เนตรมารสะท้านฟ้า ()(จบ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ กำลังภายใน Tags : กำลังภายใน, ลมปราณ, แฟนตาซี, ผจญภัย, ตื่นเต้น, สนุกสนาน, ความรัก, ปรุงยา, เทพเจ้า, มังกร, อสูร, นิยายจีน
ผู้แต่ง : MoMiMarChi
My.iD :
https://my.dek-d.com/MoMiMar/writer/
ตอนที่ 56 : ดวงตาเทพมารบรรพกาล(ตอนพิเศษFav.ครบ2000ล่วงหน้า ><")
ตอนที่ 53
ดวงตาเทพมารบรรพกาล
หลังจากที่จิตวิญญาณของจิ้นเหอ ซึ่งเป็นจิตแห่งธรรมได้ออกมาจากตาซ้ายของเสวี่ยหมิงและทำการหลอมรวมกับห้วงจิตวิญญาณของเสวี่ยหมิงไปแล้ว ทำให้ระดับจิตวิญญาณของเสวี่ยหมิงสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่นั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อตัวเสวี่ยหมิงโดยตรง ซึ่งผลที่เกิดจากดวงวิญญาณแห่งธรรมของจิ้นเหอสูญสลายไปนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งมีผลต่อดวงตาข้างซ้าย
หลังจากที่ไร้จิตแห่งธรรมของจิ้นเหอขวางกั้น ตัวอักษรแปลกประหลาดมากมายพลันพวยพุ่งจากดวงตาข้างซ้ายเข้าสู่ห้วงจิตสำนึกของเสวี่ยหมิง ทำให้เสวี่ยหมิงได้รับรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในดวงตาที่ถูกผู้คนขนานนามว่า...ดวงตาของเทพมารบรรพกาล
...ดวงตาเทพมารบรรพกาล เป็นสมบัติวิเศษที่ตกทอดมาจากยุคบรรพกาลในระหว่างการก่อร่างของจักรวาล ซึ่งดวงตาเทพมารบรรพกาลเป็นสมบัติวิเศษที่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง และการจะหล่อเลี้ยงดวงตาเทพมารบรรพกาลจำเป็นต้องให้เติมเชื้อพลังให้แก่มัน ซึ่งพลังที่ว่าก็คือพลังแห่งความตาย ทำให้ผู้ที่ครอบครองดวงตาเทพมารบรรพกาลจะได้รับพลังในการกลืนวิญญาณติดตัวมาด้วย พลังกลืนกินวิญญาณนั้นสามารถดึงดูดไอมรณะธาตุหยินเพื่อเพิ่มพลังให้กับดวงตาเทพมารบรรพกาล ยิ่งดวงตาเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ความสามารถของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ไอแห่งความตายนั้นทำให้ดวงตาเทพมารบรรพกาลเติบโต แต่การจะใช้พลังที่อยู่ในดวงตาซึ่งพลังที่เสวี่ยหมิงได้รับถ่ายทอดมาจากดวงตาเทพมารบรรพกาล จำเป็นต้องอาศัยพลังวิญญาณในการขับเคลื่อน ซึ่งแต่เดิมเสวี่ยหมิงมีพลังวิญญาณเพียงน้อยนิด ทำให้พลังของดวงตาเทพมารบรรพกาลล้วนใช้ออกในยามที่ตัวของเสวี่ยหมิงเข้าตาจน และมีจิตสมาธิที่แน่วแน่จนระดับของพลังจิตสูงขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว
ซึ่งความสามารถที่เสวี่ยหมิงได้รับในตอนนี้มีทั้งสิ้น 2 ประการ คือ ความสามารถในการมองทะลุถึงจุดอ่อนของศัตรูซึ่งถือเป็นพลังพื้นฐานขั้นต้นของดวงตาเทพมารบรรพกาล พลังขั้นต่อมาคือ...เทพมารครองร่าง ทักษะซึ่งรีดเร้นพลังแฝงที่ฝืนกับกฎแห่งสวรรค์ โดยจะช่วยเพิ่มพลังและสัญชาตญาณให้แก่ผู้ใช้ในระดับสูง แต่ความสามารถนี้กลืนกินทั้งพลังปราณและวิญญาณจำนวนมหาศาล ทำให้หลังจากที่ผลของเทพมารครองร่างสิ้นสุดลง ผู้ที่ใช้ความสามารถนี้จึงอยู่ในสภาพอ่อนแอเป็นอย่างมาก ส่วนทักษะในระดับที่สูงกว่านี้นั้น เช่น จิตมรณะ ดินแดนแห่งความตาย และอื่น ๆ นั้น เสวี่ยหมิงยังไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ เนื่องจากไอมรณะที่เสวี่ยหมิงดูดกลืนเข้ามานั้นยังมีน้อยจนเกินไป
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นความสามารถที่ดวงตาเทพมารบรรพกาลมอบให้ผู้ครอบครอง แต่ยังมีความลับอีกสิ่งหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ นั้นก็คือดวงตาเทพมารบรรพกาลจะบันทึกบางส่วนของความทรงจำจากผู้ถือครองเอาไว้ด้วย แต่ในอดีตทุกครั้งที่มีการส่งต่อดวงตาผู้ที่ครอบครองคนก่อนหน้าล้วนตกตายไปก่อน ทำให้ความทรงจำนั้นแตกดับไปพร้อมกับผู้ถือครองที่ตกตาย แต่กับดวงตาเทพมารบรรพกาลที่เสวี่ยหมิงได้ครอบครองนั้น ผู้ที่ถือครองคนก่อนหน้ายังคงมีชีวิตอยู่ ทำให้เศษเสี้ยวของความทรงจำภายในดวงตานั้นหลุดออกมา ในจังหวะเดียวกับที่ดวงตาเทพมารบรรพกาลได้รับไอมรณะเพียงพอต่อเลื่อนระดับ
ซึ่งความลับข้อนี้ นั้นช่วยอธิบายได้ว่าทำไมหลังจากที่เสวี่ยหมิงได้รับไอมรณะจำนวนหนึ่ง แล้วเขาจึงถูกส่งเข้าไปในมิติปิด ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่มิติปิดอย่างที่เสวี่ยหมิงเข้าใจ แต่มันคือห้วงความทรงจำของผู้ถือครองดวงตาเทพมารบรรพกาลคนก่อนหน้านั่นเอง
หลังจากที่เสวี่ยหมิงเข้าใจแล้วว่าดวงตาข้างซ้ายของเขานั้นคือดวงตาวิเศษที่ชื่อว่า...ดวงตาเทพมารบรรพกาล เสวี่ยหมิงก็ทดลองใช้พลังวิญญาณในการเปิดใช้ความสามารถค้นหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ออกไปมองดูสัตว์น้อยใหญ่ในป่า และพบว่าจุดอ่อนจะปรากฏเป็นแต้มสีแดงยิ่งแต้มนั้นเข้มมากขึ้นเท่าไหร่ แสดงว่าจุดแต้มส่วนนั้นยิ่งเป็นจุดที่เปราะบางของคู่ต่อสู้มากขึ้นตามไปด้วย ส่วนทักษะเทพมารครองร่างนั้น เสวี่ยหมิงยังคงจำวันคืนที่ถูกลอบสังหารโดยนักฆ่าทั้ง 5 รวมทั้งเจี้ยนเฉิน ว่าความสามารถในการรับรู้ ความกระหายเลือด รวมถึงพลังที่เปี่ยมล้นของเขานั้นมาจากทักษะเทพมารครองร่างนั่นเอง แต่เมื่อนึกถึงสภาพหลังจากที่ทักษะเทพมารครองร่างหมดลง เสวี่ยหมิงก็ไม่ได้ทดลองใช้งานเทพมารครองร่างในตอนนี้ และตัดสินใจว่าจะเก็บทักษะเทพมารครองร่างเอาไว้เป็นไพ่ตายเพื่อใช้ในยามจำเป็นฉุกเฉินเท่านั้น
เมื่อทดสอบดวงตาเทพมารบรรพกาลจนพอใจแล้ว ครานี้ก็ถึงเวลาที่เสวี่ยหมิงจะหันมาสนใจทักษะที่อุตส่าห์จดจำออกมา เมื่อคิดได้ดังนั้นเสวี่ยหมิงจึงเดินกลับไปยังถ้ำร้างที่ใช้ซ่อนตัวอีกครั้ง
ศาสตร์วิชาปรุงกลั่นโอสถ...ศาสตร์ขั้นสูงสุดของนักปรุงโอสถ ซึ่งหายสาบสูญไปพร้อมกับอารามเซนพิสุทธิ์ แม้เสวี่ยหมิงจะไม่มีทักษะในการปรุงกลั่นโอสถมาก่อน แต่เพราะเงื่อนไขหลัก ๆ ในการเรียนรู้ศาสตร์แห่งการปรุงกลั่นนั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องการปรุงโอสถมาก่อน แม้จะยังต้องการเปลวเพลิงเที่ยงแท้เป็นหัวใจหลัก ซึ่งก็บังเอิญว่าปราณเปลวเพลิงของเสวี่ยหมิงนั้น มีคุณสมบัติของเปลวเพลิงแห่งชีวิตดุจเดียวกับเปลวเพลิงเที่ยงแท้พอดิบพอดีเรื่องของไฟจึงมิใช่ปัญหา
เงื่อนไขต่อมาที่เสวี่ยหมิงเพิ่งจะแก้ปัญหาได้ก็คือระดับของพลังวิญญาณ เพราะหลังจากที่ได้รับพลังวิญญาณมหาศาลมาจากจิ้นเหอ เสวี่ยหมิงก็มั่นใจว่าพลังวิญญาณของตัวเองในตอนนี้น่าจะเพียงพอที่จะเรียนรู้ศาสตร์แห่งการกลั่นได้แล้ว
เมื่อเงื่อนไขสำคัญทั้งสองล้วนลุล่วง เสวี่ยหมิงจึงเริ่มขั้นตอนของการผสานรวมปราณเปลวเพลิงเข้ากับพลังวิญญาณ โดยในเบื้องต้นเสวี่ยหมิงจำเป็นต้องคงรูปของเปลวเพลิงที่บีบอัดเอาไว้บนฝ่ามือให้ได้เสียก่อน
แรกเริ่มการฝึก ไฟสีแดงสดพลันปรากฏลอยขึ้นเหนือฝ่ามือขวาของเสวี่ยหมิง แต่เพราะพลังลมปราณของเสวี่ยหมิงนั้นยังมีไม่มากพอ ทำให้เขาสามารถคงสภาวะเปลวเพลิงเช่นนี้ได้ไม่นานนักก็จะปรากฏอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ฝึกฝนการคงสภาพของเปลวเพลิงได้ตามที่ต้องการ เสวี่ยหมิงจึงเริ่มฝึกฝนในขั้นต่อไปนั้นก็คือการผสานรวมเปลวเพลิงเข้ากับพลังวิญญาณ
เปลวเพลิงสีแดงสดที่เต้นเร่าพลันแข็งค้างราวกับสรรพสิ่งหยุดนิ่ง พลังวิญญาณที่เสวี่ยหมิงมีในตอนนี้นั้นมากเกินกว่าที่ตัวเขาเองจะเข้าใจ เมื่อเสวี่ยหมิงทุ่มใช้พลังวิญญาณทั้งหมดใส่เข้าไปในเปลวเพลิง จึงทำให้เปลวเพลิงจากสีแดงพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวก่อนจะหยุดนิ่งและสูญสลายไป แต่ความมุมานะของเสวี่ยหมิงในตอนนี้นั้นเกินกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอย่างมิอาจเทียบ หลังเวลาผ่านไปสามวันโดยที่ไม่กินไม่นอนในที่สุดเสวี่ยหมิงก็สามารถควบคุมเปลวเพลิงให้ผสานเข้ากับพลังวิญญาณตามศาสตร์การกลั่นโอสถได้อย่างสมบูรณ์
เปลวเพลิงสีทองที่เต้นเร่าอยู่บนมือขวาของเสวี่ยหมิง หากมีผู้อื่นชมดูอยู่คงได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง ทั้งในเรื่องของความพิสดาร รวมถึงความงดงาม แต่สำหรับเสวี่ยหมิงที่จ้องมองเปลวเพลิงขนาดเท่ากำปั้นตัวเองอยู่นั้น หาได้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสมองแม้แต่น้อย เพราะในตอนนี้เสวี่ยหมิงมองเห็นภูเขาทองคำที่ไม่มีวันใช้หมดสิ้นปรากฏอยู่ในฝ่ามือของตัวเอง
23 ความคิดเห็น