เนตรมารสะท้านฟ้า ()(จบ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ กำลังภายใน Tags : กำลังภายใน, ลมปราณ, แฟนตาซี, ผจญภัย, ตื่นเต้น, สนุกสนาน, ความรัก, ปรุงยา, เทพเจ้า, มังกร, อสูร, นิยายจีน
ผู้แต่ง : MoMiMarChi
My.iD :
https://my.dek-d.com/MoMiMar/writer/
ตอนที่ 99 : นายน้อยลำดับสาม
ตอนที่ 91
นายน้อยลำดับสาม
แขนซ้ายของจ้าววานรเพลิงผลาญถูกหอกยาวซัดขว้างกระแทกปัดกระเด็นเฉียงออกไปทางด้านหลังกล้ามเนื้อหัวไหล่ของจ้าววานรเพลิงผลาญฉีกขาดในทันที เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของจ้าววานรเพลิงผลาญเพิ่มบรรยากาศความตึงเครียดเพิ่มมากยิ่งขึ้น สองตาของจ้าววานรเพลิงผลาญกลายเป็นแดงกล่ำอ้าปากกว้างส่งเสียงขู่คำรามเผยให้เห็นเขี้ยวยาวโค้งงอทั้งสองข้าง
....สัตว์อสูรลมปราณแรกธรรมชาติขั้นกลางถูกกระแทกทำร้ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เรา
เองกว่าจะรู้ว่ามีการโจมตีแทรกของหอกยาวมาถึงการโจมตีก็บรรลุถึงตัวจ้าววานรเพลิงผลาญแล้ว คนผู้ใช้หอกนี้ฝีมือสูงส่งยิ่งนัก
เสวี่ยหมิงหันมองไปตามทิศทางที่หอกสีแดงพุ่งมา สายตาพลันจับจ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามในชุดรัดกุมสีม่วงอ่อนซึ่งยังคงยืนสงบนิ่งจับจ้องไปที่จิววินอย่างไม่ว่างตา แม้ภายหลังจากที่พุ่งหอกวิเศษในมือออกไปแล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้ตามติดเข้าไปหาจ้าววานรเพลิงผลาญอีก แต่กลับปล่อยให้ชายหนุ่มอีกคนที่รูปร่างสูงสง่าในชุดเกราะสีเงินหรูหราพุ่งทะยานล้ำหน้าตัวเองออกไป
"จิ่นเม่ยถึงตาเจ้าแสดงฝีมือบ้างแล้ว" ชายชุดสีม่วงเอ่ยขึ้นพร้อมค่อย ๆ เดินช้าตรงมาทางเสวี่ยหมิง
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า แน่นอนครับนายน้อยจู" ชายหนุ่มชุดเกราะเงินนาม...จิ่นเม่ยคลี่กางพัดเหล็กในมือออก เกราะสีเงินสะท้อนแสงแวววับสาดประกายสะท้อนเข้าหาจ้าววานรเพลิงผลาญด้วยท่าร่างรวดเร็วของจิ่นเม่ย เสวี่ยหมิงที่จับจ้องการกระทำของจิ่นเม่ยอยู่ตลอดเวลายังไม่อาจเห็นการเคลื่อนไหวของชายผู้นี้ได้ถนัดตา หลังจากเท้าแรกที่โจนทะยานออกกระทบพื้นอีกเพียงแค่ชั่วกระพริบตาจิ่นเม่ยก็เข้าประชิดสู่ระยะจู่โจมของวานรเพลิงผลาญ แต่สีหน้าของชายหนุ่มยังคงยิ้มแย้มไร้ซึ่งความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
"จันทราวูบไหว" เสียงใสกังวานก้อง พร้อมพัดใบมือที่โบกปัดปะทะกับหมัดขวาที่เคยเปี่ยมด้วยพลังของวานรเพลิงผลาญ แต่กลับไร้เสียงปะทะ แถมจู่ ๆ หลังการปะทะจ้าววานรเพลิงผลาญก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์และอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เสวี่ยหมิงจับจ้องทุกการกระทำของจิ่นเม่ยด้วยจิตที่จดจ่อ แต่ก็ยังไม่อาจค้นพบว่าจิ่นเม่ยทำเช่นไรกับจ้าววานรเพลิงผลาญจนศัตรูแข็งแกร่งกลายสภาพเป็นอ่อนแรงเช่นนี้
เมื่อโอกาสงามเช่นนี้มาถึงมีหรือที่จิ่นเม่ยจะปล่อยให้หลุดลอย พัดเหล็กในมือกรีดวาดเป็นเส้นสายสีเหลืองนวลงดงาม ลากผ่านช่วงคอที่ตั้งตระหง่านของจ้าววานรเพลิงผลาญ...ไร้ซึ่งสำเนียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา
ร่างใหญ่โงนเงนไปมาก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นดัง...ตึง!!! ศีรษะมหึมาหลุดแยกออกจากร่างกลิ้งไปตามพื้นโลหิตสีแดงสดไหลพุ่งฉีกขึ้นฟ้าราวกับน้ำพุก่อนจะไหลนองลงมาอาบพื้น ร่างมหึมาของจ้าววานรเพลิงผลาญล้มลงตามมาตกตายไปอย่างเลอะเลือนภายในกระบวนท่าเดียว
การตายอันง่ายดายของจ้าววานรเพลิงผลาญหาใช่ความตื่นตระหนกที่สุดในสายตาของเสวี่ยหมิง หากแต่เป็นใบหน้าอันยิ้มแย้มยามตกตายของจ้าววานรเพลิงผลาญต่างหากคือสิ่งที่น่าพิศวงที่สุด
"วิชาของเจ้านี่ช่างน่าสะอิดสะเอียนไม่เปลี่ยนไปเลยนะ" เสียงที่ดังแว่วมาจากเบื้องหลังทำเอาเสวี่ยหมิงหันขวับตามไป ผู้ที่จิ่นเม่ยเรียกขานเป็นนายน้อยจู ถือหอกสีแดงในมือที่ซัดขว้างไปก่อนหน้ากำลังเดินกลับมาทางด้านหลังเสวี่ยหมิงอย่างช้า ๆ และแน่นอนว่าเสวี่ยหมิงไม่อาจรู้ตัวมาก่อนว่าคนผู้นี้เคลื่อนไหวไปที่ด้านหลังเขาได้อย่างไรและเมื่อไหร่
"ขอบคุณท่านทั้งสองที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ" แต่ไม่ทันที่เสวี่ยหมิงจะคบคิดถึงคำถามที่เกิดขึ้นในใจ จิวซินที่ได้รับการช่วยเหลือซึ่งลุกขึ้นปัดฝุ่นผงที่เปรอะเปื้อนบนตัวจนสิ้นแล้วก็เสนอหน้าออกไปคารวะขอบคุณในทันที
"อา...ข้าลืมนางงามน้อยผู้นี้ไปเสียสนิท" จิ่นเม่ยเอ่ยพร้อมยิ้มแย้มส่งให้จิวซิน "หากเจ้าจะขอบคุณเจ้าควรจะไปขอบคุณ นายน้อยจูถึงจะถูกต้อง" จิ่นเม่ยเอ่ยพร้อมผายมือไปทางร่างองอาจที่กำลังเดินผ่านหน้าเสวี่ยหมิงโดยมิได้ให้ความสนใจเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย
"ขอบคุณนายน้อยจู" จิวซินหัวขวับกลับไปยื่นคำนับอีกครา ก่อนจะหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาให้เสวี่ยหมิงที่พยายามบังคับให้นางหนีไปก่อนหน้า
...มองย้อนกลับไปจิวซินก็มิต่างจากตัวข้าในอดีต อิสตรีงดงามช่างโง่งมอย่างไร้เดียงสายิ่งนัก
แม้ดวงตาที่มองภาพภายนอกจะไม่อาจเห็นทุกพฤติกรรมของนายน้อยจูและจิ่นเม่ย แต่ในระหว่างที่จิวซินกำลังต่อสู้กับจ้าววานรเพลิงผลาญในจังหวะสุดท้ายนั้น เสวี่ยหมิงพยายามเร่งเร้าพลังหมายพุ่งเข้าไปช่วยจิวซินจึงจงใจใช้พลังบางส่วนของดวงตาเทพมารบรรพกาล ยามนั้นจิตวิญญาณอันไพศาลของเสวี่ยหมิงที่กระจัดกระจายไปทั่วพลันเปลี่ยนเป็นหนักแน่นและแหลมคมยิ่งขึ้น ทำให้รับรู้ได้วูบหนึ่งว่ามีบางสิ่งกำลังจับจ้องมาที่ตนเองพร้อมตระเตรียมลงมือสังหาร แต่ไม่อาจจับตำแหน่งทิศทางได้อย่างแน่ชัด จนกระทั่งหอกสีแดงปรากฏขึ้นเสวี่ยหมิงจึงได้เพิ่มความตื่นตัวจนถึงขีดสุด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจจับพิรุธของพวกมันได้ จึงได้แต่จำใจแสดงบทบาทตามน้ำไปก่อน
"ขอบคุณคุณชายทั้งสองที่ยื่นมือเข้าช่วย" ครานี้เป็นเสวี่ยหมิงที่ยื่นคำนับให้บ้าง
"สหายท่านอย่าได้เกรงใจไป การช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าคือวิถีฝึกตนของพวกข้า" จิ่นเม่ยเผยรอยยิ้มกว้างส่งให้เสวี่ยหมิง "ว่าแต่ท่านทั้งสองเป็นคู่รักกันรึ ถึงได้ออกค้นหาของวิเศษด้วยกันเช่นนี้"
"ไม่มีทาง พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว" จิวซินรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยเสียงแข็ง "พวกข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันเท่านั้น"
"อืม" รอยยิ้มกว้างของจิ่นเม่ยพลันจางหาย ก่อนจะหันไปหานายน้อยจู "เมื่อพวกเราทั้งหมดมาพบกันแล้วก็ล้วนเป็นวาสนา ดังนั้นมาแนะนำตัวกันก่อนเป็นเช่นไร" เสวี่ยหมิงพยักหน้ารับ เพราะเขาอยากรู้มากว่าคนทั้งสองคือใคร "แต่ให้ข้าเดา ไม่สิไม่ต้องเดาเพราะยังไงผู้ที่เข้ามายังด่านกักมังกรนี้ได้ย่อมต้องสังกัดค่ายสำนักของเก้ามังกร แสดงว่าพวกเจ้าก็ต้องมาจากสำนักหนึ่งในนั้น"
"ข้าจิวซินแห่งสำนักมังกรฟ้า" จิวซินเอ่ยขึ้นก่อนจะชี้ไปยังเสวี่ยหมิง "ส่วนนั่นศิษย์น้องข้านามเสวี่ยหมิง"
"สำนักมังกรฟ้า อืม..."ครานี้เป็นเสียงทุ้มเข้มของนายน้อยจูที่เอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมเหลือบสายตาเหยียดหยามมองไปยังเสวี่ยหมิงแวบหนึ่ง "พื้นฐานลมปราณขั้นที่สี่ไม่เลว" น้ำเสียงแม้เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่เสวี่ยหมิงก็พอจะฟังออกว่านายน้อยจูผู้นี้เอ่ยขึ้นมาเพราะระดับพลังลมปราณของเสวี่ยหมิงนั้นต่ำต้อยเกินไปเมื่อเทียบกับผู้ที่เข้ามายังด่านกักมังกรของสำนักอื่น ๆ ซึ่งเป็นการดูแคลนสำนักมังกรฟ้าไปในตัวนั่นเอง
"อา...มา ๆ ข้าเองดีกว่าเมื่อพวกเจ้าแนะนำตัวกันแล้วก็ถึงตาพวกข้าทั้งสองบ้าง" จิ่นเม่ยเอ่ยตัดบทเสียก่อน "ข้าจิ่นเม่ยแห่งสำนักมังกรมายา" จิ่นเม่ยเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนจะหันไปแนะนำนายน้อยจู "ส่วนท่านนี้คือคุณชายจูซินเฉิง นายน้อยตระกูลจู ศิษย์ลำดับสามของสำนักมังกรเทวะ"
"ลำดับสามแห่งสำนักมังกรเทวะ" จิวซินและเสวี่ยหมิงที่ไม่เคยออกท่องโลกกว้างจึงไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้คนในสำนักอื่น แต่เมื่อวัดจากฝีมือในการสังหารจ้าววานรเพลิงผลาญของทั้งคู่ จิวซินก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าทั้งสองนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเองและผู้คนจากสำนักมังกรฟ้ามากมายนัก
"ว่าแต่แม่นางจิวซิน กับศิษย์น้องผู้นี้มีจุดมุ่งหมายในการสำรวจรึยัง" จิวซินส่ายหน้าส่วนเสวี่ยหมิงยังคงนิ่งเงียบรอดูเหตุการณ์ต่อไป
"เออ..."จิวซินหันมาเหลือบมองเสวี่ยหมิงแวบหนึ่ง แต่เพราะเสวี่ยหมิงยังคงสงวนท่าทีนางจึงได้เอ่ยตอบแทน "พวกข้าทั้งสองเพิ่งจะเข้ามาได้เพียงสองสามวัน ยังคงไร้จุดหมายที่ชัดเจน"
"ดี ๆ เพิ่งเข้ามานี่เอง ถ้าอย่างนั้นวันนี้ท้องฟ้าใกล้มืดครึ้มแล้ว พวกข้าที่เข้ามาก่อนพวกเจ้าถือว่าเป็นผู้เหย้า งั้นวันนี้ข้าจิ่นเม่ยจะถือโอกาสเลี้ยงต้อนรับพวกเจ้าทั้งสอง หวังว่าคงไม่รังเกียจ"
เมื่อจิ่นเม่ยซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตเอ่ยเช่นนี้ มีหรือที่จิวซินและเสวี่ยหมิงจะกล้าปฏิเสธ ทำให้ค่ำคืนนี้ทั้งสี่จำต้องอยู่ร่วมกองไฟเดียวกัน
แต่เสี่ยวหมิงคงโดนมาเยอะเลยเห็นธาตุแท้ของคนซินะ
ขอบคุณค่ะ