คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บันทึกวันที่ 3 สิ่งที่เห็น
บันทึกวันที่ 3 สิ่งที่เห็น
ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังยืนคุยกันที่หน้าร้านอาหาร และเพื่อกันการเกะกะคนอื่นมิจยูนเลยเสนอให้มาคุยกันที่ริมเสาเพื่อป้องกันการชนกัน ถ้าหากสังเกตได้จะสังเกตได้ว่าบรรยากาศรอบๆตัวของหญิงสาวตาโตผมฟ้าจะออกแนวร่าเริงแต่แอบมีความไม่สบอารมณ์ปนเข้าไปด้วย แต่ในขณะท่าฝ่ายชายจะมีท่าทีที่เย็นชา จนมิจยูนสังเกตได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของทั้งคู่และระหว่างเดินทางก็มีแต่ความเงียบตนเลยต้องเป็นฝ่ายชวนคุยตลอด
“เออ.....คุณมิว คุณเควสฮะ เควสของเราคือการเอาเขาของมังกรสินะฮะ”มิจยูนที่เห็นท่าทางไม่ดีรีบหารื่องชวนคุยกับทั้งสองคนทันที
“ใช่แล้วค่ะ”มิวตอบรับเสียงใสทำให้มิจยูนแอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความโล่งทีว่าอย่างน้อยคุณมิวก็ไม่ได้โมโหมากแต่กลับกันคือคุณเควสก็ได้แต่ยืนนิ่งเสียอย่างนั้น
“มังกรคงไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นง่ายๆหรอกแยกกันไปหาคนละทางล่ะกันถ้าเจอเมื่อไหร่ก็เอาเขามันมาล่ะกัน ในเควสบอกว่าให้หามาอย่างน้อย15ก็หากันคนละ5ล่ะกันจะหามาให้มากกว่าก็ได้”
แบรที่ได้แต่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาก่อนจะแจกแจงมอบหน้าที่ให้กับแต่ละคนเพราะทนดูไม่ได้กลับการที่คู่นี้เอาแต่นิ่งเงียบและมิจยูนที่พยายามที่จะหาเรื่องคุย
“งั้นก็แยกย้ายสินะค่ะ”
เสียงหวานของหญิงสาวนามมิวดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มอบให้กับหญิงสาวผมแดงนามมิจยูน แต่ในขณะเดียวกันที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีหมาหัวเน่าอยู่ด้วย และก็คงไม่พ้นเควสนั่นเองถ้าถามถึงสาเหตุคงจะไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้มิวยังไม่แม้แต่ที่จะมองหน้าหรือคุยเลยด้วยซ้ำ รวมทั้งเควสเองก็เช่นกันไม่ได้คุยกับใครหรือแม้แต่กับมิจยูน
“งั้นแยกกันตรงนี้นะฮะ ตอนนี้ก็ประมาณบ่าย2แล้วงั้น6โมงค่อยมาเจอกันตรงนี้ใหม่นะฮะ”มิจยูนพูดขึ้นพร้อมกับหันหลังวิ่งเข้าไปในป่า
“ค่ะ แล้วค่อยเจอกันตอน6โมงนะค่ะ”มิวตะโกนพร้อมกับโบกมือให้กับมิจยูนที่วิ่งเข้าไปในป่า ในขณะที่อีกฝ่ายก็โบกมือขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบรับเช่นกัน
ในตอนนี้มิจยูนก็เดินไปแล้ว ในที่แห่งนี้ก็เหลือกันอยู่2คนทำให้บรรยากาศมาคุเริ่มออกมาอีกครั้ง มิวเดินลิ่วนำหน้าเควสไปก่อนจะหยุดและเหล่ตามามองอีกฝ่ายด้วยความไม่สบอารมณ์พร้อมกับกล่าวคำพูดขึ้น
“คุณเนี่ยไม่มีสัมพันธไมตรีที่ดีกับชาวบ้านเลยนะ”
“มันไม่เกี่ยวกันคุณนี่ครับ คุณหนู”
“เชอะ”
มิวบ่นก่อนจะเดินเข้าไปหาเควสทันทีแต่เควสกลับตอบสาวเจ้าโดยที่ไม่คิดที่จะหันหน้ามามองเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เขาได้แต่ไปที่ข้างหน้าด้วยสายตาที่เหม่อลอยและราวกับว่ากำลังคิดถึงใครบางคนอยู่เสมอๆ จนเธอเองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงต้องมองออกไปด้วยสายตาแบบนั้นเสมอ
“ทุกครั้งเลยนะ....”
“หือ?”
ปากที่พลั้งเผลอขยับไปเองตามอารมณ์ เรียกให้สายตาของชายหนุ่มหันมามองคนพูดที่ยืนเงยหน้าจ้องเขาด้วยความตรงไปตรงมา
“ทุกๆครั้งเลย นายมักจะเหม่อมองออกไปเสมอๆ มองไปที่ตะวันสีแดงส้มนั่นด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย และทุกครั้งที่ฝนตกนายก็จะมองมันด้วยแววตาที่เจ็บปวด”
“พูดอะไรบ้าๆน่ะคุณหนู ผมน่ะเหรอ?เหม่อ?”
“ทุกครั้งที่คุณมองมัน คุณทำหน้าราวกับจะร้องไห้เสมอ” มิวกล่าวออกมาอย่างช้าๆและเลื่อนลอย
“หยุดพูดอะไรบ้าๆออกมาเถอะน่า ผมไม่มีทางร้องไห้และผมก็ไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นด้วย!!”
เควสตะคอกใส่อีกฝ่าย เสียงใสของหญิงสาวที่มองเขาอย่างไม่ละสายตา แต่ถึงจะตะคอกไปมิวก็ได้แต่ยืนนิ่งราวกับว่าไม่สนใจในอารมณ์ของคนตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่มองอีกฝ่ายราวกับต้องการที่ขุดคุ้ยคำตอบที่ถูกซ่อนอยู่ของอีกฝ่าย ราวกับว่าตอนนี้เธอไม่สนใจสิ่งใดนอกจากคนตรงหน้าไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของแบร์ที่เรียกชื่อของเธอให้ได้สติและหยุดพูดถึงเรื่องนี้
“คุณ....จะร้องไห้บ้างก็ได้นี่ค่ะ”
รอยยิ้มแสนหวานราวกับแม่พระที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว
“คุณหนูพูดอะไรออกมาน่ะ”
ความหวาดกลัวและความตกใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทำให้เขาเริ่มคิดที่จะก้าวถอยหลัง แต่ก็ไม่คิดที่จะหลีกหนีการสนทนาไม่ใช่เพราะความเป็นสุภาพบุรุษแต่เป็นเพราะว่ารอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ราวกับบ่งบอกว่าไม่เป็นไรนั่นและความอยากที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใดออกมาบ้างทำให้เขาไม่คิดที่จะหลีกการสนทนานี้ไป และเหตุผลอีกประการที่เขาไม่ถอยหลังก็คือรอยยิ้มที่ราวกับแม่พระของเธอตรงหน้านี้ เป็นรอยยิ้มที่เขาคุ้นเคย เหมือนกับ...ใครสักคนที่เคยสูญเสียไป....
ควอนกับแบร์ที่เห็นท่าจะไม่ดีรีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนไหล่ของเจ้านายของตนทันที
“นี่เธอเคยรู้จักกับฉันมาก่อนรึเปล่าเนี่ย”
“......”
เควสถามอีกฝ่ายหากแต่ว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบและรอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างเศร้าๆปากที่พยายามจะเอ่ยปากกล่าวขึ้น เควสที่ตั้งใจฟังราวด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก่อนที่มิวจะได้กล่าวพูดอะไรต่อนั้น.....
“มิว....มิว!!”
“!!....บะ...แบร์?!?!”
“สติกลับมาแล้วเหรอ?”
มิวสะดุ้งเฮือกราวกับพึ่งรู้สึกตัวก่อนที่จะได้กล่าวคำพูดออกมา ดูเหมือนว่าเสียงของแบร์จะได้ผลดีหากแต่ทางฝ่ายก็ได้แต่งงว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนควอนที่นั่งอยู่บนไหล่เจ้านายก็ปาดเหงื่อด้วยความโล่งอก ทิ้งให้มิวกับเควสงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เมื่อกี้นี้...เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“เปล่านี่....”
เควสเงียบก่อนที่จะมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาและตอบคำถามไป เพราะอีกฝ่ายทำท่าทางราวกับว่าจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวทั้งเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้นี้ ทั้งรอยยิ้มที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและรอยยิ้มเศร้าๆที่เจ้าตัวแสดงออกมาให้เขาเห็น
“ช่วงนี้....ความทรงจำฉันขาดช่วงบ่อยๆมันเป็นเพราะคุณรึเปล่า?”
“ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ คุณหนู”
มิวจับมืออีกฝ่ายอย่างอารมณ์เสียก่อนจะจ้องไปที่มือของเควสด้วยความไม่ไว้วางใจ เควสที่เห็นดังนั้นเลยสะบัดมือออกและกดเสียงพูดใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่สบอารมณ์ทำให้มิวปั้นหน้าบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกับอีกฝ่าย
“......งั้นฉันไปก่อนนะ จะได้รีบๆทำเควสนี้ให้จบๆไปสักที”
ว่าจบเจ้าตัวก็หมุนตัว180องศาแล้วก็จ้ำอ้าววิ่งจากเควสไปโดยที่ยังมีแบร์นั่งอยู่ตรงไหล่ทิ้งให้เควส กับ ควอนยืนดูมิวที่วิ่งไป และงงว่าเมื่อกี้นี้มันอะไร
“งั้นเราก็ไปกันเถอะควอน”
เควสพูดก่อนที่หมุนตัวกลับหลังหันและเตรียมที่จะก้าวเดินออกไปจากบริเวณนี้แต่ไม่ทันที่จะได้เดินออกไปเขาก็นึกได้ว่าเสื้อแขนยาวที่คลุมมือของอีกฝ่ายมิดนั้นเปียกเล็กน้อย และเสียงก๊องแก๊งที่ดังมาจากมือทั้งสองข้างนั่น ใบหน้าแดงที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหลังจากที่ได้สติกลับมา เมื่อลองนึกก็ทำให้เขาเริ่มสงสัย แต่ที่สงสัยสุดคือทำไมจะต้องมาสนใจยัยผู้หญิงบ้าที่ชื่อมิวอะไรนั่นด้วย ทั้งๆที่เจอกันไม่กี่ครั้งแท้ๆ แค่รอยยิ้มที่เหมือนกับเธอคนั้น และแล้วเขาก็สะบัดความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทิ้งไปและเดินต่อ
ตุบ....
เสียงที่ดังขึ้น เสียงของใครบางคนที่เซลงไปนอนลงซบกับพื้นปูนเย็นๆเรียกให้เควสหันกลับมามองว่าใครกันที่ล้มลงไปเอาหน้าจูบกับดิน และเมื่อหันกลับไป ดวงตาสีฟ้าของเขาก็ต้องเบิกกว้าง ร่างสูงรีบรี่ตรงเข้าไปหาคนที่ล้มลงไปโดยไม่สนใจใคร วิ่งไปหาอีกฝ่ายก่อนที่สมองจะสั่งการ พร้อมกับหย่อนตัวลงข้างๆและพยุงตัวคนที่ล้มลงบนพื้นด้วยความตกใจ
“คุณหนู.....คุณหนู คุณหนู!!”
เควสเรียกอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยแต่ก็ไร้เสียงใดๆตอบกลับมา สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงของลมหายใจที่แรงขึ้นราวกับคนเหนื่อยหอบ เควสรีบยกมือขึ้นกุมหน้าผากของอีกฝ่ายทันทีก่อนจะชักมือออกมาอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะมองที่มือของตัวเองด้วยความตกใจพร้อมกับหันไปมองที่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขน
“.........”
แบร์ที่ได้เห็นดังนั้นรีบกระโดดขึ้นไปบนตัวมิวก่อนจะนำมือของตนสัมผัสลงบนที่หน้าผากของหญิงสาวที่ไม่ได้สติคนนี้และถอนมือกลับออกมาอย่างช้าๆ แบร์มองหน้าเควสด้วยความไม่สบอารมณ์
“ตัวเย็นสินะ”
“!!”
แบร์กล่าวพร้อมกับมองหน้าเจ้านายของตนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มเจ้าของอ้อมแขนที่อุ้มเจ้านายของเขาด้วยความไม่สบอารมณ์ ที่เขาได้รู้เรื่องนี้ ทำให้เควสงงในการกระทำของแบร์แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือหญิงสาวในอ้อมแขนคนนี้เป็นอะไรไป?
“อุ้มไปที่อื่นทีสิตรงนี้มันคนเยอะ”
“....ทำไมฉันต้อง”
“เอาเหอะน่า สร้างบุญคุณไว้กับคู่แข่งหน่อยไม่ตายหรอก ตามมา”
แบร์ว่าจบก็กระโดดลงมาจากร่างของผู้เป็นเจ้านายและเดินดุ่ยๆนำหน้าไปในขณะที่เควสได้แต่นั่งอารมณ์เสียก่อนจะช้อนตัวสาวเจ้าขึ้นไว้อ้อมกอดและอุ้มเดินตามแบร์ไปอย่างช่วยไม่ได้ บางทีการสร้างบุญคุณไว้กับคู่แค้นคู่แข่งมันก็คงจะไม่เลวนักหรอก เขาอยากจะรู้ว่าถ้าหากว่าสาวเจ้าที่ถูกอุ้มอยู่คนนี้รู้ว่าเขาที่เป็นคู่แข่งอุ้มเจ้าตัวไว้แบบนี้ เจ้าตัวจะมีแสดงสีหน้าท่าทางยังไง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมแขนทั้งสองข้างของเจ้าหล่อนถึงได้หนักผิดไปจากหญิงสาวคนอื่นๆและเสียงก๊องแก๊งที่ดังออกมาภายใต้แขนเสื้อที่ยาวจนคลุมมือทั้งสองข้างมิดนั้นคืออะไร
ไม่นานนักแบร์ก็พาเขาไปยังที่เงียบๆไร้ฝูงชน แบร์พาเขาเดินเข้ามาในป่าและทะลุออกมาอยู่ที่ลานหญ้ากว้างบริเวณริมหน้าผา กลิ่นของดอกไม้ที่ลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มเดินตามมาอย่างว่าง่าย เขาเริ่มสังเกตได้ว่าร่างเล็กในอ้อมแขนหายใจแผ่วลงจากเมื่อกี้แล้วยังตัวเย็นขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้เปิดปากถามเจ้าตุ๊กตาหมีหน้าหมั่นไส้ที่เดินนำมาหาที่ไร้ผู้คน เขาวางร่างของสาวเจ้าเอนลงพิงกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้
“จับมิวอ้าปากสิ”
“เอ๊ะ?”
“จับอ้าปาก ใช่ค้างไว้งั้นแหละ”
การกระทำและคำพูดของแบร์ทำให้เควสงงเล็กน้อยก่อนที่จะทำตามอย่างว่าง่าย แบร์ที่เห็นดังนั้นรีบรื้อกระเป๋าพร้อมกับหยิบขวดเล็กๆที่มีสัญลักษณ์รูปปีกอยู่ที่ขวดและน้ำขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปบนตัวมิว
“จะทำอะไร?”เควสถาม
“เดี๋ยวก็รู้เองน่ะแหละ”
แบร์พูดก่อนก็เปิดฝาขวดแก้วที่อยู่ในมือออกพร้อมกับเทสิ่งที่อยู่ที่ขวดแก้วออกมา มันก็แค่เม็ดยาธรรมดาๆที่มีรูปร่างเป็นเม็ดกลมๆธรรมดาๆสีฟ้า เมื่อยาออกมาได้2เม็ดตามที่ต้องการ เจ้าตุ๊กตาหมีแบร์ก็เดินไปกรอกเม็ดยากลมๆทั้ง2เม็ดใส่ปากของมิวที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้ก่อนจะเปิดขวดน้ำแล้วเทน้ำกรอกใส่ปากตามไปทันทีที่กรอกยาลงไปในปากเจ้านายตนและใช้มือดันปิดปากเพื่อให้อีกฝ่ายกลืนเข้าไป
“กินแบบนี้ไม่ตายเอาเรอะ...”เควสถาม
“ก็กินแบบนี้ประจำ”
แบร์ปล่อยมือจากปากของอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกลืนลงไปแล้วก่อนจะปิดฝาขวดทั้งสองและเดินลงมาจากตัวของหญิงสาว เจ้าตัวเดินเก็บขวดใส่ยาและขวดน้ำใส่ในกระเป๋าเหมือนเดิม ในขณะที่มิวค่อยๆรู้สึกตัวและขยับตัวไปมาเล็กน้อย ลมหายใจเริ่มกลับมาและร่างกายที่อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เควสมองไปที่แบร์อย่างไม่วางสายตา
“เมื่อกี้นี้มันอะไร....”
“หา?เมื่อกี้อะไร?”
“ยานั่นแล้วก็อาการที่ยัยนั่นเป็นนายพอจะอธิบายสาเหตุของมันได้มั้ย”
“......”
เควสลุกขึ้นยืนก่อนจะเปิดประเด็นคำถามใส่อีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า บรรยากาศไม่ดีเริ่มก่อตัวขึ้น แบร์เอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมที่จะตอบคำถามใดๆ ควอนที่เห็นท่าจะไม่ดีรีบพละจากไหล่เจ้านายกระโดดไปเร่งให้สาวเจ้าที่นอนไม่ได้สติรีบตื่นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะอีกฝ่ายไม่ได้สติเลยแม้แต่น้อยแถวยังไร้การโต้ตอบใดๆกลับมา
“คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ....”
แบร์หันหลังหนีก่อนจะกล่าวประโยคขึ้นและเดินเข้าไปภายในป่า เห็นได้ชัดว่าเจ้าตุ๊กตาหมีตัวนี้กำลังหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้านายสาวของเขาได้อย่างชัดเจน ภายใต้ดวงตาที่ขุ่นมัวและไม่สบอารมณ์ของชายหนุ่มเริ่มเปล่งประกายด้วยความหวังบางอย่างที่ซ่อนตัวอย่างเงียบ เควสเดิมตามแบร์ไปอย่างว่าง่าย โดยมีควอนที่รีบวิ่งตามเจ้านายไปต้อยๆโดยทิ้งให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้สติอยู่เพียงลำพัง
“.......”
ดวงตาที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมามองดูภาพตรงหน้าอย่างช้าๆ ร่างเล็กที่ค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นยืน ดวงตาสีฟ้าที่เลื่อนลอยค่อยๆกระพริบตาช้าๆก่อนจะยกแขนขึ้นเหนืออก สายลมที่พัดโชยมาอย่างช้าๆ มือทั้งสองขยับเข้าหากันอย่างช้าๆ
“จงเปิดประตูเชื่อมต่อระหว่างสถานที่”
สายลมค่อยๆพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆวงแหวนที่ปรากฏขึ้นข้างหน้ามิว ตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นเขียนอยู่รอบวงแหวน รูปเมืองลอยฟ้าที่ปรากฏอยู่ตรงกลาง และปีกที่งอกออกมาจากตัวเมืองแสงสว่างสีฟ้าที่ค่อยๆสว่างจ้าออกมาจากวงแหวน ภาพที่ปรากฏออกมาเหนือเมือง ใบหน้าที่ถูกฉายให้เห็นเพียงครึ่งเดียวใบหน้าของชายชรา
“ยา..ใกล้หมดแล้วนะค่ะ”
เสียงของมิวที่ดังขึ้นอย่างเรียบเฉยที่พูดกับอีกฝ่ายที่อยู่ในภาพอย่างช้าๆด้วยสีหน้าเฉยชาบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ต้องติดต่อไปหาอีกฝ่ายโดยที่ไม่จำเป็น ดวงตาสีฟ้าที่จ้องไปอย่างเย็นชา
“แล้วจะส่งไปให้ที่พักล่ะกัน” เสียงของชายชราที่ดังออกมาจากรูปภาพ
“....คุณได้เนรเทศฉันให้ออกไปจากเมืองๆนั้นแล้วแท้ๆแล้วทำไมฉันถึงยังต้องใส่ของพรรณนี้อยู่ด้วยล่ะค่ะ” มิวพูดขึ้นช้าๆก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นและดึงแขนเสื้อที่คลุมมือข้างซ้ายค่อยๆเลื่อนลง เผยให้เห็นมือเป็นสิ่งแรกก่อนจะค่อยๆถลกขึ้นเผยให้เห็นข้อมือที่เจ้าตัวพยายามจะแสดงของที่ว่านั่น แต่มันก็กลับไม่มีอะไรปรากฏอยู่แม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่สามารถเห็นสิ่งนั้นได้ ของที่กักขังและจองจำหรือ? สิ่งที่หญิงสาวพูดคืออะไร?
“เพื่อป้องกันเธอหรือไม่ก่อเรื่องวุ่นวายที่ไหน”
“เพื่อป้องกันหรือว่าไว้เพื่อเตือนพวกคุณกันแน่ว่าไม่ให้หลงไปกับพลังของฉันเพื่อเตือนพวกคุณว่าฉันเป็นลูกของชายผู้เสียสติคนนั้น”
“มันไม่ใช่แบบนั้นนะ....”ชายชรารีบแก้ตัว
“ไม่ใช่เหรอถ้างั้นทำไมถึงไล่ลงมาที่นี่ล่ะ ไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกคุณจากฉันเหรอค่ะ ถึงได้ให้ใส่ของพรรณนี้เอาไว้ เพราะว่าฉันเป็นตัวอันตรายเลยต้องควบคุมไว้อย่างแน่นหนาสินะ”มิวกล่าวด้วยความเย็นชา
ควบคุมด้วยการคล้องด้วยกุญแจมือที่ไม่สามารถหลุดออกได้ด้วยตัวเอง คล้องด้วยกุญแจมือที่ดวงตาธรรมดาไม่สามารถมองเห็น ราวกับถูกกักขังอิสรภาพ ถูกมองเห็นว่าทำสิ่งใด ถูกจ้องมองจากฟากฟ้า เหมือนกับนกที่ถูกเด็ดปีกออก ไม่มีกำลังพอที่จะสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองเพราะถูกขัดขวาง แล้วก็.....ไร้ซึ่งอิสรภาพใดๆ.....
เปรียบเสมือนกับ....นักโทษก็ไม่ปาน....
“เราแค่ไม่อยากจะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับตอนนั้นเท่านั้น ที่เธอเสียสติทำลายเมืองของพวกเราไปเกือบหมด ซ้ำร้ายยังฆ่าพ่อของตัวเองด้วยไม่ใช่รึไงกัน”
“นั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกคุณเหรอ? คนที่สนับสนุนว่าฉันเป็นบุคคลอันตรายน่ะไม่ใช่คุณเหรอ เพื่อให้ตัวเองรอดคนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง เพื่อหน้าที่การงานและเกรียติยศอันสูงส่งและเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง....”
“.......”
“พวกคุณนี่น่ารังเกียจจริงๆ แค่คิดว่าต้องหายใจร่วมโลกกับพวกคุณก็รู้สึกขยะแขยงเต็มทนแล้ว และถ้าฉันตายไปแค่คิดว่าจะไปเจอหน้าพวกคุณที่ต้องมาชำระบาปในนรกแล้วล่ะก็ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเต็มที่แต่ก็...สะใจนะที่พวกแกตายไปชดใช้เคราะห์ก่อนน่ะนะหึๆๆ” มิวหัวเราะอย่างมีชัยเหนืออีกฝ่าย กล่าววาจาเชือดเฉือนด้วยความลำพองใจและด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เยือกเย็น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกดูหมิ่น เจ้าตัวดึงแขนเสื้อลงกลับมาเป็นแบบเดิมก่อนจะกอดอก เชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจ
“นี่แก!!”
“แต่ก็....ต้องขอบคุณพวกคุณจริงๆนะที่ส่งฉันมาที่นี่ เพราะมันทำให้ฉันตามหาของสำคัญที่หายไปของฉันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นน่ะนะ”
“ชิ....วาจาเชือดเฉือนจริงๆนะยัยองค์หญิง ไอ้ตุ๊กตาปัญญาอ่อนนั่นคงสอนให้ล่ะสิ”
“ถึงจะเป็นตุ๊กตาที่ปัญญาอ่อนแต่ก็ฉลาดและก็ปัญญาอ่อนน้อยกว่าพวกคุณเยอะ และก็เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตว์และไว้ใจได้มากกว่าตัวพวกคุณล่ะกัน”มิวพูดพร้อมกัยเหยีดยิ้มอย่างดูถูก
“หึ.....ยาน่ะไว้จะส่งไปให้ทีหลังล่ะกัน”
“ถ้ายาไม่ส่งมาแล้วยาสำรองของฉันหมดคนที่ผิดก็คือคุณนะ”
“รู้แล้วล่ะน่า!!”
คำพูดเชือดเฉือนที่ออกมาจากปากของหญิงสาว สายตาที่จ้องไปอย่างหาเรื่อง ใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ที่มีให้อีกฝ่าย ร่างเล็กที่กอดอกมองไปที่อีกฝ่ายอย่างรู้สึกเหนือกว่า ชายชราตะคอกใส่อีกฝ่ายด้วยความขายหน้าและอัปยศที่ต้องถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดของเด็กสาว ชายชรากัดฟันทนด้วยโกรธแค้นแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ จึงได้ตัดการสื่อสารลงอย่างรวดเร็วทิ้งให้มิวยืนขบขันกับท่าทีของอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน
“อยากกลับบ้าน....”
ร่างเล็กที่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นพร้อมกับมือที่ถูกยกขึ้นปิดที่ดวงตาทั้งสองข้าง หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากใบหน้า หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากร่างเล็กที่แสนบอบบาง จิตใจภายนอกที่ดูเข้มแข็งหากแต่ในใจช่างว้าวุ่น และเปราะบาง เพื่อปกปิดน้ำตาที่จะไหนออกมาตลอดเวลาจึงซ่อนความอ่อนแอไว้ภายในจิตใจที่แม้แต่ใครก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงแม้จะเป็นแบร์ก็ตาม เธอไม่เคยหรือแม้แต่ที่จะร้องไห้ให้ใครเห็นเลยสักครั้ง....
“เป็นอะไรไปร้องไห้เหรอครับองค์หญิง”
เสียงของเควสที่ดังขึ้นมาเหนือตัวทำให้ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังคงค้างตัวเองอยู่ที่ท่าเดิมเหมือนเดิม เสียงของใบไม้และสายลมที่พัดโชยมาอย่างช้าๆ มิวเหลือบตาไปมองที่อีกฝ่ายอย่างช้าๆแต่ก็ไม่ได้เอามือออกจากใบหน้า
“ฮะๆ.....การกระทำของคุณนี่มันขัดกับคุณในตอนนี้จริงๆนะคุณ ฮ่าๆๆๆ”
“ก็เห็นว่าท่าทางเศร้าๆก็เลยมาคุยด้วยแท้เลยนะ”
มิวหัวเราะร่าและชี้ไปที่เควสที่มีสภาพย่ำแย่ เสื้อสูทสีดำที่ใส่อยู่หลุดลุ่ยราวกับว่าไปปะทะกับใครบางคนมาเมื่อเร็วๆนี้ ร่างสูงจัดแต่งชุดสูทของตัวเองใหม่และใช้มือปัดฝุ่นมันทันทีที่ถูกหญิงสาวตรงหน้ากล่าวถึงก่อนจะตอบไปด้วยความไม่สบอารมณ์
“หึๆ นี่คุณสงสารฉันเหรอค่ะเนี่ย เป็นครั้งแรกเลยนะค่ะที่คุณเข้าหาฉันโดยที่ไม่ได้คิดอะไรแปลกๆน่ะ”
“ที่แปลกๆน่ะมันอะไรกันน่ะคุณหนู”
“........ไม่รู้สิ”
บทสนทนาที่สนุกสนานที่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะของหญิงสาว เสียงที่สดใส ที่แตกต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ เควสหัวเราะก่อนจะเดินไปนั่งหญิงสาวอย่างช้าๆก่อนจะหันหน้าหลบไป สาวเจ้าที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่หันมารีบปาดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน
“ร้องไห้คิดถึงบ้านรึไง คุณหนู”
“คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้งค่ะ” มิวกล่าวตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้กับอีกฝ่าย
“ถ้างั้นก็กลับสิ กลับไปพักที่บ้านน่ะ อยากกลับไม่ใช่รึไง”
“.......”
การสนทนาที่ถูกเปิดฉากขึ้นและจบลงด้วยความเงียบ ความอ่อนโยนที่ถูกส่งไปราวกับต้องการเชื้อเชิญถูกตัดสะบั้นลง เพียงแค่คำพูดบางอย่าง คำพูดบางอย่างที่ทำให้เจ็บลึกลงไปถึงหัวใจ เควสที่ส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายกลับต้องหุบยิ้มลงเมื่อสาวเจ้านิ่งก้มหน้าลงและไม่ตอบสิ่งใดกลับมา ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวที่หรี่ลง
“ถึงจะอยากกลับก็กลับไปไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถึงจะกลับไปได้แต่ก็กลับไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ.....”
มิวเอยปากขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีส้มที่บ่งบอกว่าวันนี้กำลังจะจบลง แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาที่เหม่อมองออกไปยังแสงของตะวันที่อยู่บนท้องฟ้าสีครามองดวงตาสีฟ้าคู่งามทั้งสองคู่ จ้องมองไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย ราวกับนัดแนะกัน ก่อนที่หญิงสาวจะเอยปากพูดบางสิ่ง
“มันถูกทำลายไปแล้ว......”
ความคิดเห็น