ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SMY : Sacrificial Magic Year

    ลำดับตอนที่ #6 : Working 1 ... Ad Libitum II [End]

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 50



               
    แสงไฟสลัว ... ลมหนาวยะเยือกผิวกายพัดกรรโชกแรงจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว กลีบสีเหลืองนวลหลุดปลิดปลิวจากดอกไม้อันบอบบางไปกับสายลมที่จะทำให้บอบช้ำและบุบสลาย ... หากชายหนุ่มเพียงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวบางๆและกางเกงยีนส์สีซีดหม่นหมองกลับดั้นด้นฝ่ากระแสอากาศรุนแรงกลางท้องทุ่งโล่งซึ่งเต็มไปด้วยแท่นหินตั้งเรียงราย


               
    หยดน้ำเปียกๆลอยมาปะทะใบหน้าจนชื้นไปหมด แว่นตาของเขามีแต่รอยฝ้าไอน้ำสีขาว ทว่ารองเท้าผ้าใบสีดำสนิทยังคงขยับเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างไม่เกรงกลัวกับสายฝนและยามราตรีที่ค่อยคืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า ... โดเมนิค เลนเทอร์เม้มริมฝีปากแล้วตัดสินใจถอดแว่นสายตาออก เนื่องจากแทนที่เลนส์ใสจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น มันกลับทำลายทัศนวิสัยอันสวยงามจนสิ้น ... ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูอ่อนกว่าวัยแข็งกร้าวและถมึงทึงผิดวิสัย แต่ในอ้อมแขนของเขายังคงรักษาไว้ซึ่งสิ่งสิ่งหนึ่ง ... ที่เขานำมาจากเบื้องลึกแห่งความปรารถนาของจิตใจ


               
    ช่อดอกกุหลาบสีเหลืองนวลได้รับการกระชับไว้แน่นและปกป้องไว้ด้วยลำตัวบอบบางของนักดนตรีหนุ่มซึ่งไม่ต่างอะไรจากตัวกุหลาบเองเลยสักนิด ... อ่อนแอ และโหยหาความรัก แม้ว่าจะไม่เคยมีมันอยู่จริงในสายตาของเขาก็ตาม


               
    พื้นดินเฉอะแฉะกลายเป็นอุปสรรคแทนที่ลมหนาวซึ่งลดความรุนแรงเหลือเพียงอาการพัดโชยอ่อนๆเท่านั้น กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่สนใจ ... แม้ว่าหยาดน้ำฝนจะโปรยปรายลงจากท้องฟ้าสีดำสนิทราวกับเทพยดาบนสรวงสวรรค์กำลังร่ำไห้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเปียกชุ่มแล้วทั้งตัวก็ตาม ... ดอกกุหลาบในอ้อมแขนยังคงอยู่ มันยังคงอยู่ดี ... อาจเปียกบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถือว่าบอบช้ำมากนัก


               
    สายตาพร่ามัวเต็มตื้นไปด้วยวารีกราดมองไปทั่ว ... มองหาแท่นศิลาสีขาวบริสุทธิ์อันเป็นที่สถิตของผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา ที่ซึ่งสตรีผู้นั้นจะพำนักและหลับใหลไปชั่วกัลปาวสานตราบจนวันพิพากษานั้นมาถึง ... นวลแก้มซีดเซียวของนักเปียโนอาบไปด้วยน้ำฝน ทว่าหากเพ่งพิศดูก็ย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่หยดน้ำจากฟากฟ้า ... มันปนเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาอุ่นๆที่รินไหลดังทำนบปล่อยให้น้ำใสเบื้องหลังทะลักล้นออกมา


               
    แสงไฟจากโคมปลายเสาริมถนนยิ่งดูห่างออกไปทุกที ... เงาของเขาทอดสั้นลงเรื่อยๆเนื่องจำนวนแสงที่ลดลงไปตามระยะห่าง แต่นั่นก็คงไม่สำคัญเท่ากับที่เขาจะได้ไปยังแท่นศิลาสีขาวนั้น ... ที่ซึ่งสลักเสลาไว้อย่างประณีต ... ที่ซึ่งหญิงสาวผู้เป็นที่รักทอดกายอยู่เบื้องล่าง ... ในแผ่นดินอันอบอุ่น ... เป็นนิจนิรันดร ...


               
    รองเท้าผ้าใบสีทึบชุ่มไปด้วยโคลนเฉอะแฉะเหยียบลงบนพื้นดินสีดำอันเต็มไปด้วยน้ำขังในหลุมบ่อเล็กๆที่ตื้นเขิน เสียงเบาถี่จากพื้นรองเท้าทำจากยางกระทบกับผิวน้ำและย่ำเหยียบลงไปอย่างรวดเร็วจนเศษเสี้ยวของฝนพรำๆนั้นสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง กระนั้นร่างโปร่งบางก็ยังไม่สนใจ ... มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาคิดในทุกชั่วขณะคือ ดอกไม้ช่อนี้จะไปถึงแท่นหินขาวสูงระหงนั้นอย่างปลอดภัยไร้ราคีไม่บุบสลายใดๆหรือไม่ ... ?


               
    ความเร็วของการเคลื่อนที่เริ่มลดลง ความเร็วของฝีเท้าเริ่มลดลง ... สายฝนกระทบกับผิวดินอ่อนนุ่มดังซาดซ่าเป็นจังหวะที่ช่วยขับกล่อมจิตวิญญาณอันอ่อนแรงให้มีความมุ่งมั่น ชายหนุ่มค่อยๆหยิบแว่นสายตาขึ้นใส่อีกครั้งขณะที่ทรุดกายลงคุกเข่าตรงหน้าแท่นศิลาสีขาวอาบไปด้วยน้ำฝน รอยยิ้มจางๆแย้มพรายระหว่างที่สองมือบรรจงวางช่อดอกกุหลาบสีเหลืองนวลลงไปอย่างทะนุถนอม ...


               
    "ดานาเอ ... ผมมาเยี่ยมคุณอีกแล้วนะครับ" โดเมนิคพึมพำเบาๆกับตนเอง ... หรือบางทีอาจหวังให้ใครสักคนได้ยิน "สักวันหนึ่งผมจะตามคุณไป ... ได้โปรดรอผมอีกสักนิดนะครับ ... ไม่นานนักหรอก ... ผมจะไปอยู่กับคุณแน่นอน"

                ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองอยู่ตรงนั้น ทั้งที่ความมืดครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว แต่ริมฝีปากอันสั่นเทาก็ยังพร่ำบอกเรื่องราวต่างๆให้หญิงสาวภายใต้พื้นดินได้รับฟัง แม้ว่าเธอจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม ... เสียงของเขาเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ และสั่นเครือด้วยความหนาวเหน็บ ... เม็ดฝนที่ยังคงกระหน่ำสาดเทลงมาทำให้ลำตัวของเขาหนาวสะท้าน นัยน์ตาสีดำสนิทเหม่อลอยไปไกล ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงวันเก่าๆ


               
    ทว่าเสียงร้องครางเบาๆของสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยไม่ไกลนักกลับดังขึ้น เรียกสติสัมปชัญญะคืนให้แก่นักดนตรีหนุ่ม โดเมนิคหันมามองตามเสียงนั้นก่อนจะยิ้มน้อยๆอย่างเปี่ยมสุข


               
    "แมวของคุณคนที่มาที่บ้านผมสินะครับ ..." มือซีดเซียวชุ่มไปด้วยน้ำยื่นไปลูบศีรษะเล็กเปียกลู่อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีรัตติกาลเหลือบมองบนฟ้า ทว่าทั้งหมดที่เห็นมีเพียงท้องฟ้าและก้อนเมฆที่รูปร่างบิดเบี้ยวไปเนื่องจากหยดน้ำที่เคลือบอยู่บนผิวเลนส์แว่น ชายหนุ่มตัดสินใจถอดแว่นสายตาออกเพราะเห็นว่ามันคงไม่ช่วยให้ต่างไปจากการมองโดยไร้เครื่องช่วยเท่าใดนัก


               
    ทำไมแมวมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? ... โดเมนิคนึกสงสัยแต่ก็ไม่สามารถคิดอะไรที่สมควรออกได้เลย ราวกับสติสัมปชัญญะของเขาจะเริ่มมึนตื้อเพราะความหนาวยะเยือกของน้ำฝนที่โปรยปรายลงชุ่มฉ่ำ ลำแขนบอบบางเอื้อมไปอุ้มเอาเจ้าแมวตัวน้อยขึ้นแนบอกหมายจะให้ความอบอุ่นแก่ร่างนั้นเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงฝ่าสายฝนกลับไปสู่ต้นกำเนิดแสงสว่างบริเวณถนนสายวังเวงที่อยู่ลิบไกล


               
    ดวงตาสีนิลของแมวดำสอดส่ายไปโดยรอบ ก่อนจะแสร้งทำเป็นซบอกผู้เป็นมนุษย์ หากความจริงแล้วมันกำลังเพ่งมองศิลาขาวที่อยู่ถัดจากแท่นของดานาเอเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ...


               
    นั่นไง ว่าแล้วเชียว ...


               
    คิดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าดูเศร้าโศกของนักดนตรีหนุ่ม สายตาของเขาเหลือบไปทางที่สถิตของหญิงสาวผู้เป็นที่รักในทุกขณะที่ก้าวเดินด้วยหางตา ก่อนจะตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับชีวิตที่หลงเหลือของเขาต่อไปอย่างไม่ท้อถอย


               
    แมวน้อยทอดถอนใจเบาๆไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้สึกตัว ...


               
    ชีวิตของคนคนนี้คงจะดำเนินต่อไปได้อีกยืนยาวโขอยู่ ถ้าเกิดหลุมข้างๆนั่นจะไม่ใช่ของคนที่กำลังอุ้มเขาอยู่ล่ะก็นะ ...


               
    "เป็นยังไงบ้างล่ะ เชื่อฉันหรือยัง ?" เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งกระซิบข้างหูของแมวดำกิตติมศักดิ์ "จะยอมปล่อยงานนี้ให้ฉันจัดการเสียทีได้มั้ย ?"


               
    "ไม่ครับ ..." สัตว์เลี้ยงจำแลงพึมพำคล้ายขู่ฟ่อ "ผมยังอยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ววิลแซ็คเขาจะทำหน้าที่นี้ต่อไปได้แค่ไหน ถ้าคุณจะช่วยก็ช่วยดูอยู่ห่างๆแล้วกันนะครับ"

                "หึ ... ก็ได้" เสียงนั้นกระซิบตอบ แล้วกระแสลมแรงผิดสังเกตวูบหนึ่งก็พัดผ่าน ทำให้โดเมนิครู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย


               
    เมื่อกี้เขาได้ยินเสียงใครคุยกันรึเปล่านะ ?


               
    พลันก็ส่ายศีรษะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ... สงสัยเขาจะหูฝาดเพราะอยู่ในสุสาน แถมสภาพร่างกายก็ยังไม่สู้ดีอีกต่างหาก ...


               
    ทว่าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยยังคงมองตามเงามืดเงาหนึ่งที่กำลังเดินด้อมอยู่เบื้องหลังร่างของนักเปียโนผู้นี้พลางส่งประกายตาสะท้อนแสงไฟดูวาวโรจน์อย่างไม่ลดละ ลมหายใจของเจ้าสิ่งนั้นอาจเบาเกินกว่าที่มนุษย์ผู้นี้จะได้ยิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นประสาทการรับรู้อันดีเยี่ยมของแมวไปได้


               
    "ตามมาทำไมนะ เอเฟล ..." เวนเจียนซ์ในร่างแปลงกระซิบกับตนเอง แต่โดเมนิค เลนเทอร์ผู้กำลังก้าวเดินอยู่ในเส้นทางแห่งแสงสว่างก็ดูจะไม่ได้ยินอะไรไปมากกว่าเสียงฟ่อๆของเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน


    fff


               
    ดวงตาของเขามืดบอดเหลือเกิน ... แสงสว่างดูเลือนราง


               
    เมื่อยามที่เลือดสีสดของเธอกระเซ็นมาต้องใบหน้าของเขา เมื่อยามที่ช่องว่างบนหน้าผากของเธอทำให้โลหิตข้นๆหลั่งรินลงมา เมื่อยามที่ดวงตาสีทองสุกสว่างของเธอเบิกโพลงก่อนที่ร่างบางจะร่วงลงสู่พื้นปูพรมสีแดงนองด้วยเลือดแดงฉาน ... เมื่อยามนั้นความคิดของเขาก็ชะงักงัน


               
    เขาไม่อาจจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งนี้อีกต่อไป


               
    ความตายอาจพรากจาก ...


             
    ... แต่รักนี้ยังเป็นนิรันดร


               
    ปัง
    !!


               
    ...


               
    ดวงตาที่มืดบอดค่อยเปิดขึ้นช้าๆ


               
    แสงไฟที่ลอดผ่านมาอย่างรางเลือนนั้นแสนคุ้นเคย เพดานสีขาวสะอาดที่ลอยอยู่ด้านบนคือเพดานที่ห้องของเขาเอง สมองที่เบลอๆของชายหนุ่มเริ่มสับสนกับเวลา เมื่อกี้เขาเพิ่งไปที่สุสาน ... แล้วภาพที่เขายิงตัวตายนั่นล่ะ ?


               
    ร่างบอบบางเริ่มรู้สึกหนาวสะท้านหากก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เสื้อผ้าของเขาชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนหนักขึ้นมาก แต่เครื่องทำความร้อนที่เปิดไว้ช่วยบรรเทาความเย็นเยียบนั้นได้ระดับหนึ่ง ... สมองที่สับสนของชายหนุ่มยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก ก็ในเมื่อเขาเพิ่งไปสุสานเมื่อกี้ แล้วเขาก็หยิบปืนขึ้นมาระเบิดศีรษะตัวเอง จากนั้นก็ ... เปิดเครื่องทำความร้อน ? ช่างเป็นเรื่องราวที่ไร้สาระอะไรเช่นนี้ ...


               
    โดเมนิคยันตัวเองขึ้นพิงขอบโซฟานุ่มพลางยกมือขวาก่ายหน้าผาก พลางถอดแว่นตาที่มัวไปด้วยหยดน้ำออกจากใบหน้า เขาถอนหายใจยาว แล้วเอียงศีรษะไปทางขวาเพื่อพิงกับตัวโซฟา สายตามัวๆเพราะไร้แว่นมองตรงไป เห็นแต่เพียงแขนโซฟาสีดำบดบังทุกอย่างจนสิ้น ลมหายใจของเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความอุ่นเกินควร เปลือกตาบางที่หนักขึ้นเรื่อยๆร้อนผะผ่าวทั้งที่ลำตัวนั้นเย็นหนาว ชายหนุ่มเหยียดแขนขวาไปบนโซฟา แล้วเริ่มต้นปล่อยร่างกายให้ทำงานไปตามที่ควรจะเป็น


               
    ศีรษะเริ่มปวด เริ่มรู้สึกได้ถึงอาการเต้นตุบของหลอดเลือดที่ขมับและลำคอ เปลือกตาที่ร้อนเพราะพิษไข้หลุบลง ปล่อยให้น้ำตาอุ่นๆหลั่งไหลออกมาอีกครั้งทั้งที่ไม่มีเหตุอันสมควร ... ลมหายใจเริ่มช้าลง ... ช้าลง ... จนกระทั่งหน้าอกกระเพื่อมเป็นจังหวะคงที่อย่างปกติ


               
    "เฮ้อ ... ขอบคุณสวรรค์" เสียงทุ้มต่ำร้องขึ้น แต่ก็กลับใจกะทันหัน "ไม่สิ ... ขอบคุณท่านเจ้าแห่งรัตติกาลเจ้านายของฉันต่างหากที่มอบพลังอำนาจทำให้เขาหลับลงไปเสียได้"

                เจ้าแมวดำที่หลบอยู่หลังพนักโซฟากระโดดมายืนบนที่นั่งอยู่ข้างมือขวาของนักดนตรีหนุ่มแล้วก้มลงเลียเบาๆพลางเหลือบขึ้นมองร่างสีดำทะมึนที่ลอยอยู่เหนือพื้นข้างเปียโน "เอเฟล ... คุณจะคุยกับผมเรื่องอะไรเหรอครับ ?"

                ใบหน้าภายใต้เงาจากผ้าคลุมสีดำแสยะยิ้มจนเขี้ยวขาวๆสะท้อนกับแสงไฟ "งานแกน่ะ ... สละให้ฉันซะเถอะ"

                "เรื่องอะไรล่ะครับ ความจริง ... นี่มันไม่ใช่งานของผมนะครับ นี่มันงานของวิลเขา"

                "ว่าแต่มันวิลไหนวะ ?" ร่างมืดมัวที่ล่องลอยมาอยู่ข้างโซฟาเริ่มสงสัย "หรือกามเทพใหม่ ?"

                "เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของผมน่ะครับ" เวนเจียนซ์ในร่างแมวฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินวนเวียนไปรอบๆมือเย็นเฉียบที่เริ่มอุ่นขึ้น นัยน์ตากลมโตก็เหลือบมองไปทางหน้าต่างเบื้องหลังผ้าม่านโปร่งบางอย่างกังวล ... ฝนยังคงตกไม่ขาดสายจนกระจกที่เคยเป็นฝ้ากลับใสสะอาด ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดก็ยังคงมืดอยู่เช่นเดิม ที่เปลี่ยนไปคือมันถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนจนไร้ซึ่งแสงดาวหรือแสงจันทร์ สภาพบ้านเรือนข้างนอกก็ยังเงียบเชียบเป็นปกติ ... ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ...


             
    และไม่มีวี่แววที่วิลแซ็คจะกลับมา ...


               
    "เป็นไงล่ะ คนที่แกฝากความหวังไว้ให้ทรยศแกอีกล่ะสิ" ประโยคแทงใจดำนี้ทำเอาเวนเจียนซ์ชะงักไป จนประสาทสัมผัสของเขาเริ่มไม่รับรู้สิ่งใดอีก ร่างแมวๆของเขาไม่ค่อยจะเข้ากับอารมณ์หวนนึกถึงวันเก่าๆเท่าใดนัก แต่หนุ่มน้อยก็อดจะกลับไปคิดไม่ได้ว่าชะตาชีวิตของนักดนตรีหนุ่ม - 'เหยื่อ' รายนี้ ช่าง ... แทบไม่ต่างกับเขาเลยสักนิด


               
    "ฉันบอกแกก่อนเลยนะว่า ... กำหนดเวลามันน้อยลงทุกทีแล้วนะโว้ย"


                เวนเจียนซ์เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ "ครับ ผมรู้ แต่ ... เราตกลงอะไรกันก่อนดีมั้ยครับ เอเฟล ?"


                "อะไรล่ะ ?" เอเฟลกระชากเสียง



                ดวงตากลมโตสีอำพันส่องประกายวิบวับ "ผมขอเวลา ... ถึงเที่ยงคืนครับ" พลันคู่สนทนาก็หลุดปากตกลง ก่อนที่แมวดำจะชี้แจง "ถ้าวิลแซ็คมาถึงก่อนเที่ยงคืน งานนี้ถือเป็นของผมและเขา" ร่างเล็กเริ่มเดินวนเวียนไปรอบมือขาวซีดที่เปียกชื้นของโดเมนิค เลนเทอร์ เหยื่อผู้น่าสงสาร "แต่ถ้าวิลมาไม่ทันเที่ยงคืนล่ะก็ ..."


                วจีขาดตอนไปเล็กน้อย ขณะที่เหลือบมองผ่านหน้าต่างความกังวลก็แทรกเข้ามาในม่านตาสีดำสนิทอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อเบนสายตามามองร่างปวกเปียกที่พิงโซฟานี้อีกหน แมวดำก็ยิ้มแสยะ พลางเอ่ยสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมานาน ...


                "คุณจะพาสองคนเป้าหมายนี่ไปลงนรกที่ไหนก็เชิญเลยครับ ..."


               
    - อีกด้านหนึ่งของความมืดมิด -


               
    เปลือกตา หนักอึ้ง


               
    ไม่อยากจะลืมตาตื่นอีกต่อไป เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว


               
    ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นหนาวเหน็บ


               
    ไม่มีอีกแล้ว ... ไม่มีเลย คนที่จะเล่นดนตรีให้เธอฟัง แล้วหันมาถามถึงความเป็นไปของวรรคต่อไปตามแต่ใจของเธอ
    คนที่จะกำหนดชะตาชีวิตไปด้วยกัน ภายใต้ลิขิตแห่งสรวงสวรรค์อันเป็นหนึ่งเดียว


               
    Ad Libitum … ตามแต่ความประสงค์ของผู้รับฟัง คือจุดหมายในการมีชีวิตอยู่ของเขา และของเธอ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่ง


               
    ถ้าเขายังอยู่ล่ะก็ ...


               
    "คุณพรินสเทลครับ ลืมตาได้แล้วล่ะ"

                หญิงสาวฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นทั้งๆที่ทุกลมหายใจมีเพียงความเศร้าหมอง นัยน์ตาสีทองอร่ามทอดมองไปด้านหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ท่ามกลางสายฝนกลางค่ำคืนที่เย็นเยียบจนแทบจะหนาวเข้าถึงกระดูก ด้านในของบ้านแบบทาวน์เฮ้าส์หลังนี้ยังมีไฟเปิดอยู่ ทั้งที่เจ้าของได้สิ้นใจไปแล้ว ม่านสีส้มจางๆถูกกางปิด และมีเงาของใครบางคนฉายทอดอยู่ตรงนั้น


               
    "ใครอยู่ในห้องนั้นคะ ?" ดานาเอเอ่ยถาม หากชายร่างสูงข้างตัวกลับไม่ตอบ ดวงตาสีน้ำทะเลลุ่มลึกจ้องเขม็งไปยังเงาไหวๆที่นั่น เขาไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่านั่นคือเงาของใคร เพราะมันสูงกว่านักเปียโนโดเมนิคคนนั้น และแน่นอนว่าสูงกับเจ้าแมวเวร (เวนฯ) นั่นด้วย ฉะนั้น ... เขาก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


               
    ขาใต้กางเกงสีดำที่เปียกลู่แนบเนื้อพาร่างตัวเองออกไปใกล้บันไดหน้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักงันพลันเหลือบไปมองนาฬิกาสายโลหะราคาสูงบนข้อมือซ้ายของตนเอง ...


               
    ขณะนี้ สิบเอ็ดนาฬิกา ห้าสิบนาที (กลางคืน)


               
    ... อีกไม่ถึงสิบนาทีจะหมดวันแล้วเหรอเนี่ย
    !!

                "คุณพรินสเทลครับ ช่วยตามผมมาทางนี้ด้วย" วิลแซ็คร้องลั่นอย่างรีบเร่งก่อนก้าวนำไปบนบันไดไม่กี่ขั้นนั้น เขาหยุดยืนหน้าประตูมะฮอกกานีบานเก่าอันแสนคุ้นตาแล้วเคาะประตูตามมารยาท


               
    ก๊อก ... ก๊อก ... ก๊อก ...


               
    ร่างสูงรอการตอบรับอยู่เกือบนาที เขาตบเท้าเป็นจังหวะรอคอยอย่างเร่งร้อน แว่วเสียงว่าคุณดานาเอกำลังยืนนิ่งๆอยู่ด้านหลังเขาอย่างฉงนใจ อากาศหนาวผสมสายฝนที่ตกลงมาไม่ได้ช่วยให้เหตุการณ์ดีขึ้นเลย ถึงร่างกายจะแข็งแรงแค่ไหนยังไงก็คงทนต่อไปอีกไม่ได้แน่ๆ - การรอคอยเพียงนาทียาวนานราวกับผ่านไปหลายชั่วโมง


               
    ทันใด
    โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ประตูบานไม้ก็แง้มออกช้าๆ แสงไฟสีนวลจางส่องลอดออกมาสู่ความมืดมิดภายนอก พร้อมกันกับที่เงาตะคุ่มๆของอะไรบางอย่างที่สูงกว่าชายหนุ่มเคลื่อนคล้อยมาตามลำแสงที่ทอดออกเป็นทางยาว ...


               
    เสียงลมหายใจของหญิงสาวด้านหลังสะดุดลงชั่ววินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหลมร้องลั่นดัง


               
    "กรี๊ดดด !!!"

              "เฮ้ย !" วิลแซ็คเองก็อดจะตบะแตกออกมาไม่ได้เมื่อเห็นชัดว่าเงาตะคุ่มนั้นเป็นร่างของชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำยาวเหยียดตลอดตัว เสียงหัวเราะแฝงไปด้วยความโรคจิตของชายคนที่ว่ายังดังอยู่ไม่ขาดห้วง เส้นผมสีดำสนิทแพล็มออกมานอกฮู้ดขนาดใหญ่ที่แทบจะบดบังใบหน้าไปทั้งหมด แน่นอนว่าเขาคงไม่สามารถมองเห็นหน้าตาส่วนเหนือจมูกที่มีแต่เงามืดได้ สิ่งที่โผล่ให้เห็นมีแต่เค้าโครงหน้า จมูกส่วนปลาย และริมฝีปากที่เหยียดยิ้มเยาะเย้ย สีผิวของบุรุษประหลาดขาวค่อนไปทางซีดเซียวจนดูเหมือนซากศพ และที่สำคัญคือวัตถุในมือขวา - สิ่งที่ทำให้เสียงร้องของดานาเอไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เคียวสีเงินเงาวับคมกริบส่องสะท้อนแสงไฟริบหรี่ราวกับอาวุธประหัตประหารของประเทศแถบนี้ในกาลก่อน


               
    "นั่นวิลแซ็ค ... ใช่รึเปล่าวะ ?" สังเกตได้ว่าน้ำเสียงของชายร่างสูงนี้แหบมาก ฟังเหมือนคำรามมากกว่าพูด มุมปากกระตุกเป็นเชิงดูถูกเหยียดหยาม เมื่อถูกจ้องมองด้วยอารมณ์แบบนี้มากๆดวงตาสีน้ำทะเลก็เริ่มทอประกายกรุ่นโกรธขึ้นมาเช่นกัน เขาตอบรับ ทว่าข้อความที่ตามมากลับชวนให้งุนงงยิ่งนัก "มาได้ก็ดีแล้ว เดินเข้ามาซะ ฉันจะถือว่างานนี้เป็นของแก"

                คางใต้ฮู้ดสีดำเงยสูงขึ้น "เข้ามาข้างในเถอะ ท่านพรินสเทล ไอ้เรื่องวุ่นวายไร้สาระพวกนี้มันจะได้จบๆกันไปซะที" พลันยกแขนใต้เสื้อสีดำขึ้นโบกคล้ายเรียกให้เข้าไป


               
    แน่ล่ะว่าหญิงสาวทำเช่นใดไม่ได้ นอกจากน้อมจำยอมตามคำสั่งโดยดุษณี


               
    แสงไฟสีอมส้มส่องลอดจากช่องประตูที่เปิดแง้ม ผลักให้ความมืดต้องถอยหนี...แม้จะทำได้น้อยนิด อากาศหนาวเย็นยิ่งหนาวเหน็บทบทวี สองร่างปวกเปียกสั่นเทาก้าวผ่านช่องประตูบานสีน้ำตาลแดงไปอย่างช้าๆ ใต้เงาหมวกคลุม
    ใบหน้าของบุรุษลึกลับกำลังยิ้มเยาะชะตาชีวิตแห่งมวลมนุษย์ ... ชีวิตของพวกนี้ช่างไร้สาระเสียจริง ราวกับเป็นมดปลวกไร้ค่าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อการทำลาย และยึดติดกับรูปรส


               
    ศีรษะห่อหุ้มด้วยผิวสีซีดราวซากศพเงยขึ้นมองท้องฟ้ามืดมนยามราตรี รับกับสายฝนที่ตกพร่ำปรอย หยาดฝนจากท้องฟ้าสาดลงมาอาบแก้ม ทว่าก็พลันกลับกลายเป็นไอเพียงชั่ววินาทีหลังสัมผัสกับผิวกายของเขา ร่างสีดำสนิทจึงเต็มไปด้วยควันขาวขุ่นพวยพุ่ง ประดุจเพชฌฆาตจากขุมนรกที่ถูกส่งมาจากอีกห้วงเหวมิติ


               
    รอยยิ้มอย่างเสียสติแสยะกว้าง แสงสว่างวาบมาจากด้านหลัง ร่างสูงสะบัดตัวหันหลังให้กับความมืดภายนอกก่อนจะดึงประตูหับปิดลง


    fff


               
    ทันทีที่เข้ามาอยู่พร้อมหน้า ภายในบ้านของโดเมนิคนั่นเอง วิลแซ็คก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างที่รู้สึกสงสัยมาแต่แรก


               
    ดานาเอบอกว่าโดเมนิคตายแล้ว ในขณะเดียวกันโดเมนิคก็กล่าวว่าดานาเอจากเขาไป จนน่าสงสัยว่าใครกันแน่ที่ยังอยู่ แล้วถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายจะเป็นอะไรล่ะ วิญญาณรึ? หรือว่าต่างฝ่ายต่างเห็นกับตาว่าอีกฝ่ายคงตายแน่ๆแล้ว แล้วทั้งสองก็รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์ โดยไม่ได้ระแคะระคายถึงการมีชีวิตอยู่ของอีกคนหนึ่ง


               
    ทว่าทั้งสองข้อสันนิษฐานกลับถูกลบทิ้งไปทันใด เมื่อมือซีดๆผอมเกร็งยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งมาให้ตรงหน้า ในรูปถ่ายนั้นเห็นป้ายจารึกเหนือหลุมฝังศพทั้งสองที่เคียงข้างกัน ดอกไม้เริ่มเฉาที่คุณดานาเอเล่าว่าเคยเอาไปวางไว้ก็อยู่ที่นั่น เป็นสัญญาณว่าโดเมนิค เลนเทอร์ คงไม่ได้มีชีวิตอยู่แต่แรกแล้ว


               
    แต่ที่ป้ายศิลาขาวข้างๆกลับทำให้เขาใจหายวาบ


               
    เพราะนั่นเป็นคำยืนยันว่า หญิงสาวนัยน์ตาสีทองก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วเช่นกัน
    !

                บริเวณป้ายศิลาสลักชื่อของดานาเอ มีช่อดอกไม้สีเหลืองที่ใครบางคนวางไว้ และในขณะเดียวกัน เจ้าแมวเวนเจียนซ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย ... กำลังลอยอยู่กลางอากาศ แม้ลักษณะจะเหมือนกับมีใครบางคนกำลังอุ้มอยู่


               
    ม่านตาสีน้ำทะเลกลอกไปมองชายหนุ่มที่ฟุบอย่างน่าอนาถ ณ โซฟาที มองไปที่หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่แถวเปียโนกรังฝุ่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะสังเกตเห็นคนรักของเธอเสียที


               
    และแล้วก็ได้ข้อสรุป... มันเป็นข้อสรุปที่ยากจะเชื่อ


             
    สองคนนี้ ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วทั้งคู่


               
    และที่น่าตื่นตกใจคือ...


               
    "ในที่สุดคุณก็กลับมาจนได้นะครับวิลแซ็ค" น้ำเสียงของแมวดำดูเริงร่า คล้ายๆกับจะโล่งอก มันกระโจนเข้าใส่เขาโดยไม่ได้ดูสารรูปเปียกโชกของ 'มนุษย์' จนหยดน้ำเล็กๆสาดจากชายเสื้อเป็นทาง ร่างสูงรีบสะบัดขาหนีทันใด ปล่อยให้ผู้เคยเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยตกแหมะลงบนพื้นยืนพอดีสี่ขา ... ด้วยท่วงท่าอันสวยงาม


               
    สายตาของเขาเหลือบไปมองร่างในชุดสีดำ แววแห่งความบกพร่องทางจิตระเบิดออกมาจากร่างนั้นจนน่าหวาดหวั่น แต่ก่อนที่จะมีโอกาสคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เวนเจียนซ์ก็บอก
    "วิลแซ็คครับ นี่คือคุณเอเฟล ยมทูตที่จะพาคุณโดเมนิคและคุณดานาเอไปยังที่ที่พวกเขาควรจะไป" เอเฟลพยักศีรษะช้าๆเป็นเชิงว่า 'อย่ามาเสร่อในงานของตู อยู่ห่างๆซะจะดีกว่า'

                "แล้วงานของฉันล่ะ..." แม้จะยังอดถามไม่ได้ เพราะถ้าพลาดงานนี้ไป คงไม่วายต้องใช้หนี้แบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน


               
    เรียวปากซีดเซียวของยมทูตร่างสูงเหยียดกว้างดังพยายามจะยิ้ม ทว่าอากัปกิริยานั้นกลับทำให้ดูน่าสยองมากกว่าจะน่าวางใจ
    "ไม่เคยได้ยินหรือ คุณวิลแซ็ค ว่าความรักสามารถเสร็จสิ้นงานของมันได้พร้อมๆกับความตาย"

                ไม่เคยได้ยินเฟ้ย... ชายหนุ่มในเชิ้ตดำชุ่มฝนคิด แต่ยังหยอดคำถาม "แล้ว... ทำไมคุณดานาเอดูเหมือนจะมองไม่เห็นพวกคุณล่ะครับ?" 'พวกคุณ' ที่ว่า หมายถึง แมวดำ และวิญญาณหนุ่มใส่แว่นที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ไม่รวมยมทูตเอเฟล ซึ่งเขามั่นใจว่าเจ้าหล่อนคงพยายามกล่อมประสาทตัวเองให้เชื่อว่าเป็นเพียงภาพหลอนหลังการตากฝน


               
    ดวงตาสีดำสนิทส่องประกายแปลกๆ
    "แล้วคุณคิดว่าผมมองเห็นเหรอครับว่าคุณดานาเออยู่ที่ไหน คุณไม่ได้เอะใจอะไรเลยหรือที่ผมส่งคุณไปหาคุณดานาเอคนเดียวโดยไม่มีอะไรช่วยเลยนอกจากรูปถ่ายและหนังสือที่คุณโดเมนิคเขียนขึ้น ... คุณคิดเหรอครับว่างานแรกของคุณน่ะผมจะใจจืดใจดำขนาดนั้น"

                คิดสิวะ... วิลแซ็คตอบในใจ


               
    "คุณไม่ทราบเลยใช่ไหมครับว่า คุณไม่ได้รับเลือกให้มาทำงานนี้เพียงเพราะต้องมาชดใช้การดูถูกความรัก หรือได้เห็นร่างแมวของผมที่มนุษย์คนไหนก็ไม่สมควรเห็นทั้งนั้น แต่คุณมีคุณสมบัติที่หายากอย่างหนึ่ง" แมวดำเว้นวรรคหายใจ


               
    คุณสมบัติดึงดูดความซวยมหาซวยไง ถ้ามีโอกาสได้ไปสะเดาะเคราะห์ล้างซวยเขาคงจะไปแล้ว... วิลแซ็คต่อในใจ


               
    "คุณมีพลังมากกว่าวิญญาณตนไหน คุณมีความสามารถทำอะไรแปลกประหลาดได้มากมาย นอกจากนี้ยังมีพลังจิตเข้มแข็ง...เป็นต้น จนหากคุณได้ร่ำเรียนอะไรสักนิด คงไม่แปลกถ้าจะได้รับฉายาว่า 'พ่อมด' น่ะครับ"

                วิลแซ็คอึ้ง...


               
    ไม่มีปัญญาจะต่อปากต่อคำ เพราะไม่รู้ว่าเจ้านี่ไปสัมผัสถึงความแปลกประหลาดผิดมนุษย์ของเขาได้ตั้งแต่ตอนไหน และเจ้าความแปลกประหลาดนั่นเองที่ทำให้เขาไม่ใคร่อยากจะสุงสิงกับใคร จนมนุษยสัมพันธ์ย่ำแย่เต็มที เว้นไว้ก็แต่เฟย์ เพื่อนคนเดียวในชีวิต ที่หันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า
    'นั่นคงเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้กับนายล่ะมั้ง ใช้มันให้ดีล่ะ' แล้วตบบ่าเต็มแรงจนเขาแทบทรุด เมื่อได้ทราบความสามารถแปลกๆของเขาเป็นครั้งแรก


               
    ส่วนที่ทำให้อึ้งกว่าคือ...


               
    เวลาที่บอกอยู่ เหลืออีกเพียงห้านาทีเท่านั้น
    !

                "วิลแซ็ค แกจับมือคุณพรินสเทลไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างไปจับมือคุณเลนเทอร์ เร็วสิวะ" เอเฟลขัดจังหวะความคิดที่เริ่มหลุดลอย พลางใช้ด้ามเคียวกระทุ้งเบาๆกลางแผ่นหลังจนสะดุ้ง กระวีกระวาดทำตามคำสั่งในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เขาเดินไปลากตัวหญิงสาวจากเปียโน ข้ามห้องมาคุ้ยมือนักดนตรีหนุ่มที่ยังหลับอยู่มาจับไว้มั่น


               
    มือเย็นเยียบจากการตากฝนอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด แล้วพลังที่ว่าก็เริ่มแผลงอิทธิฤทธิ์ให้ได้ยลเป็นขวัญตา


               
    แสงสีทองสว่างวาบขึ้นจากร่างของชายหนุ่มตรงกลาง...ขณะเดียวกันเส้นสีดำก็ตวัดวูบไปทั่วทั้งห้องราวกับจะพันธนาการคนทั้งสองด้วยความมืดอันเป็นนิรันดร ประกายระยิบระยับสีทองส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะคล้ายประจุไฟฟ้าในอากาศถูกดึงดูดเข้าหากัน สายลมประหลาดพัดพรั่งพรูหมุนวนจากใต้ฝ่าเท้าของคู่รักคู่สำคัญของงานนี้ ประดุจจะสูบคนทั้งสองผู้ไม่ควรมีใครพบเห็นอีกแล้วในโลกให้หายไปตลอดกาล


               
    ดานาเอเผยอปากน้อยๆ เธอรีบหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆด้วยไม่เชื่อในสายตาตนเอง หญิงสาวพึมพำนามของอีกฝ่ายโดยไม่คาดหวังให้ใครได้ยิน สายลมลึกลับพัดแรงจนแทบจะกลบเสียงเบาเกือบกระซิบของเธอ โดเมนิคก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ที่ต่างออกไปคือเขาไม่ใส่ใจจะกะพริบตา เขาเชื่อในสิ่งที่เห็น และอยากจะเก็บช่วงเวลาสุดท้ายนี้ไว้ตราบนานเท่านาน


               
    นัยน์ตาสองคู่สบมองกันอย่างที่ไม่มีโอกาสได้ทำมานานแสนนาน มือข้างที่ว่างอยู่พยายามเอื้อมเข้าหากัน แต่ก็ไม่อาจไขว่คว้าจนสัมฤทธิ์ผล เนื่องด้วยมีร่างของวิลแซ็คเป็นตัวเชื่อมต่อคั่นกลาง


               
    บุรุษหนุ่มเจ้าของพลังวิเศษยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมานานหลายปี ท่ามกลางกระแสพลังที่ซัดกระหน่ำทั่วทั้งบริเวณ



               
    "เวลาของคุณ ... หมดแล้วนะครับ"


                แต่ประโยคเช่นนี้ ในเวลาแบบนี้ กลับไม่ได้ทำให้ใครสักคนรู้สึกขัดๆเลยแม้แต่น้อย นักดนตรีหนุ่มและหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีทองยิ้มให้แก่กัน ความในใจของทั้งสองได้สื่อผ่านกันเรียบร้อยโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใดๆ สิ่งที่ปรารถนาที่สุดได้รับการตอบสนองแล้ว


               
    พวกเขาอยากได้พบหน้าคนรักอีกสักครั้ง...


               
    แม้จะรู้ว่าไม่มีโอกาส แต่อย่างน้อยได้หวังก็ยังดี


               
    "พวกคุณคงไม่ทราบสินะครับ ว่าเมื่อลาจากโลกนี้ไปแล้วจะมีสิ่งใดรออยู่ จึงได้กลัว กลัวว่าความรักของพวกคุณจะหายไป..." แมวดำเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายของร่างสูงที่คั่นกลางระหว่างวิญญาณผู้ยังไม่อาจละโลก "ถ้าอย่างนั้นผมจะเฉลยความจริงอย่างหนึ่งให้ฟังนะครับ"

                ระหว่างนั้นเคียวสีเงินของเอเฟลก็เงื้อง่า ส่งประกายวับวามสะท้อนแสงสว่างสีทองสุกสกาว รอยยิ้มที่บ่งบอกเพียงความบกพร่องทางจิตเปลี่ยนเป็นยิ้มจากความเศร้าภายในจิตใจ หยาดน้ำใสๆค่อยหยดลงมาผ่านแก้มซูบตอบลงมายังคางร่วงสู่พื้น น้ำตายมทูต


               
    "คุณเคยได้ยินคำกล่าวบ้างไหมครับว่า..." เวนเจียนซ์ยังคงพูดต่อ ระหว่างนั้นลำแสงสีทองทั้งหมดก็หมุนวนมารวมกันเป็นเส้นเดียว เงามืดมนเกี่ยวกระหวัดรัดร่างของโดเมนิคและดานาเอหลวมๆ ชายหนุ่มผู้สวมแว่นและหญิงสาวผู้งามสง่าหลับตาลงพร้อมรับกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป


               
    ความกลัวที่มีมาตลอดหายไปหมดแล้ว


               
    ...ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าของมือที่ทั้งสองสัมผัสอยู่ทั้งนั้น...



               
    "ความตายอาจพรากจาก แต่รักนี้ยังเป็นนิรันดร"


                ลมประหลาดที่พัดกระหน่ำยิ่งรุนแรงจนแทบทรงตัวอยู่ไม่ได้ เงาสีดำหลากหลายสายเชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียว ลำแสงสีทองตรงกลางยิ่งดูเจิดจ้าภายใต้ความมืดมน ริมฝีปากของคู่รักแย้มยิ้ม...


               
    และเคียวสีเงินของยมทูตก็ตวัดลงตัดลำแสงสีทองดังฉับ
    !

    fff


             
    เสียงนาฬิกาปลุกรับขวัญวันใหม่ดังขึ้นทั้งที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า นภาเบื้องบนยังคงมืดมิด จันทรายังคงยึดครองราตรีที่ใกล้จะล่วงเลยเพียงผู้เดียว กลบแสงเพชรพลอยบนฟากฟ้าจนไม่อาจแข่งรัศมี สายลมแผ่วเบาพัดโชยผ่านหน้าต่าง ม่านบางๆที่รูดปิดไม่หมดปลิวสะบัด ชีวิตภายนอกห้องนี้ยังคงสงบเงียบต้อนรับยามเช้า นาฬิกาที่วางหมิ่นเหม่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่บนหัวเตียงอย่างไม่ตั้งใจบอกเวลาห้านาฬิกาห้านาที


               
    เจ้าของร่างสูงบนเตียงกะพริบตาน้อยๆระหว่างกำลังลืมตาตื่นขึ้น ศีรษะของเขาปวดวูบแบบที่คุ้นเคย ทำให้ได้สัมผัสถึงหลอดเลือดที่เต้นตุบแผ่วเบา และหัวใจที่ยังคงทำงานอยู่เสมออย่างภักดี แม้จะไม่ปกติเช่นคนอื่นเท่าใดก็ตาม


               
    ชีวิต...


               
    เขาไม่เคยเห็นค่าของมันจนกระทั่งวันนี้ ไม่ใช่สิ เมื่อวาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นมีที่มาอย่างไรไม่อาจทราบ และเขาเองก็ไม่อยากจะรู้อะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงพลังที่ไม่ควรมีของตนแล้ว ยังทำให้ตระหนักได้ถึงอีกอย่างหนึ่งนอกจากชีวิตอันล้ำค่าและโอกาสที่ไม่อาจหวนกลับมาอีกครั้ง


               
    เพื่อน...


               
    มิตรภาพที่แทบไม่เคยได้รับ บัดนี้กำลังฉายแสงสุกสว่างอยู่ภายในหัวใจ แม้โลกนี้จะไม่อาจเข้าใจเขา แต่อย่างน้อยก็ยังมีใครคนหนึ่ง ยังมีเฟย์ พี่ลูอีส ยัยไอวี่ ... อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้


               
    วิลแซ็คพลิกตัวนอนตะแคง แล้วเผยยิ้มอันเป็นที่สงวนไว้เฉพาะในยามที่ไม่มีใครเห็น


               
    มือหนาเอื้อมไปลูบศีรษะเจ้าแมวน้อยสีดำเบาๆ...


               
    เงาดำร่างหนึ่งทอดผ่านวูบอยู่นอกหน้าต่าง ในมือนั้นมีเคียวสีเงินเงาวับที่รายล้อมด้วยประกายสีทองเล็กๆระยิบระยับ ผ้าคลุมสีดำสนิทที่ส่วนปลายขาดวิ่นปลิวไสวอยู่ภายนอกท้าสายตา แต่คงไม่อาจมีใครมองเห็น เรียวปากซีดเซียวใต้เงามืดยิ้มอย่างเป็นสุข ทว่าในวินาทีเดียวกันบรรยากาศชวนอุ่นใจก็กลับแปรเป็นเย็นเยียบไร้ชีวิต ร่างสูงเงยหน้าขึ้นส่งสายตาเหยียดมองแสงจันทร์สุดท้ายของค่ำคืนราวกับจะประชดชะตาตน ก่อนจะทะยานหายลับไปกับฟากฟ้ายามที่ราตรีจะจากลา


               
    "เวนเจียนซ์ เอเฟล โดเมนิค ดานาเอ ผมขอบคุณ..." วิลแซ็คกระซิบเบาๆ


               
    สายลมเย็นวูบผ่านหน้าต่าง จันทราลับหาย อาทิตย์สุกสว่างโผล่พ้นขอบฟ้าฉายแสงสีแดงสะท้อนเหนือหมอกจางๆที่ปกคลุมทั่วบริเวณ ชายร่างสูงเหยียดกายนอนหงายบนเตียงอีกครั้งพลางครุ่นคิดถึงสิ่งหนึ่ง



               
    เขาจะพูดมันออกไปทำไม?



               
    ...ในเมื่อผู้ควรได้รับฟังที่สุดคงไม่อาจได้ยิน



    fff

    อัพเรียบร้อย แก้ไขความผิดพลาดเสร็จสิ้น

    ใครก็ได้ช่วย Prove อีกทีสิครับ... พวกสะกดผิด กับเนื้อความขัดแย้งกันเองน่ะ
    คนแต่งมันไม่มีปัญญาทำแล้ว แค่นี้ก็เค้นจนสมองจะไหลอยู่แล้วนี่ (อธิพจน์โวหารชัดๆเลยนะเอ็ง ไอ้ที่ใช้เวลาแต่งหนึ่งปีนั่นมันอาร้ายยย!?!)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×