ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic singular] Il était une fois ... l'amour กาลครั้งหนึ่งความรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : Paris night(Sin diary.)

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 55


    Il était une fois .... l'amour

     

    -2.2-

     

    Paris night

     

    Sin diary.

    Night

    2/11/12

     

     

     

                    หลังจากฝากท้องไว้กับอาหารในตู้เย็นของพี่นัทมาหลายมื้อ วันนี้ก็เป็นวันแรกที่เราได้กินอาหารฝรั่งเศสจริงๆซะที ที่โรงอาหารในมหาลัยนี่แหละ เพราะถ้าเกิดออกไปกินข้างนอกจริงๆราคาอาหารมื้อนึงคงทำให้กระเป๋าฉีก พาลให้ต้องเกาะรูมเมทกินไปทั้งเดือนเลยทีเดียว

     

                    โรงอาหารในมหาลัยปารีสที่นักศึกษาเรียกกันว่า resto u มีอาหารให้เลือกหลากหลาย แบ่งเป็นโซนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีโซนอาหารเย็นคือ พวกสลัด หรือซุป โซนอาหารย่างอย่างเสต็ก โซนอาหารอิตาเลี่ยนจำพวกพาสต้า โซนอาหารเอเชียที่จะมีอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารจีนสลับกันไป เราเดินวนๆอยู่นานด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะเลือกกินอะไรดี แต่สุดท้ายก็ได้เสต็กปลาจานใหญ่กลับมาที่โต๊ะ

     

                    ซินกับนัทซังรู้จักกันมาก่อนเหรอ ดูสนิทกันมากๆอ่ะยูยะถามขึ้นมาขณะที่กำลังจัดการกับสปาเก็ตตี้ตรงหน้า

     

                    ไม่นี่ เพิ่งเจอกันวันแรกก็เมื่อวานนี่แหละ

     

              “จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ

     

              “คงเพราะเป็นคนไทยเหมือนกันด้วยมั้ง พี่นัทก็เป็นคนใจดีด้วยแหละเราตอบยิ้มๆ รูมเมทคนนี้ใจดีจริงๆนั่นแหละ ขนาดเราแกล้งทำเอาแต่ใจใส่ขนาดนั้นยังยอมตามใจเราทุกอย่าง ดูแลเรายังกะเป็นพ่อคนที่สองยังนั้นล่ะ

     

                            หรือว่านัทซังจะชอบซินอ่ะ

     

              ไม่หรอกน่า เราเป็นผู้ชายนะยูยะส่ายหัวน้อยๆ กับความคิดของคนตรงข้าม

     

              “ผู้ชายแล้วไง ? ซินน่ารักขนาดนี้ ขนาดเรายังชอบเลย

     

              เราหัวเราะออกมากับท่าทางจริงจรังของยูยะ ก่อนจะตอบกลับไปล้อๆว่า

     

              “นี่จีบเราทางอ้อมเหรอ

     

              “แล้วได้ไหมล่ะ?

     

              “อย่าเหนื่อยเลย ไม่มีใครจีบเราได้หรอก ทั้งยูยะทั้งพี่นัทนั่นแหละ หรือใครก็ตาม ...เพราะเรามีคนที่อยู่ในใจแล้วล่ะ

     

     

              เป็นคนที่อยู่ในใจตลอดมา และจะยังคงอยู่ตลอดไป

     

     

                    หลังจากแยกกับยูยะที่หน้าโรงอาหารเพราะอีกฝ่ายอยากไปห้องสมุด เราก็เลยต้องเดินกลับมาที่หอคนเดียว ระหว่างทางที่เดินคนเดียวมันก็ดีที่ได้คิดอะไรเพลินๆ  เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะพบว่าหน้าจอโชว์เบอร์ไม่ได้รับแปดสาย และข้อความที่ไม่ได้อ่านอีกหกข้อความจากเบอร์ของบาส แม้ว่าข้างในใจของเราจะอยากเปิดอ่านข้อความนั้น หรืออยากกดโทรกลับไปหาแค่ไหน แต่สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่กดลบทั้งมิสคอลทั้งข้อความเท่านั้น

     

                    เมื่อตั้งใจจะลืม ก็ควรจะตัดใจให้ลืมได้จริงๆ

     

                            ....

              ..

              .

                   

                    หวังว่านะ

     

     

     

                    พี่นัทททท ตื่นนน ปารีสตอนกลางคืนที่สัญญากับเราไว้ล่ะ? ตื่นเดี๋ยวนี้

     

                    เราตะโกนป้องปากใส่หูจนคนนอนอยู่บนเตียงข้างๆสะดุ้งโหยง ทำเอาเราหลุดขำออกมาจนคนโดนแกล้งเอื้อมมือมาผลักหัวเราเบาๆเป็นการแก้แค้น ตั้งแต่กลับมาถึงห้องพี่นัทก็เอาแต่อ่านหนังสือเพราะบ่นว่าคาบหน้าจะมีเทส แต่พออ่านได้ครึ่งเล่มก็คลานไปนอนบนเตียงพร้อมกับโอดครวญว่าอ่านไม่เข้าหัวสักนิดก่อนจะหลับยาวหน้าตาเฉย ทำเอาเราอารมณ์ดีขึ้นมากับอาการตลกๆของรูมเมทคนนี้ ถ้าจะให้เวลาอ่านหนังสือตั้ง 20 นาที แล้วหลับไป 2 ชม. ยาวๆแบบนี้ล่ะก็ ไม่ต้องพนันก็รู้ว่าคาบต่อคงไปสอบไม่ผ่านหรอก

     

                   

                    เออๆ ขอไปล้างหน้าแป๊บ เตรียมตัวเลยเรามองตามพี่นัทเดินเข้าห้องน้ำไปเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นนะ แต่เตรียมตัวเสร็จตั้งแต่สี่โมงแล้วล่ะ ทั้งแต่งตัว ทั้งเตรียมโพราลอยด์ไปถ่าย แล้วก็ไม่ลืมผ้าพันคอผืนสำคัญ

     

                    จะใส่จนมันเน่าคาคอเลยรึไง ไอ้ผ้าพันคอผืนนี้อ่ะ

     

           พี่นัททักเมื่อเห็นผ้าพันคอผืนเดิม เราได้แต่หัวเราะน้อยๆพร้อมกับยิ้มตอบกลับ ก็มันไม่อยากถอดนี่นา เราพยายามไม่รับรู้ความเป็นไปของเจ้าของผ้าพันคอ และอีกใจก็อยากให้ผ้าพันคอผืนนี้อยู่ใกล้ตัวตลอด เพราะมันเป็นเครื่องหมายที่บอกว่า คนคนนั้นอยู่ข้างๆเราเสมอ

     

                    เราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...

     

                    เดินเลยๆมานอกรั้วมหาลัยสักพักก็ถึงสถานีรถไฟหรือเมโทร พี่นัทเป็นคนไปซื้อตั๋ว ไม่กี่นาทีรถไฟก็มาถึง สถานีเป้าหมายของเราคือสถานีเบอร์ฮาเก็มซึ่งป็นสถานีที่อยู่ใกล้กับหอไอเฟลมากที่สุด

     

                    เอามือมา

     

           เรายื่นไปให้ ก่อนที่พี่นัทจะคว้ามือเราไปหมับพลางกุมไว้แน่น เราสะดุ้งพร้อมกับจะดึงมือออก แต่อีกฝ่ายกลับกระชับมือเราให้แน่นขึ้นว่าเดิม

     

                    พี่นัท ...ปล่อยไม่ได้เหรอ?เรามองหน้าพี่นัทพร้อมกับจ้องตาแป๋ว อ้อนแบบทุกทีที่พี่นัทยอมตามใจตลอด

     

           “บนรถไฟคนเยอะ ยิ่งไฟถึงไอเฟลยิ่งเยอะ จับมือไว้จะได้ไม่หลง

     

            เราก้มหน้างุด ก่อนจะเดิมตามพี่นัทขึ้นรถไฟ รู้สึกว่ามือที่จับกันไว้มันเหมือนมีไฟฟ้าสถิตยังไงอย่างนั้น หัวใจเต้นตึกๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรกัน ยิ่งอยู่ใกล้กันแค่นี้ยิ่งไม่กล้ามองหน้าจนต้องหลบตาพี่นัทตลอดทาง

     

                    ไม่กี่นาทีพวกเราก็มาถึงสถานีเป้าหมาย สถานีเบอร์ฮาเก็มมีป้ายบอกทางไปหอไอเฟลอันใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยว เราไม่รอช้าลากพี่นัทไปตามป้ายอย่างรวดเร็วจนพี่นัทบอกให้ช้าๆหน่อยนั่นแหละก็ถึงได้ลดฝีเท้าลง ก็เรียนศิลป์-ภาษาฝรั่งเศสมาตั้งหลายปี เห็นหอไอเฟลก็แต่ในตำรา พอรู้ว่าจะได้เห็นของจริงแล้วมันก็ต้องตื่นเต้นบ้างเป็นธรรมดาสิ

     

                   

              หลังจากเดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก และโปสการ์ดมากมายหอไอเฟลขนาดใหญ่สูงตระหง่านก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา หอไอเฟลสูงมาก มากๆ มากกว่าที่จิตนาการไว้เยอะ ด้านหลังของหอเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว

     

                   

                    เนื่องจากใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว พวกเราจึงตกลงกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันบนไอเฟล พี่นัทเป็นคนไปซื้อตั๋วขึ้นหอไอเฟล ซึ่งแน่นอนว่าพี่นัทเป็นคนจ่าย ระหว่างที่เราตื่นเต้นกับการถ่ายรูปมุมนู้นมุนนี้ ไม่นานพี่นัทก็กลับมาพร้อมกับตั๋วสองใบ

     

                    ซื้อตั๋วลิฟต์มาเหรอ เราอยากขี้นไปบันไดมากกว่าอ่ะ

     

           เราท้วงเมื่อพี่นัทกลับมาพร้อมตั๋วลิฟต์ขึ้นหอ ไม่ใช่ตั๋วบันไดแบบที่เราอยากได้

     

                    ขึ้นลิฟต์เห๊อะ เชื่อพี่เถอะ

     

            “ทำไมอ่ะ?

     

            “กลัวความสูงว่ะ เคยเดินขึ้นกับเพื่อนทีนึงขาสั่นมาก หัวใจจะวาย

     

            “ฮ่าๆๆ กากอ่ะเราขำพรืดเมื่อไหร่ยินคำตอบ ผู้ชายหน้าตาโหดขนาดนี้เนี่ยนะกลัวความสูง หน้าไม่ให้จริงเลยสาบานเถอะ

     

                    พวกเราไปต่อคิวขึ้นลิฟต์สู่ชั้นบนสุดของไอเฟล โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะมากลิฟต์เลยมีแค่พวกเรากับชาวยุโรปอีกสองคนเท่านั้น ลิฟต์ขึ้นหอเป็นกระจกใสโปร่งที่สามารถมองวิวได้ เราเกาะลิฟต์พลางดูวิวข้างล่างอย่างตื่นเต้น อยากจะคว้ากล้องขึ้นถ่ายรูปใจจะขาดแต่ติดว่าพี่นัทยังจับมือเราไว้อยู่นี่แหละ

     

                    อยู่บนลิฟต์ยังจะกลัวเราหลงอยู่อีกเหรอ?

     

                    จนลิฟต์ขึ้นมาจนถึงยอดหอ ภายในหอแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนที่เป็นห้องโถงกระจกให้ชมวิว กับส่วนที่เปิดโล่งให้ชมวิว เราเลือกอย่างหลังเลยเดินขั้นบันไดขึ้นมาอีกไม่กี่ขั้น ก่อนจะพบางเดินยื่นออกไปรอบๆ ยอดหอเพื่อชมวิว ที่มีกรงเหล็กครอบกั้นไว้คล้ายกับกรงนก

     

                    พอขึ้นมาถึงตรงนี้ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงอมส้ม ดวงอาทิตย์สีส้มแก่เคลื่อนต่ำลงจนดูเหมือนจะจมลงไปในแม่น้ำแซนด์ แสงสุดท้ายของวันสาดอ่อนๆไปทั่วทั้งเมืองที่สวยราวกับภาพวาดในนิทาน อยู่บนนี้เราเห็นทั้งประตูชัย ทั้งสะพานข้ามแม่น้ำแซนด์ เห็นเทพีเสรีภาพฝรั่งเศส ...สวยเหลือเกิน

     

     

                    สวยจนเข้าใจว่าทำไมที่นี่เป็นเมืองในฝันของคนนั้น

     

     

                    ซิน ถามอะไรหน่อยได้ไหม?

     

     

           “อืม

                   

                   

                    ตอนเลือกที่จะสอบมาที่นี่ ซินคิดอะไรอยู่?

     

     

            “…”

     

             

           “ความลับเหรอ?

                    อืม แค่เห็นว่าพี่ใจดีกับเรา เราจะเล่าให้ฟังก็ได้ ...คือว่าตอนอยู่มัทธยมมีแฟนคนนึงน่ะ เค้าชอบที่นี่มาก แล้วเราก็สัญญาว่าจะมาเรียนต่อที่นี่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็มีแค่เราคนเดียวที่รักษาสัญญา

     

             

            “แล้วเค้าไปไหน?

     

     

            “เค้ามีแฟนใหม่ อยู่ที่ไทยนั่นแหละ

     

             

     

             “แม่งเหี้ย

     

     

             “ใช่ แม่งเหี้ย ...แต่เค้าไม่ผิดหรอก คนใหม่ของเค้าก็ไม่ผิด ไม่มีใครผิด ...เราไม่ได้เสียใจซะหน่อย

     

     

              “แล้วน้ำตาไหลทำไม?พี่นัทเอื้อมตามาเช็ดน้ำตาที่แก้มให้เรา น้ำตาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าไหลออกไปตอนไหน ไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ

     

              พระอาทิตย์ตกดินแล้ว สีม่วงกลืนกินสีส้มอ่อนจนท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยความมืด แสงสว่างจากหลอดไฟดวงเล็กๆหลายล้านดวงไฟเมืองรับหน้าที่เติมความสว่างไสวให้แก่เมืองแทน เช่นเดียวกับหอไอเฟลที่เริ่มเปิดไฟสีทอง

     

                   

                           พี่นัท ...

     

              “หืม

     

              “…”

             

     

     

              …………….

     

              …………

     

              …..

    .

              …

     

              ..

     

              .



     

              “เป็นแฟนกับเรา...ได้ไหม?

     

              “….

     

              พี่นัทหันควับมาหาเราด้วยความตกใจ ก็แน่ล่ะ คนเพิ่งรู้จักกันได้สองวันก็ขอเป็นแฟน แถมเป็นผู้ชายแบบเราด้วย พี่เขาคงตกใจน่าดู พี่นัทเงียบเหมือนคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยเราก็ดีใจนะที่พี่เค้าไม่ได้รีบตอบปฎิเสธ ไม่งั้นเราคงเสียเซล์ฟน่าดู

     

     

              “ลืมเค้าได้แล้วเหรอ?

     

             

                           ไม่...

     

             

              “….”

     

     

              “ถึงอยากให้ช่วยไง พี่นัท...ทำให้เราลืมเค้าที



     

     

              “อืม ....

     

     

    ขอบคุณนะที่รับปาก

     

    เราไม่ไหวแล้ว กับการที่ทำอะไรก็คิดถึงแต่บาส

    ช่วยเราด้วย

     

    ช่วยทำให้เราลืมเค้า...ได้ไหม?

     

     

     

    TBC.

              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×