ตอนที่ 25 : ❀ 25
ดอกไม้ดอกที่ 25
SM Hospital
11.40 น.
2 สัปดาห์ต่อมา....
รถยนต์ยี่ห้อหรูสีดำ...เคลื่อนตัวออกจากโรงแรมอย่างเร่งรีบเพราะใกล้ถึงเวลาที่คนป่วยต้องทำกายภาพบำบัดด้วยวิธีการเดินในน้ำ ซึ่งมันเป็นครั้งแรกที่คนป่วยต้องเข้ารับการบำบัดด้วยวิธี เสื้อสูทยังไม่ได้ถอด เอกสารที่เพิ่งเข้าประชุมไปเมื่อเช้าก็ยังเคลียร์ไม่เรียบร้อยและรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลทันทีเนื่องจากกลัวไม่ทันเวลาที่ตัวเองได้ให้สัญญากับคนป่วยเอาไว้ว่าจะมาช่วยทำกายภาพทุกครั้ง ขายาวสมส่วนเหยียบคันเร่งให้พาหนะเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าการจราจรไม่ได้ติดขัดอย่างเมื่อครู่ และคิดว่าถ้าเขาหายตัวได้เหมือนในภาพยนตร์บางเรื่องก็คงดีไม่ใช่น้อย
ปากหยักยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว...เมื่อนึกถึงคนรักที่ตอนนี้เริ่มหัดเดินมาได้สองสัปดาห์และสามารถขยับร่างกายได้มากขึ้น รวมถึงอาการบาดเจ็บภายนอก แผลตามแขนขาหรือที่ศีรษะก็หายเป็นปกติ ส่วนแขนข้างที่หกล้มจนกระดูกร้าวและเอาเฝือกออกได้สักพักก็สามารถหยิบจับสิ่งของได้เหมือนเดิม แต่หมอยังห้ามยกของที่หนักเกินกำลังและต้องทำกายภาพโดยการบีบลูกยางนิ่มๆเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ปรับสภาพจนกว่าจะหายเป็นปกติ
วันแรก...ที่คนป่วยต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด เขายอมรับว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นและมีแต่ความกังวลเต็มไปหมด เพราะการที่คนป่วยต้องนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงมานานมันอาจทำให้ร่างกายหรือจิตใจเกิดการต่อต้าน แต่...เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เขาก็จำเป็นต้องตัดความกังวลออกให้หมดแล้วพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนป่วยกลับมาเดินได้อีกครั้ง และวันแรกของการทำกายภาพบำบัดมันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงแม้คนป่วยอาจจะดูเหนื่อยล้าไปบ้าง แต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งมาให้เขาอยู่เสมอ
การกายภาพโดยใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า การปั่นจักรยาน และการเดินบนพื้นต่างระดับ คนป่วยสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่บางที...ก็มักจะทำเกินเวลาหรือเกินกำลังของตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาจึงค่อนข้างเป็นกังวลเพราะถ้าคนป่วยทำแบบนี้บ่อยๆมันอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี แทนที่บาดแผลส่วนที่ได้รับการผ่าตัดจะหายเป็นปกติมันอาจเกิดการอักเสบมากขึ้นจนเดินไม่ไหว และสำหรับการทำกายภาพบำบัดด้วยวิธีการเดินในน้ำเป็นครั้งแรกในวันนี้...เจ้าของโรงแรมก็หวังว่าคนป่วยจะทำไปตามขั้นตอน ตามเวลาหรือตามระบบระเบียบที่หมอจัดไว้ให้
เอี๊ยดดดดด!!!!!!!
เหยียบเบรกกะทันหัน...เมื่อรู้ว่าตัวเองเกือบขับรถเลยร้านขายดอกไม้เพราะมัวแต่คิดนั่นคิดนี้จนเพลิน แล้วรีบดับเครื่องยนต์พร้อมเดินลงจากรถทันที ร้านดอกไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมันกลายเป็นร้านประจำที่จงอินต้องแวะเข้ามาใช้บริการเพื่อซื้อดอกทิวลิปสีแดงไปฝากคนรัก และทุกครั้งที่เดินทางมาหาคนป่วย เขาก็ต้องมีดอกไม้ชนิดเดิม สีเดิม แบบเดิมถือติดมือมาด้วยเสมอ แต่ถ้าวันไหนมีธุระด่วนหรือติดประชุมสำคัญ...เขาก็จะสั่งให้คนของทางร้านเอาดอกไม้มาส่งให้แทน
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ...จงอินก็รีบเดินกลับมาที่รถแล้ววางดอกไม้ช่อสวยไว้บนตัก และสตาร์ทพาหนะสุดหรูขับตรงไปที่โรงพยาบาลทันที มือหนาหักพวงมาลัยก่อนถอยรถเข้าที่จอดเมื่อถึงที่หมายโดยไม่ลืมเอื้อมคว้าของเยี่ยมต่างๆที่ถูกวางไว้บนเบาะด้านหลังถือลงจากรถไปด้วย ของคาว ของหวาน ผลไม้ ยาบำรุงที่พนักงานในแผนกจัดดอกไม้และแผนกอื่นๆฝากมาเยี่ยมคนป่วยมันกำลังทำให้เจ้าของโรงแรมแทบไม่มีมือว่างเพื่อกดลิฟท์ และจำเป็นต้องใช้ปากคาบของฝากบางส่วนเอาไว้ แล้วรีบกดปุ่มบนกำแพงตรงหน้า
ตาคม...มองของฝากที่ถืออยู่ในมือด้วยความรู้สึกผิดต่อพนักงานในโรงแรมของตัวเอง เพราะทราบดีว่าทุกคนเป็นห่วงเซฮุนมากแค่ไหน แต่เขาไม่สามารถให้ใครเข้ามาเยี่ยมพนักงานจัดดอกไม้คนนี้ได้จริงๆ เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการให้คนป่วยถูกถามหรือถูกรื้นฟื้นเรื่องเลวร้ายขึ้นมาพูดอีกครั้ง และด้วยเหตุผลข้อนี้...จงอินจึงจำเป็นต้องเสียเงินซื้อดอกไม้จากร้านด้านนอกทั้งๆที่โรงแรมของตัวเองก็มีแผนกจัดดอกไม้หรือมีความสวยงามในแบบที่คนรักชอบโดยที่ไม่ต้องเสียเงินเลยสักวอน
แกร๊กก!!
เมื่อลิฟท์พามาส่งถึงชั้นที่คนป่วยนอนพักรักษาตัว...ปากหยักก็จำเป็นต้องคาบของฝากเอาไว้อีกครั้งและเปิดประตูห้องอย่างเบามือเพราะคิดว่าคนป่วยอาจกำลังนอนหลับพักผ่อน แต่พอเดินเข้ามาด้านใน...สิ่งที่คิดกลับผิดไปจากสิ่งที่เห็นเมื่อพบคนตัวเล็กกับวิศวกรตัวโย่งนั่งอยู่บนโซฟา ส่วนคนป่วย...กำลังถูกคุณหมอและพยาบาลทำการตรวจร่างกายให้ตามหน้าที่
คนถือของพะรุงพะรัง...วางทุกอย่างลงบนโต๊ะด้านข้างโซฟาอย่างนึกหงุดหงิดใจ เพราะคิดว่าตัวเองจะได้อยู่กับคนป่วยแบบสองต่อสองบ้างหลังจากที่คุณอาจีซบเพิ่งเดินทางกลับเชจูไปเมื่อวานช่วงค่ำ แต่สุดท้าย...ท่านก็ส่งลูกชายตัวแสบมาแทน แถมชานยอลก็ยังตามมาเป็นก้างชิ้นใหญ่ด้วยอีกคน ใช่ว่าอยากกล่าวหาหรือติติงผู้ใหญ่ที่ตนนับถือ แต่เขาก็ต้องการอยู่กับคนรักตามลำพังและอยากดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง
“เวลาหมอยกแขน...คุณเซฮุนยังรู้สึกเจ็บหรือมีอาการปวดตึงอยู่ไหมครับ?”
“ไม่เจ็บครับ แต่ยังตึงๆแขนอยู่นิดหน่อย แล้วก็จะปวดเวลาเผลอหยิบของเร็วเกินไป”
“อย่าเผลอบ่อยนะครับ แล้วก็อย่าเพิ่งยกของหนัก ส่วนตอนบ่าย...ต้องทำกายภาพแบบใหม่ด้วยนะครับ คุณเซฮุนพร้อมไหม??!”
“พร้อมครับ!!”
“สู้ๆนะครับคุณเซฮุน แล้วเดี๋ยวตอนเย็น...หมอจะเข้ามาตรวจร่างกายอีกครั้งนะครับ”
“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ”
“หายเร็วๆนะครับ”
ปึ่กก!!!
เมื่อปล่อยให้คุณหมอทำตามหน้าที่และออกไปจากห้องของคนป่วยเรียบร้อย...จงอินก็รีบเดินเข้าไปหาคนรักที่นอนอยู่บนเตียง แต่!!...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลยสักข้าง เขาก็ถูกคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อครู่วิ่งเข้ามาชนอย่างตั้งใจ พร้อมกับมองด้วยสายตาที่เดาได้ไม่ยากว่ายังไม่หายโกรธ แถมยังกอดคนป่วยไว้เหมือนกันเพื่อไม่ให้เขาเข้าใกล้
เจ้าของโรแรมไม่ได้ถือสากับกิริยาท่าทางที่คนตัวเล็กแสดงออกมา เพราะเข้าใจดีว่าเรื่องร้ายๆที่เขาเป็นต้นเหตุมันคงให้อภัยกันได้ยาก และต้องปล่อยให้ความโกรธเคืองต่างๆมันจางหายไปเองตามกาลเวลา มือหนาถอดเสื้อสูทแขวนไว้ในตู้แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะด้านข้างโซฟาพร้อมพับแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง เพราะต้องจัดดอกทิวลิปสีแดงที่ตัวเองเพิ่งซื้อมาจากร้านประจำใส่แจกันเอาไว้ก่อนที่มันจะโรยรา และได้แต่ยืนอยู่ไกลๆฟังเสียงเจื้อยแจ้วของคนป่วยคุยกับเพื่อนรักที่ทำเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศ
“เซฮุนเป็นยังไงบ้าง?? แบคเป็นห่วงแทบแย่...คุณพ่อไม่ยอมให้แบคมาหาเซฮุนสักที!!!”
“เราหายดีแล้ว เหลือแค่ทำกายภาพบำบัดตามที่คุณหมอสั่ง แล้ว...แบคจะมาอยู่ที่นี่กี่วัน??”
“ก็อยู่ไปเรื่อยๆนั่นแหละ คุณพ่อโทรมาตามเมื่อไหร่ค่อยกลับ”
“มาดูแลเราแบบนี้แล้วใครจะอยู่ช่วยคุณพ่อทำงานล่ะ แค่นี้เราก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ต้องมาเกรงใจเลย แบคเต็มใจ คุณพ่อก็เต็มใจ เซฮุนอย่าคิดมากนะ เดี๋ยวปวดหัว”
“ขอบใจมากนะแบค....แต่เราเกรงใจจริงๆ ตอนที่คุณพ่อมาอยู่กับเราที่โรงพยาบาล แบคก็ต้องทำงานคนเดียว แบคคงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม??”
“เหนื่อยงาน...นอนพักก็หาย แต่เหนื่อยใจเพราะเป็นห่วงเพื่อน มันนอนไม่หลับหรอกนะเซฮุน”
“งั้นคืนนี้นอนด้วยกันนะ”
“เอาสิ...แบคจะนอนกอดเซฮุนทั้งคืนเลย”
เจ้าของมือ...ที่กำลังถือดอกไม้สีแดงไว้อย่างแผ่วเบาเพราะกลัวมันช้ำ หยุดการกระทำทั้งหมดลงเมื่อได้ยินบทสนทนาที่คิดว่าคืนนี้ตัวเองคงอดทำหน้าที่คนรักที่ดีเหมือนอย่างที่เคยให้สัญญากับจีซบเอาไว้ เนื่องจากถูกความคิดถึงของคนตัวเล็กแย่งหน้าที่ไปอย่างนึกหงุดหงิดใจ และจากที่จัดดอกไม้ด้วยความทะนุถนอม ตอนนี้กลับไม่สนว่ามันจะช้ำหรือหักแตกเสียหาย แล้วยัดดอกทิวลิปใส่แจกันเหมือนมันเป็นที่ระบายอารมณ์
แต่...สำหรับคนที่นั่งเงียบมานานอย่างวิศวกรประจำโรงแรม กลับไม่ได้หงุดหงิดเหมือนอย่างที่เพื่อนรู้สึกและเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะทำบางอย่างให้มันจบๆไปเสียที
“เซฮุนครับบบ...พี่ยืมตัวจงอินแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวมา”
“จะไปไหนก็ไปเลย ไปไกลๆยิ่งดี ชิ!!!”
“น้องแบคครับ...พูดจาไม่น่ารักเลยนะครับ เดี๋ยวพี่จะไปฟ้องคุณพ่อ”
“เชอะ!!!”
วิศวกรหนุ่ม...รีบลากคอเจ้าของโรงแรมออกมาจากห้องคนป่วยก่อนที่ดอกไม้สีแดงจะเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะจากดอกทิวลิปช่อใหญ่ตอนนี้มันเหลืออยู่ในแจกันไม่ถึงสิบดอก ส่วนเรื่องแฟนตัวเล็กที่ทำกิริยาไม่น่ารักก็ค่อยกลับมาจัดการทีหลัง
...
...
...
ชานยอลเดินทางมาถึงโซลพร้อมแฟนตัวเล็กเมื่อเช้า และตรงมาที่โรงพยาบาลทันทีโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปเก็บสัมภาระที่คอนโดฯ เพราะมีใครบางคนอยากเจอเพื่อนรักมากกว่าการทำสิ่งอื่น แต่พอมาถึง...และเห็นคนป่วยนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง คนตัวเล็กจึงรู้สึกโกรธเจ้าของโรงแรมมากขึ้น แถมไม่ยอมฟังเหตุผลของใครทั้งนั้นแม้กระทั่งคำอธิบายของคนป่วย และเขาก็ทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของแฟนตัวเอง
“มีอะไรก็รีบๆพูดมา คนกำลังหงุดหงิด!!!!....แล้วทีหลังถ้าจะมาที่นี่อีกก็ช่วยโทรมาบอกกูก่อน!!”
“เก็บความหงุดหงิดของมึงเอาไว้ใช้คืนนี้!! กูอยากให้มึงไปจัดการคนร้ายที่โกดังได้แล้ว มึงบอกซึงกิว่าขอเวลาสองวัน แต่นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะเว้ย...พวกแม่งจะตายห่ากันหมดแล้ว!!!”
“.............”
“กูรู้ว่ามึงแค้น แต่มึงจะจมอยู่กับความแค้นแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้!!! มึงจะเก็บพวกมันไว้ให้เป็นปัญหาเรื้อรังทำไม เฮ้ออ...เซฮุนก็อาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอวะ? มึงจะทำอะไรก็รีบๆทำ??!!!!”
“............”
“คืนนี้สะดวกที่สุด เพราะเซฮุนมีน้องแบคนอนเป็นเพื่อนแล้ว ส่วนมึง...ก็รีบไปจัดการคนพวกนั้นให้เสร็จ เรื่องมันจะได้จบๆ”
“งั้นคืนนี้มึงไปกับกู...แล้วโทรบอกซึงกิให้ย้ายพวกมันออกไปจากโกดังแล้วเอาตัวไปไว้ในบ้านด้านหลัง”
“มึงแน่ใจนะ...ว่าจะให้ซึงกิย้ายพวกมันไปไว้ที่บ้านหลังนั้นจริงๆ??”
“มึงอยากให้กูรีบจัดการ กูก็กำลังทำอยู่นี่ไง!!!!”
“ไอ้สัด!!!....เออ ๆ ๆ”
ตอนนี้...คนที่เริ่มหงุดหงิดกลับกลายเป็นชานยอล เพราะต้องคอยรับคำสั่งของเพื่อนที่เอาแต่ใจตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้าย มือหนาหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง และเอ่ยปากบอกคนปลายสายให้ทำในสิ่งที่เจ้าของโรงแรมต้องการพร้อมกับนัดเวลาเรียบร้อย แล้วเดินกลับไปที่ห้องของคนป่วยตามเดิม
วิศวกร...หนุ่มแทบไม่อยากนึกสภาพของคนร้ายที่ถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้มานานเกือบเดือนโดยไม่สามารถขยับร่างกายได้เลยสักวัน ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้กินอาหารดีๆ รวมถึงต้องขับถ่ายไปทั้งๆที่ยังถูกมัดไว้อยู่อย่างนั้นและหนึ่งในคนร้ายในจำนวนห้าคนก็ยังเป็นผู้หญิง ชานยอลเข้าใจความแค้นของเพื่อนผิวเข้มดีว่าใคร และพอจะเดาได้ว่าเรื่องคืนนี้จะจบลงแบบไหน เพราะถ้าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นกับคนตัวเล็กเหมือนอย่างที่เซฮุนโดนกระทำ เขาก็คงจัดการคนร้ายพวกนั้นไม่ต่างไปจากที่เพื่อนลงมือเลยแม้แต่น้อย
และคงไม่มีใครคาดคิดด้วยว่า...ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมอันโด่งดัง เป็นเจ้านายที่น่านับถือ อ่อนโยน ให้เกียรติพนักงานทุกคนหรือเป็นนักธุรกิจที่อายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จได้รวดเร็วอย่างคิมจงอิน จะทำสิ่งที่น่ากลัวและดูโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
❀
“เชอะ !”
“แหวะ!!”
“ชิ!!!”
เป็นเสียงที่เกิดจากความหมั่นไส้ปนน้อยใจตัวเองของแบคฮยอน เพราะร่างกายของเขามันเล็กเกินกว่าจะอุ้มเซฮุนเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรได้อย่างที่เจ้าของโรงแรมทำอยู่ในตอนนี้ และได้แต่นั่งกินเยลลี่อยู่บนโซฟาโดยมีชานยอลคอยใช้สายตาห้ามปรามอยู่ตลอดเวลา
“พี่จงอินอย่าโกรธแบคเลยนะครับ” เข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่าย...ว่าต่างคนต่างกำลังคิดอะไรและไม่อยากให้คนที่อายุมากกว่าอย่างเจ้าของโรงแรมถือสากับสิ่งที่คนอายุน้อยกว่าแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นการประชดประชัดด้วยคำพูดหรือแม้แต่การกระทำ
“พี่ไม่โกรธหรอกครับ...พี่เข้าใจ แล้ววันนี้คนเก่งของพี่เป็นไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า?? หมอเข้ามาตรวจแล้วว่ายังไงบ้าง??” เสร็จจากการพาคนป่วยเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ จงอินก็วางเซฮุนลงบนเตียงอย่างเบามือและถามนั่นถามนี้ไปเรื่อยเปื่อย เพราะไม่อยากได้ยินเสียงต่อว่าต่อขานของคนที่นั่งกินขนมสีหวานอยู่บนโซฟา
“หมอบอกว่า...(อาการของคุณเซฮุนดีขึ้นมากเลยนะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว ส่วนผลการทำกายภาพบำบัดก็ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ)” แกล้งกดเสียงต่ำๆล้อเลียนคำพูดของคุณหมอเพื่อบอกเล่าอาการของตัวเองให้คนรักฟัง พร้อมกับยิ้มหวานจนคนมองอดใจไว้ไม่ไหว
ฟอดดดดด!!!!
“เดี๋ยวพี่จะไปฟ้องคุณหมอ” กดจมูกทู่...ที่เป็นเอกลักษณ์ฝังลงบนแก้มนิ่มของคนป่วยด้วยความมันเขี้ยว และที่ต้องถามในสิ่งที่ตัวเองก็ได้ยินมาไม่ต่างจากคนเล่าก็เป็นเพราะถูกใครบางคนกันท่าไว้ตลอดเวลาจนไม่มีสมาธิฟังสิ่งที่คุณหมอบอกสักเท่าไหร่ และดี...ที่ตอนนี้มีวิศวกรตัวโย่งช่วยห้ามปรามแฟนตัวเล็กเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงหงุดหงิดมากไปกว่าเดิม
แต่....
“แหวะ!! ”
เสียงหัวเราะของคู่รักที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆมาด้วยกัน มันดังจนคนที่นั่งทานเยลลี่อยู่บนโซฟาอดที่จะเบะปากให้กับภาพที่เห็นไม่ได้ ใจหนึ่งก็รู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นคนป่วยมีอาการดีขึ้น แต่อีกใจ...ก็นึกหมั่นไส้เพื่อนรักที่ยอมยกโทษให้เจ้าของโรงแรมง่ายเกินไป เพราะถ้าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง เขาคงโกรธชานยอลไปจนกว่าจะพอใจ
“แหวะมาตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ น้องแบคอยากให้พี่โทรไปฟ้องคุณพ่อจริงๆใช่ไหม??”
ไม่อยากดุแฟนต่อหน้าคนป่วย...ชานยอลจึงพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบในแบบที่คนฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันคืออะไรหรือต้องการสื่อถึงสิ่งใด คนตัวเล็กได้แต่ทำหน้ามุ่ยและขยับกายขึ้นไปนั่งบนตักของวิศวกรประจำโรงแรมเหมือนเป็นเชิงขอโทษ พร้อมกับนั่งทานของหวานที่ถืออยู่ในมือไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ยังคงความเป็นลูกชายตัวแสบของจีซบเอาไว้โดยการแลบลิ้นใส่แฟนผิวเข้มของเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้
แกร็กก!!!
“คุณเซฮุน....ได้เวลาทำกายภาพบำบัดแล้วค่ะ”
เสียงเปิดประตูที่มาพร้อมกับพยาบาลสองคนและรถเข็นในมือ มันทำให้คนที่นั่งทานเยลลี่อยู่บนตักของแฟนรีบวางของหวานทิ้งไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปที่เตียงของคนป่วยด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่...ยังไม่ทันเดินไปถึงไหน เจ้าตัวก็ถูกมือใหญ่ๆของวิศวกรหนุ่มคว้าเอวเอาไว้และลากตัวกลับมานั่งโซฟาตามเดิม
ใช่ว่าอยากห้ามคนตัวเล็กตามลงไปดูคนป่วยทำกายภาพบำบัด แต่เวลานี้ชานยอลอยากได้ความเป็นส่วนตัวเพื่อบอกเรื่องสำคัญที่ตัวเองต้องไปจัดการในช่วงค่ำ และมันอาจทำให้แบคฮยอนหายโกรธจงอินรวมถึงเข้าใจอาชีพของผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมมากขึ้น เพราะขนาดตัวเขาที่เป็นวิศวกรก็ยังต้องทำงานอย่างอื่นที่ดูเหมือนจะเกิดอาชีพไปบ้าง และคนอย่างเพื่อนผิวเข้มก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าแค่การเป็นเจ้าของโรงแรมเพียงอย่างเดียว
จงอิน...เป็นนักธุรกิจที่ต้องใช้ไหวพริบเพื่อประมูลที่ดินหรือซื้อสิ่งที่สามารถขยายธุรกิจให้กว้างมากยิ่งขึ้น จงอิน...เป็นเจ้านายที่ต้องดูแลพนักงานในโรงแรมที่มีอยู่ในแต่ละสาขาซึ่งมีจำนวนอยู่ไม่ใช่น้อย จงอิน...เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องประคับประคองธุรกิจที่มีอยู่ทั้งหมดให้มั่นคงและเป็นผู้ที่ต้องแบกรับหน้าที่ต่างๆเอาไว้อีกหลายอย่าง ชีวิตของคิมจงอินมันยุ่งยากกว่าคนที่มีอาชีพเป็นวิศวกรหลายเท่า และแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
แล้วตอนนี้...เวลาทั้งหมดก็เป็นของคนป่วยที่กำลังถูกเพื่อนของเขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก แล้ววางลงบนเข็นอย่างทะนุถนอม
ชานยอลมองภาพที่จงอินกำลังเข็นรถคนป่วยออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย มันโล่งใจที่เห็นเซฮุนยิ้มได้ มันเบาใจที่เห็นเพื่อนผิวเข้มกลับมามีสติอีกครั้ง เพราะตอนแรกที่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้น จงอินแทบไม่เหลือสภาพความเป็นเจ้าของโรงแรมมากเสน่ห์ที่ใครๆต่างก็หลงใหล ใบหน้ามีแต่ความโศกเศร้า ความกังวล และมีความเคียดแค้นอยู่ในดวงตาตลอดเวลา ซึ่งมันไม่ได้ดูอบอุ่นเหมือนอย่างเมื่อครู่
“พี่ชานยอลโกรธน้องแบคเหรอฮะ น้องแบคขอโทษ...กินเยลลี่ด้วยกันไหมฮะ นะ...น้อง โอ้ยย!! เจ็บนะ!!!!”
เสียง...ที่เอ่ยขอโทษอย่างทะเล้นโดยไม่ได้รู้สึกผิดด้วยความจริงใจ ทำให้ชานยอลหลุดออกจากภวังค์แล้วบีบปากบางสีหวานที่หวานยิ่งกว่าเยลลี่เหมือนเป็นการลงโทษ และเสียงโวยวายที่มาพร้อมกับการโดนทุบตีที่หน้าอกด้วยแรงอันน้อยนิด ก็ทำให้เขาหายเครียดจากเรื่องต่างๆที่วิ่งวนอยู่ในหัว ชานยอลคว้าตัวคนหน้ามุ่ยที่เริ่มทานของหวานสุดโปรดเป็นกล่องที่สามเข้ามากอดเอาไว้และเริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองกับเพื่อนต้องไปจัดการในค่ำคืนนี้
“น้องแบคท้องหรือเปล่า? ช่วงนี้กินเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม??!”
“โอ๊ยย!!!...น้องแบคเจ็บนะฮะ พี่ชานยอลมาบีบพุงน้องแบคทำไม???”
“ไหนหมอขอตรวจหน่อยซิ...ว่ามีเด็กอยู่ในท้องหรือเปล่า น้องแบคถึงได้กินจุแบบนี้”
“อ๊ะ!!!...พี่ชานยอลอย่าแกล้งน้องแบคสิฮะ มันจั๊กจี้....ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ยังโกรธ...เรื่องที่คนในอ้อมกอดทำกิริยาไม่น่ารักใส่เจ้าของโรงแรม แต่ก็ไม่อยากเก็บมาเป็นอารมณ์และมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดนั้น แถมยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้ต้องจัดการ เมื่อแกล้งคนตัวเล็กจนหนำใจ ชานยอลก็หยิบเยลลี่ถ้วยที่สี่ป้อนให้คนที่ยังคงหายใจเหนื่อยหอบจากถูกเขาขย้ำพุงแต่ก็ยังทานของหวานได้เป็นปกติ แถมยังทิ้งตัวนอนคว่ำนอนหงายอยู่บนโซฟาอย่างไม่นึกกลัวว่าตัวเองจะปวดท้อง
“ตกลงคืนนี้น้องแบคจะนอนกับเซฮุนที่นี่ใช่ไหมครับ??”
“ใช่ฮะ หรือว่าาา...พี่ชานยอลไม่อยากให้น้องแบคค้างกับเซฮุน??”
“ค้างได้ครับ แต่ให้แค่คืนนี้คืนเดียว เพราะพี่อยากนอนกอดน้องแบค...แล้วจงอินก็คงอยากนอนกอดเซฮุนหมือนกัน”
“...........”
“น้องแบคฟังพี่นะครับ คืนนี้จงอินจะไปจัดการคนที่ทำให้เซฮุนเป็นแบบนี้ แล้วพี่ต้องไปด้วยพะ...พี่”
“ไม่!!! น้องแบคไม่ให้พี่ชานยอลไป!!”
การได้ยินคนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและบอกว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ไปกับใคร มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที เพราะการทำงานบางอย่างที่นอกเหนือจากอาชีพวิศวกรมันไม่เคยมีความปลอดภัยและเสี่ยงเกินกว่าจะยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้น แบคฮยอนกอดแฟนของตัวเองเอาไว้แน่นเหมือนอยากส่งผ่านความรู้สึกต่างๆให้เจ้าของแผ่นอกกว้างได้รับรู้ว่าเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน
“พี่สัญญา...ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย น้องแบคเชื่อพี่นะครับ แล้วพี่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรทั้งนั้น เพราะทุกอย่างจงอินจะเป็นคนจัดการเอง”
“ให้คนอื่นจัดการไม่ได้เหรอฮะ? ละ...แล้วพี่จงอินจะเป็นอะไรไหม มันอันตรายหรือเปล่า??”
“เป็นห่วงจงอินด้วยเหรอครับ??”
“ปะ...เป็นห่วงแทนเซฮุนต่างหาก”
เป็นคนเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เก่ง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่าทาง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกไปอย่างนั้น และยอมรับว่าโกรธเจ้าของโรงแรมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งๆที่ความจริงก็ทราบดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ยิ่งมาเห็นสภาพคนป่วยด้วยตาของตัวเองในวันนี้ มันก็ยิ่งเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่...พอรู้ว่าแฟนผิวเข้มของเพื่อนรักจะไปจัดการเรื่องที่ตัวเองเป็นต้นเหตุในคืนนี้ แบคฮยอนจึงอดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกันเพราะถ้าเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับเจ้าของโรงแรม เซฮุนคงเสียใจจนอาการต่างๆอาจทรุดหนักลงกว่าเดิม
“น้องแบคดูแลเซฮุนดีๆนะครับ แล้วพรุ่งนี้พี่จะรีบมาหาแต่เช้า”
“น้องแบคไม่อยากให้พี่ชานยอลไปเลยฮะ”
“ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจริงๆครับ”
“เสร็จงานแล้วโทรมาหาน้องแบคด้วยนะฮะ ดึกแค่ไหนน้องแบคก็จะรอ”
ฟอดดดด!!!
หอมแก้มนิ่มของคนคิดมากเป็นคำตอบ พร้อมทั้งโอบกอดไว้เพื่อให้คลายความกังวลเพราะชานยอลเข้าใจดีว่าแฟนตัวเล็กเป็นห่วงเขามากแค่ไหน ใช่ว่าอยากทำงานเกินหน้าที่ เกินอาชีพหรือเกินกว่าจะทำให้ใครต้องมาคอยวิตกกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ แต่เรื่องบางอย่างมันก็ยากที่จะควบคุมและเขาก็ไม่ได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรก
ถ้าชานยอลไม่ได้เป็นวิศวกร...ก็คงเป็นเลขาประจำตัวของเพื่อนผิวเข้ม เพราะงานเกือบทุกอย่างเขาสามารถตัดสินใจแทนเจ้าของโรงแรมได้โดยไม่ต้องรอการอนุมัติ และงานที่ทำคู่กับการวิศวกรอยู่เป็นประจำก็คือการช่วยจงอินสืบข้อมูลของคู่แข่งเมื่อมีงานประมูลต่างๆหรือมีความผิดปกติที่อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อโรงแรมในเครือของกระกูลคิม ซึ่งงานที่นอกเหนือจากอาชีพวิศวกร...มันค่อนข้างเสี่ยงกว่าการยืนคุมคนงานอยู่ในเขตก่อสร้างหรือออกแบบอาคารบ้านเรือน
แต่เมื่อทำแบบนี้มานาน...มันจึงเกินความเคยชินและชานยอลก็มั่นใจว่าเรื่องที่จะต้องไปจัดการกับจงอินในคืนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว
“งั้นตอนนี้พี่พาน้องแบคไปกินข้าวก่อนดีกว่านะครับ กินแต่เยลลี่เดี๋ยวปวดท้อง”
“ดีเหมือนกันฮะ...เยลลี่ก็หมดแล้วด้วย น้องแบคจะได้ซื้อมาเพิ่ม”
“แล้วน้องแบคต้องกลับเชจูวันไหนครับ คุณพ่อโทรมาบอกหรือยัง??”
“ยังเลยฮะ”
ดีใจ...เมื่อได้รับอนุญาตให้เดินทางมาหาคนป่วยที่โรงพยาบาล แต่การได้เห็นหน้า ได้กอด ได้คุยกับคุณพ่อเพียงไม่กี่ครั้ง มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป จากที่เคยถูกสั่งห้ามนั่นห้ามนี่ จากที่เคยถูกบ่นว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต จากที่เคยทำผิดจนถูกกักบริเวณ ทุกๆอย่างมันคงไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะหลังจากที่คุณพ่อกลับมาที่บ้านเมื่อคืน ท่านก็รีบเก็บกระเป๋าแล้วเดินทางไปญี่ปุ่นทันทีโดยไม่มีการบอกให้รู้ล่วงหน้าเลยสักคำ แถมยังไม่รู้ท่านจะกลับมาที่เชจูเมื่อไหร่
ยอมรับ...ว่าตอนแรกรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจทุกครั้งเมื่อถูกคุณพ่อบ่นหรือทำโทษทั้งๆที่เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย แต่หลังจากเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับเซฮุนจนท่านต้องเดินทางมาดูแลคนป่วยด้วยตัวเอง แบคฮยอนจึงรู้สึกว่าการที่ได้ยินเสียงบ่นของคุณพ่อทุกวันมันยังดีกว่าการที่ต้องอยู่คนเดียวในบ้านเพียงลำพัง ถึงแม้ในเวลานั้นจะมีชานยอลคอยอยู่เคียงข้าง แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเหงาอยู่ดี
คนตัวเล็กมีเรื่องให้คิดเยอะแยะเต็มหัวสมองไปหมด ทั้งเรื่องคุณพ่อ เรื่องคนป่วยและเรื่องที่คนรักต้องไปจัดการบางอย่างกับเจ้าของโรงแรมในคืนนี้ ซึ่งทุกๆเรื่อง...มันพาให้หัวใจห่อเหี่ยวไปหมด
❀
ห้องธาราบำบัด
14.02 น.
ห้องที่มีสระน้ำสีฟ้าขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง...ถูกคนเป็นเจ้าของโรงแรมสั่งปิดไว้เพื่อให้คนป่วยของตัวเองได้รับการกายภาพบำบัดได้อย่างเต็มที่โดยห้ามคนป่วยคนอื่นหรือพยาบาลท่านใดเข้ามารบกวนจนกว่าเขาจะอนุญาต และเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือ...“หวง”
จงอินเรียนรู้วิธีการทำกายภาพบำบัดด้วยการเดินในน้ำมาจากคุณหมอ เขาตั้งใจรวมถึงจดจำรายละเอียดต่างๆเพื่อที่ตัวเองจะได้ดูแลคนป่วยได้โดยลำพัง การทำกายภาพด้วยวิธีนี้มันทำให้คนป่วยเหมือนถูกเปลือยกายในความรู้สึกของเขา เพราะเสื้อผ้าที่แนบเนื้อเมื่ออยู่ในน้ำมันแทบไม่ต่างไปจากการตอนที่เซฮุนไม่ได้สวมเสื้อผ้า และเขาก็ไม่อยากให้ใครเห็นคนรักด้วยสภาพเสื้อผ้าที่แนบเนื้อแบบนั้น
หวงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร...และหวงมากขึ้นทุกวันอย่างไม่มีสาเหตุ
จงอิน...เข็นรถของคนป่วยเข้ามาในห้องธาราบำบัด พร้อมกับล็อคประตูเสร็จสรรพและเริ่มลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เซฮุน มือหนาอุ้มคนป่วยลงจากรถเข็นช้าๆแล้ววางลงบนเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ ส่วนคนที่กำลังถูกเปลื้องผ้า...ก็ได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอายและพยายามให้ความร่วมมือโดยการเคลื่อนไหวร่างกายในส่วนพอจะขยับได้ เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนเสื้อผ้ามันเป็นไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะอดทนต่อสายตาคมที่จ้องอยู่ตรงหน้าไม่ไหว
“เซฮุน...ยกขาให้พี่หน่อยครับ พี่จะใส่กางเกงให้” อยากทดสอบว่าคนรักจะสามารถยกขาข้างที่ถูกผ่าตัดได้หรือไม่หลังจากที่ผ่านการทำกายภาพบำบัดมาแล้วหลายวัน แต่การทดสอบความสามารถตอนที่ร่างกายของคนป่วยกำลังเปลือยเปล่า มันกลับกลายเป็นการทดสอบใจตัวเองเสียมากกว่าเพราะผิวขาวเนียน สะโพกกลมกลึงและเรียวขายาวสวยของเซฮุนมันกำลังทำให้จงอินเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง
“พี่จงอินอย่าแกล้งสิครับ เซฮุนอายจะแย่แล้ว” โอดครวญใส่คนตรงหน้าหน้าทันทีเพราะคิดว่าถูกแกล้ง และได้แต่ก้มหน้าพร้อมหยิบเสื้อที่ถูกถอดออกไปก่อนหน้านี้เอามาปิดส่วนกลางลำตัวเอาไว้
“คิดว่าปิดแค่นี้แล้วจะรอดมือพี่เหรอครับ” จากไม่คิดที่จะกลั่นแกล้ง...แต่พอเห็นหน้าของคนรักที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ จงอินก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ละมือจากการสวมกางเกงให้คนป่วย...แล้วลูบไปบนขาอ่อนจนถึงความกลมกลึง เพราะรู้สึกมันเขี้ยวเจ้าของใบหน้าเรียวงามที่ตอนนี้กำลังขึ้นสีเหมือนผลมะเขือเทศสุก ส่วนคนถูกแกล้งที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายก็ได้แต่นั่งกัดปากของตัวเองอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเขินอาย และหลบหลีกมือคนเจ้าเล่ห์ได้ไม่มากนักเนื่องจากสภาพร่างกายมันยังไม่หายเป็นปกติ
แต่...คนที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะทนไม่ไหว แล้วรีบสวมกางเกงให้กับคนป่วยก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรม เพราะการที่ร่างสวยเปลือยเปล่าพยายามเบี่ยงกายหลบมือของเขามันก็ไม่ต่างไปจากการถูกยั่วยวนโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนป่วยเรียบร้อย...คนขี้แกล้งก็เดินเข้าไปในห้องทางด้านหลังเพื่อเปลี่ยนชุดของตัวเองบ้าง และเมื่อทุกอย่างพร้อม จงอินก็อุ้มเซฮุนเดินลงไปในสระน้ำด้วยความระมัดระวัง คนป่วยถูกปล่อยให้ยืนลงในน้ำโดยที่มือทั้งสองข้างจับราวอะลูมิเนียมเอาไว้ ส่วนด้านหลังก็มีเจ้าของกายสีน้ำผึ้งคอยประคองอยู่ไม่ห่าง จงอินยังไม่ให้คนป่วยเริ่มเดินทันทีเมื่อเท้าแตะลงบนพื้นสระ แล้วสั่งให้ขยับร่างกายอยู่กับที่อย่างช้าๆเพื่อเป็นการปรับสภาพกล้ามเนื้อ
“ค่อยๆเดินนะครับเซฮุน ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่ ห้ามฝืนเด็ดขาด” เมื่อเห็นว่าร่างกายของคนป่วยเริ่มชินกับการยืนอยู่ในสระน้ำ จงอินจึงเริ่มออกคำสั่งเหมือนอย่างที่ตัวเองถูกคุณหมอสอนมาทันที
“พี่จงอินอย่าปล่อยเซฮุนนะครับ เซฮุนกลัว!!” น้ำที่ไหลเวียนอยู่ในสระมันทำให้เซฮุนก้าวขาไม่ได้เหมือนตอนอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้า ในน้ำมีแรงต้านมากจนขาของเขาเริ่มสั่นและพร้อมที่หมดแรงได้ตลอดเวลาทั้งๆที่เพิ่งเข้ารับการบำบัดได้ไม่ถึงห้านาที
“พี่ไม่ปล่อยแน่นอนครับ เซฮุนไม่ต้องกลัว...ถ้ายังเดินไม่ได้ก็ย้ำเท้าอยู่กับที่ไปก่อนครับ” การที่คนป่วยทิ้งตัวมาทางด้านหลังแล้วพิงอกของเขาเอาไว้ และร่างกายยังสั่นเหมือนลูกแมวตกน้ำ มันเป็นสิ่งที่ฟ้องจงอินได้เป็นอย่างดีว่าคนป่วยกลัวมากแค่ไหน ยิ่งดวงตาคู่สวยที่หันมามองเขาเหมือนเป็นการกำชับว่าอย่าปล่อยมือเป็นอันขาดก็ยิ่งทำให้จงอินรู้สึกสงสารเซฮุนแทบขาดใจ
คนป่วยหยุดเดินตามคำสั่งของบุรุษพยาบาลประจำตัว และพยายามตั้งสติอยู่นานกว่าจะเริ่มหัดเดินอีกครั้ง ขาซ้าย ขาขวา ค่อยๆก้าวอย่างช้าๆตามแรงต้านของน้ำที่ไหลวนอยู่ภายในสระ เซฮุน...เดินไปเดินกลับในระยะที่ไม่ไกลมากนักโดยมีจงอินคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ และเมื่อบำบัดครบตามเวลาที่คุณหมอกำหนดไว้ เซฮุนก็ถูกอุ้มขึ้นจากสระน้ำทันที
“ตอบพี่หน่อย...คนเก่ง เมื่อเช้ามีใครอาบน้ำให้หรือเปล่า หื้มม??!” วางคนป่วยลงบนเก้าอี้เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และเอ่ยปากถามในสิ่งที่ค้างคาใจมาหลายชั่วโมงเพราะเมื่อเช้าตัวเองต้องรีบไปประชุมที่โรงแรมจนไม่ทันได้อาบน้ำให้คนรักเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่พอเดินทางมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งกลับเห็นใบหน้าเรียวสวยนวลไปด้วยแป้งที่เหมือนเพิ่งโดนจับอาบน้ำมาไม่นาน
“พยาบาลอาบให้ครับ เซฮุนเหนียวตัว...ก็เลยเรียกให้พยาบาลมาอาบน้ำให้” รู้ดีว่าเจ้าของโรงแรมเป็นคนขี้โมโห แต่ก็ยังพูดยั่วอารมณ์เพราะอยากเอาคืนคนขี้แกล้งหลังจากถูกมือหนาสัมผัสตามร่างกายจนทำให้เขินอายเมื่อตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่ตอนนี้...คนป่วยเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่ มันเป็นการคิดผิดอย่างมหันต์เพราะเขากำลังถูกจับจ้องด้วยดวงตาคมที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเดาเลยว่าคนตรงหน้ากำลังโกรธมากแค่ไหน แถมผ้าขนหนูสีขาวที่คนรักถืออยู่ในมือเพื่อเช็ดตัวให้เขาก็ถูกกำไว้แน่นจนเส้นเลือดขึ้น คนป่วยจำเป็นต้องทิ้งสายตาไว้ที่พื้น เพราะไม่อาจทนต่อการถูกจ้องมองอย่างกล่าวโทษของจงอินได้ อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดและเอาความเป็นห่วงของคนรักมาทำเป็นเรื่องล้อเล่น
“พยาบาลคนไหนครับ ผู้ชายหรือผู้หญิง พี่จะได้จัดการถูก” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเยือกเย็นในความรู้สึกของคนฟัง พร้อมกับใช้มือลูบไปที่แก้มของคนรักเบาๆเหมือนเป็นการเค้นเอาคำตอบ จงอินเคยสั่งพยาบาลทุกคนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลผู้หญิงหรือผู้ชายก็ห้ามเข้ามาเช็ดตัวหรืออาบน้ำให้คนป่วยคนนี้เด็ดขาด แต่ทำไม...ถึงมีคนกล้าขัดคำสั่งของเขา
“พะ...พี่จงอินใจเย็นๆก่อนนะครับ แบคเป็นคนอาบน้ำให้เซฮุนเอง ไม่มีพยาบาลที่ไหนมาอาบให้ทั้งนั้น เซฮุนล้อเล่นเฉยๆ เซฮุนขอโทษ พี่จงอินอย่าโกรธเซฮุนเลยนะครับ เซฮุนไม่ได้ตั้งใจ!!” คนสำนึกผิดรีบพูดความจริงเพราะไม่อยากให้คนรักโกรธจนอาจทำให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเดือดร้อน
“เซฮุนไม่ได้โกหกพี่ใช่ไหม สรุปว่าแกล้งพี่?! แล้วน้องแบคก็เป็นคนอาบน้ำให้เซฮุนจริงๆใช่ไหม??!” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้ง แล้วใช้มือข้างหนึ่งเชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้หันมาสบตากัน และเมื่อเห็นว่าดวงตาคู่สวยที่มักจะโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเมื่อยิ้มหรือหัวเราะเริ่มคลอไปด้วยน้ำสีใส จงอินจึงรู้ได้ทันทีว่าคนป่วยคงรู้สึกผิดและคำแก้ตัวที่พูดออกมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง
รู้ทั้งรู้...ว่าหวงจนแทบอยากจับขังเอาไว้ในห้อง แต่เซฮุนก็ยังกล้าวัดใจคนอย่างเขาด้วยการพูดยั่วโทสะ
“เซฮุนไม่ได้โกหกครับ แบคเป็นคนอาบน้ำให้เซฮุนจริงๆ เซฮุนขอโทษ...พี่จงอินอย่าโกรธเซฮุนเลยนะครับ ทีหลังเซฮุนจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว พี่จะ...จง อื้ออออออ”
ปากหยักบดจูบคนที่คิดจะลองดีกับเขา...และใช้มือทั้งสองข้างจับใบหน้าเรียวสวยไว้ด้วยแรงของความหึงหวง พร้อมกับมอบรสสัมผัสที่ร้อนแรงให้เพื่อเป็นการลงโทษ แต่คนถูกจูบกลับไม่ได้คิดว่าสิ่งที่จงอินทำอยู่นั้นคือการลงโทษ รวมถึงทราบดีว่าผู้ชายคนนี้หวงเขามากแค่ไหน ขี้หึงมากเท่าใดหรือไม่ต้องการให้ใครเข้าใกล้ เซฮุนผิดเองที่เอาความรู้สึกดีๆที่คนรักมอบให้มาเป็นเรื่องล้อเล่น เอาความเป็นห่วง...มาพูดเพื่อเห็นแก่ความสนุกเพียงชั่ววูบ และตอนนี้...เขาก็พร้อมที่จะยอมโดนลงโทษมากกว่าแค่การถูกจูบ
เซฮุนเอียงใบหน้าเพื่อรับจูบจากปากหยักให้ถนัดมากขึ้น พร้อมกับส่งลิ้นที่ทำอย่างไรก็อ่อนประสบการณ์กว่าตอบโต้อวัยวะเดียวกันของคนตรงหน้าอย่างไม่นึกอาย และผลจากการกระทำของคนป่วย...ก็ทำให้จงอินเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ มือหนาลูบไล้และฟอนเฟ้นไปทั่วร่างสวยอย่างอดใจไม่ไหว เพราะมันทั้งหวาน ทั้งหอมและจับตรงไหนก็นุ่มมือไปหมด
แต่...แรงบีบที่หัวไหล่จากมือของคนที่ยอมถูกลงโทษ มันทำให้เจ้าของกายสีน้ำผึ้งต้องละออกจากความหวานอย่างนึกเสียดาย และดวงตาคู่สวยที่ฉ่ำปรือมองเขาอยู่ตรงหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มมาให้ก็ทำเอาจงอินถึงกับต้องส่งปากหยักลงไปจูบคนช่างยั่วซ้ำๆอย่างคนไม่รู้จักพอ
ฟอดดดดด!!!
“อยากให้พี่อดใจไม่ไหวหรือไง หื้มม” ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆไปที่ริมฝีปากของคนป่วยและหอมแก้มนุ่มจนยุบไปตามแรงกด
“อดไม่ไหวก็ไม่ต้องอดสิครับ” รู้ดีว่าจงอินต้องอดทน เรียนรู้ และฝึกในสิ่งที่ไม่เคยทำเพื่อจะได้ดูแลคนป่วยอย่างเขามานานมากแค่ไหน เซฮุนจึงพยายามตามใจหรือยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้คนรักมีความสุข แม้ร่างกายของตัวเองจะยังไม่หายเป็นปกติก็ตาม
ฟอดดดด!!!
ฟอดดดด!!!
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่ยอมพี่มากขนาดนี้ แต่พี่จะรอจนกว่าเซฮุนจะหายดี แล้วถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ พี่จะลงโทษเซฮุนทั้งวันทั้งคืนเลย” หอมแก้มนุ่มซ้ำๆอย่างไม่รู้เบื่อ เพราะทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ ทั้งกิริยาต่างๆที่คนป่วยแสดงออกมาทั้งหมดในวันนี้ มันเกือบทำให้เขาสติแตกและทำอะไรเกินเลยไปกว่าการทำกายภาพบำบัด
เมื่อบทลงโทษสิ้นสุดลง...คนป่วยก็ถูกสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แต่ความเงียบในช่วงที่รอใครอีกคนเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย บวกกับเสียงของน้ำที่ไหลวนอยู่ในสระอย่างช้าๆมันกำลังทำให้เซฮุนจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง
“พี่จะรอจนกว่าเซฮุนจะหายดี แล้วถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ พี่จะลงโทษเซฮุนทั้งวันทั้งคืนเลย”
คำคำนี้...มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของคนป่วยจนยากที่จะลบออก หายดีอย่างนั้นหรือ?? นั่นสิ!!?...อีกนานเท่าไหร่กว่าคนกึ่งพิการอย่างเขาจะหายเป็นปกติ? หนึ่งเดือน? สองเดือน? หรือจะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต???? เซฮุนไม่เคยแน่ใจตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่าจะสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งเมื่อไหร่เพราะตั้งแต่ที่เริ่มเข้ารับการบำบัด เขายังเดินได้ไม่มากเท่าที่ใจอยากให้เป็น และถ้าไม่มีจงอินคอยช่วยประคองร่างกายเอาไว้ เขาก็แทบจะไม่มีแรงเดินเลยด้วยซ้ำ
แกร๊กก!!!
เสียงตัวล็อครถเข็นถูกปลดออกด้วยมือขอคนที่เพิ่งแต่งตัวเรียบร้อย และมันก็ทำให้เซฮุนรู้สึกตกใจจนหลุดออกจากภวังค์ของความคิดมากทันที คนป่วยพยายามเข้มแข็งเพื่อให้ผ่านความเจ็บปวดไปได้ในแต่ละวัน แต่บางที...มันก็รู้สึกท้อเพราะจากที่เคยเดินได้ อาบน้ำกินข้าวเองได้และเดินทางไปนั่นมานี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้กลับต้องมานอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านวันไหน แถมยังต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเวลาเมื่อต้องการจะไปที่ไหนอย่างเช่นห้องน้ำ ห้องเอ็กซ์เรย์ร่างกายหรือแม้กระทั่งสวนหย่อมที่คนรักพามานั่งเล่นอยู่ในตอนนี้
“พี่จงอินเหนื่อยไหมครับ?? เหนื่อยที่ต้องมาดูแลคนป่วยอย่างเซฮุนหรือเปล่า?”
“คนเก่งของพี่เป็นอะไรครับ?? แล้วทำไมถึงถามพี่แบบนั้น หื้มม?”
“เซฮุนกลัวพี่จงอินจะเหนื่อยครับ แล้วก็เบื่อ...ที่ต้องมาดูแลคนพิการแบบเซฮุน”
“ไม่เอา...ไม่พูดแบบนี้ เซฮุนอย่าคิดมากนะครับ พี่ไม่ทิ้งเซฮุนแน่นอน พี่สัญญา”
“ฮึกกก!!! แต่เซฮุนเหนื่อยมากเลยครับ ฮึก!! เมื่อไหร่เซฮุนจะหาย เมื่อไหร่จะเดินได้สักที!!!”
“ชู่ววว...ไม่ร้องไห้นะครับคนเก่ง ใจเย็นๆนะครับ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เซฮุนลืมที่คุณหมอบอกแล้วเหรอครับ”
“ฮึกกก!!!........”
“พี่พาเซฮุนกลับขึ้นไปพักบนห้องดีกว่า ป่านนี้น้องแบครอแย่แล้ว”
ไม่เก่งเรื่องการปลอบใจใครมาตั้งแต่จำความได้...เจ้าของโรงแรมจึงได้แค่พูดความจริงที่คนป่วยก็ทราบดีอยู่แก่ใจ แล้วรีบเข็นรถกลับขึ้นมาที่ห้องพักเพราะคนตัวเล็กก็อาจทำให้คนป่วยรู้สึกดีขึ้น จงอินอยากมีเวทมต์ขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นน้ำตา เห็นความท้อแท้ เห็นความอ่อนแอของคนรักที่ระเบิดความรู้สึกทั้งหมดออกมาอย่างนั้นแล้วเสกให้เซฮุนเดินได้เหมือนอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
ใช่ว่าเจ้าของโรงแรมไม่รู้สึกท้อ...แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้และจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักกลับมาเดินได้เป็นปกติ ต่อให้ต้องเสียเงินมากมายแค่ไหน หรือต้องหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาคนป่วยจากที่ใด เขาก็พร้อมที่จะทำอย่างไม่นึกเสียดายอะไรทั้งนั้น สิ่งไหนที่สามารถนำรอยยิ้ม ความสุขและเสียงหัวเราะกลับมาให้เซฮุนได้อีกครั้ง เขาก็ยอมทำได้ทุกอย่างและจะทำด้วยความเต็มใจ
หรือต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต...คิมจงอินคนนี้ก็ยอม
❀
100%
แก้ไขเมื่อ 10/02/61
Cr. ภาพห้องธาราบำบัด : Samitivej Hospital
Cr. ภาพดอกทิวลิปสีแดง : IG > youare_myflower
สมองของเรามันหยุดการทำงานจริงๆค่ะ T^T พยายามฮึดสู้...แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง
ขอบคุณที่ยังคงติดตามกันนะคะ และถ้าฟิคตอนนี้มีข้อผิดพลาดประการใด เราขออภัยด้วยค่ะ(พนมมือ)
แล้วจะเข้ามาตรวจคำเรื่อยๆนะคะ
รัก ♥
#ดอกไม้ของเจ้านาย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จากนี้ไปก็ขอให้มีแต่เรื่องดีๆ ขอให้น้องฮุนมีความสุขกับสวนดอกไม้ตามที่ฝันไว้เร็ว ๆ