ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SMY : Sacrificial Magic Year

    ลำดับตอนที่ #5 : Working 1 ... Ad Libitum l

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 50



               
    แสงไฟนีออนริบหรี่กระพริบติดๆดับๆเนื่องจากไส้หลอดที่เสื่อมสภาพ ร่างในชุดคลุมสีดำสนิทกำลังเดินไปบนทางชื้นแฉะมืดสลัว ข้างๆกันนั้นมีสิ่งมีชีวิตร่างเล็กอยู่ชีวิตหนึ่งกำลังก้าวย่างตามไปอย่างเงียบเชียบ เสียงรองเท้าบู๊ตสูงครึ่งแข้งกระทบกับผืนน้ำเน่าเหม็นชวนให้นึกสงสัยถึงเจตนาของคนคนนี้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มยังคงไม่สนใจกับสภาพอันชวนสังเวชจิตของสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับท่อน้ำทิ้งร้างๆ แม้ว่าจะแอบสะดุ้งอยู่บ้างเมื่อสายไฟขาดๆเกิดประกายไฟรั่วออกมา


               
    ทันใดก็มองเห็นช่องว่างกลมที่ปล่อยให้แสงสว่างสีขาวจ้าภายนอกเล็ดลอดเข้ามา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพลางใช้หลังมือบังสายตาเพื่อปรับสภาพการมองเห็น พลันก็ตวัดลงมองแมวดำตัวเล็กที่ควรจะเดินตามเขามาอยู่ต้อยๆ แต่มันก็ ... หายไป ... เสียแล้ว


               
    วิลแซ็คสบถเบาๆก่อนจะตั้งต้นปีนไปบนบันไดเหล็กขึ้นสนิมเกรอะกรัง ถุงมือยางราคาถูกที่เพิ่งซื้อมาใช้การในระดับ
    'พอรับได้' ร่างสูงเคลื่อนไปอย่างว่องไว และแล้วเขาก็มายืนอยู่กลางทางเดินเท้าปูอิฐขาวที่รกร้างไม่ต่างอะไรจากข้างล่าง ที่ต่างกันก็คือความสกปรกและความมืดมิดที่อุโมงค์ใต้ดินกินขาดเท่านั้น ชายหนุ่มรีบถอดเสื้อคลุมเก่าๆกับรองเท้าบู๊ตยางและถุงมือเขรอะคราบสนิมออกทันทีตามที่ได้ตระเตรียมไว้ อย่างไรก็ตามชุดข้างในนั้นไม่ต่างกันนัก เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำผูกไทสีเทาเข้มกับกางเกงขายาวสีดำและเข็มขัดหนังราคามหาโหดทำให้เขาดูมีภูมิฐานพอจะน่าเชื่อถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจ ทว่าลักษณะอาการหัวเสียด้วยเหตุที่คู่หูของตนหายไปมันก็ช่วยกลบรัศมีความดูดีไปเสียมิด


               
    "อย่าทิ้งกันสิวะ ..." วิลแซ็คพึมพำเบาๆ เพราะแน่ใจว่าเด็ก 'หูผีจมูกมด' จะสามารถได้ยินคำพูดแม้ว่าจะเบาและห่างไกลเพียงใดก็ตาม หากสายตาคมก็เหลือบมองไปด้านหลังเพราะรู้สึกเหมือนกับมีบางอย่างจ้องมองอยู่ แต่ดูเหมือนความมืดข้างล่างจะกำลังหลอนประสาท ... มันไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากกำแพงอิฐพร้อมซากสเปรย์สีที่พ่นเป็นคำต่างๆนานาประจานปัญญาของผู้ละเลงศิลปะเหล่านั้นลงบนสมบัติของผู้อื่น


               
    ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลเหลือบมองขึ้นด้านบนพลางก็ล้วงเอาแผ่นกระดาษยับย่นออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเพิ่มความอุ่นใจแม้เพียงนิด บานหน้าต่างขอบไม้สีดำบานหนึ่งอยู่เหนือศีรษะของเขาพอดิบพอดี กระจกใสเผยให้เห็นแจกันดอกไม้สีเหลืองสดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะติดหน้าต่าง หนังสือหนาตั้งหนึ่งกองอยู่ไม่ไกลกันนัก และผ้าม่านลูกไม้จีบระบายฟูฟ่องสีส้มอ่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะอิดสะเอียนว่าเจ้าของห้องจะเป็นบุคคลน่ารังเกียจเพียงใดกันแน่


               
    ใบหน้าคมคายก้มลงเหลือบมองสิ่งที่แผ่หลาอยู่ในฝ่ามือ รูปถ่ายขาวดำของชายหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่หลังโต๊ะที่มีหนังสืออยู่หนาเป็นตั้งสูง ที่เมื่อมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่ามันเป็นหนังสือดนตรีเกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียงเล่มสุดท้ายซึ่งที่สันเขียนไว้ว่า
    'สายลมที่อ่อนโยน' ... ซึ่งถ้าให้เขาเดามันก็ควรจะเป็นนิยายรักโรแมนติกหรืออะไรทำนองนั้น ... ทว่าเมื่อสังเกตยังแจกันสีขาวที่ดูจะด้าน มันก็ช่างไม่เข้ากันกับนักดนตรีอารมณ์สุนทรีย์เลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่กำลังไหลหยดย้อยจากดอกไม้สีเทาๆนั้นดูไม่ต่างจากเลือดเวอร์ชั่นขาวดำเท่าใดนัก ...


               
    ลมหนาวพัดโชยมาจากช่องถนนข้างตัวอาคารเป้าหมาย วิลแซ็คก้าวไปทางซ้ายอย่างช้าๆ สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่บานหน้าต่างกระจกใสซึ่งไร้ร่องรอยของสิ่งที่อยู่ในรูปถ่าย เว้นเสียแต่ตั้งหนังสือซึ่งเขียนสารพัดชื่อของนักเปียโนคลาสสิกไว้ตรงสัน ซึ่งดูไม่น่าจะคู่ควรกับป้าแก่ๆใส่แว่นนิยมการถักไหมพรมจิบน้ำชาบนเก้าอี้โยกในความคิดของเขาเลยสักนิด


               
    ชายหนุ่มจัดระเบียบไทตัวเองให้ดูเรียบร้อยแล้วใช้มือสางผมอย่างเร่งร้อน ก่อนจะเคาะประตูไม้มะฮอกกานีสีน้ำตาลแดงเบาๆ


               
    ก๊อก ... ก๊อก ... ก๊อก ...


               
    ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมานอกจากตัวเขาเองที่พ่นลมพรืดด้วยความเบื่อหน่าย ลมหนาวที่พัดวูบก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาเบือนไปทางซ้ายด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนอยู่ตรงนั้น แต่ก็ ... ยังคงไม่มีใครเลยอยู่นั่นเอง


               
    แกร๊ก ... แอดดดด ลูกบิดประตูขยับเกิดเสียงสลักหลุดจากที่ทำเอาผู้มาเยือนสะดุ้งเพราะไม่สามารถจับความเคลื่อนไหวหลังบานประตูได้เลยตั้งแต่เมื่อครู่ นัยน์ตาสีเขียวสวยก็พยายามสอดส่ายหาคู่หูแมวดำแต่ก็ยังไม่พบ ในใจก็ร้องโอดครวญว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงทิ้งเขาไว้อย่างนี้กันนะ ?


               
    "สวัสดีครับ มาหาใครหรือครับ คนที่คุณต้องการพบไม่อยู่หรอกนะครับ สวัสดี"

                ปัง !! ... และแล้วเมื่อประโยครัวเร็วของผู้อยู่ด้านในจบ ประตูก็ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง ...


               
    วิลแซ็คยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเพราะเหตุการณ์เป็นอย่างที่คาดไว้ทุกประการ พลันในใจก็ก่นด่าสบถขุดโคตรเจ้าอาจารย์ผู้ส่งเขามาเดี่ยวๆตามลำพังแบบนี้ แล้วนี่มันไปหลบหัวอยู่ที่ไหนล่ะนี่ ? ... ถ้าเจอหน้าล่ะก็ หึหึ ... ไม่มีรอดมือเขาเสียหรอก
    !!

                กรุ๊งกริ๊ง ! ...


               
    "สวัสดีครับ วิลแซ็ค เป็นยังไงบ้างกับมิสเตอร์โดเมนิค เลนเทอร์คนนี้ ?" เวนเจียนซ์ผู้โผล่หน้ามาได้อย่างกะทันหันเอ่ยทัก ชายหนุ่มก้มหน้าลงหมายจะไปต่อล้อต่อเถียง แต่เมื่อพบว่าเด็กชายอยู่ในร่างแมว ... และในปากก็คาบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง ... แม้ว่าในใจจะยังคงติดค้างตงิดๆเรื่องที่ให้เขาเดินมาตามทางลับในท่อน้ำทิ้ง อย่างไรก็ตามบางอย่างนั้นสำคัญกว่า ...


               
    "อะไรเนี่ย ?" วิลพึมพำกับตนเองเมื่อพบว่ากระดาษนั้นเต็มไปด้วย ... บรรทัดห้าเส้น และ ...


               
    "โน้ตดนตรี ??" ชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วตะคอกใส่แมวด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางโบกแผ่นโน้ตนั้นอย่างหัวเสีย "เอาโน้ตนี่มาให้ผมเพื่ออะไรกัน หา !!?"

                "นี่คุณไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับคุณโดเมนิคเลยหรอกรึ ?" แมวดำถามพลางก็อ้าปากแสยะเขี้ยวเหมือนจะพยายามยิ้ม


               
    "ถ้าแกไม่บอก ... แล้วฉันจะไปตรัสรู้มันเรอะ !!?" ได้ทีรีบสวนกลับ ทว่าเสียงแป้นเปียโนถูกกดอย่างไม่ใส่ใจเป็นเสียงแปร่งๆที่ดังมาก็ทำให้เขาทั้งสองต้องรีบเงียบสงบคำให้สนิท ... อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากหาเรื่องกับ 'เป้าหมาย' ไม่เช่นนั้นตัววิลแซ็คเองก็คงต้องทำงานใช้หนี้ไปจนตาย ... แทนที่จะเป็นหนึ่งปีแบบนี้


               
    "ตกลงว่าจะให้ทำยังไง ?" ชายหนุ่มย่อตัวลงกระซิบ พลางก็ยื่นแผ่นกระดาษที่ตนเห็นว่าไร้ประโยชน์เพราะ 'อ่านไม่รู้เรื่อง' คืนให้เจ้าแมวดำใช้อุ้งตีนตะปบไว้


               
    เวนเจียนซ์ในร่างสัตว์เงยหน้าขึ้น
    "คุณเล่นดนตรีสักชิ้นหนึ่งเป็นมั้ยครับ ?"

                "ไม่ !" รีบประกาศตัวเสียงแข็งทันควัน ที่จริงเขาก็พอจะเล่นได้อยู่บ้างแบบ 'ครูพักลักจำ' แต่ไอ้เรื่องอ่านโน้ตน่ะ เขาไม่เป็นเลยสักนิด ...


               
    "แล้วร้องเพลง ?"

                "ไม่มีวันเสียหรอก !!" คราวนี้วิลแซ็คหนักแน่นกว่าเดิม "ถ้าอยากให้ฉันเล่นดนตรีหรือร้องเพลง จ้างให้ตายฉันก็ไม่เอา !!"

              "แน่ใจหรือครับ ?"


               
    เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตูเรียกความสนใจจากสองคู่หูคู่แค้นได้ชะงัด ชายหนุ่มร่างผอมบางใส่แว่นในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ไม่ติดกระดุมคอและที่ตรงแขน เขาสวมใส่กางเกงยีนส์สีซีดเก่าๆที่ทำให้ดูกระชากวัยลงไปได้ ... ไม่กี่ปี ... เพราะเพียงใบหน้าเรียบเนียนของชายคนนี้ก็ดูอ่อนเยาว์มากพอแล้ว เมื่อรวมเข้ากับรองเท้าผ้าใบสีดำสนิทก็ทำให้เขาดูไม่ต่างจากนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่าใดนัก และน้ำเสียงนุ่มหูที่เปล่งออกมาก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าคนคนนี้มีอายุไม่เกินยี่สิบปีเป็นแน่


               
    แต่ดูจากปริมาณหนังสือที่กองพะเนินบนโต๊ะแล้วคงจะมากกว่านั้น ...


               
    "คุณคิดว่า ... คุณคงจะไม่มีวันสัมผัสดนตรีได้อย่างมีความสุขเลยหรือครับ ?" นี่คือคำถามที่ทำเอาวิลแซ็คผู้ซึ่งอารมณ์ใกล้ระเบิดอยู่เต็มแก่ต้องกัดฟันกรอดขณะพยายามสงบสติของตนลง เพื่อเอ่ยถามในสิ่งที่ตนมีจุดมุ่งหมายเสียที


               
    "คุณคือ ..."

                "โดเมนิค เลนเทอร์ครับ ผมยินดีจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ว่าบทเพลงทั้งมวลนั้นช่วยกระตุ้นความผ่อนคลายได้อย่างดีเยี่ยม เข้ามาเถิดครับ ... อ้อ จะพาแมวของคุณเข้ามาด้วยก็ดีนะครับ ไม่เป็นไรหรอก" เขารีบเสริมเมื่อสังเกตเห็นเจ้าเหมียวแปลงสีดำซึ่งกำลังทำนัยน์ตาวาวโรจน์อย่างพึงพอใจกับความสำเร็จ !

                ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตดำถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก เมื่อถูกเชื้อเชิญให้เข้าบ้านทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อเขาแบบนี้ แต่ ... ไม่เป็นไร เพราะจุดมุ่งหมายนั้นใกล้เข้ามาอีกขั้น หนำซ้ำตัวจุดหมายเองยังยินดีให้เขาเข้าไปใกล้อีกด้วย !!

    fff


               
    โดเมนิคเดินนำเข้าไปในบ้านก่อนจะผายมือให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมหนังสีดำ ขณะที่ตนผละไปยังเปียโนไม้วอลนัทขนาดปกติชิดกำแพงที่ดูเก่าคร่ำคร่าเพราะฝุ่นหนาเตอะที่ขึ้นจับและร่องรอยสีดำๆที่กระจายเป็นหย่อมๆบริเวณผิวไม้ที่ควรจะมันวาว ทว่าชายหนุ่มใส่แว่นก็ยังไม่สนใจ เขาหยิบลูกกุญแจทองเหลืองจากกระเป๋าเสื้อออกมาไข แล้วยกฝาปิดแป้นกดสีขาวสลับดำนั้นขึ้นอย่างแผ่วเบา นักดนตรีหนุ่มลากเก้าอี้ไม้สีเดียวกับเครื่องดนตรีชิ้นงามออกมาจัดให้มีระยะห่างพอเหมาะ จากนั้นจึงทิ้งตัวนั่งลงเพื่อเจรจากับแขกผู้มาเยี่ยมเยียน


               
    "คุณคิดว่าคุณจะไม่มีวันได้รับความสุขจากการบรรเลงดนตรีเลยหรือครับ ?" เจ้าของบ้านเริ่มต้นซักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่นิ้วมือเริ่มไล่กดจากคีย์ริมขวาสุดเพื่อทดลองมือเกิดเป็นเสียงสูงที่แผ่วเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน


               
    นัยน์ตาสีดำขลับเบื้องหลังเลนส์กระจกใสเบนมามองผู้นั่งรับฟังซึ่งกำลังอุ้มแมวดำอยู่บนตัด พลันก็หัวเราะเบาๆ
    "ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้นนะ เพราะบางที ... การริเริ่มสิ่งใหม่ๆมันก็ยากเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม ... เมื่อคุณลองเริ่มที่จะลองทำดู มันก็ทำให้คุณไม่อยากจะผละออกไปจากมันเลยทีเดียว"

                "ผมไม่เชื่อ ..." วิลแซ็คแย้ง "ผมลองแล้ว ... หลายรอบ มันไม่เห็นจะมีอะไรดีเลยสักนิด"

                "นั่นเพราะคุณไม่ได้เล่นเพราะรู้สึกอยากจะเล่นมากกว่าน่ะครับ" โดเมนิคเอ่ยข้อสันนิษฐานแห่งตนยิ้มๆพลางยกนิ้วชี้ขึ้นขยับแว่นให้กระชับไปบนดั้งจมูก "แต่เรื่องความรู้สึกน่ะ ... แม้มันจะบังคับกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ 'เกลี้ยกล่อม' กันไม่ได้นี่ครับ ..."

                "ก็จริง ..." เพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง จึงดูเหมือนเปลี่ยนความคิดในทันที


               
    "คุณคิดว่าคุณจะเปลี่ยนความคิดได้รึเปล่า ?" น้ำเสียงนุ่มหูของชายหน้าเปียโนดังขึ้นถามซ้ำ


               
    "ไม่มีทาง !" ได้สติก็ยืนยันคำเดิมอีกครั้งอย่างไม่ไยดี โดเมนิค เลนเทอร์ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะไล่นิ้วไปตามคีย์สีดำช้าๆ ... แล้วเริ่มต้นบรรเลง


               
    Etude op. 10-5 "Black Keys" ของเฟรเดอริก โชแปงในจินตภาพของโดเมนิคค่อยๆถูกถ่ายทอดผ่านนิ้วมือเรียวสวยลงบนผิวเรียบสีดำของคีย์บอร์ดเปียโน ส่งให้เกิดท่วงทำนองอันต่อเนื่อง ... และมีชีวิตชีวาตามแบบฉบับของเพลงแบบ Vivace ชายหนุ่มเอียงคอน้อยๆไปตามจังหวะดนตรีก่อนจะค่อยๆค้อมหลังลงเมื่อต้องถ่ายเทพละกำลังไปเพิ่มความดังของเสียงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ฝ่าเท้าข้างขวาภายใต้ถุงเท้าสีเทาขยับขึ้นลงบนเพแดลสีทองเพื่อเพิ่มความก้องกังวานของเสียง ส่วนเมื่อถึงจุดซึ่งต้องบรรเลงให้เบาจนแทบจะเงียบสนิท ... มันก็ดึงดูดอารมณ์ให้ผู้ฟังแทบจะกลั้นลมหายใจตาม ... ไม่ต่างกับเมื่อค่อยๆทวีความดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งจบเพลง เขาก็ยังสามารถกดแต่ละคีย์ได้โดยแยกจากกัน ... ไม่มีเสียงใดที่ไม่กระจ่างชัดเลยสักน้อย


               
    โดเมนิคเกร็งข้อมือเมื่อถึงช่วงจบซึ่งต้องไล่ระดับโน้ตแทบจะขวาสุดอย่างรวดเร็ว และพลิกกลับมาจบบทเพลงทั้งบทด้วยการลงมากดโน้ต G ต่ำได้ทันเวลา ... ทั้งที่จังหวะก็เร็วพอควรแล้วแท้ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูท่าทางเขาจะไม่ได้แตะต้องเปียโนมานานหลายเดือนเสียด้วย ช่างน่าแปลกใจที่ใครสักคนจะยังเล่นเพลงสักเพลงได้อย่างคล่องมือ ... ทั้งที่ไม่ได้ฝึกซ้อม และ ไม่มีโน้ต


             
    ไร้เสียงปรบมือชื่นชม มีเพียงสายตาขุ่นเขียวที่ดูจะอ่อนลงไปมากมอบให้เท่านั้น "เพราะมากครับ แต่ผมไม่มีวันจะเล่นได้แน่ๆ ..."

                "ไม่ยากหรอกครับ" โดเมนิคหันมายิ้มแล้วยืนยัน พลันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปยังกองหนังสือพะเนินบนโต๊ะไม้โอ๊คริมหน้าต่างห้อง แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ... พลางก็ควานหาบนโต๊ะพัลวันว่าอีกแผ่นหนึ่งนั้นหายไปไหน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นผ้าม่านลูกไม้สีส้มจางซึ่งกำลังปลิวสะบัดส่งให้แสงสว่างภายนอกส่องเข้ามายังภายในห้องเป็นจังหวะ ซึ่งหมายความว่า หน้าต่างนั้นกำลังเปิดอยู่


               
    "คุณเห็นโน้ต Rêverie ของ Claude Debussy หน้าที่สอง บ้างมั้ยครับ?" นักเปียโนหันมาเอ่ยถามผู้มาเยือนภายในห้อง วิลแซ็คส่ายหน้า ... เขาไม่รู้หรอกว่าไอ้แผ่นโน้ตนี่มันใช่เพลง ... เอ่อ ... เวรี่ ของ เคานท์ ดุสซี่ หรือเปล่า เพราะเขาจนปัญญาที่จะไปตรัสรู้ว่าเจ้าตัวขยุกขยุยสีดำบนกระดาษนั้นมันคือตัวอะไรกันบ้าง


               
    พลันสายตาคมกริบเบื้องหลังแว่นสายตาก็กราดไปเห็นแผ่นกระดาษยับย่นในปากของแมวน้อยสีดำ ชายหนุ่มรีบก้าวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว คิ้วบางขมวดเคร่งส่วนนิ้วชี้ขวาก็ดันเครื่องช่วยมองให้ชิดดั้ง โดเมนิคย่อตัวลงนั่งชันเข่าข้างๆตัววิลแซ็คพลางก็ลูบศีรษะเจ้าแมวดำเวนเจียนซ์เบาๆ ...
    "ผมขอกระดาษแผ่นนี้นะครับ ได้มั้ย?"

                ดวงตากลมโตกลอกขึ้นสบตาของบุรุษหนุ่มที่ลดระดับความสูงลงมาเหลือเพียงสูงกว่าโซฟานุ่มไม่กี่นิ้ว แล้วอ้าปากครางเบาๆอย่างชอบใจ ปลดปล่อยให้แผ่นโน้ตดนตรีร่วงหล่นลงมาสู่ฝ่ามือที่รองรับไว้ราวกับนัดแนะ ริมฝีปากบางของชายหนุ่มกระตุกยิ้มน้อยๆพลันก็ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือข้างที่ยังว่างอยู่ให้แก่วิลแซ็ค "มาเถิดครับ เรามาลองดูกันเถอะ"

                ชายในเสื้อเชิ้ตดำลุกตามอย่างว่าง่าย พลันก็ทิ้งเวนเจียนซ์ลงบนโซฟาหนังแล้วเดินเข้าไปนั่งประกบคู่กับนักดนตรีหนุ่ม ท่าทางสนิทสนมทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแบบนั้น ทำเอาแมวผู้มองแทบจะขำคิกออกมา ทว่าด้วยกิริยาอาการแล้วมันไม่สมควรเลยสักนิด เขาน่าจะรอให้งานนี้จบๆ ... หรือไม่ก็คิดอีกทีว่าจะเปลี่ยน 'คู่' ของโดเมนิคเป็นวิลแซ็คดีหรือไม่


               
    แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว นี่คงเป็นความสนิทสนมแบบ 'อาจารย์กับลูกศิษย์' มากกว่า ซึ่งเขานั้นอนุญาต ... เพราะความรักในเพศเดียวกันน่ะ เขารอได้ แต่เรื่องความรักระหว่างสองเพศตามปกติที่เขาจะมอบให้แก่โดเมนิคตามหน้าที่นั้น ... นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะทำ และคงเป็นไม่กี่ครั้งที่เขาจะทำสำเร็จ ถ้าเพียงแต่ ...


               
    เจ้ากามเทพสุดหล่อของเขาจะไม่ทำให้นักเปียโนคนนี้หลงใหลเสียก่อนน่ะนะ
    !

                "เพลงนี้ ... เล่นเบาๆ พลิ้วๆ นะครับ ตอนแรกเล่นช้าๆไปก่อน จะได้จำโน้ตได้ พอคล่องแล้วจะได้เล่นไม่ผิดน่ะครับ ผมว่าไม่น่ายากนักหรอก ... เมื่อคุณฟังเพลงที่ผมเล่นไปแล้ว" โดเมนิคว่าขณะวางโน้ตลงไปบนหนังสือหนาซึ่งถูกใช้ต่างแผ่นกั้น ก่อนจะค่อยๆถอยออกมาเพื่อดูพัฒนาการในไม่กี่วินาทีของลูกศิษย์เฉพาะกาลคนนี้


               
    "ลองดูครับ เริ่มตรง B flat CDG … DCB flat ตรงห้องแรก ช้าๆ ... นะครับ" น้ำเสียงนุ่มหูย้ำเตือนในประโยคสุดท้าย เพราะเพลงนี้ไม่ได้ใส่ใจความเร็วของมันมากนัก แต่ความนุ่มนวลตามความหมายว่า 'ฝันกลางวัน' นั่นต่างหาก ที่เป็นจุดประสงค์โดยแท้จริง


               
    และคิดหรือว่าวิลแซ็คจะฝันกลางวันได้ไพเราะเพราะพริ้ง ?


               
    ... มันไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในนรก ชนิดที่โดเมนิคผู้เปี่ยมไปด้วยความอดทนยังต้องอุดหู วิลแซ็คเล่นผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็เล่นย้อนใหม่ ... เล่นผิด แล้วย้อนใหม่ ... เสียงที่ควรจะเบานุ่มหูฟังสบายก็กลับกระแทกกระทั้นจนเปียโนแทบพังออกมาเป็นชิ้นๆ ชายหนุ่มนักเปียโนยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างเคร่งเครียดก่อนจะต้องยอมรับว่า ... คนบางคน ก็ไม่สมควรให้แตะต้องดนตรีเลยจริงๆ


               
    "พอเถอะครับวิลแซ็ค" โดเมนิครีบพูดก่อนที่วิลจะบรรเลงบทเพลงแห่งความตายไปจนถึงช่วงที่ต้องเล่นดังลั่นเป็น octave ... ขนาดในครั้งแรกเขาเองยังต้องนั่งเพ่งโน้ต กว่าสมองจะรับรู้ได้ว่าควรจะใส่จังหวะอย่างไรก็กินเวลาไปเกือบครึ่งนาที แล้วคนฝึกใหม่อย่างวิลแซ็ค ... กว่าจะเล่นได้ สงสัยคงต้องไปบนบานศาลกล่าวขอพรจากเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ช่วยพาเอาวิญญาณนักดนตรีมาสิงสถิตเสียก่อนกระมังเขาจึงจะเล่นดนตรีชนิด 'พอฟังได้'

                "ขอบคุณสวรรค์" วิลแซ็คพึมพำก่อนจะเดินโซซัดโซเซกลับมาล้มแผละบนโซฟานุ่มเหมือนเดิม


               
    "อะไรนะครับ ?" นักดนตรีเจ้าบ้านยิ้มให้ราวกับบริสุทธิ์ใจ แต่นั่นเหมือนกับรอยยิ้มของเวนเจียนซ์อย่างกับแกะ ทำให้ผู้มองซึ่งมีประสบการณ์กับรายหลังมามากแล้วถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างเกรงกลัว ...


               
    "คือ ... ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้สัมผัสกับเปียโนอีกครั้ง"

                ดวงตาสีน้ำทะเลเบิกโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า แต่ใบหน้าเรียบร้อยอย่างนักเรียนที่คงแก่เรียนของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาไม่สามารถจะเอ่ยอะไรต่อไปอีกได้ แต่ด้วยเล็บจากเวนเจียนซ์ที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงจิ้มมันจนทะลุขากางเกงของเขาก็ทำให้ตัวเองต้องสบถเบาๆ


               
    "อะไรนะครับ ?" โดเมนิคหันตะโกนถามขณะเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองชิดหน้าต่าง แต่วิลแซ็คก็ส่ายศีรษะเป็นพัลวันอย่างมีพิรุธ ... ทว่าด้วยมารยาทแล้ว หากผู้ถูกถามไม่พึงจะตอบ ก็ไม่สมควรจะซักอะไรต่อ ...


               
    "นี่จะให้ผมมาทำอะไรกันแน่ ?" ชายหนุ่มบนโซฟากระซิบข้างหูแมวเบาๆขณะใช้มือขวากดขาทั้งสองข้างของมันเอาไว้กับพนักพิงโซฟาเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าอาจารย์เกิดริข่วนเขาอีกรอบให้เสื้อผ้าเสียหาย นัยน์ตาโตเหลือบมาแล้วกระซิบตอบ "ผมจะให้คุณมาช่วยทำให้ความรักของโดเมนิคสมหวังน่ะ"

                "แล้วใครกันที่เป็นคู่ของคุณเปียนิสท์เขา ?" ตัดสินใจเอ่ยถามอย่างแทบจะเงียบกริบเพราะเจ้าตัวเริ่มเดินกลับมาใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็น Perfect Pitch …

                "ครูของผมไม่มีหรอกครับ ผมเรียนรู้ด้วยตัวเองน่ะ"

              และแล้วอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มต้องนิ่งอึ้งก็ลอยผ่านอากาศมาปะทะแก้วหู ... ชายคนนี้เรียนรู้เปียโนด้วยตนเอง ไม่เคยมีใครสอนให้ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเสียงเพลง ... ใครสักคนที่ทำอย่างนี้คงต้องเป็นพวกที่มีเจตนาอย่างแรงกล้าในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงจะเล่นดนตรีได้ไม่ Perfect เท่านี้หรอก ...


               
    ว่าแต่ ... เจ้าเจตนารมณ์นั่นคืออะไรกันแน่ ? มันอาจจะเกี่ยวข้องกับงานของเขาหรือไม่ก็ได้


               
    "ลองถามเขาดู" เวนเจียนซ์พึมพำราวกับเป็นสัญญาณอนุญาตให้เริ่มปฏิบัติภารกิจ ก่อนที่เปลือกตาสีดำจะปิดลงช้าๆ ... แมวน้อยกำลังจะหลับ แต่นั่นก็เหมือนกับคำสาปจากนรก เพราะถ้ามันหลับ ... เขาก็จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรน่ะสิ !!

                "เอ่อ ..." วิลแซ็คพยายามเอ่ยปากถาม แต่น้ำชาร้อนๆในถ้วยสีขาวที่ถูกวางลงบนโต๊ะก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของบ้าน นัยน์ตาสีดำที่สบมองดูอ่อนโยนทว่าเศร้าหมองอย่างไรบอกไม่ถูก ชายหนุ่มมั่นใจว่านี่คงเป็นโอกาสอันดีที่จะลองถามว่า คู่ ของนักดนตรีคนนี้เป็นใครกันแน่


               
    "ทำไมคุณถึงหัดเล่นเปียโนล่ะครับ ?" ชายเสื้อเชิ้ตดำตัดสินใจถามหลังจากยกชาสีเหลืองใสรสฝาดขึ้นจิบ ดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองขณะที่โดเมนิค เลนเทอร์ กำลังลากเก้าอี้ไม้หน้าเปียโนมานั่งฝั่งตรงข้ามเขา ประกายแห่งความเศร้าหมองผุดพรายขึ้นมาแวบหนึ่งในม่านตาสีดำ แต่เมื่อชายหนุ่มรู้สึกตัวเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เพราะไม่คิดอยากจะเปิดเผยความในใจบางอย่างให้ผู้อื่นรับรู้นัก


               
    "คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วจะเข้าใจเองครับว่าทำไมผมถึงหัดเล่น" พูดจบก็วางหนังสือเล่มหนาเตอะ ซึ่งมีปกสีดำ และตัวหนังสือสีขาวที่เขียนว่า 'สายลมที่อ่อนโยน' ... ลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมหน้าโซฟา ก่อนที่จะพาร่างของตนเองไปยังประตูไม้มะฮอกกานีเพื่อสวมรองเท้าผ้าใบ แล้วเดินหายออกไป ทิ้งให้แขกผู้มาเยือนเฝ้าบ้านทั้งหลังนี้ให้แก่ตน


               
    "อ้าวเฮ้ย ..." วิลแซ็คพยายามร้องทัก แต่เจ้าแมวดำที่หลุดจากมือเขากระโจนใส่หน้าก็ทำเอาร่างสูงต้องถูกกดลงให้หงายหลังตึงบนโซฟาไปโดยปริยาย


    fff


               
    สายลมเย็นๆที่พัดผ่านอย่างแผ่วเบา ทำให้ผมได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง ... หญิงสาวคนนั้น ผู้ซึ่งมีเกศาสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย นัยน์ตาที่เบือนมาสบกับผมที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นเป็นสีทองงามตา ดวงตาที่มีสีพิเศษเช่นนั้นทำให้ผมหลงใหล ทว่าก็งงงันไปด้วยความงามของเธอ ... จมูกโด่งรั้นได้รูป คิ้วสีน้ำตาลทองที่เหยียดตรึงราวกับนางฟ้าผู้เคร่งขรึมนั้นทำให้ผมได้สังเกตเห็นว่า ดวงหน้าอันงดงามนี้เปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมอง


               
    หากผมก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากเฝ้ามองอยู่ภายนอกบานหน้าต่าง


               
    เสียงเพลงที่เธอขับร้องออกมาทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ ... ผมไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นอกจากบรรเลงท่วงทำนองแห่งดนตรีขับกล่อม เพื่อให้เธอได้เป็นสุขสักครั้งหนึ่ง ... แม้ว่าผมจะไม่รู้ชื่อของเธอ ทว่านัยน์ตาสีทองที่ตราตรึงอยู่ภายในจิตใจของผมก็ทำให้ตนไม่สามารถจะทำสิ่งใดได้นอกจากที่ใจปรารถนา ...


               
    ผมไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใด แต่ร่างของผมไม่อาจขยับไปจากบานหน้าต่างนั้นได้เลยแม้เพียงนิดเดียว เสียงขับร้องหวานละมุนค่อยเงียบลง และแล้วน้ำตาแห่งอารมณ์ก็ไหลอาบใบหน้าของหญิงสาวในชุดสีเหลืองทองคนนั้น เธอสะอึกสะอื้นอยู่หลายนาที จนกระทั่งดวงตาสีทองของเธอเหลือบมายังหน้าต่าง


               
    สายฝนโปรยปรายลงมานานแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน เสื้อยืดสีขาวที่ผมใส่อยู่เปียกชุ่มโชกไปหมด หญิงสาวหลังหน้าต่างส่งรอยยิ้มให้ผม ดวงตาสีทองของเธอไม่ได้บ่งถึงความรังเกียจเลยสักนิด ผมยิ้มตอบ ...


               
    เบื้องหลังแว่นสายตาอันพร่ามัวจากฝ้าไอน้ำ และด้านนอกหน้าต่างชั้นล่างของบ้านหลังหนึ่ง มีบางสิ่งกำลังฉายออกมาอย่างไม่ปิดบังจากนัยน์ตาของผม ... ความรัก ...


               
    ... ปึก
    !!

              วิลแซ็คปิดหนังสือเสียงดังลั่น ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเคร่งขรึมทว่ามีไฟคุกรุ่นอยู่ภายในนั้นดูเหมือนอยู่ในสภาวะพร้อมจะพ่นไฟใส่ใครทุกคนที่เข้าใกล้ ดวงตาสีน้ำทะเลสดสวยก็ดูจะมีไต้ฝุ่นกำลังก่อตัวขึ้นกลางมหาสมุทรอย่างช้าๆ


               
    "นิยายบ้าอะไรวะนั่น ..." ชายหนุ่มสบถพึมพำก่อนจะบรรจงวางหนังสือเล่มหนานั้นลงข้างตัว โดยไม่สนใจดวงตาแป๋วแหววที่จ้องมองเขม็ง


               
    แมวดำตัวน้อยซอยเท้าถี่ๆ ไปที่หนังสือเล่มสีดำสนิท ที่วางอยู่ข้างบุรุษในชุดสีเดียวกันกับหนังสือ แล้วใช้เท้าหน้าพยายามเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่าน แต่เมื่อทำไม่ได้ก็หันไปจ้องบุคคลที่อยู่ข้างๆ แล้วใช้เท้าหน้าข้างเดิมตะปบไปบนตักคนนั่งนิ่งเบาๆ


               
    "อะไรอีกล่ะ" วิลแซ็คหันกลับมาทำหน้าเคืองๆ ส่งไปให้แมวตัวน้อย


               
    "อ่านมันให้จบสิ บางทีในหนังสือเล่มนี้อาจมีอะไรก็ได้นะ" เวนเจียนซ์ยกขาหน้าไปวางไว้บนหนังสือก่อนจะหันกลับมากระโดดขึ้นไปนั่งบนตักร่างสูง


               
    "ผมไม่ชอบอ่านนิยายรักน้ำเน่าแบบนี้ครับ" บุคคลผู้ถูกสั่งนั่งกอดอกไม่สนใจคำสั่งผู้เป็นอาจารย์ตน


               
    เมื่อคนขอร้องไม่ได้ดั่งใจหวัง แมวตัวน้อยจึงลุกขึ้นหมุนตัวไปเผชิญหน้าคนที่ทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ แล้วกระเด้งตัวใช้ขาหน้าถีบ เอ่อ ... ยันใบหน้าเบื่อ ๆ นั้นเข้าไปเต็ม ๆ ขาสองสองข้าง ทำให้ใบหน้าคมคายอยู่ในสภาพแหงนมองฟ้า แล้วแมวดำก็แสดงกายกรรมชุดต่อไปคือการส่งแรงให้ขาหลังที่ตามมาวางอยู่บนหน้า ทำให้ใบหน้าที่แหงนมองฟ้างอลงไปอีกจนเกือบหลุดออกจากบ่า ส่วนผู้กระทำการประทุษร้ายเสร็จก็ลงสู่พื้นอย่างสวยงาม


               
    "ถ้าคุณโดเมนิคบอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเล่นเปียโนบางทีมันอาจเป็นเครื่องมือช่วยทำให้งานของเราสำเร็จเร็วขึ้นก็ได้นะครับ"

                "เอ้า ... ผมบอกให้ก็ได้ว่านั่นล่ะ เป้าหมายของเรา" แมวน้อยว่าก่อนจะเดินมาคลอเคลียที่ขาของเขาจนต้องสะบัดเท้าขึ้นมาเตะกระเด็นไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากเปียโนหลังงามราคาแพงของเจ้าบ้านที่หนีออกไปไหนแล้วไม่รู้


               
    วิลแซ็คลุกขึ้นจากโซฟาพลางปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะเดินไปเก็บเวนเจียนซ์ขึ้นมาจากพื้นด้วยอาการเกือบๆจะสำนึกผิด ชายหนุ่มลูบศีรษะนุ่มๆของร่างในอ้อมแขนซึ่งส่งเสียงครางเบาๆ แล้วชะงัก ...


               
    "เป้าหมาย ?" ร่างสูงก้มหน้าถามแล้วขมวดคิ้วแน่น " 'คู่' ของโดเมนิค เลนเทอร์ ?"

                "คุณนี่ก็สมองไวดีนะครับ ..." เวนเจียนซ์ยิ้มเผล่ก่อนจะหัวเราะเบาๆ "ผมแนะนำให้คุณ ทนอ่านต่อ ไปจนจบเล่ม ... อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปควานหาหญิงสาวรูปลักษณ์แบบนั้นจากคนในเมืองจำนวนมหาศาล"

                วิลแซ็คถอนใจเฮือกใหญ่อย่างเซ็งๆ ...


               
    เขาต้องทนอ่านมันต่อไปหรือนี่ ???


    fff


               
    "ใช่บ้านนี้แน่เรอะ ?"


               
    ชายหนุ่มในชุดสีดำเงยหน้าขึ้นมองอาคารหรูหราตรงหน้าสลับกับโพยในมือไปมาด้วยความสงสัย ... ภาพสีที่เวนเจียนซ์เพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่หลังจากหายไปนานนักหนาอีกรอบหนึ่ง ... บ้านหลังไม่ใหญ่นักก่อด้วยอิฐสีเหลืองจางๆ มีต้นไม้ขึ้นอยู่ในสวนหลังบ้านซึ่งตัวบ้านปิดบังกิ่งก้านสาขาไว้ไม่หมด หน้าต่างแต่ละบานสูงพอๆกับตัวของเขา และมีหลังคาสีน้ำตาลเข้ม ... พร้อมกับปล่องควันซึ่งไร้ร่องรอยเขม่าเพราะไม่ได้ใช้มานานนับปี


               
    วิลแซ็คไล่สายตาตั้งแต่พื้นที่มีแต่รอยฝุ่นจับและคราบเชื้อราจากความชื้นของสายฝนซึ่งโปรยปรายลงมาบ่อยมากในเมืองนี้ เถาวัลย์เลื้อยรัดตามเสาบ้าน ปลดปล่อยให้เศษอิฐสีเหลืองกะเทาะร่วงลงมาเกะกะพื้นทางเดิน ความทึบทึมชวนอึดอัดของบ้านหลังที่ปรากฏอยู่ทำให้เขารู้สึกสันหลังวาบอย่างไรชอบกล ... ลมเย็นเฉียบพัดมาวูบ ... เบื้องหลังบานหน้าต่างขอบไม้นั้นมืดสนิทราวกับไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มานานปีดีดัก


               
    นี่มัน ... บ้านร้างนี่หว่า


               
    ชายหนุ่มยื่นมือไปหมายจะกดกริ่ง แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสายไฟที่หลุดออกมาจากเปลือกหุ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะพาลนึกไปถึงสภาพใต้ดินที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อไม่นานนี้ เขาถอนใจเฮือก แล้วค่อยๆลดมือลงช้าๆ ... เรื่องอะไรจะยอมไปเสี่ยงให้ถูกไฟดูดล่ะ ในเมื่อยังมีหนทางอีกตั้งมากมายในการลองเรียกเจ้าของบ้านออกมา


               
    ก๊อก ... ก๊อก ... ก๊อก


               
    ร่างสูงเดินไปเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะยืนกอดอกรอคอยปฏิกิริยาตอบรับอันเชื่องช้า และแล้วเสียงหวานหูดังสวรรค์โปรดก็ดังขึ้นจากข้างใน


               
    "เข้ามาเถอะค่ะ ประตูไม่ได้ล็อก"

                ... ไม่ได้ล็อก ...


               
    วิลแซ็คนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจจับศีรษะตัวเองโขกประตูดังปึงปังด้วยความเคียดแค้นในความอ่อนต่อโลกของตนเอง ... ก็ถ้าบ้านไหนดูร้างๆ ลองเปิดประตูเข้าไปก่อนมันก็มักจะไม่ได้ล็อกทั้งนั้นแหละ ... บางทีลูกบิดอาจจะหลุดไปแล้วก็ได้


               
    แอ๊ด ... บานประตูไม้สีน้ำตาลทองเปิดเข้าไปด้านในเบาๆตามแรงเคาะโขกเมื่อครู่ นัยน์ตาสีน้ำทะเลเหลือบไปมองด้านหลังขณะกำลังพาร่างของตนผ่านประตูเข้าไป ทว่าก็ต้องกะพริบตาปริบๆอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยสักนิด


               
    บ้านที่ดูภายนอกแล้วเก่าโทรม มีแต่เถาวัลย์เลื้อยพันและต้นหญ้าขึ้นสูง เศษอิฐเศษปูนกะเทาะแตกร้าวออกมาจากตัวบ้าน เศษหยากไย่ใยแมงมุมระเกะระกะอยู่ตามทางเดิน เมื่อมองจากภายในแล้วกลับไม่มีร่องรอยของสิ่งเหล่านั้น พื้นทางเดินปูอิฐสีเหลืองยังคงใหม่สวย เช่นเดียวกับตัวเสาบ้าน ส่วนพืชพรรณวัชพืชต่างๆนั้นไม่มีปรากฏเลยสักต้น


               
    น่าสงสัย ... น่าสงสัยจริงๆ


               
    แต่ถึงจะน่าสงสัยสักเพียงใด วิลแซ็คก็ยังคงก้าวเข้าไปอยู่นั่นเอง เพราะเขาไม่ต้องการจะทำภารกิจให้ผิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียว งานนี้จะต้องเสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด ...


               
    เขาจะต้องพา ดานาเอ พรินสเทล ไปพบกับ โดเมนิค เลนเทอร์ ให้จงได้
    !!

                ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในบ้านของเป้าหมายผู้ซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้สีทองหันหลังให้เขาอยู่ หญิงสาวสวมเสื้อสีขาวเข้ารูปกับกระโปรงสีน้ำตาลเข้มยาวถึงเข่า เส้นผมสีน้ำตาลเข้มรวบไว้เป็นหางม้าด้านหลัง หนังสือเล่มหนาหน้าปกสีขาววางอยู่บนโต๊ะไม้ทรงสวยยังคงสะอาดเรียบร้อยไม่เปื้อนฝุ่น แสงแดดส่องจากหน้าต่างบานใหญ่ทอดยังชั้นหนังสือสูงทางด้านขวา พื้นพรมสีอ่อนจางมีลวดลายสีน้ำเงินพร้อย แต่แม้แสงอาทิตย์จะส่องมาถึงห้องนี้ก็ไม่ได้สว่างขึ้นมากนัก กำแพงทางฝั่งด้านหน้าของตัวบ้านทอดเงาบดบังสีสันกว่าครึ่งหนึ่งของห้องโถงสูงโปร่ง ทำให้โคมระย้าบนเพดานดูหม่นหมอง


               
    "สวัสดีครับ คุณ ..."

                "ดานาเอ พรินสเทล ค่ะ" เธอแนะนำตัวเองอย่างเลื่อนลอย โดยไม่แม้แต่จะหันมามองแขกผู้มาเยือนกระทั่งด้วยหางตา ...


               
    วิลแซ็คเดินผ่านกลางห้องพลางก็ก้มลองมองแผ่นกระดาษในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ ... งานที่เขาต้องทำก็คือ ... พาดานาเอไปหาโดเมนิค ... จบ


               
    "เอ่อ ... คุณพรินสเทลครับ"

                "คะ ?" เธอยังคงเอ่ยโดยไม่หันมามองผู้พูดเช่นเดิม แต่คราวนี้ศีรษะขยับมาทางซ้ายน้อยๆราวกับพยายามจะเหลียวมอง หากไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆที่จะขยับร่างกายระหงนี้อีกแล้ว ... เสียงร้องไห้เบาๆดังขึ้น ทำให้สุภาพบุรุษต้องรีบโผเข้าไปตรงหน้า ... ผ้าเช็ดหน้าสีตุ่นๆน่าหวาดผวาถูกยื่นให้ตรงหน้า แล้วดวงหน้างามเปื้อนไปด้วยน้ำตาก็หัวเราะเบาๆ


               
    "เอาเถอะค่ะ สรุปว่าคุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ ?" ดานาเอเบือนหน้ามาสบตากับเขาซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ... ดวงเนตรสีทองตราตรึงให้เขาจ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่อาจขยับไปไหนหรือเอ่ยอะไรได้เลย ...


               
    ใบหน้ารูปไข่ที่มีน้ำตาไหลอาบแก้ม มันช่างดูบอบบาง ... น่าทะนุถนอมเหลือเกิน ...


               
    "คุณรู้จักคุณโดเมนิค เลนเทอร์หรือเปล่าครับ ?" เล่นมันง่ายๆอย่างนี้แหละ เพราะวิลแซ็คเองก็ชักเริ่มจนปัญญาเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวผู้งดงามนานเข้า ... ไม่เคยคิดเลยว่าดานาเอจะงามขนาดที่ทำให้ตัวชายหนุ่มเองก็ต้องตะลึงไปได้ ...


               
    ... และหยาดน้ำตาของหญิงสาวก็ไหลริน ...


               
    "คุณรู้จักโดเมนิคด้วยเหรอคะ ?" ดานาเอเบือนดวงหน้าอาบน้ำตามาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนระโหยราวกับจะแตกสลายไปตรงหน้า วิลแซ็คทำได้เพียงพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่หญิงสาวเสมองไปทางชั้นหนังสือสูงติดผนังห้อง "ฉันรักเขา ... รักเขามาก ... แต่น่าเสียดาย ..."

                คิ้วหนาสีเข้มขมวดเคร่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ด้วยมารยาทแล้วเขาไม่พึงจะถามหากเธอไม่ต้องการจะบอกเขา ทว่าหญิงสาวกลับเอ่ยมันออกมาด้วยตนเอง ...


               
    นัยน์ตาสีทองงามงดชุ่มไปด้วยน้ำกลอกมามองใบหน้าของเขา
    "เขาจากไป ... จากไปแล้ว ... ทิ้งให้ฉันอยู่อย่างนี้เพียงลำพัง ..." พลันเธอก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา "เขาจะได้รับการจดจำอยู่ในใจฉัน ... ตลอดไป ... ฉันจะไม่ลืมเขาเป็นอันขาด"

                ริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มเผยอออกช้าๆด้วยความงุนงง ... ก็ตะกี้ ... เขาเพิ่งเห็นโดเมนิค เลนเทอร์นั่งเล่นเปียโนให้ฟังอยู่เลยนี่นา แถมยังได้ยินเสียง ... ไม่น่า ... เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?


               
    "คุณพรินสเทลครับ" วิลแซ็คยืนขึ้นแล้วเอียงศีรษะครุ่นคิดพลางเอ่ยทัก "เมื่อครู่ ... ผมยังเห็นคุณเลนเทอร์อยู่เลย ... เขาไม่ได้จากคุณไปไหนหรอกครับ ยังคงคิดถึงคุณอยู่เสมอ"

                สตรีผู้งดงามอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง ... เธอเหม่อมองออกไปยังแสงแดดสว่างจ้านอกหน้าต่าง แล้วเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้พลางผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ มือเรียวสวยยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากนวลแก้มขาว เล็บยาวที่ได้รับการตัดแต่งดูงดงามเพียบพร้อม บางส่วนของเสื้อสีขาวกลายเป็นจุดใสจากหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น ปอยเส้นผมสีเข้มตกลงมาเล็กน้อยช่วยขับให้ดวงหน้าดูสวยงามขึ้น เธอหันมาทางเขา แล้วเรียวปากสีชมพูสดก็เริ่มต้นเอ่ยกล่าว


               
    หากคราวนี้ ... กลับเป็นเขาเองที่ได้รับสายตาอันฉาบไปด้วยความพิศวง
    "อะไรกันคะ ? ... ก็ในเมื่อ ..." และหญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง เธอซบใบหน้าลงบนฝ่ามือแล้วปลดปล่อยอารมณ์เศร้าโศกจากภายในให้ออกมาโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป "ในเมื่อ ..."


               
    ชายหนุ่มในชุดสีดำหรี่ตาลงด้วยความไม่เชื่อสายตา
    "อะไรหรือครับ ?"

                ทว่าดานาเอกลับเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ...


             
    "ในเมื่อหลุมศพของโดเมนิค ... อยู่ในสุสานของเมืองนี้น่ะสิคะ"


    fff

    +++++++++++++++++++++++
    ทำไงดี จุดไข่ปลาเยอะจนตาลาย
    (แต่งช่วงนี้จบนานครึ่งปีแล้วเพิ่งสังเกตเรอะ ?)

    12032007 เข้ามาแก้ เพราะช่วงแบ่งจังหวะมีปัญหา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×