คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Before Work ... อาจารย์ใหม่ [Part 1.5 Rewritten]
ทุกท่านคงทราบกันว่า ... กามเทพ เทพเอรอสของชาวกรีก หรือคิวปิดของโรมัน คือเทพผู้ซึ่งช่วยให้คู่รักสมหวัง เป็นบุตรชายของวีนัส ซึ่งเป็นเทพีแห่งความงาม รูปของคิวปิดที่คนส่วนใหญ่จดจำได้คือเด็กชายตัวน้อยจ้ำม่ำ ถือคันธนูและลูกศร พร้อมที่จะยิงศรเพื่อทำให้ผู้คนได้รู้จักกับความรักอันหอมหวาน ...
คิวปิดได้ไปหลงรักสตรีสาวโสภาผู้หนึ่ง หากทว่าเธอผู้นั้นกลับเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยที่แน่นอนว่าพระมารดา คือวีนัส ไม่ยอมรับ ... ปฏิกิริยาของพระมารดาทำให้เทพคิวปิดเศร้าโศกเสียใจมาก ทำได้แต่เพียงอ้อนวอนต่อเทพผู้สูงส่ง ให้ช่วยดลบันดาลโชคชะตา นำพาหญิงคนรักนั้นมาสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเขา
... และแล้ววันหนึ่ง คำขอก็เป็นจริง ...
หญิงสาวผู้นั้นได้รับสาสน์ฉบับหนึ่งจากเทพว่า
“นางคือสาวพรหมจรรย์ที่ไม่มีวันมีคู่ครอง เพราะเป็นผู้ถูกเลือกของซาตาน แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นพรหมจรรย์อยู่ จะทำให้หมู่บ้านเป็นกาลกิณี ปลูกพืชผลใดๆมิได้ ปศุสัตว์จะล้มตายหมด ทางเดียวที่จะแก้คำสาปนี้ได้คือ ... นางต้องไปเป็นภรรยาของปีศาจร้ายที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ !”
... พ่อแม่ของนางเศร้าใจมากเมื่อได้รับข้อความนี้ พวกเขาพยายามวอนขอเทพเจ้าอีกครั้ง ...
และไม่นาน ... สาสน์อีกฉบับก็ถูกส่งมา ...
“เพราะบุญเก่าของนาง ... แม้นางจักต้องเป็นภรรยาของปีศาจ แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับมัน เพียงแต่ต้องไปอาศัยอยู่ในหอคอยร้างแห่งหุบเขามืดมิดในตอนกลางคืนอันเป็นเวลาที่ปีศาจร้ายจะมานอนร่วมกับนาง นางจะไม่เห็นหน้าของมัน”
ครั้นหญิงสาวได้อ่านสาสน์นี้ แม้ว่านางจะเสียใจที่ต้องจากบ้านและต้องตกเป็นภรรยาของปีศาจอัปลักษณ์น่าหวาดหวั่น แต่ถ้าหากนางยังคงดึงดันจะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ย่อมทำให้คนอื่นๆที่บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญทั้งค่ำคืนนั้น และรุ่นเช้านางก็ตัดสินใจเดินทางไปยังหุบเขา
ท่ามกลางความมืดมิด หญิงชาวบ้านร้องไห้เสียใจกับความลำบากยากแค้นของตน เพราะแม้ในหอคอยจะมีทุกอย่างเพียบพร้อม ... ทั้งเสื้อผ้าสวยงาม ... อัญมณีเลอค่า ... และอาหารรสชาติดีเยี่ยม หากทว่านางไม่มีความสุขใดๆเมื่อต้องอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อตกกลางคืนนางจำต้องนอนร่วมกับปีศาจที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเพราะความมืด และในความคิดของนางแล้ว ... ปีศาจนั้นย่อมชั่วร้าย อัปลักษณ์ และมีเพียงความน่าเกรงกลัวเท่านั้น
ทว่า ... แท้ที่จริงแล้วปีศาจร้ายตนนั้นก็คือคิวปิด ผู้ได้ตกลงกับเทพผู้สูงส่งไว้ว่ายินดีจะได้อยู่ครองคู่กับนาง แต่จะไม่ให้นางเห็นหน้าตัวเองโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะในโอกาสใดทั้งสิ้น
วันเวลาล่วงเลยไป หญิงสาวเริ่มรู้สึกประหลาดใจกับปีศาจร้ายที่มาหานางในทุกกลางคืน ทำไมปีศาจต้องรีบหนีหน้าไปเวลาดวงตะวันข้ามทิฆัมพรขึ้นฟ้า ? แล้วในกลางคืนเวลานางนอนร่วมกับมันทำไมจึงไม่ได้รู้สึกถึงความชั่วร้ายเลยเล่า ? นางรู้สึกว่าปีศาจตนนี้คือผู้ที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่น ... ทั้งกายและใจ ในที่สุดนางก็เริ่มอยากจะเห็นหน้าตาของปีศาจร้าย ผู้ซึ่งนางคิดว่าอาจไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
วันหนึ่ง ... หญิงสาวได้เตรียมเทียนไขเอาไว้ จวบจนกระทั่งพลบค่ำเมื่อความมืดเริ่มโรยตัว ... คิวปิดก็เข้ามาหานางอย่างทุกๆครา ตกดึก ... หลังจากที่คิวปิดได้หลับสนิทลงไปแล้ว หญิงสาวก็รีบลุกตื่นขึ้นมาจุดเทียนไขให้ส่องสว่างเพื่อดูหน้าตาของปีศาจร้าย
แน่นอน ... สิ่งที่หญิงสาวเห็นไม่ใช่ปีศาจที่อัปลักษณ์ หากแต่เป็นชายหนุ่มรูปงามดั่งเทพบุตร หญิงสาวเกิดลุ่มหลงรูปลักษณ์ในบัดดล ได้แต่เพ่งพิศหน้าตาของชายหนุ่มอย่างเผลอไผลจนลืมเวลา
เมื่อผ่านไปสักพัก คิวปิดเริ่มรู้สึกถึงแสงสว่างที่สาดส่องอยู่ไม่ไกลจากตนนักทำให้นึกว่ารุ่งอรุณมาถึงแล้วและลืมตาตื่นขึ้น แต่คิวปิดก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้น ... ผู้ซึ่งเขารักและไว้วางใจมาโดยตลอด ... กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาผ่านแสงเทียนสีส้มจางอยู่อย่างหลงใหล
คิวปิดเศร้าใจมาก เมื่อเขาทำผิดสัญญาก็ต้องเสียคนรักไป จึงรีบบินหนีออกมาจากหอคอย โดยกล่าวกับหญิงสาวทิ้งท้ายไว้ ...
“เพราะเธอผิดสัญญาเราจึงต้องแยกทางกัน ตามที่เทพเจ้าทั้งหลายได้กล่าวไว้ว่า ... มนุษย์มีความช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็น และไม่มีวันที่จะต้านทานความอยากของตัวเองได้”
หญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นจึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ นอนร้องไห้อยู่ในห้องนั้น จนกลายมาเป็นผู้เฝ้ามองชะตากรรมหมู่มวลมนุษย์บนหอคอยแห่งความโลภอย่างเดียวดาย
หลังจากคิวปิดบินหนีขึ้นไปบนสวรรค์ ก็ยิ่งซ้ำร้าย เพราะวีนัสจับได้ว่าแอบไปครองคู่อยู่กับหญิงสาวสามัญชน นางจึงสาปให้ลูกชายตนเองเป็นเทพผู้ไม่มีวันพบความรักแต่ต้องทำให้คนอื่น ๆ สมหวัง ชดใช้ความผิดของตนชั่วกาล จนกว่าจะถึงวันที่ความโลภหลงแห่งมนุษย์เลือนหายไป
เรื่องที่เล่ามาเป็นเพียงความเชื่อของกรีกและโรมัน
แต่เรื่องต่อไปนี้คือมุมมองของคิวปิดจากพ่อมดและแมวดำ .... สาสน์จากยมทูต .....
fff
ยามเช้าในวันหนึ่งต้นเดือนมิถุนายนซึ่งถือว่าเป็นช่วงกลางฤดูร้อน ... แม้ปีนี้อากาศจะไม่ได้ร้อนมากมายนัก แต่ก็ถือว่าร้อนมากแล้วสำหรับใครบางคน ... อพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งใจกลางเมืองใหญ่ - ห้องหนึ่งในชั้น 11 - นาฬิกาปลุกได้ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครมครามของข้าวของที่ล้มระเนระนาดเหมือนทุกๆเช้า
กริ๊ง~ ... กริ๊ก !
ร่างสูงผมดำสนิทพลิกตัวมากดนาฬิกาปลุกทรงสี่เหลี่ยมที่ส่งเสียงกัมปนาททำลายความสุขในยามเช้าของเขา หลังจากเสียงนาฬิกาเงียบหายไปสักระยะเวลาหนึ่ง ความงัวเงียไม่ทันหาย ความไม่สบายหูก็เข้ามาแทรกซ้ำ ...
“สกายคิก!! ตื่นได้แล้วไอ้พี่บ้า จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน” ‘นาฬิกาปลุก’ ระลอกสองที่ปล่อยเสียงกัมปนาทยิ่งกว่าครั้งแรกได้ดังขึ้น หลังจากหญิงสาวร่างเล็กก้าวเข้ามาในห้อง
แล้วทุกๆอย่างก็เป็นเหมือนทุกๆวัน ... “ตื่นโว้ยย !! ตื่น! ถึงเป็นความดันต่ำก็ไม่ต้องมาสำออยเหม่อตอนเช้าเลยโว้ย !” หญิงสาวเขย่าตัวชายหนุ่มจนเสื้อผ้ากับผมเผ้าที่กระเซิงอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงไม่เหลือเค้าเดิม เขย่าขึ้นลงเต็มแรงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ... เปรียบเสมือนที่คุณทำกับขวดชาเขียวก่อนดื่ม
“ไอวี่ ... พี่เหนื่อย ... แล้วพี่ก็ไม่ได้ ถึก เหมือนน้องด้วย เลิกเขย่าได้แล้ว !” ชายหนุ่มพูดเสียงเนิบๆ เพราะความงัวเงียและความเจ็บปวดบริเวณหลังที่ถูกถีบเข้าเต็มๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์เพียรพยายามเน้นคำหนึ่งตรงกลางประโยคจนได้ สายตาอาฆาตแค้นส่งมาแวบหนึ่ง
“ไปอาบน้ำได้แล้ว พี่ลูอีสทำกับข้าวจะเสร็จแล้ว” หญิงสาวผลักไสไล่ส่งชายหนุ่มที่มีความสูงมากกว่าตนเองเข้าไปในห้องน้ำอย่างกระฟัดกระเฟียดเพื่อให้พี่ชายรีบๆทำธุระส่วนตัวให้เสร็จๆเสียที พลันก็ปิดประตูดังปังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ห้องนั่งเล่นของห้องหนึ่งในคอนโดหรูถูกจัดระเบียบไว้สำหรับรับประทานอาหารตกแต่งด้วยสีโทนเอิร์ธดูสบายตา ประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สีอ่อน ม่านบางบังแสงสีนวลชั้นในแทบไม่ได้ช่วยกั้นแสงแดดอะไรเลยในยามเช้า - ยามที่ลำแดดสาดส่องมาตามช่องว่างเว้นทั่วทั้งห้องกว้าง โต๊ะไม้สีเบจตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง แจกันทรงผอมสีขาวที่ไม่เคยมีดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลาง เก้าอี้สี่ตัว ... เกินความจำเป็นมาอยู่หนึ่ง ล้มระเกะระกะไปหมด เป็นภาระของหญิงสาวทรงพลังนามไอวี่อีกครั้งที่ต้องช่วยจัดระเบียบโต๊ะกินข้าว ความหงุดหงิดง่ายเป็นพื้นฐานบวกกับความเหน็ดเหนื่อยจากการปลุกประชากรตอนเช้าทำให้ผ้าปูโต๊ะดูยับๆไปนิด แต่นั่นไม่ได้ส่งผลอะไรกับชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียน ผู้กำลังเดินเข้ามาพลางจัดผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอยู่
“ไอวี่ วันหลังปลุกพี่ดีๆหน่อยได้มั้ย ? เดี๋ยวพี่เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” ชายหนุ่มบ่นพึมพำพลางจ้องหน้าไปทางคู่กรณีที่กำลังนั่งจัดโต๊ะอาหาร
“ก็พี่ไม่ยอมตื่นเองนี่ ช่วยไม่ได้” ดวงตาสีน้ำตาลใสค้อน
“เช้ามาก็จะทะเลาะกันแล้วเหรอ ชีวิตยามเช้าต้องสดใสอย่าเครียดกันสิ” เสียงทุ้มๆของอีกหนึ่งคนผู้กำลังเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมยกจานที่มีอาหารชุดอเมริกันสามจานมาเสิร์ฟให้กับบุคคลตรงหน้า “ยิ่งวันนี้เปิดเทอมวันแรกด้วย ต้องสดใสเข้าไว้นะจะได้มีความสุขกับชีวิตวัยเรียน” สองตากราดมองทั่วห้องพลางวางจานแกร๊กแล้วโปรยยิ้มให้กับน้องๆ
“พี่ลูอีสก็ยิ้มอยู่ได้ ไม่มีใครทักว่าบ้าเหรอไง”ไอวี่ได้ทีแหวใส่พี่ชาย
“เคยมีเหมือนกัน ... ก็ ... น้องไอวี่ที่รักไง” ลูอีสหัวเราะคิกคัก โดยไม่ใส่ใจสายตาเขียว ๆ ที่ถูกส่งกลับมาหลังคำพูด เลี่ยงเดินไปหาน้องชายของตนแทน “วิลแซ็ค อะ ...นี่ยา อ๊ะ เดี๋ยวจัดผมให้นะ” ชายหนุ่มยื่นเม็ดยาแคปซูลให้กับน้องชาย แล้วเขย่งขาจัดเผ้าผมยุ่งเหยิงให้กับน้องที่มีความสูงมากกว่าตน
“ขอบคุณครับ” วิลแซ็คนั่งลงที่เก้าอี้เพื่อให้พี่ชายจัดผมที่รกรุงรังให้ เพราะเป็นโรคความดันต่ำตั้งแต่เด็ก จึงต้องกินยาบ่อย บางครั้งก็เป็นลมไปเลย
“ง่า ทำไมพี่ไม่สูงอย่างวิลแซ็คบ้างนะ ถึงจะสูงกว่าไอวี่ก็เถอะ” คนเตี้ยกว่าหัวเราะอีกครั้ง ลูอีสเป็นชายหนุ่มที่สูงเพียง 168 เซนติเมตร แต่น้องชายของเขากลับสูงถึง 188 !!! ... ทำให้มีบางคนเข้าใจผิดได้
“เฮอะ! ช่วยไม่ได้ ไม่ยอมกินนมเอง”ไอวี่แอบบ่นพึมพำเบาๆ แล้วเริ่มปฏิบัติการรับประทานอาหารเช้า
ครอบครัวนี้ต้องอยู่กันเพียงแค่ 3 คนพี่น้องเพราะพ่อแม่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกบ่อย จนแทบเรียกว่าไม่ได้กลับมาหา แต่ทั้งสามก็อยู่อย่างสุขสบายดี เพราะมีลูอีสพี่ชายคนโตเป็นแม่บ้าน (?) จำเป็นให้ ส่วนน้อง ๆ ที่เหลือก็ไม่ทำให้พี่ชายต้องเหนื่อย ถึงแม้จะทะเลาะกันบ่อย ๆ ก็ตาม
“พี่ลูอีส ไอวี่ไปก่อนนะนัดกับเพื่อนไว้ตอนเช้าแล้ว เดี๋ยวสาย!” เด็กสาววิ่งออกไปพลางหยิบกระเป๋าออกไป มุ่งสู่โรงเรียนที่ห่างจากคอนโดแค่เดินไป 5 นาที โดยทิ้งจานชามสกปรกไว้ให้พี่ๆทำความสะอาด
“วิลแซ็ค ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ล้างชามให้เอง” แม่บ้านจำเป็นกระวีกระวาดกวาดเก็บชามที่เปรอะเปื้อนคราบอาหารสำหรับ 3 คนไปล้างในห้องครัวที่เชื่อมติดกัน
“ถ้าไม่อยู่ช่วยพี่เดี๋ยวชามก็แตกหมดสิ” วิลแซ็คไม่สนใจคำพูดของพี่ชายเดินไปแย่งจานชามจากมือพี่ชายตนมา แล้วเดินเข้าห้องครัวไปเอง “พี่ก็ต้องไปมหา’ลัยไม่ใช่เหรอ ไม่ไปตอนนี้เดี๋ยวรถไฟก็คนเยอะสิ ยิ่งตัวเล็กๆอยู่ด้วย”
ลูอีสทำเป็นงอนแก้มป่องอย่างน่ารักเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตัวเล็ก’ “ก็ได้ ฝากปิดบ้านด้วยละกัน” พี่ชายตัวเล็กเดินงอนออกไปจากบ้าน แม้จะทำตัวงอนแค่ไหนแต่ใครๆก็คิดเหมือนกันหมดว่า ‘น่ารัก’ จนน่าหยิกแก้ม
วิลแซ็คมองตามไปอมยิ้ม ยืนล้างจานอย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อนเพราะโรงเรียนของตนก็อยู่ข้างๆโรงเรียนน้องสาวที่ห่างไปแค่นิดเดียว
fff
โรงเรียนไฮสคูลไซเลนท์ เป็นโรงเรียนที่ใกล้ที่สุดจากบ้านของวิลแซ็ค แม้จะไม่ใช่โรงเรียนที่หรูหราสำหรับนักเรียนไฮโซแต่ก็คือว่าเป็นโรงเรียนที่ใช้ได้ในละแวกนี้ ซึ่งนั่นก็น่าพอใจแล้วสำหรับตัววิลแซ็คที่ไม่ชอบใช้ชีวิตที่หรูหราจนน่ารำคาญ แน่นอนว่าในสายตาของเขาคนเดียว
วิลแซ็คเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูง ดูปราดเปรียว หน้าตาก็จัดว่าดีเข้าขั้นจึงมีคนชื่นชอบในโรงเรียนเยอะพอดู แต่เขาไม่ได้สนใจอะไร เพราะชอบที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆมากกว่าจะไปให้คนมารุมล้อม ชายหนุ่มมักถูกเชิญให้ไปเป็นนักกีฬาอยู่บ่อยๆ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้เป็นนักกีฬาสังกัดใดโดยเฉพาะ เพื่อนก็ไม่ค่อยมีเพราะเขามักชอบทำตัวเย็นชาใส่คนอื่นเสมอๆ
“ดูคนนั้นสิเธอ หล่อจัง สูงด้วย”
“ไหน ๆ จริงด้วยละ”
... วิลแซ็คไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านี้นัก ตอนเข้ามาใหม่ๆเขามักได้ยินบ่อย จนรู้สึกรำคาญนิดๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกไปทางท่าทางแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบเดินหลีกหนีคนที่เริ่มจ้องมองมาที่ตัวเขามากขึ้น แล้วรีบเดินขึ้นห้องของตนเอง
ทางระเบียงชั้น 3 ... ชั้นของนักเรียนปีที่ 2 ตอนนี้ยังค่อนข้างโล่งเพราะยังเหลือเวลาอีกประมาณ 40 นาทีถึงจะได้เวลาเข้าเรียน ชายหนุ่มเดินอย่าง เหม่อลอยไปที่ห้องเรียนของตนเอง ห้องเรียนของเขาตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนมากนัก ในห้องเงียบเชียบไม่มีเสียงใด ๆ แม้แต่เพียงเสียงพูดคุย เพราะตอนนี้ในห้องมีเพียงนักเรียนสองสามคนเท่านั้น ประตูเปิดค้างไว้จึงไม่ต้องเสียแรงบิดผลัก ชะโงกหน้าเข้าไปเลือกนั่งที่นั่งติดหน้าต่าง ค่อนไปทางข้างหลังติดมุมห้อง
“ยังเช้าอยู่เลย ไปเดินเล่นละกัน” ชายหนุ่มวางกระเป๋าแล้วบ่นพึมพำกับตนเอง
โรงเรียนแห่งนี้เป็นระบบเลื่อนชั้นขึ้นทั้งห้อง ทุกคนจะได้อยู่กับเพื่อนคนเดิมๆ อาจารย์ประจำชั้นคนเดิมและได้เลขที่เดิมอยู่เสมอตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 จึงไม่ต้องไปนั่งลุ้นว่าจะได้อยู่กับใครบ้าง ... แน่นอนว่านั่นไม่ค่อยจะมีประโยชน์นักสำหรับตัวเขา เนื่องจากจำนวนเพื่อนที่มีน้อยมากบวกกับอาการเงียบขรึมไม่พูดไม่จาของเขา ถึงแม้จะอยู่คนเดียวก็คงไม่ต่างอะไรมากนัก
ประตูห้องยังคงเปิดค้างเพราะไม่มีใครเข้ามาเพิ่มเติม สองขารีบจ้ำออกจากอาณาเขตโต๊ะเรียน เดินเล่นไปตามระเบียงที่ค่อนข้างเงียบ พลางสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าอย่างสบายอารมณ์
สายตาของวิลแซ็คเหลือบไปเห็นเงาดำทางห้องพักครูตรงสุดฝั่งระเบียง ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง กระทั่งเข็มนาฬิกาก็ถูกแช่แข็ง เท้าไม่สามารถขยับไปไหนได้ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเงาดำนั้นขยายตัวออกตรงกำแพง เมื่อมันขยายตัวออกจนใหญ่เท่ากับขนาดคน ดังสิ่งนั้นมีลูกตาจับจ้องยังตำแหน่งของชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ภาพปรากฏชักพร่ามัว จนสิ่งต่าง ๆ เริ่มเลือนหายไป ...
ในที่สุด สติของเขาก็ดับวูบ และสิ่งสุดท้ายที่รู้สึกได้คือ
......เสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง ของกระพรวน......
ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ ตอนนี้เขาอยู่ในห้องเรียนที่เริ่มมีคนทยอยเข้ามากันแล้ว แสงแดดที่ส่องมาน้อยๆทำให้สภาพห้องเริ่มดูสดใสเหมือนกับชีวิตวัยรุ่น ... ทุกๆคนทักทายเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันตลอดช่วงปิดเทอมอย่างเป็นมิตร ... กระทั่งวิลแซ็คผู้มนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นโคม่าก็ยังมีเพื่อนเก่ามาทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ”ชายหนุ่มผมสีเทากระเซิงกระหืดกระหอบมานั่งลงข้างๆเขา
“อรุณสวัสดิ์ เฟย์” วิลแซ็คทักทายเพื่อนเพียงคนเดียวที่ (พยายาม) พูดกับตัวเขาในปีที่แล้ว เฟย์เป็นคนอารมณ์ดีเหมือนพี่ลูอีสของเขา รอยยิ้มที่จะเปื้อนอยู่บนใบหน้าเสมอ ทุกอย่างเหมือนพี่ชายผู้แสนดี (?) ยกเว้นอย่างเดียวคือ เฟย์เป็นคนที่สูงพอ ๆ กันกับเขาเท่านั้น
“เป็นอะไรเหรอ ดูหน้าซีด ๆ นะ อากาศก็เย็นเหงื่อออกเพียบเลย ไปวิ่งที่สนามมาเหรอไง”
วิลแซ็คเริ่มสังเกตว่าตอนนี้เขาเหงื่อแตกมากชนิดที่ว่าเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำแล้วรีบใส่เสื้อ ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่...ฝันร้าย นิดหน่อย”
เฟย์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าวิลแซ็คไม่ได้เป็นคนเย็นชาอย่างที่ใคร ๆ คิด และยังรู้ด้วยว่าวิลแซ็คเป็นโรคความดันต่ำ บางทีก็ไม่สบายออกบ่อย “อือ เฮ้! นั่งเถอะ อาจารย์ มา”
คำกลางวลีที่เน้นนั้นดูจะมีประกาศิตพอตัว นักเรียนทั้งห้องที่เสียงคุยจ้อกแจ้กดังลั่นกุลีกุจอกันเข้าไปนั่งประจำที่ของตน เสียงลากเก้าอี้ชนขาโต๊ะดังครืดคราด แต่แล้วเมื่อเงาของใครบางคนเคลื่อนเข้ามาผ่านช่องประตู ในวินาทีนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความเรียบร้อย
“นั่งกันได้แล้ว ครูมีเรื่องมาบอก” เสียงโหด ๆ ของอาจารย์ที่ปรึกษาสาวประจำหมวดแนะแนวกล่าวหลังเดินเข้ามา “อรุณสวัสดิ์ทุกคน ขอต้อนรับเข้าสู่เทอมใหม่ แต่เพื่อนหน้าเก่า อย่างที่ทุกๆคนรู้นะว่า ปกติอาจารย์ประจำชั้นต้องมาเป็นคนพูดหน้าชั้นวันนี้ นี่...ตรงนั้น อย่าคุยค่ะ ” อาจารย์ส่งสายตาดุให้กับนักเรียนสาวหลังห้อง “ต่อนะ แต่พอดีอาจารย์คนเก่าได้ลาออกไปแล้ว จึงมีอาจารย์ใหม่มาเข้าแทน”
เสียงคนในห้องเริ่มฮือฮา
“เชิญอาจารย์ เวนเจียนซ์ค่ะ”
หลังคำพูดเด็กชายตัวเล็กก็ก้าวเข้ามาในห้อง “อรุณสวัสดิ์คร้าบ” ร่างเล็ก ๆ สูงไม่เกิน 155 เซนติเมตรกระโดดโลดเต้นเริงร่าเข้ามาในห้องอย่างสนุกสนาน ผิดกับคนทั้งห้องลิบลับ เพราะยังงงไม่หาย ..... ว่าตกลงแล้วพวกเขาต้องมาเรียนกับอาจารย์ อย่างนี้ หรือ ?
“เอ่อ ตอนแรกครูก็งงเป็นไก่ตาแตกแบบนักเรียนเหมือนกัน นี่ ... อาจารย์เวนเจียนซ์ อาจารย์ประจำชั้นและอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ อาจารย์คนใหม่ของพวกเธอ ทำความเคารพสิ!” อาจารย์สาวผายมือไปทางเด็กหนุ่มตัวน้อยที่ยืนอยู่หน้าห้อง
ทุกคนในห้องยิ่งทำท่าเลิ่กลั่กเข้าไปใหญ่เมื่อได้รับรู้ว่าอาจารย์คนใหม่นี้มัน เด็ก ชัดๆ ! สูงแค่ประมาณ 150 กว่าๆ แถมผม ตา ชุดก็ดำสนิทเหมือนอีกา มีอย่างเดียวที่ดูโดดเด่นคือปลอกคอสีแดงกับกระพรวนสีทองที่ดังกรุ๊งกริ๊งเวลาอาจารย์เดินเขย่ง ๆ ไปมา ....แม่บังคับใส่ เพราะกลัวหายเหรอไงเนี่ย !?
“เอ่อ แนะนำตัวหน่อยสิค่ะ อาจารย์” คุณครูที่ยังรับไม่ได้ว่าทำไมอาจารย์ที่ดูเด็กกว่าเธอตั้งครึ่งหนึ่งของอายุ กลับกลายมาเป็นเพื่อนอาจารย์ของเธอเสียอย่างนั้น สะกิดเด็กชายที่ยังไม่ยอมอยู่นิ่งให้ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
“ครับ ผมชื่อเวนเจียนซ์ โลเวอร์ อายุ 27 ปี จบปริญญาเอกทางประวัติศาสตร์โดยตรง ชอบเลี้ยงแมวครับ เป็นไปได้ขอให้เรียกชื่อจริงนะครับ ไม่ต้องเรียกนามสกุลก็ได้ มันดูไม่สนิทสนม ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มโค้งคำนับกับทุก ๆ คนอย่างเป็นมิตรแล้วโปรยรอยยิ้มให้ทุกคนในห้อง
..
หน้าตาทุกคนในห้องเริ่มเข้าสู่บทอึ้งเงียบ ... ‘มัน’ จบปริญญาเอกแล้ว? หน้าเด็กชะมัด !!
“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ ในเมื่อแนะนำตัวแล้วเชิญพูดอะไรในวันเปิดเทอมหน่อยค่ะ” อาจารย์สาวกล่าวต่อ
“ก็ไม่มีอะไรมาก อืม...ขอให้ทุก ๆ คนรักกันดี ๆ นะครับถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมา 1 ปีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะรู้จักกันดีจริง ๆ ขอให้ทุกคนพยายามไปอีก 1 ปีที่เราจะเจอหน้ากันนะครับ”
เหมือนว่าวิลแซ็คจะรู้สึกไปเอง ก็ทำไม ไอ้เด็กนั่น ถึงต้องจ้องมาที่ตัวตลอดเวลาเลยหลังจากกล่าวข้อความสั้นๆเสร็จ แต่ก็มองตอบเพราะนิสัยไม่ยอมหลบตาใคร
“เฮ้ย วิลเป็นอะไรไปวะ เห็นมองอาจารย์ใหม่อยู่ได้ ปิ๊งเขาเหรอไง” เฟย์กระเซ้าเล่นอย่างไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์แปลกๆ
“บ้าสิ!” วิลแซ็คที่เริ่มรู้สึกตัวหันกลับมาปฏิเสธกับเพื่อน
ฉับพลันสายตาของชายหนุ่มเหลือบไปมองอาจารย์อีกครั้ง เสียงกระพรวนแบบนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนกันนะ ... ?
“เอาละ จะเข้าคาบแรกแล้วยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เด็กหนุ่มโค้งอีกรอบ เมื่อยืนรอให้อาจารย์แนะแนวบ่นเรื่องกฎโรงเรียนให้เด็กในห้องทนฟังชั่วขณะอันเนิ่นนาน ก่อนออกไปก็หันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ติดหน้าต่างอีกรอบ
หลังจากอาจารย์เดินออกไปแล้ว ห้องเรียนก็พร้อมใจกันกลับมาเป็นนกกระจอกแตกรังอีกครั้ง
“เห็นหรือเปล่าเธอ อาจารย์คนใหม่นี้ไม่น่าเชื่อเลยนะ หน้าเด็กจัง”สาว ๆ ที่อยู่หลังห้องเริ่มเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับอาจารย์คนใหม่
“ใช่ๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเด็กใหม่ซะอีก”
“ดูๆแล้วเขาก็น่ารักดีนะ”
“คิดเหมือนกันเลย ตอนกลางวันไปหาอาจารย์กันไหม ฉันชอบเขามากเลยละ”
“แถมรู้สึกจะมองมาแถวพวกเราบ่อยด้วยละ”
แล้วเสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงก็ดังต่อไปเรื่อยๆ ... จนอาจารย์คาบแรกเดินเข้ามา
fff
เรื่องของอาจารย์หน้าเด็กกลายเป็นข่าวของโรงเรียนทันทีเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน
“นายคิดว่าไง?” เฟย์เงยหน้าขึ้นจากจานบะหมี่น้ำรสเค็มจัดเกินจะทานทนไหว ดวงตาสีเขียวใบไม้แพรวระยับด้วยความสงสัย
“คิดว่าไง ... เรื่องอะไรเรอะ?” วิลแซ็คทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งที่เหงื่อจากริมขมับก็แตกซ่ก ... ก็แล้วจะมีเรื่องไหนที่คนอย่างเฟย์สนใจบ้างล่ะ นอกจากเรื่อง......
“อาจารย์เวนเจียนซ์ โลเวอร์ กระพรวนทอง คนนั้นไง !!” ทำท่าเหมือนตะคอก แต่เสียงกลับเบายิ่งกว่ากระซิบ เหตุที่ต้องคุยเรื่องของอาจารย์เด็กคนดังกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดธรรมชาติก็เพราะหากนักเรียนสาว ๆ ร่วมชั้นได้ยินชื่อประหลาดนี้เข้าเมื่อไหร่ เขาย่อมนั่งเป็นปกติสุขไม่ได้เมื่อนั้น
คำว่ากระพรวนทองกลางประโยคทำให้ผู้ฟังต้องถือช้อนค้าง ริมฝีปากอ้าเผยอเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สติหลุดลอยออกไปไกลเมื่อนึกถึงเสียงกรุ๊งกริ๊งนั้นที่แว่วเข้ามา
กรุ๊งกริ๊ง...
กรุ๊งกริ๊ง !!
“อ้าว! สวัสดีนักเรียนทุกคน วันนี้ผมขอมากินข้าวที่โรงอาหารนี้ด้วยคน ... ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยคร้าบ !!”
เสียงกรี๊ดกร๊าดดังแว่วเข้ามา พลันสติไม่สมประดีของวิลแซ็คก็ชะงักงัน คำพูดเมื่อกี้เป็นเหมือนคำสาปที่ทำเอาเขาสันหลังวาบ น้ำลายหนืด ๆ กลืนเอื๊อกไม่ลงคอ หันรีหันขวางพยายามหาต้นกำเนิดเสียง
เฮือกก!!
“ขอผมนั่งด้วยคนนะครับ” พูดจบไม่รอช้าก็รีบวางถาดสแตนเลสสำหรับนักเรียนลงบนโต๊ะ เสียงกระพรวนสีทองดังมิได้ขาด ทำเอาความคิดแน่วแน่ของชายหนุ่มต้องแตกกระเจิงเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำแป๋วแหววของอาจารย์ตัวเล็กคนนั้น
จะบ้ารึไง ! จู่ ๆ ก็โผล่มาข้างตัวแบบนี้ !!? ห้องอาหารอาจารย์ก็มีทำไมไม่ยอมไปใช้ฟะ!!!!
จากเดิมที่สายตาของสาว ๆ มักมองมาทางตัววิลแซ็คอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเจ้าตัวเรียกคะแนนความนิยมเพิ่มมาทำให้สายตาของเหล่าสตรีเพศจ้องมาที่ทิศทางเดียวโดยมิได้นัดหมาย บรรยากาศรอบนอกถูกแต่งแต้มไปด้วยไอสีชมพูหวานจ๋อย แต่ศูนย์รวมสายตากลับมีบรรยากาศต่อต้านกับภายนอก
“ไอ้หนู นายมานั่งที่นี่ทำไม” วิลแซ็คละสายตาจากจานอาหารมาที่อาจารย์ของตน
เวนเจียนซ์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเพียงแวบเดียวก็กลับไปสนใจอาหารตรงหน้าใหม่ โดยไม่ใส่ใจกับอารมณ์ของใครอีกคนที่กำลังจะเกินขีดจำกัด ด้วยความที่ความดันต่ำ+อากาศร้อนทำให้อารมณ์เขาปะทุขึ้นมาเรื่อย ๆ “ไอ้หนู นายไม่ได้ยินคำถามเหรอไง?” น้ำเสียงเริ่มออกแนวตะคอก
“เวนเจียนซ์อายุ 27 แล้วไม่ใช่ ไอ้หนู ที่ไหน ที่สำคัญ ... เวนเจียนซ์เป็นอาจารย์คุณด้วยนะครับ”นัยน์ตาสีดำสนิทแต่แฝงไปด้วยความขบขัน สบตากับสายตาสีน้ำทะเลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวถมึงทึง ...
“อาจารย์ครับ ทำไมไม่ไปที่โรงอาหารอาจารย์ละครับ?” เสียงลอดไรฟันถูกส่งมาอีกครั้ง
ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์วางช้อนส้อมลงแล้วเงยหน้าส่งสายตาสีดำแป๋วแหววมาให้ พร้อมรอยยิ้มมัดใจสาวน้อยสาวใหญ่ให้อย่างสบายอารมณ์ “ผมไปที่นั่นแล้วมีแต่คนแก่ ๆ คุยกันแต่เรื่องน่าเบื่อ แล้วก็...” เวนเจียนซ์เอียงคอเล็กน้อยอย่างน่ารักน่าชัง “ผมคิดถึงคุณครับ เลยอยากมาเจอ”
พรวด!!! เฟย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ตัวน้อยสำลักน้ำบะหมี่เค็มจัดออกมาจากปากด้วยความงงปนอึ้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่เล็ดลอดออกมาทั้งที่พยายามกลั้นไว้เต็มที่
สาว ๆ ที่ย้ายถิ่นฐานตามอาจารย์หน้าเด็กมานั่งบริเวณใกล้ ๆ ก็ทำตาโตงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อได้ยินประโยคที่ออกมาจากคนที่ตัวเองกำลังตามหมายออเซาะ วิลแซ็คอึ้งค้างทำหน้าเหวอเล็กน้อย ก่อนกลับมาทำหน้าเครียดส่งสายตาดุ ๆ ให้กับสองผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน ก่อนจะเอ่ยปากพูดอะไรอีกครั้ง เสียงหวาน ๆ ก็พูดต่อไปอีก
“ตอนอยู่ในห้องเดียวกันคุณก็ยังมองผมไม่วางตาเลยนี่นา...” ไอ้หนู หน้าอ่อนทำเอียงอายน่ารักน่าหยิก พลันพยายามสอดส่ายสายตาตามดวงตาสีดำคู่สวยกระด้างนั้น“ขี้โกงกันไปหน่อยรึเปล่าน้า ...? จะให้คุณมองผมคนเดียวได้ยังไง?”
คราวนี้คนเคยมองถึงแก่กาลสติหลุด กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ พูดออกมาลอดเร้นไรฟัน “ผมมองอาจารย์แล้วมันจะทำไม คนเป็นลูกศิษย์มองอาจารย์มันแปลกด้วยเหรอ?”
“อะไรนะครับ?” ดูแน่ะ ... ไอ้หนู อาจารย์เวนเจียนซ์นี่ยังถามต่อ แถมกระพริบตาปริบ ๆ น่าจับพรากจากบุพการีไปเลี้ยงเองเสียจริง... “ผมเห็นว่านัยน์ตาที่คุณมองตาผม มันมีอะไรบางอย่างอยู่นะครับ”
ทันใดเสียงฮือฮาก็ดังคะนึงไปทั่วโรงอาหาร สาวเล็กสาวใหญ่หรือกระทั่งหมดวัยสาวเริ่มอดอาการคันมือคันปากไว้ไม่ไหว บรรดานักเรียนชายลุกหนีกันไปเป็นแถบ ๆ จนดูเหมือนกับมีกำแพงกั้นขวางในรัศมีหลายเมตรรอบโต๊ะน่าสงสัยนั้น ชายผมเทากำลังช็อก อ้าปากค้างทั้งที่เส้นบะหมี่เย็นชืดยังคาอยู่เต็มปาก เขาคงจะเผลอกัดลิ้นตัวเองเข้าไป เลือดสีแดงอุ่นๆจึงไหลมาซึมเลอะเศษซากแป้งสีเหลืองนั้นทำให้สภาพของมันไม่ชวนมองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้าหนูอาจารย์น้อยก็ยังรอคอยคำพูดจากใครคนหนึ่งซึ่งกำลังคิดอยากจับตนเองหักคอยิ่งนัก
“หา!!?” เจ้าของเสียงชักใกล้คลั่ง กัดฟันกรอดอย่างไม่อยากปิดบังอารมณ์ตน “มันมีอะไรอยู่รึ ไอ้หนูเวนเจียนซ์ !?”
ผู้ครอบครองปลอกคอแดงทำเป็นครุ่นคิด “อืม...” เหลือบขึ้นมองใบหน้าขึ้นสีของชายหนุ่ม “ที่ผมเห็น เหมือนจะมี ... เอ่อ ... ” พูดจบก็ยิ้มแป้นอย่างที่ทำให้บรรดาสาว ๆ ผู้รักเด็ก คงจะใจละลาย ... ทั้งที่เด็ก คนนี้อายุเกือบสามสิบปีแล้วแท้ ๆ
“ความห่วงใยของคุณ ที่ส่องสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นไงครับ”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง วิลแซ็คผู้ทนไม่ไหวอีกต่อไปก็กระโจนข้ามโต๊ะอาหาร รองเท้านักเรียนที่เคยสะอาดตวัดปัดเอาจานชามถาดสแตนเลสตกลงไปกองบนพื้น น้ำซุปใส ๆ ที่ไม่มีใครสนใจจะกินค่อย ๆ ไหลเทลงมานอง ทันใดสองมือที่ยังว่างก็เข้าล็อกคอของเด็กชายตัวน้อย จับร่างบางนั้นกดลงบนเก้าอี้ยาวโดยฝ่ายรับไม่อาจต่อต้านได้
ชายหนุ่มก้มหน้าลงกระชากปลอกคอสีแดงขึ้นมาจนคนข้างล่างหน้าหงาย พ่นลมหายใจรดใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ยังเปื้อนยิ้มอยู่ราวกับไม่สะทกสะท้าน พลันกระซิบที่ข้างหู “ผมไม่เคยมีความห่วงใยอะไรให้อาจารย์ แล้วก็ ...” ลดน้ำเสียงให้เบายิ่งกว่าเดิม “รู้ไหมว่าผมเกลียดกระพรวนทอง ๆ แบบนี้ชะมัด”
“งั้นเหรอครับ ?” เวนเจียนซ์พึมพำพูดแทรก “ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ... เราลองไปหาที่ปลอดสายตาคนคุยกัน ดีไหมครับ?”
และแล้วก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า...
อาจารย์ใหม่กับเด็กหนุ่มปี 2 ... คงจะมีคดีความอะไรกันเสียแล้ว !!
fff
17:08 04/10/2006
ยึดครองแล้วโดย Star* of Radiance
นี่คือการรีไรท์ที่อืดที่สุดเท่าที่เคยมีมา -*-
(หลายเดือนแล้ว ... จนป่านนี้ยังไม่จบไม่สิ้น)
ความคิดเห็น