ตอนที่ 31 : ❀ 31 (+Talk)
ดอกไม้ดอกที่ 31
จังหวัดมิยะซะกิ ประเทศญี่ปุ่น
08.50 น.
2วันต่อมา......
รถยนต์สีขาว....วิ่งมาตามถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่โอบรอบไว้ทั้งสองข้างทาง ภูเขาลูกเล็กๆที่เห็นมาก่อนหน้านั้น ตอนนี้เริ่มใหญ่ขึ้นเมื่อรถขับเข้ามาถึงในตัวหมู่บ้าน ตลอดการเดินทางมาตั้งแต่สนามบินในตัวจังหวัดมิยะซะกิ มันทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสารรู้สึกสดชื่นจนอยากจะนั่งรถชมธรรมชาติที่สวยงามตรงหน้านี้ไปเรื่อยๆ แต่...กระจกรถทั้งสี่ด้านที่ถูกเปิดเพื่อรับลมมาได้สักพักก็ถูกมือกร้านตามช่วงวัยของคนขับปิดลงเมื่อเดินทางมาถึงที่หมาย
เดินทางจากสนามบินในตัวจังหวัดมาจนถึงหมู่บ้านแห่งนี้ก็กินเวลาไป 40 นาที และถ้าให้รวมเวลาของการเดินทางทั้งหมดก็ร่วมห้าชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งการนั่งเครื่องบินแล้วต่อด้วยการนั่งรถยนต์โดยใช้เวลานานขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่สำหรับคนป่วยที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ แต่มันก็จำเป็นเกินกว่าจะปล่อยให้สภาพของร่างกายมาอยู่เหนือสิ่งที่รอคอย
“พร้อมไหม...ลูกพ่อ?”
“พร้อมครับ...เซฮุนพร้อมมานานแล้วครับคุณพ่อ”
ขาเรียวพร้อมไม้ค้ำ...ก้าวออกจากรถด้วยความระมัดระวังโดยมีคุณพ่อคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา คนเป็นลูกส่งยิ้มหวานให้ผู้มีพระคุณทันทีเพราะทราบดีว่าท่านกำลังเป็นห่วง และที่ยิ้มออกไปแบบนั้น...ก็เพื่อแสดงให้ท่านเห็นว่าตัวเขาสบายดีหรือไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว เซฮุนยอมรับว่ามีความรู้สึกปวดตึงบริเวณแผลที่ถูกผ่าตัดเนื่องจากนั่งงอขามาตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินและต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์มาจนถึงในหมู่บ้านมันพาลให้ปวดขาไปหมด แต่พอก้าวลงมาจากรถ...แล้วเห็นบ้านที่มีดอกไม้หลากหลายชนิดเบ่งบานอยู่ตามทางเดินมากมาย ความเจ็บ ความเหนื่อยล้าและความวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆก็หายไปหมด หรือแม้กระทั่ง...เรื่องของคนที่ทำให้คิดถึงแทบขาดใจก็สามารถลืมได้
แต่....มันคงลืมได้แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เพราะคนสำคัญแบบคิมจงอิน ต่อให้เขาหนีมาไกลแค่ไหนหัวใจมันก็ยังอยู่ที่เดิม
ลาก่อน คงเป็นคำลาที่พูดได้แค่ในใจ เพราะตอนนี้เซฮุนได้เดินทางมาถึงความฝันที่รอมานานหลายปีโดยมีพ่อบุญธรรมคอยจัดการเรื่องทุกอย่างให้ ความฝันที่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นจริงและมันก็ได้มาอยู่ตรงหน้า แถมยังสวยกว่าที่เคยฝันเอาไว้เสียอีก ปากบางส่งยิ้มหวานให้คนที่ตัวเองนับถือเหมือนเป็นพ่อแท้ๆอีกครั้งอย่างจริงใจ เพราะท่านคือคนที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงหลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาหลายเดือน
เรื่องร้ายๆ...ที่เกือบทำให้ความฝันของเขาพังทลายเนื่องจากถูกยิงจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและเริ่มหัดเดินใหม่เหมือนเด็กแรกเกิด ยอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกหมดแรงจนแทบไม่อยากฝันต่อ เพราะร่างกายมันเจ็บสาหัสเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผล แขนขาก็ขยับไม่ได้ หายใจยังลำบาก ซึ่งอาการทุกอย่างมันสามารถหยุดสิ่งที่เคยฝันไว้ทั้งหมดและคิดว่าคงไม่มีทางสำเร็จได้อีกแน่นอน แต่...คนที่ทำให้ความฝันของเด็กผู้ชายที่ชอบดอกไม้อย่างเขาเดินต่อได้ก็คือคุณพ่อบุญธรรม
“เป็นไง...ชอบไหมลูก??”
“ชอบครับ มันสวยมาก สวยกว่าที่เซฮุนเคยคิดไว้อีกครับ ขอบคุณมากนะครับคุณพ่อ”
จีซบ...ตัดสินใจพาเซฮุนเดินทางมาถึงญี่ปุ่นโดยไม่ได้บอกให้ใครรู้ทั้งนั้นแม้กระทั่งคนเจ้าของโรงแรมอย่างคิมจงอิน มันเป็นการตัดสินใจหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเด็กทั้งคู่ว่ากำลังเกิดปัญหาอะไรขึ้น และเมื่อรู้สาเหตุ...เขาจึงจัดการเดินเรื่องทุกอย่างทั้งหมด แล้วพาลูกบุญธรรมย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดเช่นไร มันอาจดูเหมือนเป็นการบังคับ...แต่เมื่อเด็กทั้งคู่ต่างคนต่างก็มีความฝันและสักวันไม่ช้าก็เร็ว เซฮุนก็ต้องย้ายมาที่นี่อยู่ดีเพราะมันคือความฝันที่ลูกคนนี้เฝ้ารอมานาน
ส่วนความฝันของจงอิน...มันก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าเซฮุนจะรับผิดชอบได้ถ้ามันต้องพังลงไปเพียงเพราะอาการบาดเจ็บที่ไม่รู้จะหายเมื่อไหร่ และทางออกที่ดีที่สุดก็คือการแยกกันอยู่เพื่อทำความฝันของแต่ละคนให้สำเร็จ
ถ้ารักกันจริง...ก็ต้องอดทนกับอุปสรรคของระยะห่างนี้ให้ได้ และจีซบก็ทราบดีว่าตอนนี้ลูกชายของตัวเองกำลังรู้สึกเช่นไร เพราะปากบางสีสดที่ยิ้มให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่สามารถปกปิดความเศร้าที่ดวงตาคู่สวยแสดงออกมาให้เห็นได้เลย ใจลึกๆของคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่ได้อยากพรากเด็กทั้งคู่ออกจากกัน แต่ที่ทำลงไปก็เพราะว่าหวังดี รวมถึงเข้าใจทุกฝ่ายว่ากำลังรู้สึกอึดอัดกับปัญหาของตัวเองมากแค่ไหน อีกคนก็ไม่อยากอยู่เป็นตัวถ่วงของคนรัก ส่วนอีกคนก็งานยุ่งจนแบ่งเวลาไม่ได้ ซึ่งทางออกที่จีซบตัดสินใจทำลงไป มันก็คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว และหวังว่าสักวันหนึ่ง...เด็กๆจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมด
“ค่อยๆเดินนะลูก เดี๋ยวพ่อจะพาเข้าไปพักข้างใน”
“เซฮุนตื่นเต้นจังครับคุณพ่อ”
จีซบเดินประคองลูกชายไปที่ประตูรั้วเล็กๆที่ทำจากไม้แล้วเปิดออก พร้อมก้าวขาไปตามทางช้าๆเพื่อให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนได้เห็นบรรยากาศภายนอกก่อนที่จะพาเข้าไปพักในตัวบ้าน และต้นไม้ใหญ่สีเขียวที่รายล้อมหมู่บ้านแห่งนี้ก็สามารถทำให้เซฮุนรู้สึกสดชื่นจนลืมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี แถมทางเข้าบ้านก็ยังเต็มไปด้วยความสวยงามของดอกไม้นานาชนิดที่กำลังเบ่งบานต้อนรับแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า และความเงียบสงบกับแรงลมที่กำลังพัดเอื่อยๆมันก็คงช่วยให้ความเศร้าในใจของคนที่จากมาจางลงไปได้บ้าง
จากมาทั้งๆที่ยังรัก...มันค่อนข้างเจ็บปวด แต่ถ้ายังอยู่เป็นตัวถ่วงความสำเร็จของคนที่ตัวเองรัก เซฮุนขอยอมเจ็บอยู่กับความฝันที่คุณพ่อเป็นคนช่วยสร้างมาให้ตรงนี้ดีกว่า ถามว่าอยากจากมาโดยที่ยังไม่ได้บอกลาไหม?? เซฮุนขอตอบเลยว่า...ไม่!! แต่เมื่อมันเป็นความต้องการของคุณพ่อ รวมถึงตัวเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้มีพระคุณได้ตัดสินใจ เซฮุนจึงยอมจากมาโดยที่ไม่ได้ล่ำลาใครสักคน
ทราบดีว่าการที่คุณพ่อตัดสินใจทำแบบนี้ ก็เพราะท่านเป็นห่วงและหวังดี ซึ่งเซฮุนก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักเลยนิด แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่ยังรบกวนจิตใจของคนจากมาไม่หายนั่นก็คือ เขากลัวว่าคนที่กำลังจะกลับมาจากต่างประเทศในวันพรุ่งนี้ จะไม่เข้าใจความหวังดีของคุณพ่อเหมือนอย่างที่เขาเข้าใจและอาจโวยวายจนเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลควบคุมไม่ได้เมื่อรู้ว่าคนป่วยไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
“พักก่อนไหมลูก เดี๋ยวปวดขา”
“อีกแป๊บนึงได้ไหมครับ... เซฮุนยังเดินดูไม่ทั่วเลย นะนะนะ”
ตอนนี้...คนเป็นลูกขอละทิ้งความกังวลต่างๆเอาไว้ข้างหลัง เพราะเมื่อถูกคุณพ่อพาเดินเข้ามาถึงในบ้าน ความแปลกใหม่ของสถานที่ที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและดีใจจนไม่อยากคิดมากกับเรื่องอะไรอีกแล้ว บ้านชั้นเดียวที่ถูกคนเป็นพ่อแบ่งสัดส่วนของห้องต่างๆเอาไว้เป็นอย่างดี ทั้งห้องนอน ห้องรับแขกรวมถึงห้องครัว ทุกๆอย่างมันดูลงตัวไปหมด แถมประตูหลังบ้านยังมีทางเชื่อมเพื่อให้เดินไปที่บ้านหลังเล็กๆอีกหลัง ซึ่งมันมีไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ในการทำสวน
แต่...การเดินที่ดูเชื่องช้าของลูกบุญธรรมในตอนนี้ มันไม่สามารถหลอกจีซบได้ด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส เพราะการเดินทางไกลมาหลายชั่วโมงบวกกับการเดินชมบ้านหลังใหม่ได้สักพัก มันกำลังทำให้เซฮุนหมดแรงและอาจเกิดอาการอักเสบตามมาได้ในภายหลัง
“เซฮุนนนน...พ่อว่าลูกควรไปนอนพักก่อนดีกว่าไหม เดี๋ยวปวดขาขึ้นมาจะอดเดินไปอีกหลายวัน”
“ก็ได้ครับคุณพ่อ เซฮุนขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว”
“เฮ้ออ...!! มีลูกอยู่สองคนก็ดื้อเหมือนกันหมด”
“คุณพ่ออย่าโกรธเซฮุนนะครับ เซฮุนจะไม่ดื้อแล้ว”
ถูกคนเป็นพ่ออุ้มมาส่งจนถึงเตียง พร้อมกับยื่นยาต่างๆมากมายและน้ำมาให้ทานกันไว้ก่อนที่อาการปวดขามันจะกำเริบ ยาที่ทำให้เซฮุนอยากจะอาเจียนแทบทุกครั้งที่เห็น เนื่องจากจำนวนมันเยอะแถมเวลาทานก็รู้สึกขมจนติดลิ้นติดคอไปหมด แต่จะไม่กินก็ไม่ได้เพราะถ้าอาการอักเสบมันเกิดรุนแรงจนทำให้เดินไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้ง มันก็คงรู้สึกแย่มากกว่าการที่ต้องฝืนทานเจ้าเม็ดสีหวานรสขมพวกนี้แน่นอน และเรื่องที่สำคัญมากไปกว่าทุกอย่างก็คือ...เขาไม่อยากเป็นภาระของใครอีกแล้ว
“นอนพักนะลูก เดี๋ยวพ่อไปขนของที่รถมาเก็บก่อน”
“ขอบคุณมากนะครับคุณพ่อ เซฮุนทำให้พ่อลำบากอีกแล้วใช่ไหมครับ?”
“เลิกคิดมาก...แล้วก็นอนซะ ตื่นมาแล้วค่อยคุยกันใหม่ ตกลงไหมลูก”
“งั้นเซฮุนขอคุยอีกเรื่องเดียวได้ไหมครับ เอ่ออ...คุณพ่อว่าแบคจะโกรธเซฮุนไหมครับ??”
“เรื่องนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพ่อจัดการเอง...นอนได้แล้ว พ่อรู้ว่าเซฮุนกำลังปวดขา”
แค่เห็นสิ่งที่จีซบทำให้วันนี้...คนเป็นลูกบุญธรรมอย่างเซฮุนก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจและรักพ่อคนนี้มากที่สุด รักมากกว่าที่เคยรัก เพราะถึงแม้ตัวเองจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ท่านก็ยังดูแลเอาใจใส่พร้อมกับยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้อยู่ดีมีความสุขโดยไม่เคยแสดงท่าทีว่าเหนื่อยให้เห็นเลยสักครั้ง และเมื่อพูดถึงคำว่า “ลูกแท้ๆ” เซฮุนก็อดที่จะนึกถึงแบคฮยอนไม่ได้ เนื่องจากการเดินทางย้ายมาอยู่ที่นี่มันไม่มีใครรู้เรื่องทั้งนั้นนอกจากตัวเขากับคุณพ่อ ซึ่งมันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...ที่ทำให้เซฮุนรู้สึกผิดต่อเพื่อนรักที่คบกันมานาน เพราะเราทั้งคู่ไม่เคยมีเรื่องปิดบังหรือมีความลับต่อกันมาก่อน
เซฮุน...ไม่เคยคิดเลยว่าความฝันที่เฝ้ารอมานานหลายปี จะทำให้ตัวเองต้องมารู้สึกผิดได้มากถึงขนาดนี้ การจากมาโดยที่ไม่มีการบอกล่วงหน้า การจากมาทั้งๆที่ยังรักอยู่เต็มหัวใจหรือจะจากมาด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ใจจริงของเซฮุนก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ เพราะแผนที่เคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านั้นมันคือการพูดความจริงโดยไม่ปิดบัง มันเป็นเรื่องที่เขาภูมิใจมากจนอยากจะป่าวประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้ การเก็บเงินก้อนโตเพื่อซื้อความฝันสักชิ้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายและเมื่อทำสำเร็จ เซฮุนก็อยากจะบอกเรื่องนี้ให้จงอินทราบเป็นคนแรกด้วยซ้ำ
แต่พอถูกยิง...พร้อมกับมีปัญหาต่างๆมากมายเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล แผนทุกอย่างที่เคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านั้นก็พังไม่เป็นท่า จนท้ายที่สุด...ความฝันที่เคยวาดไว้ว่าดีมันก็กลับกลายมาเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด
ส่วนจีซบเมื่อเห็นว่าลูกชายหลับไปได้สักพัก เขาก็เดินจัดนู้นจัดนี้อยู่ภายในบ้านไปอย่างเงียบๆ และเหลือเพียงเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวของเซฮุนเท่านั้นที่ยังไม่ได้จัดการ คนเป็นพ่อมองไปรอบๆบ้านด้วยความรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของลูกชายที่สามารถซื้อความฝันของตัวเองได้สักทีหลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินมาตั้งแต่ยังเด็ก และถึงแม้ในวันข้างหน้า...บ้านหลังนี้มันจะทำให้เขากับลูกต้องอยู่ห่างกัน แต่จีซบก็ยังรู้สึกภูมิใจในตัวของลูกบุญธรรมคนนี้เสมอ
ก๊อกๆ ๆ!!
แกร๊กก!!!
“สวัสดีครับคุณลุง...ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ พอดีผมเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน ผมก็เลยแวะเอาขนมมาให้คุณลุงครับ”
“ไม่เป็นไร มินโฮ ลุงไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น แล้วไปเที่ยวไหนมา ถึงได้ซื้อขนมมาฝากลุงเยอะแยะแบบนี้”
“ไม่ได้ซื้อมาหรอกครับคุณลุง พอดีแฟนผมกำลังสอนเด็กๆในหมู่บ้านทำขนม ผมก็เลยเอามาให้คุณลุงลองชิม”
“แล้ววันนี้ไม่ไปส่งผักในตลาดเหรอ หรือว่ารอแฟนสอนเด็กๆให้เสร็จก่อน”
“อีกสองวันถึงจะเก็บผลผลิตได้ครับ แล้วคราวนี้...คุณลุงจะมาอยู่ที่นี่กี่วันครับ ผมจะได้บอกแฟนให้เข้ามาช่วยทำความสะอาด”
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านเพียงแผ่วเบา...และถูกเปิดออกพร้อมเสียงทักทายของคนคุ้นเคยดังขึ้นก็ทำให้คนสูงอายุที่นั่งอยู่ภายในบ้านหลุดออกจากภวังค์ของความคิคมาก แล้วเดินไปช่วยเด็กหนุ่มถือถาดไม้ใบใหญ่ที่มีขนมต่างๆวางอยู่มากมาย และเดินกลับมานั่งคุยกันที่โซฟา
ชเว มินโฮ เป็นหนุ่มเกาหลีที่มาแต่งงานกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น และสนิทสนมกับซีจบมากจนสามารถเดินเข้านอกออกในบ้านหลังนี้ได้อย่างสบาย และเพราะที่ดินผืนนี้...รวมถึงบ้านที่ซ่อมแซมใหม่หมดทั้งหลัง มันก็เคยเป็นของภรรยามินโฮมาก่อน แต่พอติดประกาศขายและถูกลูกบุญธรรมของจีซบซื้อเอาไว้ สองสามีภรรยาคู่นี้ก็คอยช่วยดูแลทุกอย่างให้ ไม่ว่าจะเป็นการทำรั้วให้ใหม่หรือแม้กระทั่งหาคนมาช่วยปรับปรุงบ้านจนกลายมาเป็นอย่างในปัจจุบัน
“วันนี้ลุงไม่ได้มาคนเดียว ลุงพาลูกชายมาด้วย แล้วลูกของลุงก็ย้ายมาอยู่ที่เลย ส่วนลุงคงอยู่สัก 2-3 อาทิตย์ รอให้อะไรๆมันเข้าที่เข้าทางก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงาน แต่ลุงก็คงไปๆมาๆเหมือนเดิมนั่นแหละ ลุงเป็นห่วงลูก”
“ใช่น้องเซฮุนหรือเปล่าครับคุณลุง??”
“ใช่ๆ...แต่ตอนนี้หลับอยู่ในห้อง เดินทางมาหลายชั่วโมงก็เลยเพลีย”
“งั้นนน...ผมไม่รบกวนคุณลุงดีกว่า แต่ตอนเที่ยงผมขอเชิญคุณลุงกับน้องเซฮุนไปทานอาหารที่บ้านผมนะครับ แฟนผมต้องดีใจมากแน่ๆ ถ้ารู้ว้าเจ้าของบ้านตัวจริงมาแล้ว”
“ขอบใจมากนะมินโฮ เดี๋ยวลุงกับลูกชายจะตามไปนะ”
มินโฮ...ทราบเรื่องส่วนตัวของเซฮุนอยู่พอสมควร เพราะมีการติดต่อซื้อขายที่ดินและบ้านหลังนี้มานานหลายเดือน แต่พอถึงวันที่จะทำการซื้อขาย เซฮุนก็ขาดการติดต่อไปร่วมสามอาทิตย์จนมินโฮก็คิดว่าลูกชายของคุณลุงคงไม่ต้องการที่ดินของเขาอีกแล้ว แต่หลังจากที่ทราบความจริงทั้งหมด เขากับภรรยาก็เข้าใจทุกอย่างและตั้งใจเก็บที่ดินผืนนี้ไว้ให้เซฮุนคนเดียวโดยที่ไม่คิดจะขายให้ใครทั้งนั้น เพราะความฝันของเด็กผู้ชายที่ชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ มันทำให้รู้สึกว่าที่ดินของพวกเขาคงดูสดชื่นและสวยงามมากกว่าจะปล่อยให้มันกลายเป็นรีสอร์ทที่มีแต่รถทัวร์ของนักท่องเที่ยววิ่งเข้าออกภายในหมู่บ้านจนหาความสงบสุขไม่ได้
เมื่อมินโฮเดินออกจากบ้านไปได้สักพัก คนเป็นพ่อก็ตกอยู่ในภวังค์ของความคิดมากอีกครั้ง เพราะเมื่อนึกถึงวันที่ตัวเองต้องกลับไปทำงานโดยที่ไม่มีเซฮุนกลับไปด้วย ความเป็นห่วงและความกังวลใจในเรื่องต่างๆมากมายก็วิ่งวนเข้ามาให้คิดจนปวดหัวไปหมด ห่วงว่าลูกชายจะอยู่คนเดียวได้ไหม? จะเหงาหรือเปล่า? แล้วเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ยังดูไม่ค่อยแข็งแรงนั่นอีก ทุกๆเรื่องมันทำให้จีซบอดที่จะคิดมากไม่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้...สิ่งที่คนเป็นพ่อควรทำมากกว่าการมานั่งคิดถึงเรื่องในอนาคตก็คงเป็นการเล่าเรื่องในปัจจุบันให้ลูกตัวแสบฟังก่อนที่จะคิดมากไปอีกคน
❀
โรงแรม เชจู
09.20น.
“เดี๋ยวตอนเที่ยงพี่จะมารับไปทานข้าวนะครับ แล้วถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้รีบโทรมาบอกพี่ทันที เข้าใจไหม??”
“เข้าใจฮะ ขอบคุณนะฮะพี่ชานยอล”
เดินทางมาทำงานเป็นวันแรก...หลังจากที่หยุดไปหลายวันเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บจากการถูกชายแปลกหน้าทำร้าย คนตัวเล็ก...นั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากยังรู้สึกปวดตึงที่แผลทางด้านหลัง ส่วนอาการบาดเจ็บอื่นๆก็หายเป็นปกติแล้ว รวมถึงสภาพจิตใจก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ โกหกเลขาส่วนตัวของคุณพ่อเอาไว้ว่าไม่สบาย แต่เมื่อเริ่มดีขึ้น...ก็รีบเดินทางมาทำงานทันที
การเป็นลูกชายของจีซบ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะท่านเป็นคนทำงานเก่ง มีความอ่อนน้อมและไม่ว่าใครจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า ท่านก็ให้ความเคารพรวมถึงให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และในช่วงที่ท่านเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ คนตัวเล็กจึงพยายามทำหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณพ่ออย่างสุดความสามารถ ถึงแม้จะดีไม่เท่า แต่ก็ใช่ว่าจะทำตัวเป็นเด็กเหมือนอย่างที่เคยถูกท่านบ่นอยู่เป็นประจำ
รู้ดี...ว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ถ้าให้พูดความจริงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเองมันคงทำให้คุณพ่อเป็นห่วงอยู่ไม่ใช่น้อย
Rrrrrrr!!!
Rrrrrrr!!!
เสียงของโทรศัพท์เครื่องใหม่...ที่วิศวกรหนุ่มเพิ่งซื้อให้ดังขึ้น ในขณะที่แบคฮยอนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเก็บเอกสารกองโตที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มือบางจึงรีบกดรับทันทีโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าปลายสายโทรมาจากที่ใด แต่พอได้ยินเสียงทุ้มของผู้เป็นพ่อเอ่ยทัก...เจ้าของเครื่องก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เพราะอยากรู้ว่าคนป่วยเป็นอย่างไรบ้าง และก่อนหน้านั้นเขาก็คิดว่าจะเดินทางไปหาเซฮุนที่โรงพยาบาล แต่ก็ถูกจีซบห้ามเอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายที่อดไปหาเพื่อนรัก...แต่ก็ยังมีความสบายใจเรื่องที่คุณพ่อเดินทางกลับมาอยู่เกาหลีสักทีหลังจากที่ไปทำงานต่างประเทศบ่อยมากจนลูกชายคนนี้เริ่มเป็นกังวล
(ไง...เจ้าลูกตัวแสบ ทำอะไรอยู่ หื้ม?)
“ทำงานอยู่ฮะ แล้วเซฮุนเป็นยังไงบ้างฮะพ่อ?”
(สบายดี...แล้วพ่อก็มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับแบคด้วยนะลูก)
“พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าฮะ ทำไมทำเสียงเครียดๆ”
เสียงทุ้มที่ฟังดูนิ่งเรียบจากปลายสาย...ทำให้คนเป็นลูกรับรู้ได้ทันทีว่าคุณพ่อกำลังมีเรื่องกลุ้มใจบางอย่างอยากจะเอ่ย และถ้าเลือกได้...แบคฮยอนก็ขอให้เรื่องที่เคยคิดไว้มันไม่เป็นจริง เพราะการมีแม่ใหม่ในตอนที่สภาพจิตใจของตัวเองยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เขาคงยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ไหวและต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะดูแลคุณพ่อได้ดีเหมือนอย่างที่แม่ของเขาเคยทำ แต่...เมื่อขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแม่ใหม่ หัวใจของลูกคนนี้มันก็เริ่มต่อต้านตั้งแต่ยังไม่รู้ความจริง
(พ่อไม่เป็นไร...แบคตั้งใจฟังพ่อให้ดีนะ)
“เรื่องอะไรเหรอฮะ ตะ..แต่แบคขอได้ไหม??!! ว่าแบคไม่เอาแม่ใหม่!!”
(หื้ม?? แม่ใหม่ที่ไหนกันลูก? พ่อจะคุยเรื่องของเซฮุนต่างหาก)
“อ้าววว!! ก็แบคคิดวะ...ว่าา”
(แบคคคค...ฟังพ่อก่อนลูก แล้วอย่าเพิ่งคิดไปเอง)
“ฮะ แบคขอโทษ พ่อเล่ามาเลยฮะ แบคจะตั้งใจฟัง”
ถูกจีซบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง...แบคฮยอนจึงหยุดความคิดบ้าๆบอๆของตัวเองแล้วเริ่มฟังในสิ่งที่คุณพ่ออยากจะบอกด้วยความตั้งใจ และเมื่อรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไรหรือคุณพ่อกำลังอยู่ที่ไหน คนเป็นลูกก็เข้าใจได้ทันทีว่าการที่จีซบต้องเดินทางไปญี่ปุ่นบ่อยๆในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นเพราะกำลังช่วยเพื่อนรักของตัวเองทำตามความฝัน และที่ดินผืนหนึ่งในญี่ปุ่นที่เซฮุนเคยบอกว่าอยากได้มาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยด้วยกัน มันก็คือคำตอบของทุกความสงสัยที่ติดอยู่ในใจของลูกคนนี้มานาน
แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าคุณพ่อจะทุ่มเททำเรื่องสำคัญแบบนี้ให้เพื่อนรักของเขา เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง แถมยังไม่เคยรบกวนเงินรวมถึงร้องขอให้คุณพ่อช่วยเหลืออะไรเลยสักอย่าง แต่พอได้มารู้ความจริงในวันนี้ เขาก็รู้สึกดีใจกับความสำเร็จของเซฮุน แต่อีกใจก็ยอมรับว่าเป็นห่วงและอดคิดถึงเพื่อนรักไม่ได้ เพราะหลังจากที่เรียนจบ...ต่างคนต่างก็ทำงานกันคนละที่ การไม่ได้เจอกันเหมือนสมัยเรียนมันก็ทำให้คิดถึงมากพออยู่แล้ว และครั้งนี้...ความฝันของเพื่อนก็ทำให้ความห่างไกลมันกลับเพิ่มความคิดถึงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
(แบค...ไม่โกรธพ่อใช่ไหมลูก?)
“ไม่โกรธเลยฮะ แบคเข้าใจ แต่พ่อต้องดูแลตัวเองดีๆนะฮะ แล้วฝากบอกเซฮุนด้วยว่าแบคไม่โกรธ”
(ถ้าเซฮุนตื่นแล้วพ่อจะบอกให้นะลูก หรือว่าแบคจะให้เซฮุนโทรกลับ??)
“ให้เซฮุนพักผ่อนเถอะฮะ พ่อก็พักผ่อนเยอะๆด้วยนะ แบคเป็นห่วง”
(พ่อสัญญา...ว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยเมื่อไหร่ พ่อจะรีบกลับไปหาแบค)
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงแบคนะฮะ พี่ชานยอลดูแลแบคดีมากๆ พ่อสบายใจได้เลย”
(พ่อรักแบคนะลูก แล้วพ่อจะโทรหาบ่อยๆนะ)
“แบคก็รักพ่อนะฮะ จุ้บๆ”
เมื่อวางสายจากผู้เป็นพ่อ แผ่นหลังในเสื้อเชิ้ตสีเข้มก็พิงลงบนเก้าอี้หนังเหมือนคนหมดแรง เพราะถึงแม้เรื่องที่รับรู้มามันจะทำให้รู้สึกดีใจ แต่ความจริงของเรื่องนี้...มันจะทำให้คนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศนานถึงสามวันรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อรู้ว่าคนรักของตัวเองได้จากไปแล้ว คนอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจอย่างเจ้าของโรงแรมจะสามารถยอมรับความจริงกับสิ่งที่พ่อของเขาเป็นคนตัดสินใจได้หรือไม่??
ใช่ว่าแบคฮยอนอยากจะคิดแทนคนอื่น แต่นิสัยที่ว่ามาทั้งหมด ตัวเขาก็เคยเห็นกับตามาแล้วหลายครั้ง ส่วนความรู้สึกของเพื่อนรัก เขาก็คิดว่าคนที่อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กๆอย่างเซฮุนก็คงจะรับมือกับความเหงาไม่ได้ยาก รวมถึง...เมื่อมีความฝันให้ต้องสานต่อ ความเศร้า ความกังวลใจหรือความคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลมันก็คงเบาบางลงไปได้บ้างในสักวัน แล้วเพื่อนของเขาก็จะกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิม
แบคฮยอนทราบดี...ว่าสิ่งที่พ่อของตัวเองตัดสินใจทำลงไปอาจดูใจร้ายสำหรับใครบางคน แต่สำหรับคนเป็นลูกอย่างเขากลับมองว่ามันคือความหวังดี และพ่อก็ไม่ได้อยากทำให้ลูกคนไหนต้องเสียใจ เพราะการถูกพรากจากคนที่ตัวเองรักมันช่างแสนเจ็บปวด และการถูกพราก...ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย ทุกๆความเจ็บปวดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พ่อของเขาเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น แต่...ที่ต้องแยกเซฮุนกับจงอินออกจากกันในครั้งนี้ ก็เพื่อให้แต่ละคนได้มีเวลาจัดการกับเรื่องยุ่งๆที่คนทั้งคู่ไม่สามารถจัดการกันเองได้ และพอปัญหาต่างๆลงตัวเมื่อไหร่ ใครจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน ใครจะทำอะไรก็ให้เซฮุนกับจงอินเป็นคนตัดสินใจกันเอง
แล้วถ้าถึงตอนนั้น...พ่อของเขาก็จะไม่เข้าไปขัดขวางอีกเลย
“เฮ้ออออออ!!”
เสียงถอนหายใจยาว...ของคนที่กำลังกลุ้มใจอยู่กับปัญหาของคนอื่น ดังขึ้นในขณะที่ใครอีกคนอีกคนกำลังเดินเข้ามาพอดี แต่เจ้าของเสียงถอนหายใจที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ก็มัวแต่คิดนั่นคิดนี่จนไม่ได้สนใจเสียงของประตูห้องที่ถูกเปิดออกหรืออยากรู้ว่าใครเดินเข้าด้านใน งานค่อนข้างยุ่ง เพราะหยุดไปหลายวัน แถมมานั่งทำงานได้ไม่ถึงห้านาทีก็มีเรื่องของคนสำคัญมาให้คิดเต็มหัวไปหมด ตาเรียวเล็กมองเอกสารกองโตที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางเหม่อลอย มือข้างหนึ่งก็ยังคงจับปากกาค้างไว้อยู่อย่างนั้น และอาการที่แสดงออกมาทั้งหมดมันก็ทำให้คนที่ยืนมองพฤติกรรมแบบนั้นอยู่นานเริ่มรู้สึกกังวล
ขายาวในกางเกงยีนส์สีเข้มเดินก้าวฉับๆเข้าไปหาเจ้าของห้องอย่างร้อนใจ เพราะคิดว่าคนตัวเล็กอาการไม่ดีขึ้นแม้จะหยุดไปหลายวันแล้วก็ตาม มือหนาลูบไปบนผมสีอ่อนอย่างทะนุถนอมและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนก้มตัวลงหอมแก้มนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“น้องแบคเป็นอะไรหรือเปล่าครับ พี่เห็นนั่งเหม่ออยู่นานแล้ว”
“พี่ชานยอลลลล...คุณพ่อพาเซฮุนไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วฮะ น้องแบคอยากไปหาเซฮุน”
“เดี๋ยวๆน้องแบค คุณอาจะพาเซฮุนไปญี่ปุ่นได้ยังไง เมื่อวันก่อนยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลย”
“จริงๆนะฮะ คุณพ่อเพิ่งโทรมาบอกน้องแบคเมื่อกี๊นี้เอง”
วิศวกรหนุ่มแทบไม่เชื่อหูตัวเอง...เพราะก่อนที่จีซบจะเดินทางมาหาเซฮุนที่โรงพยาบาล ท่านก็อยู่ต่างประเทศ แล้วก็รีบกลับมาที่โซลเพื่อเฝ้าคนป่วยแทนเจ้าของโรงแรม แต่ทำไมวันนี้...ท่านถึงไปญี่ปุ่นแถมยังพาเซฮุนกลับไปด้วย?? จงอินทราบเรื่องนี้หรือยัง? มันเกิดอะไรขึ้น? คุณอาทำแบบนี้ทำไม?? คำถามต่างๆมากมายเกิดขึ้นวิ่งวนอยู่ในหัวชานยอลเต็มไปหมด และสิ่งที่ทำให้เขากังวลใจรองลงมาจากอาการบาดเจ็บของคนตัวเล็กก็คือ...กลัวเจ้าของโรงแรมจะรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้แล้วอาละวาดจนใครต่อใครก็ห้ามไม่อยู่!!
“แล้วเซฮุนจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ คุณพ่อได้บอกน้องแบคหรือเปล่า?”
“ไม่กลับมาแล้วฮะ เซฮุนย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้ว”
“เฮ้ยยย!!!...ทำไมทำแบบนั้นล่ะ แล้วจงอินรู้เรื่องนี้หรือยัง?”
“พี่จงอินยังไม่รู้หรอกฮะ แต่คุณพ่อบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง แล้วที่เซฮุนต้องไปอยู่ที่นั่นก็เพราะว่ามันคือความฝัน เซฮุนอยากมีสวนดอกไม้ อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง เรื่องนี้น้องแบครู้มานานแล้วฮะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปไม่บอกกันแบบนี้”
“พี่เข้าใจว่าน้องแบคคิดถึงเซฮุนนะครับ แต่ตอนนี้พี่ไม่อยากให้น้องแบคคิดมากเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง ถ้าเกิดคุณอารู้ว่าพี่ดูแลน้องแบคไม่ดี แล้ววว...โดนจับแยกเหมือนจงอินทำไงล่ะ??!”
“ไม่เอานะฮะ...ถ้าคุณพ่อทำแบบนั้น น้องแบคต้องตายแน่ๆ”
คิดว่าการที่คนตัวเล็กนั่งเหม่อเพราะยังทำใจไม่ได้กับเรื่องร้ายๆที่เพิ่งผ่นพ้นมาได้ไม่นาน แต่กลับกลายเป็นว่า...มีเรื่องของคนใกล้ตัวให้ต้องคิดเพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่อง และถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องตัวเอง แต่ก็ทำให้ชานยอลเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย เนื่องจากเป็นห่วงคนในอ้อมกอดที่อาจคิดว่าคนในครอบครัวไม่ใครอยู่ด้วยสักคน คุณอาจีซบคงกลับมาในไม่ช้า แต่คนที่จะไม่กลับมาอีกแล้วหรืออาจกลับมาบางในบางครั้งก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...เซฮุน
“แล้ววันนี้งานเยอะหรือเปล่าครับน้องแบค ให้พี่ช่วยอะไรไหม?? บอกพี่มาได้เลยนะครับ”
“ก็เยอะฮะ...แล้วทำไมพี่ชานยอลยังไม่ไปทำงานอีก”
“พี่เป็นห่วงก็เลยแวะมาดู แล้วงานของพี่ก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ บ่ายๆคงเสร็จ”
“ถ้าพี่ชานยอลว่าง งั้นนน...คืนนี้พาน้องแบคไปเที่ยวที่ผับหน่อยได้ไหมฮะ น้องแบคอยากไปฟังเพลง แล้วก็อยากเจอพี่ชางมินด้วยฮะ น้องแบคจะได้เอาเสื้อไปคืน...พี่ชานยอลโทรนัดพี่ชางมินให้หน่อยนะฮะ?!!”
“เดี๋ยวพี่เอาไปคืนให้ทีหลังก็ได้ครับ น้องแบคไม่กลัวแล้วเหรอ หื้มม?”
“ถ้าไม่ลอง...ก็ไม่รู้หรอกฮะ แล้วคืนนี้ก็มีพี่ชานยอลไปด้วย น้องแบคไม่กลัวหรอกฮะ”
“โอเคๆ...ถ้าน้องแบคอยากไปเดี๋ยวพี่โทรนัดชางมินให้นะครับ”
“ขอบคุณนะฮะพี่ชานยอล”
ไม่ได้อยากตามใจและไม่ต้องการให้คนตัวเล็กไปเที่ยวในที่แบบนั้น เนื่องจากร่างกายเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ แถมสถานบันเทิง...ยังเป็นความทรงจำอันเลวร้ายสำหรับสภาพจิตใจที่ยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ที่ต้องยอม...ก็เป็นเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากจะเอาชนะความกลัว หรือไม่ก็คงอยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศหลังจากที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องมาหลายวัน วิศวกรหนุ่ม...คล้ายแรงกอดก่อนปล่อยให้คนตัวเล็กทำงานต่อ แล้วรีบจัดการโทรนัดเพื่อนในแก๊งค์ให้ออกมาสังสรรค์ด้วยกันในค่ำคืนนี้
ส่วนคนต้นคิด...ก็ใช่ว่าอยากไปเที่ยวในที่ที่สร้างความเจ็บปวด แต่ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะอยากเจอความทรงจำใหม่ๆ ซึ่งอาจทดแทนหรือช่วยลบความรู้สึกหวาดกลัวออกไปจากใจได้บ้าง รวมถึงอยากขอบคุณชางมินด้วยตัวเอง เนื่องจากเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าไม่ได้เพื่อนของชานยอลช่วยเอาไว้ ป่านนี้เขาอาจไม่ได้กลับมานั่งทำงานอยู่ที่นี่หรืออาจไม่เหลือความเป็นคนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ และถึงแม้ความจริง....คนที่ช่วยเขาไว้ในตอนแรกจะไม่ใช่คนที่เขาเรียกหาเมื่อตอนถูกทำร้าย แต่หลังจากเกิดเหตุ คนที่คอยอยู่เคียงข้าง และดูแลเขามาเป็นอย่างดีก็คือ...ผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลคนเดียวเท่านั้น
ผู้ชายคนเดิม...ที่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังคงอยู่ด้วยกันเสมอไม่เคยทิ้งไปไหน แถมยังช่วยรักษาทุกบาดแผลให้หายดีเหมือนกับว่าเรื่องร้ายๆมันไม่เคยเกิดขึ้น
❀
Rose of Sharon Pub เชจู
21.15 น.
สถานบันเทิงแห่งเดิม...และห้องวีไอพีห้องเดิม ถูกวิศวกรหนุ่มจองไว้พร้อมกับสั่งเครื่องดื่มเมื่อเพื่อนๆในแก๊งค์เดินทางมาถึง ส่วนคนที่ยังไม่มาก็คือเจ้าของเสื้อยีนส์ที่คนตัวเล็กอยากเอามาคืนด้วยตัวเอง และสาเหตุที่มาช้ากว่าใครก็คงเป็นเรื่องงานหรือไม่ก็อาจโดนคุณพ่อที่พ่วงตำแหน่งประทานบริษัทรั้งตัวไว้เพราะยังประชุมไม่เสร็จ ผู้คนในผับมีจำนวนมากเหมือนเช่นทุกวัน และบรรยากาศก็ยังคงครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลงที่เปิดดังจนแทบคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับห้องวีไอพี...ทุกอย่างคือความเป็นส่วนตัวที่ไม่มีแม้แต่เสียงหรือบุคคลอื่นเข้ามารบกวน
แกร๊กก!!
“หวงขนาดนั้น...ไม่เอาโซ่มาล่ามน้องไว้เลยวะ!!!” เสียงของคนมาสายที่สุด เอ่ยทักวิศวกรหนุ่มที่เอาแต่กอดเอวของแฟนตัวเล็กไว้ไม่ยอมไม่ปล่อยจนมันดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของเพื่อนๆในกลุ่ม
“มาถึงก็ปากดีเลยนะมึง งั้น...คืนนี้มึงเลี้ยงเลย!!!” ยกแก้วเหล้าดื่มจนหมด แล้วหันไปต่อว่าคนมาสายทันที พร้อมกับมัดมือชกให้เพื่อนเป็นคนจ่ายค่าสังสรรค์คืนนี้ทั้งหมด โทษฐานมาสายแล้วยังพูดจาไม่เข้าหู
“สวัสดีครับน้องแบค คนน่ารักของพี่ชางมิน” ไม่ฟังเสียงบ่นของเพื่อนยังไม่พอ ชางมินยังใช้มือหยิกแก้มนิ่มของคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อโดยไม่สนสายตาคาดโทษของชานยอลเลยสักนิด
“ไอ้สัด...ชางมิน!!! เมียกู!!” ได้แต่เอ่ยปากปราม เพราะคว้ามือของเพื่อนที่แอบหยิกแก้มนิ่มของแบคฮยอนเอาไว้ไม่ทัน เนื่องจากชางมินไวกว่าแล้วยังรีบเดินไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม แถมยักคิ้วเหมือนอยากยั่วโมโหให้คนขี้หวงขาดใจตายไปตรงหน้า
ส่วนคนโดนหยิกแก้ม...ก็ไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะปกติเขาก็มักจะถูกเพื่อนของวิศวกรหนุ่มหยอกล้อแบบนี้อยู่เป็นประจำ แบคฮยอนรู้ดีว่าเพื่อนๆของชานยอลเป็นคนขี้เล่นและเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ทุกคนก็รักรวมถึงดูแลเขาเหมือนเป็นน้องคนหนึ่ง
“เอ่ออ...พี่ชางมินฮะ น้องแบคขอคุยกับพี่บะ...แบบส่วนตัวหน่อยได้ไหมฮะ” เป็นคนนัดเวลา นัดสถานที่ แล้วรอคนที่อยากเจอมาเกือบชั่วโมง และเมื่อทุกอย่างพร้อม แบคฮยอนจึงอยากเคลียร์ความรู้สึก อยากขอบคุณ อยากทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงขออนุญาตคนข้างกายที่วันนี้ไม่ยอมปล่อยให้เขาอยู่ห่างเลยสักนาทีเดียว
“ได้สิครับน้องแบคของพี่ชางมิน งั้น...เราไปคุยกันที่ห้องด้านหลังดีกว่าเนอะ มันเงียบดี” รู้ว่าเพื่อนหวงคนตัวเล็กยิ่งกว่าแม่หมาที่เพิ่งคลอดลูก แต่ยิ่งหวงก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะเมื่อแบคฮยอนขอความเป็นส่วนตัว ชางมินก็รีบลุกออกจากโซฟาแล้วเดินนำไปทันที
มือบางปิดประตูห้อง...แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนของชานยอล และที่ต้องเอ่ยปากขอให้เข้ามาคุยกันในห้องก็เพราะอยากถามความจริงบางอย่างให้ละเอียดมากกว่านี้ เรื่องวันนั้น...มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนทำ? หรือมีอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือไม่?? ทุกๆอย่างที่สงสัยมันคือสิ่งที่วิศวกรหนุ่มไม่เคยพูดและบอกให้ฟังอีกเลย ต่อให้ถามอีกกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยได้รับคำตอบ
“เอ่ออ...น้องแบคขอบคุณพี่ชางมินมากๆเลยนะฮะ” กล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ พร้อมยื่นถุงกระดาษที่มีเสื้อยีนส์อยู่ในนั้นส่งคืนให้กับเจ้าของ เสื้อยีนส์ที่ชางมินถอดออกเพื่อใช้คลุมร่างเปลือยเปล่าของแบคฮยอนเอาไว้ตอนที่ถูกทำร้าย ซึ่งเจ้าตัว...ก็พอจะนึกออกว่าวันนั้น เสื้อเชิ้ตของเขามันไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะปกปิดอะไรได้
“น้องแบครู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม??...แล้วตอนนี้เป็นยังบ้าง หายกลัวหรือยัง?” รับถุงกระดาษแล้วเปิดออกดูทันทีพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าของที่อยู่ในถุงคืออะไร เพราะเขาก็เกือบลืมไปแล้วว่าเคยมีเสื้อแบบนี้
“หายกลัวแล้วฮะ แต่ก็มีระแวงบ้าง” ยอมรับว่าสภาพร่างกายเริ่มหายดี แต่สภาพจิตใจมันยังไม่เต็มร้อย เพราะเวลานอนหลับเขามักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็นอนละเมอดิ้นไปดิ้นมาเหมือนหนีอะไรสักอย่างจนทำให้คนที่นอนอยู่ข้างกายอย่างชานยอลพลอยตื่นไปด้วย
“น้องแบคต้องออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนะครับ ไปทะเล ไปเดินห้าง ไปไหนก็ได้ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น ตอนเกิดเรื่อง...ไอ้ชานยอลมันเกือบเป็นบ้า มันเป็นห่วงเรามากเลยนะ แล้วมันก็กลัวว่าตัวเองจะดูแลน้องแบคไม่ดี” ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ชางมินก็อ่านสายตาของเด็กตรงหน้าออกว่ากำลังรู้สึกอะไร เพราะถึงปากจะบอกว่าไม่กลัวและมีความระแวงเล็กน้อย แต่กิริยาท่าทางที่แสดงออกมาตอนนี้มันช่างแตกต่างจากคำพูดโดยสิ้นเชิง
พูดไปหลบตาไป ถอนหายใจบ่อยโดยไม่รู้ตัว เหงื่อออกเต็มใบหน้านวล ทั้งๆที่ในห้องก็เปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งอาการทุกอย่าง...มันดูผิดปกติไปจากที่เคยเห็น และน้องแบคที่เขาเคยรู้จักก็พูดเก่งกว่านี้ ยิ้มหวานกว่านี้ ยิ้มหวานจนเพื่อนๆในแก๊งค์ต่างก็ใจละลายกันไปหมด
“แบคก็กำลังพยายามลืมอยู่นะฮะพี่ชางมิน แต่พอนึกถึงวันนั้นทีไร มันก็กลัวทุกที น้องแบคกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะกลับมาทำร้ายน้องแบคอีก น้องแบคก็เลยไม่กล้าออกไปไหน แล้วก็...ไม่อยากรบกวนพี่ชานยอลด้วยฮะ” เข้าใจการทำงานของแฟนตัวเองดี เพราะการเป็นวิศวกรมันไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เหมือนกับเขาหรือคนอื่นๆ บางวันต้องเดินทางไปโซลบ้าง ปูซานบ้างเพื่อดูงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ และด้วยเหตุผลข้อนี้ แบคฮยอนจึงไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าตัวเองจะไปเจอกับเรื่องแย่ๆแบบเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง รวมถึงไม่อยากรบกวนเวลางานของคนรัก
“น้องแบคไม่ต้องกลัวนะครับ...ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางกลับมาทำร้ายน้องแบคได้อีกแล้ว พี่รับรอง” ใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นพูดให้เด็กขี้ระแวงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆแบบนั้นเกิดขึ้นอีก และทราบดีว่าเป็นเพราะอะไร
“พี่ชางมินรู้ได้ยังไงฮะว่าเขาจะไม่กลับมาทำร้ายน้องแบคอีก? ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ชางมินบอกน้องแบคมาเถอะฮะ” ความมั่นใจของชางมินทำให้คนตัวเล็กเกิดความสงสัย เพราะก่อนหน้านั้นชานยอลก็เคยพูดอะไรทำนองนี้ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็คิดมาตลอดว่ามันคือคำปลอบใจ
“ถ้าพี่บอกความจริง...น้องแบคต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าห้ามโกรธ แล้วก็ห้ามไปถามไอ้ชานยอลมันเด็ดขาด มันทำไปเพราะรัก แล้วก็หวงน้องแบคมากๆ ถ้าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนที่พี่รักบ้าง พี่ก็จะทำ” ชางมินรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองคงไม่กล้าเล่าความจริงทั้งหมดให้แฟนฟังแน่นอน เพราะเกรงว่าคนตัวเล็กจะคิดมากไปกว่าเดิม แต่...ในทางตรงกันข้าม ชางมินกลับคิดว่าถ้าไม่พูดความจริงออกไปแล้วเมื่อไหร่ ความกลัว ความหวาดระแวงหรือความเครียดต่างๆที่แบคฮยอนต้องแบกรับมันจะหายไปจากจิตใจเสียที
“น้องแบคสัญญาฮะ น้องแบคจะไม่โกรธแล้วก็จะไม่ถามอะไรทั้งนั้น พี่ชางมินเล่าให้น้องแบคฟังหน่อยนะฮะ” รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พร้อมกับตั้งใจฟังในสิ่งที่เพื่อนของชานยอลกำลังจะเล่า และมือทั้งสองข้างก็เริ่มบีบเข้าหากันแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะน้ำเสียงที่ชางมินใช้สื่อสารมันช่างน่ากลัวพอๆกับเหตุการณ์ที่ได้ยินอยู่ในตอนนี้
คนตัวเล็ก...ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นจะตายด้วยมือของผู้ที่มีอาชีพเป็นวิศวกร และไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างปาร์คชานยอลจะกล้าทำอะไรแบบนี้ ตั้งแต่คบกันมา ความขี้แกล้ง ความกวนประสาทและความอ่อนโยนจากนิสัยของคนรัก มันทำให้เขาคิดมาตลอดว่าชานยอลเป็นคนใจดีและหึงหวงไปตามประสาคนที่เป็นแฟนกัน แต่...พอได้ฟังสิ่งที่ชางมินพูดในวันนี้ ความคิดของแบคฮยอนก็เริ่มเปลี่ยนไป แล้วก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีเพราะถึงแม้เรื่องที่ได้ฟังมันจะดูโหดร้ายหรือถูกปิดบังไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มันก็เข้าใจได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนรักทำลงไปก็เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของเราทั้งคู่
...
...
...
หลังจากที่ได้ทราบความจริงทั้งหมด...คนต้นเรื่องกับคนบอกเล่าเหตุการณ์ก็เดินออกมาจากห้อง แต่แทนที่จะเดินออกมาดีๆ ชางมินกลับคิดแผนเพื่อยั่วอารมณ์ของเพื่อนโดยการอุ้มคนตัวเล็กเอาไว้ในท่าเจ้าสาว แล้วเดินตรงมาที่โซฟาทันที แต่...ยังไม่ทันเดินมาถึงโซฟา ขายาวสมส่วนของคนเจ้าแผนการก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงที่เขาก็รู้จักดีว่าเป็นใครกำลังนั่งอยู่กับชานยอลแบบแนบชิด
เจ้าของเดรสสั้นสีแดง...ที่กำลังนั่งจนเผยให้เห็นเรียวขาขาว คอเสื้อคว้านลึกโชว์หน้าอกหน้าใจและใบหน้าสวยด้วยเครื่องสำอางค์ที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากซอกคอของวิศวกรหนุ่ม มันกำลังทำให้ชางมินคิดแผนเพิ่มมาได้อีกหนึ่งอย่างและเริ่มดำเนินการตามแผนทันที ปากหยักก้มกระซิบข้างหูของคนที่อยู่ในอ้อมแขนพร้อมกระชับแรงกอดให้แน่นขึ้น ส่วนแบคฮยอนก็รีบยกมือทั้งสองข้างโอบรอบคอชางมินตามคำสั่งเช่นกัน
และ....
“ไอ้เหี้ยชางมิน!!! มึงปล่อยเมียกู!!...น้องแบคเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหน? ไอ้ชางมินมันแกล้งอะไร บอกพี่มาเดี๋ยวนี้!??” ได้ผลเกินคาด เพราะทันทีที่ชานยอลเห็นภาพบาดตา เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งเหมือนถูกไฟลนก้น แล้วจัดการดึงแบคฮยอนเอามาอุ้มไว้เสียเอง ส่วนคนคิดแผนอย่างชางมิน...ก็ได้แต่ยักไหล่และนั่งทานเครื่องดื่มสีเข้มทำเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ชานยอลอย่าหงุดหงิดนะฮะ น้องแบคไม่ได้เป็นอะไร พี่ชางมินแค่ล้อเล่น” มือบางลูบลงบนอกกว้างภายใต้เสื้อฮูดตัวใหญ่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเพราะไม่อยากให้ชานยอลโมโหไปมากกว่านี้ และอาจทำให้เพื่อนๆทุกคนที่อยู่ในห้องวีไอพีหมดสนุก
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้...ทุกๆคนต่างก็กำลังหัวเราะอยู่กับท่าทางหึงหวงของชานยอลโดยไม่มีใครสนใจหญิงสาวที่ถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งในห้องนี้เลยสักคน แบคฮยอนไม่ได้รู้สึกโกรธหรือตกใจที่ต้องออกมาเห็นภาพของแฟนตัวเองกำลังนั่งคลอเคลียอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เพราะสิ่งที่ชานยอลทำเพื่อเขาอยู่ทุกวันมันสามารถทำให้มองข้ามความผิดเล็กๆน้อยๆตรงนี้ได้ และเขาก็มั่นใจว่าเรื่องระหว่างหญิงสาวคนนี้กับวิศวกรหนุ่มจอมเจ้าชู้ในอดีตมันไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่คำว่า “คนเคยรู้จัก”
แบคฮยอนจำได้ดี...ว่าผู้หญิงในชุดเดรสรัดรูปคนนี้ก็คือคนคนเดียวกันกับที่เคยเจอในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มคบกับชานยอลได้ไม่กี่วัน และมันเกือบทำให้เราทั้งคู่ต้องเลิกรากัน เพราะแบคฮยอนคิดว่าตัวเองอาจไปแย่งคนรักของคนอื่นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนสุดท้าย...เมื่อมาทราบความจริงรวมถึงเริ่มเปิดใจคุยกันมากขึ้น ทุกๆอย่างก็จบลงได้ด้วยความเข้าใจและไม่เคยเจอกับผู้หญิงคนนี้อีกเลยจนกระทั่งวันนี้
แต่...สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมผู้หญิงที่ชื่อนานะถึงเข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้? มีใครโทรชวนมาหรือเปล่า? หรือมันเป็นแค่เหตุบังเอิญ?
“น้องแบคอยากกลับบ้านหรือยังครับ หรือว่าอยากอยู่ต่อ หื้มม?” อุ้มแฟนตัวเล็กนั่งลงบนตัก และกอดเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าใครจะมาแย่งไปอีกครั้งจนเพื่อนๆต่างพากันเอ่ยปากล้อเลียน และบางคน...ก็ยังแกล้งทำทีเหมือนจะมาดึงตัวแบคฮยอนออกมาจากตัก แต่ก็ถูกมือใหญ่ๆของวิศวกรหนุ่มใช้น้ำแข็งที่อยู่ในถังปาใส่แบบยั้งมือ
“ชานยอลคะ...ตกลงเด็กคนนี้เป็นอะไรกับชานยอลกันแน่คะ??! นานะงงไปหมดแล้วค่ะ?” ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม...ว่าจะกลับหรือจะอยู่ต่อ แบคฮยอนก็ถูกเสียงของหญิงสาวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท แล้วก็ไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“เป็น...เมีย!!!” ตอบคำถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด และเน้นย้ำคำที่แสดงถึงสถานะของคนบนตักเป็นพิเศษ แล้วรีบลุกออกจากโซฟาอุ้มคนตัวเล็กเดินหายเข้าไปในห้องทางด้านหลังทันที
แกร๊กก!!
เสียงปิดประตูพร้อมกับถูกล็อคโดยอัติโนมัติเมื่อพาแบคฮยอนเดินเข้ามาถึงในห้องและวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ห้องพักด้านหลังของโซนวีไอพีจะมีไว้ให้สำหรับลูกค้าที่จองไว้เท่านั้น ซึ่งชานยอลกับเพื่อนๆก็มักจะมานอนรวมกันอยู่ที่นี่บ่อยๆถ้าดื่มมากจนขับรถกลับบ้านไม่ไหว แต่สำหรับคืนนี้...เขาขอใช้ห้องเพื่อลงโทษคนที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายคนอื่น ทั้งจับแก้ม ทั้งโอบไหล่และอุ้มไปต่อหน้าต่อตา!!
วิศวกรหนุ่ม...เริ่มถอดเสื้อฮูดสีดำออกอย่างช้าๆพร้อมกับมองคนตัวเล็กที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่บนเตียงเป็นเชิงสงสัย แต่เมื่อเสื้อถูกถอดพาดไว้เสื้อบนเก้าอี้และมือหนาก็เริ่มปลดเข็มขัดออกจากเอว แบคฮยอนก็รีบเบนสายตามองเพดาน มองพื้น มองทุกอย่างที่อยู่รอบๆห้องยกเว้นร่างสมส่วนเกือบเปลือยเปล่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“มองพี่ครับน้องแบค แล้วก็อย่าให้พี่พูดซ้ำ!!”
“พี่ชานยอลดุน้องแบคทำไมฮะ?”
“น้องแบครู้ใช่ไหม...ว่าทำอะไรผิด หื้มม?!”
“ไม่รู้ฮะ น้องแบคทำอะไรผิดเหรอฮะ???”
“ไปกอดไอ้ชางมินมันทำไม ไปให้มันอุ้มทำไม!?”
“กะ..ก็พี่ชางมินสั่งให้ทำนิฮะ”
“งั้นตอนนี้...พี่ขอสั่งให้น้องแบคถอดเสื้อออกด้วยครับ ถอดออกเดี๋ยวนี้”
“ถอดทำไมฮะ แล้วพี่ชะ...ชานยอล อื้มมมม”
รู้ดี...ว่าต้องเจอกับอะไร แต่ก็พยายามยื้อเวลาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะรู้สึกอายเพื่อนๆของชานยอลที่ยังคงสังสรรค์กันอยู่ข้างนอก แต่...เหมือนเจ้าของรสสัมผัสอันแสนร้อนแรงจะรู้ทัน เพราะริมฝีปากบางถูกกลืนหายไปทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ลิ้นอุ่นชื้นทำหน้าที่ได้ดีจนแบคฮยอนเริ่มคล้อยตาม และต่างคนต่างๆก็เติมเต็มความรู้สึกให้แก่กันด้วยความรัก มือหนาปลดกระดุมเสื้อคนตัวเล็กออกอย่างเร่งรีบ แล้วจูบซับผิวเนื้อขาวเนียนที่ไร้ร่องรอยของความเจ็บปวดในครั้งก่อน และประทับความทรงจำครั้งใหม่ลงไปแทนที่
อกบาง...แอ่นรับสัมผัสที่อยากถูกสร้างรอยเอาไว้ และอยากให้เป็นคนนี้คนเดียวเท่านั้น สองมือกำแน่นอยู่บนผ้าสีสะอาดของเตียงกว้างเมื่อลิ้นร้อนลากผ่านผิวส่วนที่ต่ำกว่าท้องน้อยไล่ลงไปจนถึงส่วนอ่อนไหว กางเกงชั้นใจถูกคนด้านบนถอนออกจนทั้งตัวเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตที่อีกไม่นานก็คงถูกถอดทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งในห้องเหมือนกับกางเกงยีนส์ที่ถูกถอดไปก่อนหน้านั้น ขาเรียว...ถูกมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นยกขึ้นแล้วมอบความหวาบหวามให้จนกลั่นเสียงร้องเอาไว้ไม่ได้ จากความเขินอาย...เปลี่ยนเป็นการตอบสนอง จากที่กลัวคนด้านนอกจะรับรู้...ก็เริ่มปล่อยทุกอย่างไปตามอารมณ์
“อื้มมม!! ซี้ดด!”
ถูกคนตัวใหญ่กว่าจับกายพลิกให้นอนคว่ำหน้าลงไปกับเตียง แล้วบทลงโทษของการให้คนอื่นจับแก้มและโอบกอดก็ได้ถูกมอบสัมผัสที่ทำให้แบคฮยอนสะท้านไปทั้งร่างกาย และวูบไหวจนต้องระบายความรู้สึกโดยการใช้ปากกัดหมอนใบโตที่วางอยู่ตรงหน้าเอาไว้
“ห้ามไปกอดคนอื่น!! ซี้ดด...เข้าใจไหมครับ?!!”
เพิ่งเข้าใจ...ความรู้สึกของเพื่อนผิวเข้มก็วันนี้ว่าความหึงหวง การเก็บอารมณ์ไม่อยู่และหงุดหงิดเวลาที่เห็นแฟนของตัวเองยิ้มให้คนอื่นมันเป็นเช่นไร ขนาดเพื่อนในแก๊งค์เดียวกันยังรู้สึกร้อนใจเหมือนถูกไฟสุม แล้วถ้าคนตัวเล็กไปทำแบบนั้นกับคนที่เขาไม่รู้จัก ชานยอลคงกลายเป็นบ้าไม่ต่างไปจากเจ้าของโรงแรมแน่นอน
“พี่ชาน อ๊ะ!...ก็ห้ามเข้าใกล้ อื้มม!! ผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน!! อ๊ะ!!”
เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เข้าใจว่าคนที่กำลังโหมอารมณ์ใส่ร่างของตัวเองอยู่ในตอนนี้ไม่ได้เจ้าชู้เหมือนเมื่อก่อน แบคฮยอนเข้าใจทุกอย่างและไม่ได้เก็บสิ่งที่เห็นมาทำให้จิตใจของตัวเองขุ่นมัว แต่...ก็อย่าให้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้น...เขาจะหนีไปอยู่กับเพื่อนรักที่ญี่ปุ่น แล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย
คอยยยยยยยย...ดู!!!
...
...
“น้องแบคค...อ่าห์!!”
กว่าบทลงโทษจะสิ้นสุดลง...คนตัวเล็กก็หมดแรงและหลับไปในทันที ส่วนคนที่เพิ่งปลดปล่อยอารมณ์ต่างๆไปเมื่อครู่ก็รีบเดินออกมาจากห้องเพื่อดูว่าเพื่อนๆยังคงสังสรรค์กันอยู่หรือไม่ และสิ่งที่อยากรู้...ก็ได้คำตอบเมื่อเห็นทุกคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูแล้วพยายามมองเข้ามาด้านใน เพราะอยากเห็นเจ้าของเสียงหวานที่ร้องครางจนคนด้านนอกแทบอยากพังประตูเข้ามานั่งดูให้เห็นกับตาหรือได้ยินกับหูว่าในห้องมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่...
ปังงงง!!!
ยังไม่ทันได้เห็นสิ่งใด...ประตูห้องก็ถูกปิดลงก่อนที่จะถูกสายตาของวิศวกรหนุ่มมองกลับมาเหมือนเป็นการเยาะเย้ย แถมยังส่งยิ้มที่ดูยังไงก็เจ้าเล่ห์ในความรู้สึกของเพื่อนๆ ร่างสมส่วนเปลือยเปล่า...เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง แล้วโอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้แนบอกด้วยความหวงแหน รักมาก หึงมากและจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายแบคฮยอนได้อีกแล้ว ใครดีมา...ก็ดีตอบ ใครร้ายมา...ก็คงต้องจัดการเหมือนอย่างที่เคยทำ!!
❀
100%
แก้ไขเมื่อ 10/02/61
มีทอล์คด้านล่างนะคะ อ่านก็ได้...ไม่อ่านก็ได้ค่ะ เพราะมันเป็นความในใจที่เราเคยแจ้งไว้ตั้งแต่เริ่มเขียนฟิคเรื่องนี้มาได้สักพัก และขออนุญาตไม่ลบออกนะคะ (:
ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณคอมเม้นท์ทั้งติและชม ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆค่ะ
แล้วจะเข้ามาตรวจคำผิดเรื่อยๆนะคะ
รัก ♥
#ดอกไม้ของเจ้านาย
❀
Talk.
(เป็นTalk. ก่อนจะรีไรท์นะคะ)
(6/5/60 21.55 น.)
1) ขออนุญาตแจ้งว่า...ฟิคตอนนี้กับตอนต่อๆไป เราขอให้มันเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้นนะคะ เพราะสถานที่เช่นหมู่บ้านในประเทศญี่ปุ่น...เราเป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่จังหวัดมิยะซะกิมีอยู่จริง สนามบินก็มีอยู่จริง แล้วก็เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะแยะมากมาย
2) เราต้องขอขอบคุณผู้ติดตาม ผู้อ่านและคอมเม้นท์ของทุกคนมากๆนะคะ ที่ให้โอกาสไรท์เตอร์หน้าใหม่อย่างเรา
3) ฟิคเรื่องนี้เหลืออีกไม่เกิน 5 ตอนก็จะจบสมบูรณ์แล้วนะคะ และเราก็เคยคิดไว้ว่าถ้าฟิคเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ เราจะปิดเรื่องนี้หลังจากอัพตอนสุดท้ายให้อ่านประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากเราอยากเก็บคนFav.กับการคอมเม้นท์ไว้เป็นความประทับใจส่วนตัว เพราะนี่คือฟิคเรื่องแรกจริงๆที่เราเริ่มแต่ง และผู้อ่านกับคอมเม้นท์ทั้งหมดก็คือกำลังใจดีๆที่ทำให้เรามีแรงในการแต่งฟิคเรื่องนี้ต่อจนจบ เรายอมรับนะคะ...ว่ามีท้อบ้างจนอยากเทฟิค #ดอกไม้ของเจ้านาย ทิ้งเพราะตอนเปิดเรื่องให้อ่านแรกๆ เราเจอเม้นท์ตัดกำลังใจเยอะอยู่พอสมควร แต่เม้นท์ที่ติ(เพื่อก่อ)ให้เราแก้ไข อันนี้เราไม่รู้สึกเสียใจหรือโกรธอะไรเลยนะคะ ถ้าผิดจริงเราพร้อมแก้ไขเพื่อให้ผู้อ่านได้อ่านง่ายขึ้น แต่คอมเม้นท์ที่บอกว่า...ฟิคเรื่องนี้ไม่เห็นจะสนุกเลย พล็อตก็น่าเบื่อ อ่านก็ไม่รู้เรื่อง อันนี้ยอมรับว่าบั่นทอนจิตใจ ซึ่งก็มีเม้นท์มาบอกแบบนี้จริงๆ แต่เราก็ได้ลบไปแล้ว และก็มี...ที่ติเข้ามาในเชิงให้เราไปอ่านแนวเขียนของไรท์คนอื่นเพื่อเป็นแนวทาง เนื่องจากนักอ่านบางคนบอกว่าอ่านฟิคของเราแล้วไม่ลื่นไหล เพราะใช้สรรพนามไม่ถูกต้องก็เลยทำให้ไม่อยากอ่านต่อ อันนี้เราก็ไม่รู้จะแก้ไขให้ยังไงดี แต่ก็พยายามปรับปรุงอยู่เรื่อยๆนะคะ แต่คือ...ฟิคของไรท์คนอื่นๆ ก็จะมีแนวทางในการเล่าเรื่องเป็นของตัวเองใช่มั้ย? เราว่าฟิคเรื่องนี้...มันก็เป็นของของเรา เราจึงแก้ให้มันเป็นเหมือนไรท์คนอื่นไม่ได้
4) ถ้าการปิดฟิคเรื่องนี้หลังจากอัพตอนสุดท้ายเรียบร้อย...ทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย อันนี้เราต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่มันเป็นความตั้งใจของเรามาตั้งแต่แรก
5) สุดท้าย ถ้าถามว่า...ทำไมคอมเม้นท์น้อยจัง? อ่านแล้วไม่เม้นท์กันเลยเหรอ? แล้วรู้สึกน้อยใจมั้ย? ขอตอบตรงๆเลยนะคะ ว่าไม่น้อยใจอะไรทั้งนั้น เพราะเราจะไปบังคับให้ใครมาคอมเม้นท์ไม่ได้จริงๆ คนอ่านอยากเม้นท์ก็เพราะว่าตอนนั้นๆมันน่าเม้นท์ มันอิน มันน่าหมั่นไส้ มันเศร้า มันดราม่าหรืออะไรก็ได้ที่ผู้อ่านรู้สึก แต่พอเราอัพฟิค...แล้วไม่มีคอมเม้นท์เลย อันนี้ไรท์ต้องกลับไปคิดแล้วนะคะว่าฟิคมันมีข้อบกพร่องอะไร ตรงไหน ผู้อ่านถึงไม่เม้นท์??! แต่ในทางกลับกัน...ถ้าไม่เม้นท์ เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าต้องปรับปรุงอะไรอีกบ้าง? มันสนุกมั้ย? หรือควรทำยังไง? ส่วนคอมเม้นท์ที่ให้กำลังใจ ติติงและอินไปกับฟิคที่เราตั้งใจแต่งขึ้น อันนี้เราขอขอบคุณมากๆจากใจจริงค่ะ ♥_♥
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่น่ะ!!!!!! อยากให้เค้าได้เจอกัน
ส่วนตัวเรา หลังจากที่ได้อ่านฟิคเรื่องนี้เรารู้สึกว่ามันโอเคมากๆ สำหรับการบอกว่านี่คือเรื่องแรกนะคะ เนื้อเรื่อง ลำดับการเล่า แล้วก็พวกปัญหาที่เจอในเรื่องมันรู้สึกว่าไม่ได้ติดขัดอะไร (ความโฟล์ว) สำหรับเราคิดว่าติดแค่พวกสรรพนาม เพราะเรารู้สึกว่าเวลาอ่านมันพร่ำเพรื่อไปหน่อยแบบถ้าใช้ชื่อเลยอาจจะง่ายกว่า แห่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ แล้วจะติดตามเรื่องอื่นๆ ด้วยน้า เราอาจจะมาอ่านช้าเกินไปแต่อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ สู้ๆ น้า