เนตรมารสะท้านฟ้า ()(จบ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ กำลังภายใน Tags : กำลังภายใน, ลมปราณ, แฟนตาซี, ผจญภัย, ตื่นเต้น, สนุกสนาน, ความรัก, ปรุงยา, เทพเจ้า, มังกร, อสูร, นิยายจีน
ผู้แต่ง : MoMiMarChi
My.iD :
https://my.dek-d.com/MoMiMar/writer/
ตอนที่ 126 : เพลิงและน้ำแข็ง 2
ตอนที่ 117
เพลิงและน้ำแข็ง 2
ในที่สุดการประลองรอบแปดคนสุดท้ายก็มาถึงคู่ของเสวี่ยหมิงและฉีปิงถูกจัดเอาไว้เป็นการประลองคู่สุดท้ายของวันนี้ ซึ่งผลการประลองของคู่อื่น ๆ ในวันนี้ก็ไม่มีการพลิกโผไปจากคาดการณ์ นายน้อยทั้งสามที่การจับประคู่ล้วนไม่พบกันเองเลย ล้วนเอาชนะคู่ต่อสู้ของตัวเองได้ทั้งหมด ทำให้ทุกสายตาและแรงกดดันของสำนักมังกรเทวะในตอนนี้ล้วนตกมาอยู่ที่ผู้อาวุโสสูงสุดอันดับหนึ่งของตระกูลฉี...ฉีซูมี่
แต่ฉีซูมี่หาใช่เด็กน้อยเพิ่งออกท่องยุทธภพ แม่เฒ่าวัย 140 ปีผู้นี้ ตลอดชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวและพบเจอผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยเจออัจฉริยะคนใดเก่งกาจไปกว่าเหลนรักผู้นี้มาก่อน เพราะฉีปิงนั้นเพียงแค่อายุสิบขวบก็สามารถบรรลุพื้นฐานลมปราณขั้นที่ 4 อีกสองปีต่อมาก็สามารถบรรลุถึงพื้นฐานลมปราณขั้นที่ 5 ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดในสำนักมังกรเทวะเคยทำได้มาก่อน แต่เพื่อปูทางสู่การชิงตำแหน่งประมุขของสำนักจากตระกูลซือหม่าในอนาคต ฉีซูมี่จึงลงมือฝึกสอนเหลนคนนี้ด้วยตัวนางเอง และแน่นอนว่าวิชาลับที่บรรพบุรุษของตระกูลฉีล้วนมอบให้เพียงเฉพาะผู้สืบทอดสายตรงเพียงหนึ่งเดียวตลอดมาจะถูกส่งต่อให้กับฉีปิงตั้งแต่วัยสิบสองปีโดยมิมีการคัดค้าน...เคล็ดวิชาลมปราณธาตุอันลึกลับเพียงหนึ่งเดียวของสำนักมังกรเทวะ...ลมปราณมังกรเหมันต์
ลมปราณมังกรเหมันต์นั้นเป็นเคล็ดวิชาที่แม้แต่ฉีซูมี่ยังไม่อาจระบุได้ว่ามีระดับขั้นใด เพราะแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อาจฝึกจนแตกฉานและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาที่ตกทอดมาก็ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่แค่นั้นก็สูงส่งเกินกว่าวิชาลมปราณมังกรเทวะไปหลายขั้นแล้ว ซึ่งฉีซูมี่คาดหวังว่าหากฉีปิงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ก่อนที่จะทะลวงผ่านสู่ขอบขั้นลมปราณแรกธรรมชาติก็จะทำให้เหลนชายของมันคนนี้ ได้รับพลังที่เหนือล้ำกว่าผู้คน สิ่งที่ผู้ฝึกตนล้วนใฝ่ฝันถึง...เส้นชีพจรธาตุ
แต่เพราะเคล็ดวิชาลมปราณมังกรเหมันต์มีความยากเย็นและต้องอาศัยความเข้าใจและความผูกพันธ์กับธาตุพลังในระดับสูงเพื่อฝึกฝน ทำให้ฉีปิงที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะยังต้องใช้เวลากว่าสามปีเพื่อเรียนรู้ แต่เมื่อมันทำได้สำเร็จเมื่ออายุ 15 ปี ทำให้เพียงแค่ชั่วข้ามคืนพลังฝีมือก็รุดหน้าจนเกินคาดเดา จนพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับสองของสำนักมังกรเทวะในเวลาต่อมา แต่ที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งนั่นก็เพราะว่าฉีซูมี่นั้นยังไม่ต้องการให้ตระกูลซือหม่านั้นหวาดระแวงจนเกินไป จึงได้กำชับไม่ให้ฉีปิงขึ้นประลองจัดอันดับกับซือหม่าเทียน จนกว่าที่ฉีปิงจะสามารถบรรลุถึงขอบขั้นลมปราณแรกธรรมชาติขั้นกลางไปแล้วเท่านั้น
เพราะอำนาจล้วนหอมหวาน ยิ่งเมื่อผู้คนนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงยาวนานยิ่งยึดติด การที่พบเห็นสิ่งที่อาจสั่นคลอนตัวเองได้ย่อมไม่พึงใจ ดังนั้นเมื่อไม่พร้อมที่จะก้าวขึ้นไปท้าชิงบัลลังก์นั้นการอยู่อย่างสงบเก็บงำล้วนประเสริฐกว่า
.
.
การประลองในคู่ที่สามระหว่างจูซินเฉิงและเฟยหลงจบลงไปได้พักใหญ่ หลังจากนั้นกรรมการผู้ควบคุมการแข่งขันซึ่งทำการตรวจสอบสภาพของสนามประลองและม่านพลังป้องกันจนแล้วเสร็จ เสียงขานเรียกผู้เข้าประลองในคู่สุดท้ายก็ดังขึ้น ทำให้ผู้ชมโดยรอบสนามส่งเสียงเชียร์กระหึ่มกึกก้อง
เสวี่ยหมิงที่นั่งรวมกับกลุ่มสหายจากสำนักมังกรฟ้าเป็นผู้ก้าวขึ้นสู่เวทีก่อน ผู้ชมทั้งหลายจึงจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มวัยสิบห้าผู้นี้ด้วยอารมณ์ความคิดที่แตกต่าง บ้างชื่นชมในความกล้าหาญ เก่งกาจ บ้างเสียดายแทนเพราะหากคู่ต่อสู้ของเสวี่ยหมิงเป็นนายน้อยตระกูลจูคงจะดุเดือดและสูสีกว่านี้ บ้างก็สงสาร หรือแม้แต่ผู้คนสมน้ำหน้าและสาปแช่งก็มีไม่น้อยปะปนระคนกันไป
แต่อีกเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวทุกสายตาที่เคยจับจ้องเสวี่ยหมิงก็ต้องโยกย้ายไปยังผู้ที่เพิ่งมาถึง...นายน้อยลำดับสองฉีปิงกระโดดลงมาจากแท่นชมการประลองของผู้อาวุโสสูงสุดที่ด้านบน เหยียบย่างเกล็ดน้ำแข็งบางที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศค่อย ๆ เดินตรงลงมาจากเบื้องสูงสู่สนามประลองราวกับเทพสงครามจากสวรรค์ ใบหน้าแม้หล่อเหลาสง่างามแต่ออกจะขาวซูบซีดไร้สีเลือดไปบ้างเมื่อเทียบกับใบหน้าที่เย็นชาแต่เฉิดฉายเปล่งประกายของเสวี่ยหมิงที่ยืนมาดมั่นอยู่บนเวทีประลอง
เมื่อก้าวสุดท้ายของฉีปิงที่เหยียบย่างลงสู่พื้น เหล่าผู้ชมที่จับจ้องกันจนตัวเกร็งล้วนระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ เพราะพวกมันต่างไม่เคยเห็นการเหยียบย่างกลางอากาศที่ดูน่าตื่นตาและสง่างามเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่เปิดตัวก็ตื่นเต้นเพียงนี้เห็นได้ชัดว่าฉีปิงที่ลงมาจากห้องของเหล่าผู้อาวุโสย่อมได้รับคำแนะนำบางอย่างจากผู้เป็นย่าทวดและอาจารย์ของมัน...ฉีซู่มี่
"หากเจ้าเก็บงำสิ่งใดเอาไว้จงใช้มันออกมาทั้งหมดเสีย" น้ำเสียงเนิบช้า ใบหน้านิ่งเรียบเอ่ยออกมาราวกับกำลังว่ากล่าวกับสายลมหาได้เอ่ยต่อคู่ต่อสู้ที่มันมองข้าม แต่คำที่ปล่อยออกของฉีปิงล้วนก่อเกิดแรงกดดันทางจิตต่อเสวี่ยหมิงอย่างแปลกประหลาด...แรงกดดันที่เสวี่ยหมิงรู้สึกคุ้นชินแต่กลับนึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใด "หาไม่แล้วเมื่อข้าลงมือเต็มที่เจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมืออีก"
แม้จะเกิดแรงกดดันแปลกประหลาดเข้าจู่โจมเสวี่ยหมิงอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะระดับพลังจิตวิญญาณของเสวี่ยหมิงนั้นสูงส่งเกินกว่าระดับพลังของฉีปิงชนิดไม่อาจเทียบจึงไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเสวี่ยหมิงจะมีก็แค่ความรู้สึกอึดอัดใจที่นึกไม่ออกว่าเขาเคยพบกับแรงกดดันแบบนี้ที่ใดมาก่อนเท่านั้น
แต่ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้นกลับมีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นภายในห้องชมการประลองของเหล่าผู้นำของสำนักมังกรเทวะด้านบนควบคู่กันไป เมื่อปรากฏหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ทางใต้สำนักหงส์อัคคีนาม...มี่จวงพร้อมศิษย์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมอีกผู้หนึ่งนั่งชมการประลองอยู่เคียงข้างกับซือหม่าเลี่ยงจินและฉีซูมี่
แม้ผู้อาวุโสจากสำนักหงส์อัคคีจะเอ่ยเพียงว่าขอเข้าร่วมชมการประลองเพียงเท่านั้น แต่เหตุผลที่ซ่อนแฝงล้วนไม่ยากเกินคาดเดา เพราะตลอดเวลาหลายร้อยปีที่เกิดการประลองเก้ามังกรสำนักหงส์อัคคีล้วนส่งผู้คนตามติดสอดแนมสำนักขนาดเล็กและขนาดกลางโดยรอบ เพื่อเสาะแสวงหาผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น พร้อมชักชวนรับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักตัวเอง แม้วิธีการนี้จะดูไร้มารยาทและเสมือนหนึ่งการแย่งชิงตัวอัจฉริยะหรือขุมกำลังในอนาคตของผู้อื่น แต่เพราะสำนักหงส์อัคคีนั้นแข็งแกร่งกว่า และยิ่งใหญ่กว่าสำนักที่โดนแย่งชิงตัวผู้คนไป เมื่ออ่อนแอกว่าสำนักเหล่านั้นจึงทำได้เพียงเงียบปากและรับข้อเสนอแลกเปลี่ยนของสำนักหงส์อัคคีเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะได้รับชดเชยเป็นโอสถล้ำค่าหายากหรือของวิเศษต่าง ๆ แต่หากว่าเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศจริง ๆ ก็อาจจะเรียกร้องได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ซึ่งสำนักหงส์อัคคีก็ยินดีจะจับจ่าย
เหตุผลซ่อนแฝงซึ่งแม้แต่ซือหม่าเลี่ยงจินยังดูออกมีหรือที่ฉีซู่มี่ผู้จัดเจนการเมืองจะดูไม่ออก ทำให้ก่อนการขึ้นประลองในรอบนี้ของฉีปิง ฉีซู่มี่จึงได้กำชับกับฉีปิงว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังพลังฝีมือตัวเองอีกเพราะหากว่าฉีปิงกลายเป็นศิษย์ของสำนักหงส์อัคคีจริง ๆ นั้นก็เท่ากับว่าตระกูลฉีจะได้ผู้คนจากสำนักใหญ่ทางใต้มาหนุนหลังอีกแรง และวันที่อำนาจของเมืองมังกรเทวะจะเปลี่ยนแปลงย่อมใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่งเช่นกัน
.
.
กลับมายังเวทีประลองภายหลังจากที่ถ้อยคำของฉีปิงถูกถ่ายทอดไปยังเสวี่ยหมิง เสวี่ยหมิงก็กระทำดุจเดียวกับในรอบก่อนหน้า ตอบโต้กลับโดยการเอ่ยตอบ "ตัวท่านก็เช่นกัน หากว่าออมฝีมือเอาไว้เกรงว่าจะเสียใจในภายหลังที่ยังมิได้ใช้ออกเพื่อให้ผู้ชมด้านบนได้ตื่นตา"
"คำกล่าวของเจ้าช่างระคายหูยิ่งนัก แต่เอาเถอะข้ามิใช่คนอารมณ์ร้อน ในเมื่อเจ้าอยากรับรู้พลังของข้า ยามเมื่อกรรมการขานเริ่มเจ้าก็จงบุกเข้ามาให้เต็มที่ ข้าสัญญาว่าจะต้านรับโดยไม่ถอยหนีไปแม้สักก้าวเดียว"
"ตกลง" เสวี่ยหมิงรับคำพร้อมแววตามาดมั่น
...เริ่มการประลองได้ !!!
ในที่สุดเสียงเอ่ยขานที่ผู้คนต่างรอคอยก็ดังขึ้น
สนุกมากค่ะ รอๆๆๆๆๆๆ มาเร็วๆน่ะค่ะ
ไม่ผู้คนต้องรอคอยละ แต่มันทำให้คนอ่ารต้องรอคอย งะ 555 ค้างจัด
บัดซบ! เถ้าแก่ข้าสั่งก๋วยเตี๋ยวใยเจ้าจึงเอาเกาเหลามาให้ข้าเยี่ยงนี้ เจ้าคิดว่าข้า นายน้อยผู้นี้เป็นผู้ใด
-จะคุยอะไรกันนักหนาแม่งมันค้าง
กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เอามาอีกตอนซะดีๆนะไรท์ อ๊ากกกกกก
บรรยาย ฉีปิง ซะยืดยาวเหมือนเจอเกาเหลาไม่มีเนื้อ สองตอนผ่านไปแม้แต่ยุงยังไม่ได้ตบ