม่ได้หรอกครับ คุณนะใคร ๆ ก็รู้ว่าหลอกคนมาพอ ๆ ตัวเลขอายุ" เวนเจียนซ์ยังคงรักษาความน่าเข้าไปจับพรากบุพการีได้เต็มที่
คนที่ยืนเอ๋อเป็นตัวกลางให้เสียงเดินทางผ่านหูซ้ายหูขวายืนฟังเพื่อนเก่า(?)ปะทะคารมกันเริ่มทนไม่ไหว จึงยอมอาสาเป็นคนหยุดสงครามจิตวิทยาครั้งนี้ให้
"เอ่อ เรามาทำอะไรที่นี้เหรอครับ?" ร่างสูงพยายามสะกิดให้กามเทพรู้หน้าที่ตัวเอง
สองคนที่กำลังรำลึกความหลังกันอยู่หันหน้ามามองผู้ไม่รู้สถานการณ์ และก็เป็นฝ่ายหญิงสาวที่ยอมสงบศึกชั่วคราวก่อน "มีอะไรก็ว่ามาสิ คุณกามเทพ"
"ยืนคุยมันไม่ค่อนสะดวกเลยนะครับ ไม่คิดจะให้แขกพักหน่อยเหรอครับ" กามเทพที่ถูกเรียกแกล้งทำเป็นหันซ้ายหันขวาเพื่อจะได้หาที่นั่งลง
เจ้าของร้านพยายามข่มอารมณ์ตัวเองเต็มที่ แล้วดีดนิ้วหนึ่งที
ทันในนั้นก็จู่ ๆ โซฟาบุผ้ากำมะยี่สีแดงเลือดหมูของตัวก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ กลุ่มคนที่ยืนคุยกันอยู่ มาพร้อมกับโต๊ะเล็กสลักลวดลาย บนโต๊ะมีชุดกาน้ำชาการ์ดีเนียร์สามชุดและขนมว่างตั้งอยู่เต็มโต๊ะ
"เชิญ" เรเว่เดินไปนั่งลงที่โซฟาแล้วตบเบาะข้าง ๆ เหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ใครบางคนมานั่งด้วย วิลแซ็คก็กลัวจะเป็นการเสียมารยาทจึงเดินไปที่โซฟาตัวนั้นด้วย แต่ก่อนที่จะได้นั่งลง เจ้าแมวน้อยในร่างมนุษย์ก็มาฉุดแขนเขาให้ไปนั่งข้างตนที่โซฟาอีกฝั่ง
"เรารีบมาคุยกันให้เสร็จ ๆ ไปเถอะครับ"
"ได้คะ" มือเรียวบางที่ระงับอาการสั่นไว้ยื่นมือไปหยิบน้ำชาที่ปรุงไว้เรียบร้อยแล้ว
"ก่อนอื่นเรเว่นี่วิลแซ็คเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของผม ส่วนวิลแซ็คนี่นเรเว่เธอเป็น..."
"ขอฉันเป็นคนแนะนำตัวเองดีกว่า" คนที่ไม่ไว้ใจคนตรงหน้าพูดแทรกขึ้น "คุณคงรู้แล้วสินะคะว่าพวกเราเป็นใคร ฉันคือเทพแห่งความฝันและเทพมายาเรเว่ ผู้สร้างความฝันให้กับทุก ๆ คน"
"ครับ" คนฟังตอบกลับอย่างเรียบง่าย เขาชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว
"คุณคงสงสัยว่าทำไมตอนแรกที่คุณเขามาถึงไม่มีอะไร ภายในห้องนี้ถูกเสกมนต์ให้ผู้ที่เขามาเห็นไม่เหมือนกัน ตามแต่สิ่งที่เขาหรือเธอคิดอยู่ขณะก้าวเข้ามาแต่เหมือนว่าคุณจะมาพร้อมกับเทพทำให้สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่เป็นจริง" เรเว่หยุดพักจิบน้ำชาแล้วกล่าวต่อ "เทพมายานั้นคือผู้ที่สามารถสร้างสิ่งที่คน ๆ คิดออกมาเป็นภาพมายาได้ และที่ ๆ พวกเรากำลังนั่งกันอยู่นี้ก็คือภาพมายาทั้งหมด เพียงแต่ภาพมายาที่สร้างนั้นคนคิดต้องมีความบริสุทธิ์ใจ"
. จะบอกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเขาบริสุทธิ์ใจเหรอ ....
เหมือนความคิดนั้นเข้าหูหญิงสาวจึงพยักหน้าเบา ๆ "แล้วแต่จะคิด"
"งั้นเรามาคุยเรื่องงานกันเยดีกว่าครับ คุณคงรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร" เวนเจียนซ์วกกลับเข้าเรื่อง
"แน่นอน ว่าแต่ว่าเป้าหมายคือใครละ"
"คำถามนี้ถามคนที่นั่งข้าง ๆ ผมดีกว่าครับ" คนพูดตัดบทแล้วยกขึ้นมาดื่มอย่างสบายใจ
เรเว่เปลี่ยนคู่สนทนาไปที่อีกคนหนึ่งทันที "ยื่นมือมาสิ" คำสั่งนั้นได้รับการตอนรับอย่างง่ายดาย วิลแซ็คยื่นมือไปหยุดที่กลางโต๊ะ มือเรียวสวยสองข้ามกุมมือนั้นไว้แล้วหลับตาลง ช่วงเวลานั้นตัวเขาเหมือนรู้สึกไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิม เหมือนเขากำลังลอยอยู่ กระแสวูบวาบไหลไปทั่วมือเขา ช่วงเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดดวงตาสีม่วงอะแมธีสต์คู่สวยของหญิงสาวก็ลืมตาออกมาให้เห็นอีกครั้ง เธอพยักหน้าสองสามทีก่อนจะคลายมืออกในที่สุด
"มนุษย์นี่ก็แปลกนะ ทั้ง ๆ ที่เทิดทูนความรักมากมาย แต่กลับบางคนก็ไปคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวไปซะได้" คนตัวเล็กเปรยออกมาเบา ๆ
"เหมือนกับคู่ก่อนเลยสินะ เธอไม่เคยคิดหาวิธีอื่นเพื่อช่วยคู่รักแบบนี้เลยเหรอ ?"
"ถ้ามีวิธีอื่นผมคงไม่มาหาคุณหรอกครับ" คนตอบยังเป็นคนเดิม "รีบ ๆ ทำให้เสร็จทีสิครับ"
"สั่งได้สั่งเอานะ" ใบหน้าสวยแสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางประสานไว้บนโต๊ะ ปากเรียวสีแดงเข้มพึมพำเบา ๆ ด้วยภาษาที่มนุษย์ที่นั่งอยู่คนเดียวไม่สามารถเข้าใจได้ แสงสว่างปรากฏขึ้นที่บริเวณมือนั้น เมื่อแสงจางหายไปสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือถาดทรงสี่เหลี่ยมบาง ๆ ที่ดูเหมือนจะสร้างจากเหล็กสีเงินแวววาว ความลึกประมาณข้อนิ้วชี้นั้นมีน้ำใสบริสุทธิ์เทไว้จนปริ่มขอบถาด ความใสของน้ำสามารถทำให้เห็นก้นถาดที่มีลายสลักเป็นรูปนางฟ้าในชุดผ้าเหมือนตามเทพนิยายกรีกกำลังกางปีกอยู่ มือทั้งสองนั้นชูขึ้นเหนือหัว รอบ ๆ ด้านผู้ทำคงพยายามทำให้เป็นรูปควันหรือหมอกล้อมรอบตัวนางฟ้าไว้
"กระจกทิพย์มายานะ" เวนเจียนซ์ตอบคำถามของเขาก่อนที่เขาจะถามออกไป
เทพแห่งความฝันหันมาสบตากับลูกค้าตนเอง "ข้าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทุกอย่างหลังจากนี้จะขึ้นอยู่กับมนุษย์สองคนนั้นทั้งหมด หวังว่าจะเข้าใจนะ"
"แน่นอน ถึงยังไงผมก็ยังไม่เคยเห็นคุณทำไม่สำเร็จเลย"
เรเว่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง มือทั้งสองกางไว้เหนือถาดนั้น
"ข้าผู้เป็นธิดาแห่งโครนอส ขอวิงวอนต่อดวงดาราที่ลอยอยู่ ณ ฝากฟ้า และผู้ปกครองนภายามดวงศศิธรฉายแสง ช่วยมอบความฝันให้แก่มนุษย์ผู้หลงทางในโลกแห่งความจริงได้พบพานกับสิ่งที่ดวงหทัยใฝ่หา" บทสวดมรตราที่เปล่งออกมาทำให้บรรยากาศภายในห้องกว้างดูมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ แสงไฟที่ส่องแสงอ่อน ๆ ขับให้บรรยากาศดูย่ำแย่ลง
ถาดน้ำที่อยู่ตรงหน้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อย ๆ จากน้ำที่ใสสะอาดไร้สิ่งเจือปนก็เริ่มขุ่นลงเรื่อย ๆ เหมือนมีใครใครนำก้อนเนยมาละลายให้น้ำมีสีออกเหลืองนวล ๆ คล้ายกับดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือฟ้า
"ข้าขอวิงวอนให้สิ่งที่มนุษย์เหล่านี้กลัว จงดับมอดหายไปกับความฝัน ขอให้ความกล้าจงลุกโชนเหมือนดวงไฟแห่งความเป็นจริง...." คำพูดสุดท้ายแผ่วเบาลงไปเหมือนกับเจือจางหายไปกับอากาศธาตุที่ลอยอยู่รอบตัว บรรยากาศรอบ ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
"เสร็จแล้วใช่ไหม ?" คนที่นั่งเฉยมานานพูดออกมาเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูเป็นปกติ
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมาในทันที นิ้วเรียว ๆ นั้นจุ่มลงในน้ำที่ยังขุ่นมัวอยู่ทั้งสิบนิ้ว แล้วดันมือให้ลงไปเรื่อย ๆ จากปลายนิ้วก็เริ่มจมลงไปจนถึงข้อนิ้ว ทั้งที่มันควรจะถึงก้นถาดแล้วแต่มือทั้งสองนั้นก็ยังจุ่มลึกลงไปอีก ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนมือนั้นหายไปทั้งมือ!
"ฉันทำเท่าที่จะทำได้แล้ว เชิญพวกคุณกลับได้เดี๋ยวฉันขอตรวจสอบให้แน่ใจก่อน" ผู้ที่หลับตาอยู่ตอบกลับมาทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา ปากเรียวเริ่มพึมพำเป็นภาษาแปลกหูอีกครั้ง
กามเทพน้อยพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างตัวที่ดูเหมือนมีเครื่องหมายปรัศนีประทับอยู่บนหน้า "ไปกับเถอะครับ"
วิลแซ็ครู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนข้าง ๆ เรียกให้กลับมาในโลกแห่งความจริง เขาหันไปพยักหน้าให้อาจารย์ตนเองแล้วลุกขึ้นปัดเสื้อปัดกางเกงทั้งที่ดูยังไงก็คงไม่มีฝุ่นเกาะอยู่ตามตัวเลยสักนิดเดียว
"แล้วผมจะมาบอกผลให้นะครับ" เวนเจียนซ์บอกลาด้วยการโบกมือให้เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายคงยังไม่สามารถยื่นมือมาจับมือลาได้ "ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็เหมือนเดิมนะครับ"
หญิงสาวพยักหน้านิด ๆ เป็นการบอกลา
แขกทั้งสองคนเดินออกมาที่ถนนอันเงียบสงบอีกครั้ง ดูจากเวลาแล้วก็คงยังไม่มีใครออกมาเดินเล่นในเวลานี้แน่นอน อากาศเหมือนจะเย็นกว่าเดิม หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาเพิ่งอยู่ในห้องอุ่น ๆ มาเลยยังปรับตัวไม่ทัน เรื่องราวในค่ำคืนนี้จบลงแล้ว
"คุณคงมีคำถามที่อยากจะถามสินะครับ" คนตัวเล็กเปิดบทสนทนาในความเงียบก่อน
"ก็นิดหน่อย" คนตัวสูงกว่าตอบกลับ
"ผมไม่ชอบให้คนมาเซ้าซี้เท่าไร เอาเป็นว่าผมจะเล่าเท่าที่ผมอยากจะบอกคุณก็แล้วกัน" อาจารย์หน้าเด็กถอดปลอกคอเพื่อจะได้กลายร่างเป็นแมวอีกครั้ง แล้วกระโดดขึ้นมาให้คนตัวใหญ่อุ้ม "อยากรู้เรื่องไหนเป็นสิ่งแรกละครับ"
"บอกตามตรงว่านอกจากชื่อของคู่ในครั้งนี้แล้ว พบยังไม่รู้เรื่องแต่อย่างใดครับ"
"อืม.... ก็คงเป็นอย่างนั้น" ในตาเรียวของแมวตัวน้อยหุบลง "คุณดีเอทริชและคุณลีฟเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน แต่จู่ ๆ ทั้งคู่กลับเลิกกัน รู้ไหมครับว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น" คนถามไม่รอคำตอบก็เริ่มพูดต่อ "ด้ายชะตากำหนดให้ทั้งคู่เกิดความกลัวขึ้นมาในจิตใจ ไม่แปลกที่คนจะมีความกลัว ทั้งคู่รักกันจริงแต่เพราะความไม่แน่นอนบนโลกแห่งนี้ทำให้ไม่มีใครจะเชื่อในสิ่งต่าง ๆ ร้อนเปอร์เซ็นต์ เหตุการณ์แบบนี้เกิดค่อนข้างบ่อย"
"แล้วคุณเรเว่ทำอะไรละครับ"
"ที่จริงเหตุการณ์แบบนี้มีทางแก้หลายแบบ แต่ที่ผมให้คุณเรเว่ช่วยก็เพราะว่าผมไม่อยากให้งานยืดเยื้อ สิ่งที่เธอทำคือการสร้างความฝันให้คุณดีเอทริชและคุณลีฟ คุณน่าจะรู้ว่าความฝันมีพลังแค่ไหนสำหรับบางคน เราทุกคนเชื่อว่าความฝันเป็นลางบอกเหตุของบางสิ่ง"
"เอ่อ... ยังไม่เข้าใจครับ" วิลแซ็คเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนที่กำลังเรียนวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น แล้วไม้เข้าใจในลักษณะของความผันแปรตามอายุ (?)
"เราจะใช้ความฝันเป็นสื่อกลางให้ทั้งคู่เปิดใจให้กันและกันอีกครั้ง คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเราฝันซ้ำ ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เราฝังใจในอดีต เหตุการณ์ที่เรายังไม่ได้คลี่คลายและยังติดค้างอยู่ภายใน"
"ก็คง อยากจะแก้ปัญหานั้นให้ได้" เขาเอียงคอตอบ
"ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่เราคาดหวังจะให้เกิดขึ้น" เจ้าแมวน้อยเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาสีน้ำทะเล "หรือไม่ก็สิ่งที่เราลงไปก็จะช่วยให้ภารกิจเราง่ายขึ้น"
"หมายความว่าสิ่งที่ทำไปนี้อาจไม่สำเร็จเหรอครับ ?"
"มีความเป็นไปได้" เจ้าแมวดำทำท่าเหมือนคนถอนหายใจ "แต่ยังไงผมก็เชื่อว่ามันต้องสำเร็จ เพราะยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่สำเร็จ ผมอยากให้คุณเชื่อใจเรเว่เอาไว้"
"ก็ขอให้มันสำเร็จด้วยดีละกันครับ" คนในชุดดำพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วแหงนมองท้องฟ้า ดวงจันทร์ที่สว่างเต็มดวงยังคงลอยเด่นเป็นราชินีแห่งรัตติกาล
สายลมที่จู่ ๆ ก็พัดมาทำให้เส้นผมยุ่ง ๆ สีดำนั้นปลิวเล็กน้อย สิ่งนั้นอาจเป็นสัญญาณของบางสิ่ง เจ้าแมวน้อยที่เขากำลังอุ้มอยู่นอนหลับอย่างเป็นสุข วิลแซ็คสะบัดหน้าแรง ๆ เพื่อเรียกสติกลับมา แล้วเริ่มออกเดินทางกลับไปที่อพาร์ตเมนท์ของเขาอีกครั้ง
fff
....หนึ่งสัปดาห์ต่อมา....
"รับอะไรเพิ่มไหมครับ ?"
ภายในร้านขนมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่หัวมุม แม้สภาพของร้านที่ดูค่อนข้างเก่าไปนิด แต่มีบรรยากาศที่ดูอบอุ่นเป็นกันเอง ลูกค้าที่ยืนต่อแถวกันยาวเหยียดจนเกือบจะเลยไปถึงริมถนน นอกจากขนมจะมีรสชาติดี(แต่แพงไปนิด)แล้ว สิ่งที่เรียกลูกค้า(สาว ๆ )ได้อีกอย่างก็คือเจ้าของร้านคนปัจจุบัน ดีเอทริช ไอรันเดียร์
"จะรับอะไรดีครับ" ชายหนุ่มอารมณ์ดีในชุดผ้ากันเปื้อนเอ่ยถามลูกค้าคนถัดไปของตน
หลังจากจบมหาวิทยาลัยมาไม่นาน เขาก็ได้รับสืบถอดร้านขนมของผู้เป็นบิดาด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่พ่อบอกมาว่า 'พี่ ๆ ของลูกเขาก็มีงานทำเป็นหลักแหล่งแล้ว ลูกเพิ่งจบมายังไม่มีงานทำพอดีเลย' แล้วจะสั่งเสียให้เขาเรียนจนจบปริญญาเอกทำไมละครับ
อย่างน้อยงานที่เขาทำก็ไม่ได้น่าเบื่อมากนัก รายได้ก็ดี ถึงจะเบื่อ ๆ ไปบ้างที่ไม่ได้ออกไปไหน อย่างน้อยเขาก็คงอยู่รอดพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองกับครอบครัวที่จะมีได้
....ครอบครัว....
....ลีฟ ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่นะ....
ดีเอทริชเหม่อลอยไปนิดหน่อย จนเผลอลืมถือบานาน่าทาร์ตครีมไว้อยู่ในท่าพร้อมเสิร์ฟ ช่วงนี้เขาเป็นอะไรก็ไม่รู้พอหลับตาทีไรก็นึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่ค้างคาอยู่ในใจทุกที ช่วงเวลาที่เขาลืมไม่ลงทั้งที่อยากจะแก้ไข แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเราทำอะไรลงไปนะ
"ลีฟ" เขาเอ่ยปากพูดกับเธอก่อน"เราเลิกกันเถอะนะ"
หญิงสาวที่ดูบอบบางดูอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะยิ้มให้เขาเหมือนปกติ
"คุณจะโกรธผมก็ได้นะ แต่ผม....."
"คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องโกรธคุณด้วย"
เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหยิบสิ่งที่เขาเตรียมมาเพื่อวันนี้ กุหลาบสีแดงที่ร่วงโรยแล้ว ความหมายของมันทำให้เขาและเธอนั้นไม่สามารถอยู่รวมกันต่อไปได้อีกแล้ว
"เธอคงรู้ความหมายของมันดี"
ลีฟพยักหน้าเบา ๆ แล้วยื่นมือมาจับดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นไว้
"ถึงยังไงคุณก็พูดออกมาเองไม่ได้สินะ"
ดอกไม้นั้นมีภาษาของตัวมันเอง...
กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"
เจ้าของร้านถอนหายใจออกมาเบา ๆ แม้แต่ตอนบอกเลิกเรายังต้องใช้สิ่งที่เธอสอนมา ทั้งที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะทำให้เธอเสียใจเลย แต่ที่เขาต้องทำแบบนั้นก็เพราะเขาไม่กล้าพอที่จะดูแลเธอ กลัวว่าเธอจะไม่มีความสุข กลัวว่าเธอฝืนใจที่ต้องอยู่กับเรา ท่าทีของเธอทำให้เขากลัว
ทั้งที่ลืมไปแล้ว แต่ทำไมเรื่องเหล่านี้ต้องกลับมาหาเขาด้วย
วันนี้เขาและเธอไม่ได้รู้จักกันอีกต่อไปแล้ว
"ผู้จัดการ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?" พนักงานในร้านเห็นท่าทีแปลก ๆ ของหัวหน้าก็อดห่วงไม่ได้ทั้งที่ปกติ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้กลับชอบเหม่อลอยบ่อย ๆ
"เปล่าหรอก แค่เหม่อ ๆ นิดหน่อยนะ"
"คะ ถ้าเหนื่อยก็พักเถอะนะ"
หลังจากที่เห็นว่าลูกน้องตัวเองเดินออกไปแล้วเขาก็แกะผ้าโพกหัวออก เส้นผมสีไม้แก่ยุ่ง ๆ นั้นไม่เคยถูกจัดให้เป็นทรง ตอนแรกก็คิดว่าจะทำงานต่อ แต่พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เมื่อสมองสั่งการเสร็จเขาก็เดินไปที่ที่พักพนักงานหลังร้าน ล้างหน้าล้างตาให้หัวสมองปลอดโปร่งบ้าง ชงกาแฟนิดหน่อยเพื่อคลายความกังวลให้ออกไป แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะก็ยิ่งเหม่อลอยหนักกว่าเดิมถึงขนาดลืมตัวว่ากำลังอยู่ในท่าเตรียมเทน้ำร้อน
....ภาษาดอกไม้ตะวันตก....
ของขวัญที่เธอคนนั้นให้ แม้ตอนแรกไม่เคยคิดจะแตะมันเลยสักนิดหลังจากไม่ได้เห็นหน้าเธออีก แต่ช่วงนี้เขากลับพกมันไว้ติดตัวตลอดเวลา มันคือตัวแทนของผู้เคยเป็นที่รัก
มือที่เริ่มหยาบกระด้างเพราะต้องยุ่งอยู่กับแป้งสาลีและเตาอบ หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมามอง เปิดข้าม ๆ จนไปหยุดที่หน้าหนึ่ง หน้าที่พูดถึงดอกกุหลาบแดงที่ร่วงโรย ที่หน้านี้มีสิ่งหนึ่งคั่นเอาไว้
รูปถ่ายคู่ที่หลงเหลืออยู่เพียงรูปเดียว เป็นรูปที่เขาและเธอกำลังนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ รอยยิ้มที่เธอมีนั้นช่างสวยงามเหลือเกิน สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาลืมเธอไม่ลงก็เป็นได้
"ตอนนี้เธอคงใกล้สอบครั้งสุดท้ายแล้วสินะ" เขาเปรยออกมาเบา ๆ
ดีเอทริชเปิดหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดที่หน้าหนึ่ง เขาไล่เรียงสายตาไปที่ตัวอักษรทีละตัว ถ้อยคำในหนังสือทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่ง
....ถึงจะช้าเกินไป แต่อย่างน้อยก็อยากจะทำให้เธอ....
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหุบลงเพื่อใช้ความคิด อย่างน้อยถึงเธอจะลืมเขาไปแล้ว แต่เราก็อย่างจะทำสิ่งที่ใจอยากทำอีกครั้ง อีกครั้งเดียวก็ยังดี ถึงเธอไม่รู้แต่เรารู้เพียงในใจเราก็พอเพียงแล้ว
เขาจิบกาแฟไปเรื่อย ๆ คนเดียวอย่างผ่อนคลาย อย่างน้อยเราก็ต้องพึ่งในสิ่งที่เธอให้มาอีกครั้งจนได้ แล้วแบบนี้เมื่อไรเราจะลืมได้สักทีละ คิดแล้วกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน
ถึงอย่างไรเราก็คงลืมเธอไม่ได้สักทีสินะ....
....เช้าวันถัดมา....
ร้านขนมที่วันนี้คนก็ยังค่อนข้างหนาแน่น อาจเป็นเพราะอากาศที่สดใส ท้องฟ้าที่ไร้เมฆบดบัง แสงแดดที่ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงกว่าวันก่อน ๆ ทำให้อากาศค่อนข้างอบอุ่น และในใจของเจ้าของร้านขนมแห่งนี้ก็อบอุ่นได้เหมือนกันที่จะได้ทำของขวัญให้คนที่รัก
ถึงสิ่งนี้เจ้าตัวจะไม่ได้เห็น ไม่ได้รับแต่เขาก็อบอุ่นใจพอแล้วที่ได้ทำมัน
....หารู้ไม่ว่าเจ้าของขวัญนี้จะได้ส่งถึงมือคนรักตน....
"นี่ครับ ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ" ชายที่มีดวงตาที่น้ำตาลเข้มดูอบอุ่นกล่าวคำขอบคุณแก่ลูกค้าที่มาอุดหนุนร้านตัวเอง หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาจัดขนมในตู้กระจกจนลืมมองหน้าของลูกค้าตนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา คนที่ทำให้เรื่องราวชีวิตเขาเปลี่ยนไป
"เอ่อ...." หญิงสาวที่ยืนอ้ำอึ้งอีกฝั่งของตู้กระจกเมื่อไม่มีใครมารับรายการอาหาร
"อ๊ะ จะรับอะไรดี..... ครับ" น้ำเสียงอันอบอุ่นกระตุกเมื่อเห็นหน้าลูกค้าคนใหม่
หญิงสาวที่ดูแล้วช่างบอบบางดั่งดอกหญ้ายามเช้า ดวงหน้าแสนบริสุทธิ์เหมือนน้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบ น้ำค้างที่จะหายไปเมื่อได้กระทบแสงตะวัน.... เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งท่าทาง เธอยังดูเป็นดอกหญ้าที่เขาหลงใหลและอยากจะปกป้องเอาไว้
ลีฟ รีมิน่าเอามือป้องปากอย่างแปลกใจเมื่อเห็นหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง สักพักเธอก็ส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นปกติเหมือนเมื่อก่อน เหมือนเมื่อตอนที่เรายังคงรักกัน
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะคะ ดีเอทริช" เธอเริ่มบทสนทนาก่อน
"ครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน" ดูท่าฝ่ายชายยังคงตกใจไม่หาย เขาตกใจมากที่เธอมาหาในวันนี้ วันที่เขาสร้างของขวัญเพื่อจะขอโทษเธอ ทั้ง ๆ ที่กะจะสร้างเพื่อปลอบใจตัวเองอย่างเดียว แต่เธอกลับมาหาเขา เหมือนกับว่าเรื่องนี้มีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้า
"มาเปิดร้านแบบนี้ไม่บอกกันเลยนะ มีอะไรจะแนะนำหรือเปล่าคะ"
เขาอยากจะรีบตอบกลับไปว่ามี แต่ในใจก็ยับยั้งเตือนสติเขาไว้ว่า ถ้าเธอปฏิเสธกลับสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ละ ถ้าเธอมีท่าทีว่าสิ่งที่เขาทำมันแก้ไขอะไรไม่ได้จะทำอย่างไร
....เขากำลังกลัวเหมือนเมื่อก่อน....
"ลีฟ เธอรังเกียจไหมที่จะรับคำขอโทษของผมในตอนนี้" เขาเอ่ยปากในที่สุดเมื่อเห็นว่าความเงียบคงจะไม่ช่วยอะไรแม้แต่อย่างเดียว
"คุณมีเรื่องอะไรต้องขอโทษฉันละ" หญิงสาวยังคงยิ้มเหมือนเดิม
.................. เขาไม่สามารถตอบเธอได้
เรียกปากสวยถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย "ดีเอทริช คุณยังเหมือนเมื่อก่อนไปผิด ทำไมคุณชอบทำท่าทางแบบนั้นด้วย คุณทำท่าเหมือนกับคุณกลัวฉัน"
คำที่เธอพูดออกมาทำให้เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ
"คุณปิดบังอะไรฉัน ทำไมคุณถึงทำท่าเหมือนไม่เชื่อใจฉัน" น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่นเครือ "ในวันนั้น คุณบอกเลิกเพราะอะไรกันแน่ คุณยังไม่เคยตอบฉันเลย"
ดีเอทริชถึงกับสะดุ้งเหมือนเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้
"คุณรู้ไหม ที่คุณทำแบบนี้มันทำให้ฉันไม่สบายใจเลย"
"ลีฟ คุณช่วยตามผมมาทีได้ไหม" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาหลังจากที่ตัดสินใจได้
ใบหน้าสวยที่เริ่มมีแววหมองพยักหน้าตอบรับ แล้วเดินตามอดีตคนรักไปที่ห้องพักหลังร้าน เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มชงกาแฟสำหรับสองคนให้ทั้งเธอและตัวเอง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง มือเรียวได้แต่ถือกาแฟไว้เพราะไม่มีอารมณ์ที่จะกินอะไรได้
สักพัก ดีเอทริชก็ออกมาให้ชุดผ้ากันเปื้อนและถุงมือกันความร้อน ในมือถือขนมที่เขาเพิ่งเอาออกมาจากเตา ขนมที่ยังไม่เคยให้ใครชิม แม้กระทั่งตัวเขาเอง
จานสีขาววางไว้หน้าร่างเล็กที่ดูบอบบาง บนจานมีเค้กฟองน้ำสีขาว ทาทับด้วยครีมสดสีขาวดูนุ่มราวปุยหิมะ ประดับรอบ ๆ จานด้วยเกล็ดหิมะที่ทำจากน้ำตาลสีขาว ดูโดยรวมแล้วจานทั้งจานนี้มีแต่สีขาวบริสุทธิ์ สีขาวที่สื่อความหมายบางอย่าง
แต่สิ่งที่ถูกนำมาวางไว้ข้างจานถึงกับทำให้ลีฟตกใจจนลืมตัว คือ....
ดอกกุหลาบตูมสีขาวบริสุทธิ์ที่มีทั้งหนามและใบ
"ขอตั้งชื่อให้กับจานนี้ว่า 'ไวท์ครีมโร้ด' " ชายที่ดูอบอุ่นทำท่าเหมือนพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรู พร้อมก้มหัวให้อย่างสุภาพเรียบร้อย
"ดีเอทริช" หญิงสาวที่เริ่มคุมสติไม่อยู่หันหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
"ผมต้องการจะบอกคุณแบบนี้ตั้งนานแล้วครับ แต่เพราะความกลัวทำให้ผมไม่กล้าบอก"
มือขาวเรียวหยิบกุหลาบขาวขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ เป็นคำตอบของทุกสิ่ง "ฉันก็เคยกลัวเหมือนกันว่าจะทำให้คุณไม่สบายใจ แต่ตอนนี้ฉันคงจะหายกลัวแล้ว"
"ความกลัวนั้นจะหายไปเองเมื่อคุณกับผมได้อยู่ด้วยกัน"
มือที่หยาบกระด้างไปบ้างเอื้อมมือมากุมมือที่แสนบอบบางข้างที่ว่างไว้ แล้วดึงขึ้นมาแนบริมฝีปากไว้เป็นการรักษาสัญญาของคำพูดที่ให้ไป
กุหลาบขาวคือตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ของทุกสรรพสิ่ง และกุหลาบตูมที่มีทั้งใบและหนาม บอกให้รู้ว่า "แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้างแต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฏิเสธ"
แม้เส้นทางที่ทั้งคู่เลือกเดินจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะทั้งคู่จะต้องปลอดภัยเมื่ออยู่ในหัวใจของกันและกัน เส้นทางที่ถูกกำหนดเอาไว้ได้ส่องแสงไว้ที่ปลายทางแล้ว
หัวใจที่เต็มอิ่มของทั้งคู่ได้ก้าวต่อไป...
และต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด .
ตลอดกาล
..
11/03/2007
เข้ามาแก้คำผิดเฉย ๆครับ ไม่มีอะไรเพิ่มเติม....
ความคิดเห็น