ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จบแล้ว (EXO) ฝากเลี้ยง (Kaihun)

    ลำดับตอนที่ #1 : ☺ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      69
      18 เม.ย. 64





    1.

     

     

    XXX  Condominium

    06.26  น.

               

                “เกลียดอะไรได้อย่างนั้น”...คำคำนี้มันช่างเหมาะกับคนที่ต้องตื่นแต่เช้ามาเป็นเวลาเกือบห้าเดือน  และเป็นห้าเดือนที่แสนสาหัสเพราะสิ่งที่เกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการเลี้ยงเด็ก  แต่สุดท้าย...ก็ต้องมาดูแลสิ่งที่เกลียดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง  ใจหนึ่งก็สงสาร  อีกใจก็ภาระ(ฉิบหาย)  แล้วใจลึกๆก็อยากด่าพ่อแม่ของเด็กที่ใจร้ายผิดมนุษย์  ตอนรักกันมันก็ดีอยู่หรอก...อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็ต้องมีบุตร  อยากมีบุตรก็ต้องขยันทำการบ้าน  แต่ถ้าทำทุกอย่างแล้วไม่สำเร็จก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์

     

     

                ฝากไข่  ทำกิ๊ฟ  ทำ  ทำ ทำ ทำทุกทางเพื่อให้มีบุตร  แต่แล้ว...ความไม่แน่นอนของชีวิต  สันดานหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คนเปลี่ยนไปก็กลายเป็นตราบาปของเด็กแรกเกิด  มีเงินอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะมีลูกได้  มีเงินเยอะแค่ไหนก็คงไม่พอถ้าไม่มีความรับผิดชอบ  จนท้ายที่สุด...การหย่าร้างก็คงเป็นทางออกเดียวของคู่รักที่หมดรัก  แต่การหมดรักมันก็ไม่ควรทิ้งภาระให้ใครคนหนึ่งต้องทำหน้าที่เลี้ยงลูกเพียงลำพัง  คนเป็นพ่ออาจส่งเสียค่าเลี้ยงดู  คนเป็นแม่อาจรับหน้าที่ในการโอบอุ้มดูแล  ซึ่ง...ไม่ใช่การทิ้งไว้กับญาติอย่างเขาาาาาา!!!!!!

     

     

                แรกๆก็ฝากเลี้ยง...แต่หลังจากนั้นห้าเดือนก็ทิ้งไปโดยไม่บอกไม่กล่าว  โทรไปก็ไม่รับ  โทรไปสักพักปิดเครื่อง  ตามไปที่บ้านก็ย้ายหนี  ไปถามหาถึงที่ทำงานก็ลาออกไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า  ทำทุกทางเพื่อให้เด็กวัยเพียงขวบเศษได้อยู่กับผู้ที่ให้กำเนิด  แล้วสุดท้าย...เด็กมันก็ถูกทิ้งจริงๆ  สงสารเด็กก็สงสาร  โกรธพ่อแม่เด็กก็โกรธ  แต่โกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้...ในเมื่อแม่เด็กคือพี่สาวของตัวเอง

     

     

                ตั้งแต่ผู้มีพระคุณจากไป...พวกเราสองคนพี่น้องก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง  เรียนจบก็ทำงาน  บ้านเก่าก็ปล่อยให้เช่า  จนกระทั่งพี่สาวได้แต่งงานและมีลูกอย่างที่สามีต้องการ  แต่ทุกอย่างมันก็ไม่เป็นไปตามที่หวังเมื่อการหย่าร้างได้เริ่มต้นขึ้น  เด็กเกิดมาได้ไม่กี่เดือนพี่สาวก็หย่ากับสามี  แบ่งสมบัติ  แบ่งเงิน  แบ่งทุกอย่าง  แต่การแบ่งลูกที่อายุเพียงไม่กี่เดือนให้เขาดูแลมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในสินสมรส  งานก็ต้องทำ  หลานก็ต้องเลี้ยง  แถมเงินที่พ่อแม่ควรส่งเสียเลี้ยงดูก็ไม่มี  หายหัวกันไปหมด  ญาติที่ไหนก็ไม่ต้อนรับ

     

    เหนื่อยโว้ยยยยยยยย!!!!

     

     

    ...

     

     

    ...

     

     

    ...

     

    แกร๊กกก!!!

     

                ปิดประตูห้องน้ำอย่างเบามือ...เพราะเกรงว่าหลานจะตื่น  แล้วการใช้ชีวิตหลังจากที่มีเด็กเพียงขวบเศษมาอยู่ในการดูแลมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  จะกินข้าว  อาบน้ำ  ทำธุระส่วนตัว  ทุกๆอย่างต้องทำด้วยความเร่งรีบ  และบางครั้งก็ต้องเอาเด็กเข้ามาอาบน้ำด้วย  แล้วเงินที่เคยเหลือกินเหลือเก็บก็แทบไม่พอใช้  ค่านม  แพมเพิส  เสื้อผ้า  ร้องเท้ามันก็แพงเหลือเกิน  ยิ่งแพมเพิสก็ยิ่งเปลืองกว่าทุกสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด  และ....

     

                “แง..........!!!!!!!!

     

                “มาแล้ว  งุนงุนมาแล้ววววว!!!

     

                รีบล้างแชมพูออกจากศีรษะพร้อมเสียงขานรับที่มักจะทำให้เด็กรู้สึกดีขึ้น  แต่การที่เด็กอายุเพียงเท่านี้ตื่นมาแล้วไม่พบใครหรือเห็นเขาในระยะสายตา  เจ้าตัวก็คงรู้สึกตกใจแล้วการร้องไห้ก็คงเป็นทางออกเดียวของเด็กเกือบทุกคน  มือบางรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างก่อนวิ่งออกไปจากห้องน้ำด้วยความเป็นห่วง  ขาเรียวก้าวเข้ามาในที่นอน...ซึ่งจะเรียกมันว่าที่นอนก็ไม่น่าจะใช่  เพราะตั้งแต่มีเด็กมาให้ดูแล  เตียงที่เคยนอนคนเดียวก็ต้องเผื่อหลาน  แถมยังต้องเปลี่ยนมาเป็นแบบที่มีเบาะกั้นเพื่อป้องกันความปลอดภัย

     

                “งุน....ไหน?”

     

                “งุนอยู่นี่...งุนไปอาบน้ำ”

     

                “ฮึกก!....”

     

                “เด็กดีไม่ร้องนะคะ”

     

                “งุน...ฮึกก!  หาย!

     

                “มาแล้ว...งุนไม่หายแล้ว  โฮยอนไม่ร้องนะคะ”

     

                น้ำยังอาบไม่เสร็จ  ผมก็ยังเช็ดไม่แห้ง...แต่ก็ต้องรีบอุ้มเด็กตัวน้อยมาปลอบขวัญและมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้  มันเหมือนจะชินแต่ก็ไม่ใช่  เหมือนจะมีความสุขแต่ก็เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ  เหมือนชีวิตเริ่มจะลงตัว...แต่ก็ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ  ความฝันของคนที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นานก็คือการเปิดร้านกาแฟ  แต่เมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทาง  เด็กที่ถูกทิ้งก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความฝัน...แล้วฝันที่ว่าก็คือฝันร้าย

     

     

                โอ  เซฮุน...ผู้ซึ่งเกลียดเด็กมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ก็อาจเดินไปตบกบาล(กะ-บาน)  เด็กเป็นสิ่งเล็กๆที่เก่งแต่เรื่องร้องไห้  น่ารำคาญ  ขับถ่ายก็ไม่เป็นเวลา  ทุกๆที่...ที่มีเด็กอายุต่ำกว่า10ขวบคือสิ่งที่อยากอยู่ให้ไกลมากที่สุด  แต่แล้ว...การที่เด็กมีพ่อมีแม่ที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบก็พาให้คนเป็นน้าต้องเลี้ยงหลานคนนี้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง  จะให้ขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องพี่สาวตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องดี  แล้วเวลาก็ไม่มีเหลือให้ทำอะไรอีกแล้วนอกจากร้านกาแฟที่อุตส่าห์สร้างมาด้วยความเหนื่อยยาก

     

     

                ส่วนเด็กหญิงโอ  โฮยอน...ก็คงไม่ได้สนใจว่าใครเป็นพ่อแม่  เพราะความผูกพันจากผู้ที่ให้กำเนิดมันก็อาจหมดไปแล้วตั้งแต่ถูกทิ้ง  และการได้คุณน้าเซฮุนมาดูแลแทนคนที่ควรเลี้ยงดูมันก็มีแต่เรื่องสนุก  แต่ตอนนี้...มันเริ่มไม่สนุกแล้วสิ  ตื่นมาไม่เจอน้างุน  นมก็หมด  ห้องนอนก็มืด

     

                “ไปอาบน้ำกันนะคะ...เดี๋ยวน้างุนเปิดร้านไม่ทัน”

     

                “นม...”

     

                “อาบน้ำก่อนแล้วค่อยกินนม”

     

                “นม!!

     

                “อาบน้ำก่อน...ไปเป็ดๆกันไง  เป็ดๆ”

     

                “เป็ด...งุนเป็ด”

     

                แล้วสิ่งที่ยากพอๆกับการเลี้ยงเด็กก็คือการสื่อสาร...เพราะเป็ดคือการอาบน้ำ  การตบแก้มคุณน้าเบาๆคือการตกลง  และรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากก็หมายถึงความพึ่งพอใจ  เป็นวัยกำลังหัดเดิน  เป็นช่วงที่กำลังฝึกพูด  ซึ่งคำสั้นๆอย่างงุนๆ  เป็ดๆ  นมๆ...ก็คือสิ่งที่พูดบ่อยที่สุด

     

                “โฮยอน...วันนี้หนูอย่าดื้อนะคะ  น้างุนจะได้ไม่เหนื่อย”

     

                ^O^

     

                รู้ดี...ว่าคงจะไม่มีเสียงตอบรับเพราะตุ๊กตาเป็ดพลาสติกสีเหลืองที่ลอยอยู่ในอ่างน้ำมันน่าสนใจมากกว่าเสียงพร่ำรำพันของผู้เป็นน้า  มีหลานต้องเลี้ยง  ร้านก็ต้องเปิด  ลูกค้าก็เยอะ  แถมพนักงานใหม่ก็ยังทำอะไรไม่ค่อยเป็น  เจ้าของร้านอย่างเขาจึงรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเป็นสองเท่า  แล้วถ้าวันนี้โฮยอนร้องไห้งอแง....ลูกค้าก็อาจน้อยลงกว่าหลายวันที่ผ่านมา

     

                “โฮยอนเล่นกับคุณช้างไปก่อนนะคะ...น้างุนขอไปอาบน้ำแป๊บนึง”

     

                “จ๊างงง....”

     

                บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คุณน้าที่ดี...และการเลี้ยงหลานเพียงลำพังมันก็ต้องหาตัวช่วยเพื่อจะได้ทำธุระส่วนตัวได้ง่ายมากขึ้น  เซฮุนเดินไปหยิบผ้าอ้อมในตู้เสื้อผ้าเมื่ออาบน้ำหลานเรียบร้อยแล้วผูกขาเล็กๆกับโต๊ะหน้าทีวีเอาไว้ไม่แน่นมากนัก  และตุ๊กตาช้างสีชมพูก็อาจช่วยให้หลานอยู่นิ่งๆได้สักพัก  โฮยอนนอนกลิ้งอยู่บนเบาะยางขนาดใหญ่โดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กห่อกายเอาไว้  ส่วนคุณน้าก็ต้องรีบเข้าไปอาบน้ำก่อนที่หลานจะเริ่มซน

     

    ดี...ที่โฮยอนยังเดินไม่ได้  ไม่อย่างนั้นเซฮุนคงต้องมัดตัวหลานไว้กับเก้าอี้  และถ้าเด็กคนนี้เป็นเพศชาย...คนเป็นน้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้

     

     

                เซฮุน...ไม่อยากให้เด็กผู้หญิงอย่างโฮยอนเห็นในสิ่งที่เป็นการบ่งบอกถึงสภาพเพศ  และถึงแม้การอาบน้ำด้วยกันจะสามารถปกปิดบางส่วนได้ด้วยกางเกง  แต่ผู้เป็นน้าก็ยังคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ดี  ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ...เซฮุนจะไม่มีทางอาบน้ำพร้อมหลานเด็ดขาด  แล้วถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องใส่กางเกงขาสั้นเพื่อปิดบังส่วนน่าอายเอาไว้

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     


     

     

     

     

     

     



     

     

     

     

    11.00 น.

     

    กริ๊งง!!!

     

                “สวัสดีครับ...เชิญครับ”

     

                เสียงกระดิ่งหน้าร้าน...คือสิ่งที่บอกว่าเงินได้เดินทางมาถึงแล้ว  แต่จะได้เงินมากเงินน้อยก็ขึ้นอยู่กับออร์เดอร์ของลูกค้า  กาแฟร้อน30บาท  กาแฟเย็น50บาท  และถ้าเป็นแบบปั่นพร้อมวิปปิ้งครีมก็70บาท  ส่วนราคาของขนมต่างๆอย่าง  ครัวซองต์  แยมโรสหรือขนมเค้กมากมายในตู้กระจกก็จะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของวิธีการผลิต

     

                “กาแฟปั่นแก้วนึงค่ะ...”

     

                “ใส่วิปครีมไหมครับ?”

     

                “ใส่ค่ะ...แล้วก็เอามัฟฟินบลูเบอร์รี่ด้วยค่ะ”

     

                “ทานที่นี่หรือรับกลับครับ?”

     

                “ทานที่นี่ค่ะ”

     

                70+55=125 บาท...พร้อมการทอนเงินเสร็จสรรพ  และคนเป็นเจ้าของร้านก็ได้กล่าวขอบคุณนักศึกษาสาวก่อนเดินไปทำเครื่องดื่มด้วยความชำนาญ  ส่วนขนมอย่างมัฟฟินเนื้อนุ่มก็เป็นหน้าที่ของพนักงานในช่วงเช้าที่ต้องนำไปอุ่นให้ร้อนด้วยเครื่องอบ

     

                “เตนล์...เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าเสร็จแล้ว  พี่ฝากหน้าร้านแป๊บนะ”

     

                “ครับ”

     

                ถ้ามีเงินมากกว่านี้ก็อยากจ้างลูกน้องเพิ่มอีกสักคนสองคน...แล้วถ้าไม่มีภาระของพี่สาวมาให้เลี้ยง  ทุกอย่างที่ฝันไว้อาจไม่สะดุดเหมือนเช่นตอนนี้  จากที่คิดว่าจะทำหน้าที่เพียงดูแลเรื่องเงินๆทองๆภายในร้าน  สอนงานลูกน้องบางเล็กน้อย  และอาจเช็คสินค้าไปตามเรื่องตามราว  แต่สุดท้ายสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือสิ่งที่ต้องทำ  แถมยังต้องเลี้ยงเด็กไปด้วยทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่

     

     

                เซฮุนรีบเดินเข้าไปด้านใน...เพราะตอนนี้คือเวลาอาหารของหลานตัวน้อย  ร้านกาแฟเปิดให้บริการตั้งแต่แปดโมง  สิบเอ็ดโมงคือเวลาป้อนข้าวโฮยอน  และดีที่ลูกค้ายังไม่เยอะเท่าไหร่  ส่วนเวลาปิดร้านก็คือสองทุ่ม  หลังร้านกลายเป็นสถานกักกันเด็กอายุขวบเศษ  ซึ่งเบาะนุ่มๆรูปทรงเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมก็เป็นสิ่งที่ปกป้องเด็กได้ดีเหลือเกิน  แต่ถ้าโฮยอนอายุสองขวบ...ที่นอนแบบมีคอกกั้นก็คงเอาไม่อยู่

     

    แล้วก็...ขอบคุณช้างน้อยสีหวานที่คอยอยู่เป็นเพื่อนหลานมาตั้งแต่เช้า  และขอบคุณเจ้าตัวน้อยที่ไม่ร้องไห้งอแง

     

                “งุนงุนมาแล้วววว...เรามาหม่ำๆกันนะคะ”

     

                “นม..”

     

                “ไม่นมแล้ว...ตอนนี้โฮยอนต้องกินข้าว”

     

                “ข้าว”

     

                “ใช่...ข้าว”

     

                และเมื่อพูดถึงข้าว...คนเป็นน้าก็ต้องนำวัตถุดิบอย่างข้าวสวย  เนื้อสัตว์ต้มสุก  ผักนึ่งที่ปั่นรวมกันแล้วแช่ช่องเย็นเอาไว้ออกมาอุ่นด้วยไมโครเวฟ  เซฮุนอุ้มหลานให้นั่งลงบนเก้าอี้สำหรับเด็กอ่อนก่อนนำผ้ากันเปื้อนกระต่ายน้อยมาสวมให้  และเมื่อไมโครเวฟส่งเสียงเตือนก็ต้องรีบนำออกมาทำให้เย็น  พัดลม...เป็นตัวช่วยได้ดีแถมยังทำให้มื้อกลางวันหายร้อนได้เร็วกว่าการเป่าด้วยปาก

     

                “หม่ำๆ...”

     

                ^0^) 

     

                “อร่อยไหมคะ?”

     

                “นม”

     

                “ไม่นมค่ะ...โฮยอนต้องกินข้าวให้หมดแล้วค่อยกินนม”

     

                “นม”

     

                “ไม่นม  หม่ำๆเลย...เดี๋ยวงุนงุนต้องไปทำงาน”

     

                เหมือนหลานจะยังไม่ชินกับการที่ต้องทานอะไรแบบนี้...เพราะทั้งรสชาติ  รสสัมผัสหรือแม้กระทั่งกลิ่นมันก็ไม่เหมือนกับนมที่ดื่มจากขวดมาตั้งแต่เกิด  และคนเป็นน้าก็ต้องพยายามป้อนไปเท่าที่เด็กจะทานได้  เนื่องจากยิ่งบังคับเจ้าตัวก็ยิ่งคายทิ้ง  ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า  ยิ่งอยากให้ได้ดั่งใจก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ถึงจะหงุดหงิดไปบ้าง...ก็ไม่ถึงขั้นละเลยต่อสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็ก

     

                “.....!!!!

     

                “อิ่มแล้วเหรอคะ?”

     

                การเป่าปากจนข้าวกระเด็นเปื้อนเต็มโต๊ะ...คือสาเหตุที่คุณน้าต้องเอ่ยถาม  และเมื่อป้อนข้าวเพิ่มไปอีกหนึ่งคำแล้วมีอาการเช่นเดิม  นั่นหมายถึงเด็กน้อยคงทานไม่ไหวอีกแล้ว  ทิชชู่เปียกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงเด็ก  เพราะมันสามารถเช็ดปากโฮยอนได้ดีกว่าผ้าอ้อม  แถมยังเช็ดโต๊ะต่อได้เพื่อความประหยัด

     

                “งุน....”

     

                “อร่อยใช่ไหมล่ะ?”

     

                ^ ^) ”

     

                อุ้มเข้าอ้อมอกเมื่อหลานทานข้าวอิ่มแล้ว...แต่เพื่อพัฒนาการที่ดีขึ้น  เซฮุนก็ต้องเสริมด้วยน้ำผลไม้  แล้วเสียงเรียกชื่อพร้อมรอยยิ้มหวานก็คือสิ่งที่โฮยอนพยายามสื่อสารให้คุณน้าทราบว่าน้ำส้มคั้นมันอร่อยกว่าข้าวตั้งเยอะ  ปากน้อยๆ...ดูดความหวานจากขวดด้วยความสุข  แถมการถูกโอบอุ้มเอาไว้ก็พาให้รู้สึกอุ่นใจ  และ....

     

                “ฮืมมม..♪♫...♪♫♪...♪♫

     

                Zzz..zzz…Zz!!

     

                เมื่อท้องอิ่มพร้อมการถูกแกว่งไปมาอยู่ในอ้อมแขน  โฮยอนก็หลับได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่เพิ่งทานน้ำส้มไปเพียงนิดเดียว  เซฮุนร้องเพลงกล่อมอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำและอุ้มหลานพาดบ่าเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้อาหารที่ยังไม่ถูกย่อยส่งผลร้ายต่อกระเพาะน้อยๆ  มือบางประคองตัวโฮยอนวางลงบนที่นอนด้วยความระมัดระวังเมื่อได้เวลา  และเวลานี้ก็ต้องเปลี่ยนหน้าที่จากการเลี้ยงเด็กไปทำหน้าที่ดูแลร้านหลังจากที่ปล่อยให้ลูกน้องอยู่คนเดียวมานานนับชั่วโมง

     

     

                ถึงจะเกลียดเด็กแค่ไหน  รำคาญแค่ไหน  หรือน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม...แต่ก็เลี้ยงดูมาแล้วตั้งหลายเดือน  ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าการมีเด็กตัวน้อยๆมาอยู่ด้วยมันก็ช่วยคล้ายเหงาได้ดี  เซฮุนหอมแก้มหลานด้วยความรู้สึกที่ยากจะเอ่ย  เพราะถ้าถามว่ารักไหม...มันก็พูดไม่ได้เต็มปาก  เป็นห่วงหรือเปล่า...ก็ห่วงแต่ก็ไม่มากเท่าที่ควร  และคำว่าสงสาร...ก็คงเป็นคำตอบเดียวที่อยู่ในใจ

     

     

                เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งอย่างไร้เยื่อใย...มันมีแต่ความน่าสงสารมากกว่าความน่ารัก  แล้วพอเห็นหน้าเด็กทีไรก็พาลเกลียดพี่สาวกับสามีทุกครั้ง  ไม่รู้ว่าหนีไปมีความสุขอยู่ไหน  รู้บ้างไหมว่าน้องชายคนนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง  คิดแล้วก็ร้องไห้ทุกที...มือบางปาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่  เพราะตั้งแต่พี่สาวทิ้งหลานไว้กับเขา  ทั้งความฝัน  ความสุข  ความเป็นส่วนตัวก็หายวับไปกับตา  แล้วการที่ต้องมาจมอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบทุกๆวัน...มันก็เหมือนเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น

     

     

                ใช่ว่าเกลียดเด็กแล้วจะไม่รักหลาน  ใช่ว่ามีหลานแล้วจะสานต่อสิ่งที่ตั้งใจสร้างอย่างร้านกาแฟไม่ได้  แต่ทุกอย่างในชีวิตมันเหมือนถูกล็อคไว้ด้วยภาระหน้าที่ที่พ่อแม่เด็กต้องรับผิดชอบ  ถ้าไม่มีโฮยอนมาให้เลี้ยง...ตอนนี้ร้านกาแฟอาจจะถูกขยายได้กว้างกว่านี้  เก้าอี้อาจมีเพิ่มจาก7-8ที่นั่งเป็นสิบหรือไม่ก็ยี่สิบ  และเขาก็อาจได้เรียนต่ออย่างที่ใจต้องการ  เงินเก็บที่มีหมดไปกับค่าแพมเพิสก็ไม่ใช่น้อย  และเงินมรดกหลังจากที่พ่อแม่เมื่อเสียชีวิตก็เอาไปลงทุนทำร้านกับซื้อคอนโดฯจนเกือบหมด  ดี...ที่ไม่ได้ขายบ้านหลังเดิมทิ้งเพราะค่านม  ค่าอาหาร  รวมถึงค่าวัคซีนต่างๆของเด็กวัยเพียงเท่านี้ก็มาจากค่าเช่าทั้งนั้น

     

                “ฝันดีนะคะโฮยอน”

     

                อยากนอนพร้อมหลานเพราะรู้สึกเพลีย...แต่งานหน้าร้านที่ทิ้งมานานับชั่วโมงมันคือสาเหตุที่ทำให้หลับตาไม่ลง  และต้องไปประจำหน้าเคาน์เตอร์เพื่อให้พนักงานรอบเช้าได้ทานมื้อเที่ยง  เซฮุนเอาคุณช้างวางไว้ข้างกายเด็กน้อยก่อนเดินออกมาจากหลังร้านเพื่อทำหน้าที่แทนลูกน้อง  แต่จะไปโดยไม่ชงนมทิ้งไว้กับตุ๊กตาสุดโปรดก็คงไม่ได้เพราะถ้าหลานตื่นมาไม่เจอเขา  แต่ได้เจอนมพร้อมของรักของหวง...เจ้าตัวก็อาจจะไม่งอแง (มั้ง?)

     

     

     

     

     



     

     

     

     

     


     

     



     

     

     

     

     

     

     

     

    19.45 น.

     

    กริ๊งงงง!!!!

     

                “ขอบคุณครับบบ!!

     

                เป็นวันที่เหนื่อยไม่ต่างจากห้าเดือนที่แล้ว...แต่ก็ยังดีที่ลูกน้องรอบบ่ายเริ่มทำงานได้คล่องขึ้นกว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมา  ส่วนพนักงานรอบเช้าก็เลิกงานไปตอนบ่ายสาม  เสียงประตูหน้าร้านที่เปิดออก  ลูกค้าที่กลับไปพร้อมแก้วกาแฟร้อน  และคำขอบคุณก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆในร้านแห่งนี้  แต่ที่ไม่ซ้ำก็คือเรื่องของรายได้เพราะในแต่ละวันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนที่แตกต่างกันออกไป  และวันนี้ขนมเค้กในตู้กระจกก็หมดก่อนพวกแซนวิชเสียอีก  แล้วถ้าขายกาแฟเย็นหรือกาแฟแบบปั่นได้มากกว่ากาแฟร้อน  รายได้ในวันนั้นก็จะทำให้เจ้าของร้านมีรอยยิ้ม

     

                “จองอู...เดี๋ยวเริ่มเก็บร้านได้เลยนะ  คงไม่มีลูกค้าแล้วล่ะ”

     

                “ครับพี่”

     

                คงเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ดูยุ่งมากที่สุดในแทบนี้...เพราะบางครั้งทำกาแฟให้ลูกค้าก็ต้องวิ่งเข้าไปดูหลานที่นอนเล่นอยู่คนเดียวหลังร้าน  พอเห็นว่าหลานไม่ซนก็ออกมาทำกาแฟให้ลูกค้าเช่นเดิม  แล้วถ้าช่วงไหนลูกค้าเยอะมากเป็นพิเศษก็ต้องเอาเด็กใส่เป้แบกขึ้นหลังออกมาทำงานด้วย  ยิ่งกว่าคำว่าทุลักทุเลก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบ  แต่โฮยอนก็ดูจะชอบเสียงการทำฟองนมจากเครื่องชงกาแฟมากกว่าการนอนเล่นอยู่กับคุณช้างเพียงลำพัง

     

    ขอโทษที่ต้องทิ้งไว้แบบนั้น  ขอโทษที่ดูแลให้ดีกว่านี้ไม่ได้  และขอโทษที่น้าคนนี้ยังเลี้ยงเด็กไม่ค่อยเป็น

     

                “โฮยอนนน...ไปเป็ดๆกันดีกว่า”

     

                “พี่..”

     

                “ไม่เป็ดเหรอ?”

     

                “พี่...”

     

                เดินเข้ามาหลังร้านเพื่อหวังอาบน้ำให้เด็กน้อย...แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะชอบการออกไปต้อนรับลูกค้าเสียแล้ว  เซฮุนจึงต้องอุ้มหลานออกมาหน้าร้าน  ซึ่งมันก็ดี...เพราะเขาก็ไม่อยากทิ้งให้พนักงานคนใหม่เก็บร้านเพียงลำพัง  ขนมประเภทใดยังขายต่อได้ก็เก็บไว้  แบบไหนต้องทิ้งทันทีก็ยังต้องสอนอีกเยอะ  แล้วเมล็ดกาแฟที่อยู่ในเครื่องบดก็ต้องเก็บไว้ในที่ที่ไม่มีความชื้น  ทุกๆอย่างคือสิ่งที่พนักงานรอบบ่ายยังต้องเรียนรู้อีกมาก

     

                “จ๊ะเอ๋โฮยอน...มาช่วยพี่จองอูเก็บร้านเหรอคับ!!

     

                “พี่!!...”

     

    ฟอดดดด!!!

     

                ใครเห็นก็รัก...ใครหอมก็หลง  โฮยอนผิวขาวเหมือนแม่  ตาโตเหมือนพ่อ  แถมยังแก้มเยอะจนใครๆเห็นก็อดไม่ได้ที่จะสัมผัส  เซฮุนไม่ได้หวงหลานจนคนอื่นแตะต้องไม่ได้  แต่ถ้าคนอื่นที่ดูไม่น่าไว้ใจอย่าง...ดูสกปรก  ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ  ผู้หญิงที่ทาลิปสติกหนาๆสีจัดจ้านก็จะไม่ค่อยให้หอมแก้มหรือเอาไปอุ้มโดยเด็ดขาด  แต่สำหรับจองอูคือข้อยกเว้นเพราะเป็นพนักงานที่ไว้ใจได้

     

                ^0^ 

     

                เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเด็กขวบเศษ...สามารถลดความตึงเครียดให้พนักงานใหม่ได้เป็นอย่างดี  เพราะก่อนหน้านั้นจองอูได้ทำแก้วแตกไปสองใบ  แถมยังอุ่นขนมไหม้ไปอีกสามชิ้น  ขอโทษที่ยังจำไม่ได้ว่าครัวซองต์  พายแอปเปิ้ลหรือแพนเค้กมันต้องอุ่นกี่นาที  แล้วก็ขอบคุณที่เจ้าของร้านไม่ตำหนิ...และไม่หักเงินเดือนอีกต่างหาก

     

     

                เซฮุนเข้าใจดีว่าการทำงานมันเกิดข้อผิดพลาดกันได้...และเขาก็ไม่สามารถสอนงานในร้านให้ลูกน้องคนนี้ได้ตลอดเวลาเพราะสิ่งที่ต้องดูแลก่อนลูกน้องก็คือเด็กตัวน้อยที่กำลังยิ้มแป้นอยู่ในกระเป๋าเป้ด้านหน้าตอนนี้  จะให้โทษจองอูฝ่ายเดียวก็ไม่ได้  จะโทษเขาก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน  และถ้าจะโยนความผิดให้กับใครสักคน...ใครคนนั้นก็คือพ่อแม่ของโฮยอน

     

    คิดแล้วหงุดหงิดดดด!!!

     

                “จองอูไปนับขนมในตู้ให้พี่ดีกว่า...นับว่ามีอะไรบ้าง  เหลือกี่ชิ้น  เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง”

     

                “ครับ”

     

                รีบละมือจากถังใส่น้ำแข็งก่อนหยิบแฟ้มรายชื่อของหวานไปยืนอยู่หน้าตู้กระจกและนับจำนวนของที่เหลือตามคำสั่ง  ส่วนเซฮุนก็ต้องเริ่มทำความสะอาดเครื่องทำกาแฟไปพร้อมๆกับเด็กตัวน้อยในเป้ที่ต้องย้ายตำแหน่งไปอยู่ด้านหลัง  และเมื่อเครื่องทำกาแฟสะอาดแล้วก็ต้องตรวจดู  น้ำตาลทราย  ทิชชู่รวมถึงที่ครอบแก้วว่ามันพร่องไปเท่าไหร่ก็ต้องเติมให้เต็ม  เก้าอี้ถูกจัดเรียงให้เข้าที่เข้าทาง  โต๊ะทุกตัวถูกเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ  พื้นต้องถู  แก้วต้องล้าง  และขอบคุณที่หลานไม่งอแง

     

                “พี่เซฮุนครับ... ผมจดรายการขนมเสร็จแล้ว  ผมต้องทำอะไรต่อครับ?”

     

                “จองอูกลับไปพักเถอะ...วันนี้เอาแค่นี้ก่อน”

     

                “แต่....”

     

                “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น...กลับไปพักได้แล้ว!!

     

                “ขอบคุณครับ...งั้นผมกลับเลยนะครับ  สวัสดีครับ”

     

                “อื้ม...”

     

                เจ้าของร้าน...ไม่เคยให้พนักงานอยู่เกินเวลา  ยิ่งเป็นพนักงานที่ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็ยิ่งอยากให้กลับเร็วๆ  จองอูอาจมีการบ้าน  อาจมีเพื่อนหรืออาจมีครอบครัวรอทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา  เซฮุนจึงไม่อยากรบกวนเวลาไปมากกว่านี้  ส่วนงานที่เหลืออีกเล็กน้อยอย่างการนับยอดขายในวันนี้  ก็คงต้องทำหลังจากที่โฮยอนหลับไปแล้ว

     

                “งุนงุนขอเอาจานไปเก็บก่อนนะคะ  แล้วเดี๋ยวเราไปเป็ดๆกัน”

     

                “พี่..”

     

                “พี่กลับไปแล้วค่ะ...พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่นะคะ”

     

                “นม!!

     

                ไม่ได้อีกอย่าง..ก็จะเอาอีกอย่าง  แต่ยังไม่อยากไปเป็ดๆสักที  คนเป็นน้าจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเพลียใจและต้องรีบเอาจานที่ล้างและอบเรียบร้อยไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง  เซฮุนเรียงจานกระเบื้องที่ใช้ใส่ขนมเค้กไว้บนชั้นด้านหลังเคาน์เตอร์ด้วยความเร่งรีบ  เพราะเกรงว่าเด็กน้อยจะหลับไปก่อนที่จะได้อาบน้ำหรืออาจงอแงเนื่องจากหิวนม  และ....

     

    กริ๊งงง!!!

     

                “ร้านปิดแล้วครับ”

     

                เสียงกระดิ่งหน้าประตู...ทำให้คนที่กำลังรีบร้อนไม่ได้หันไปมองว่าใครเข้ามาด้านในและต้องเอ่ยตัดบทอย่างเสียมารยาทเพราะเวลานี้ร้านมันปิดแล้วจริงๆ  ถ้าอยากได้ขนมไปทานก่อนนอนมันก็พอจะขายให้ได้  แต่ถ้าต้องการกาแฟก็คงต้องไปร้านอื่น....ล้างเครื่องทำกาแฟไปแล้ว  เมล็ดกาแฟก็เก็บไปแล้ว  ป้ายบอกเวลาเปิด - ปิดของร้านก็แจ้งให้ทราบอย่างชัดเจน  แล้วทำไมยังมีลูกค้าเข้ามาอีก

     

    แต่.....

     

                “เซฮุน?”

     

                “.....??”

     

                เสียงทุ้มที่ดังอยู่ทางด้านหลัง...ทำให้มือที่ถือจานเอาไว้ต้องหยุดค้างอยู่กลางอากาศและพยายามตั้งสติของตัวเองให้ดี  ใช่ไหมวะ?  ไม่ใช่หรอก??  เป็นไปไม่ได้???  เหมือนกำลังรบอยู่กับสมองที่กำลังประมวลผลจากเสียงที่ได้ยินและหันกลับไปมองช้าๆเพราะเกรงว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง  และ...

     

                “ใช่เซฮุนจริงๆด้วย??”

     

                ไค...?!!

     


    มันก็เป็นจริง  (เชี่ยย!!)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    100%

    Cr. ภาพหน้าบทความ : แต่งบ้าน M-Thai

    Cr. ภาพไอคอนของเรื่อง : Unblast

    Cr. ภาพในตอนที่ 1 : WallpaperSafari 

     

    เตนล์&จองอู...พนักงานร้านกาแฟจ้าาาา

     

     

     

     

    Talk.

    สวัสดีค่ะ...เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว (ไหว้ย่อ)

    ขออนุญาตชี้แจงนะคะ

    ฟิคเรื่องนี้อาจมีบางเหตุการณ์ที่อ่านแล้วขัดแย้งกับความเป็นจริง  เราจึงอยากให้นักอ่านคิดไว้เสมอว่านี่คือนิยาย  แต่เราก็มักจะบอกทุกครั้งว่าเราพยายามหาข้อมูลในๆทุกด้านเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับความเป็นจริงมากจนเกินไป

    ตัวละครอย่างโฮยอน...คือเด็กอายุหนึ่งขวบกับอีกห้าวันเท่านั้น  ซึ่งเด็กวัยนี้ยังไม่ค่อยมีพัฒนาการมากนัก  คลานได้  ยืนเกาะได้  แต่ยังไม่เดิน  พูดได้ในประโยคสั้นๆ  โต้ตอบเพียงการกระทำที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำซ้ำๆ  แต่เด็กบางคนในวัยเดียวกันก็อาจจะเดินได้แล้ว(นิดหน่อย)  เพราะเด็กถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน  มีพ่อแม่ที่ต่างกัน

    และเราขอยอมรับว่าเรื่องนี้ยากอีกแล้ว  จะว่ายากทุกเรื่องก็ได้  เริ่มต้นง่ายแต่ระหว่างทางคือยากจังเลยยย!!!

    ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ยังให้การตอบรับ  ให้โอกาส  และให้กำลังใจดีๆกับเราเสมอ  ขอบคุณจริงๆนะคะ

    รัก

    #ฝากเลี้ยงKH  

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×