คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Roommate
Il était une fois .... l'amour
-1-
Roommate
ในวันที่ไม่มีแดด
ดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ที่เดิม
เพียงแต่เรามองไม่เห็น.
1/11/2012
วันนี้ที่ปารีสฝนตก.
ผมปิดผ้าม่านก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียง อากาศเย็นๆกับฟ้าหม่นๆข้างนอกมันพาลให้ผมไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนอนห่มผ้าบนเตียงอยู่เฉยๆ น่าเบื่อชะมัด แทนที่จะได้ใช้เวลาในวันหยุด Toussint* ออกไปเปิดหูเปิดตาในปารีส กลับกลายเป็นว่าต้องมานอนเฉยๆอยู่ในหอพักนักศึกษาแบบนี้เพราะฝนดันตกซะได้
ผมนอนจ้องนาฬิกาบนฝาพนัง ตอนนี้เข็มยาวชี้ไปที่เลข12 ส่วนเข็มสั้นของมันอยู่ที่เลข 2 นอนจ้องเข็มวินาทีบนหน้าปัดค่อยๆวิ่งไปทางขวา เสียงติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก... เสม่ำเสมอในแต่ละวินาทีนี่มันชวนให้ผมง่วงนอนเหลือเกิน
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
นาฬิกาจังคงเดินเป็นจังหวะ พร้อมๆกับที่เปลือกตาของผมค่อยๆหนักขึ้นๆเรื่อย...
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
สงสัยเพราะเเมื่อคืนมัวแต่อ่าน Political Economy จนถึงตีสองแน่ๆ...
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก.
อา...ทำไมผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่างนะ
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
ช่างแม่งเหอะ ...ง่วง ไม่ไหวละ
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
“…”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ในขณะที่กำหลังจะเคลิ้มหลับเสียให้ได้ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องมาเป็นมารขัดขวางการนอนหลับของผม ปกติผมก็มีเพื่อนที่พักอยู่หอนี้ไม่กี่คน เลยเดาว่าต้องเป็นยูยะ ไอ้เด็กญี่ปุ่นเอกศิลปะที่อยู่ห้องถัดไป...เพราะมันชอบมายืมของห้องผมบ่อยๆ
“C’est Yuya ? je suis très somnolent. Ne pas déranger moi.”
(ยูยะเหรอ? กูง่วงมากครับ อย่าเพิ่งมากวนกูตอนนี้)
ผมตะโกนพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัว ...ยูยะเงียบไปแล้ว สงสัยจะกลับห้องมันไปแล้วล่ะมั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
อ่าว แม่งยังไม่กลับนี่หว่า ...
“Je ne suis pas Yuya ...Je suis Votre colocataire.”
(เราไม่ใช่ยูยะ เราเป็นรูมเมทคนใหม่ของนาย)
ผมลุกพรวดออกจากที่นอนและกองผ้าห่ม ตาสว่างปิ๊งทันทีราวกับใครเอาน้ำเย็นมาสาดหน้า อยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงที่ลืมไปซะสนิทว่าเมอซิเออร์ที่ดูแลหอบอกตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนว่ารูมเมทคนใหม่ของผมจะวันนี้ ผมกวาดสายตามองสภาพรอบๆห้อง ของกินที่แกะทิ้งไว้กินยังไม่หมดแถมยังไม่ได้เก็บเข้าตู้ กองหนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์ระเกะระกะอยู่ที่ปลายเตียง ตู้หนังสือฝุ่นจับ ...ไอ้คนที่ยืนรอหน้าประตูมันจะด่าว่ากูซกมกไหม?
ผมลุกจากเตียงไปเปิดประตูห้องให้รูมเมทคนใหม่ ...มันเป็นผู้ชายเหมือนกันคงไม่ถือหรอกน่า...
แอ๊ดดดดดดด
ประตูห้องที่เปิดออกมาทำให้ผมได้เห็นคนที่ยืนกอดอกทำหน้าบึ้งหน้างออยู่หน้าประตูเป็นครั้งแรก ผมอึ้ง รู้สึกเหมือนโลกหมุนช้าลง แบบในละครน้ำเน่าหลังข่าวเมื่อได้มองใบหน้าหวานๆของคนตรงหน้า อีกฝ่ายเป็นคนเอเชียเหมือนผม ตัวเล็ก ผมลอนยาว ผิวขาว จมูกโด่ง ตาโต ปากชมพู...จมูกกับแก้มของฝ่ายนั้นเป็นสีแดงเพราะอากาศ16 องศา แต่ผมกับมองว่ามันดูน่ารักดี
“น่ารักสัด ผู้ชายจริงเหรอวะ? หรือแม่งเดินเข้ามาผิดหอ” หลุดปากพูดออกไปแบบไร้มารยาทสุดๆ แต่คงไม่เป็นไรหรอก คนตรงหน้าคงไม่เข้าภาษาไทย
“เราเป็นผู้ชาย”
ซะที่ไหนกันล่ะ ...
“…”
“…”
ผมเงียบ ส่วนไอ้คนหน้าสวยที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องก็เงียบเช่นกัน จนเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของผมลากกระเป๋าใบโตเดินเข้าห้องเดินเข้าห้องไปนั่นแหละ ผมถึงลากกระเป๋าอีกใบของมันลากตามมันไปติดๆ
ใบหน้าหวานๆของมันงอง้ำเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นสภาพห้องอันสะอาดเอี่ยมที่ผมทำไว้
“พอดีลืมว่าจะย้ายมาวันนี้เลย ก็เลยไม่ได้เก็บห้องน่ะ” ผมแก้ตัวพลางหยิบหนังสือไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหยิบของกินที่แกะทิ้งไว้กินเข้าตู้เย็นให้หมด อย่างน้อยห้องก็ดูเรียบร้อยขึ้นหน่อยนึงล่ะนะ
ครืดดดด
เตียงเดี่ยวสองตัวที่ผมเป็ยคนลากให้มันมาชิดกันบัดดี้ผู้มาใหม่แยกออกจากกันก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมกับนั่งมองผมทำความสะอาดห้องต้อนรับมันตาแป๋ว
ไม่ได้คิดจะช่วยกูเลยสินะ...
ผมคิดอย่างจนใจ แต่จะว่าไปผมก็บ่นไม่ได้เพราะเป็นคนทำรกเองนี่นา
“นายชื่ออะไรอ่ะ?” เสียงใสของคนบนเตียงส่งมาถามผม มันไม่ได้ใสแบบผู้หญิง แต่ก็ไม่ทุ้มแบบผู้ชายปกติทั่วไป
“ชื่อนัท”
“อยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอ แล้วเรียนเอกอะไรอ่ะ”
“อยู่ปีสอง เรียนเศรษฐศาสตร์”
“งั้นก็แก่กว่าเราสิ”
“แล้วเราอ่ะ ชื่ออะไร”
“ชื่อซินเซียร์ เรียกเราว่าซินเฉยๆ ก็ได้ เรียกเอกศิลปะ ปีหนึ่ง”
เอกเดียวกับไอ้ญี่ปุ่นข้างห้องเลยนี่หว่า...
ทั้งห้องกลับมาปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้งเมื่อซินเงียบไป ส่วนผมก็ไม่รู้จะถามอะไรมันต่อ ผมเดินกลับไปนั่งที่เตียงเพราะว่าจัดการเก็บของในห้องเสร็จแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่ซินลุกจะเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าไปเก็บในตู้เสื้อผ้าพอดี ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าแวบหนึ่งที่เราสบตากัน รูมเมทของผมมีแววตาประหลาดใจอยู่ในนั้น ก่อนจะรีบหลบตาผมเดินก้มหน้างุดๆเดินเอาผ้าไปใส่ตู้
“พี่นัท ถามหน่อยดิ มีญาติชื่อบาสหรือเปล่า” สรรนามใช้เรียกถูกเปลี่ยนไปตามความอาวุฒโส
ผมหันไปมองคนที่กำลังหันหลังให้ผมพลางเก็บเสื้อผ้า ซินก็ยังนิ่ง แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อกี้ผมได้ยินเสียงน้องมันสั่นๆ ...สงสัยคิดไปเองล่ะมั้ง
“ไม่มีนะ...ทำไมเหรอ?”
“เปล่า เราถามเฉยๆ”
ฝนข้างนอกยังคงตกหนักอยู่เหมือนเดิม ลอบมองคนมาใหม่ที่ขะมักขะเม้นจัดข้าวของ ทั้งจัดหนังสือที่แบกมาเป็นตั้งให้เข้าชั้น ทั้งหยิบนู่นวางนี่เพลินๆโดยไม่เบื่อแม้แต่น้อย จนเข็มสั้นของนาฬิกาข้างที่ติดอยู่ข้างผนังห้องมันชี้มาที่เลข6 แล้วคนที่กำลังจัดของเสร็จพอดีบ่นว่าหิวนั่นแหละ
“ออกไปกินข้างนอกตอนนี้ก็ต้องลุยฝนอ่ะ จะไปไหม”
“ขี้เกียจอ่ะ พี่นัทได้ซื้ออะไรติดตู้เย็นไว้บ้างไหม?”
“มีขนมปัง มีแฮม มีไข่ยังไม่ได้ต้ม กินแซนวิชไหม เดี๋ยวทำให้” คนบ่นว่าหิวพยักหน้าถี่ๆ ผมเลยเดินไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะหยิบวัตถุดิบทั้งหมดมาวางบนเคาเตอร์ทำครัว พอหันไปมองที่ซินอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายกระโดดขึ้นไปนั่งขัดสมาธินั่งดูผมตาแป๋วอยู่บนเตียงซะแล้ว
“เฮ้ย มาช่วยต้มไข่หน่อย”
“เราต้มไม่เป็นอ่ะ”
ผมแทบหัวมือก่ายหน้าผาก ขนาดต้มไข่กินเองยังไม่เป็น แล้วพ่อแม่มันกล้าส่งมาเรียนเมืองนอกคนเดียวได้ยังไง…
“มานี่ เดี๋ยวสอน เผื่อวันไหนไม่อยู่จะได้ทำกินเอง” ผมกวักมือเรียก ซึ่งคนบนเตียงก็ลุกมาหาอย่างว่าง่าย ซินมายืนอยู่ด้านขวาพลางมองผมที่กำลังหั่นแฮม
“ก่อนอื่นต้มน้ำร้อนก่อน เอาน้ำใส่หม้อ แล้วยกไปวางบนเตาแก๊ส”
ซินทำตามที่ผมสั่ง มือเรียวค่อยๆรินน้ำจากเหยือกลงหม้อ ก่อนจะเอาไปวางบนเตาแก๊ส
“หยิบไข่ไส่ลงไปในหม้อ แล้วก็เปิดแก๊ส”
“อ๊ะ ...”
เสี้ยววินาทีที่น้องมันเอื้อมมือมาหยิบไข่ ส่วนผมก็กำลังจะหยิบไข่ใส่ลงหม้อเพื่อเป็นตัวอย่างให้มันเช่นกัน มือของซินเลยวางแหมะทับลงบนมือผม แต่ก็แค่เสียววินาทีเท่านั้นแหละ เพราะอีกฝ่ายชักมือออกไปเร็วราวกับว่ากลัวจะติดโรคร้ายแรงอะไรจากผมอย่างนั้นล่ะ
แต่จะว่าไป มือขาวๆของซินก็นุ่มดีนะ...
อาหารมื้อเย็นมื้อแรกของเราสองคนผ่านไปได้ด้วยดี ผมขอโทษซินที่มื้ออาหารมื้อแรกของซินในฝรั่งเศสเป็นแค่แซนวิสกระจอกๆแบบนี้ พร้อมกับสัญญากับน้องมันว่าถ้ามีโอกาสจะพาไปกินอาหารดีๆ อีกฝ่ายเพียงแต่หัวเราะน้อยๆตอบกลับมาเพียงเท่านั้น
วันนี้ผมอาบน้ำหลังซิน เมื่อเดินออกจากห้องน้ำก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขีดๆเขียนๆบางอย่างลงกระดาษอยู่บนเตียงของตัวเอง ผมกระโดดขึ้นเตียงของผมบ้างพลางนอนมองอีกฝ่าย ท่าทางจะมีสมาธิกับกระดาษที่เขียนจริงๆแฮะ ขนาดโดนจ้องขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว
“เขียนจดหมายไปหาที่บ้านเหรอ?”
“ไม่เชิง....”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปส่งที่ตู้ไปรษณีย์ ไม่ไกลจากหอหรอก”
“หึ ไม่จำเป็นอ่ะ เราแค่อยากเขียนถึงเค้า แต่เราไม่อยากส่ง”
“…”
“พี่ไม่เข้าใจหรอก” ซินหันหน้ามาตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เป็นยิ้มที่คล้ายกับยิ้มเพื่อเย้ยหยัน เป็นยิ้มที่ผมไม่ชอบ ...เป็นรอยยิ้มที่ช่างดูเศร้า…
“นอนก่อนนะ ถ้าเราจะนอนก็ปิดโคมไฟหัวเตียงด้วย”
“ได้ครับ” คนหน้าหวานตอบรับทั้งๆที่ยังก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมาย
“bon nuit ซิน”
“ครับบบ bon nuit ครับพี่นัท”
เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังห้องชี้เลขสาม ในขณะที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงละเมอของคนบนเตียงข้างๆ
“บาส ...เรารักบาส ...ได้ยินไหม เราคิดถึง”
ผมลุกจากเตียงของตัวเองก่อนจะทรุดนั่งลงบนเตียงของอีกฝ่าย โอบกอดคนละเมอไว้หลวมพลางเช็ดคราบน้ำตาของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ซินผวาเข้ามากอดผมแน่น
“บาสใช่ไหม? บาสกลับมาหาซินแล้วใช่ไหม”
“นี่บาสเอง หยุดร้องนะคนดี” ผมกระซิบที่ข้างหูน้องพลางเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่ยังไหลอยู่ ไม่นานซินก็หยุดร้องไห้ ทั้งๆที่ยังกอดผมไว้แน่น
อา...ผมขอโทษนะ ที่ผมโกหก ...ผมไม่ใช่บาสของคุณ
ผมชื่อนัท.
TBC.
* Bonnuit แปลว่าฝันดี
*วัน Toussaint ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปี สำหรับประเทศฝรั่งเศสก็ถือว่าเป็นวันหยุด (le jour férié) อีก 1 วัน วัน Toussaint มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนานมากตั้งแต่ยุคสมัยชาวเซลติก(Celtes) สำหรับชาวเซลติกใน 1 ปีจะแบ่งเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูหนาว วันที่ 1 พฤศจิกายน ถือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูหนาวของแต่ละปี และเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ โดยในวันที่ 1ชาวคาทอลิกจะไปทำความสะอาดหลุมฝังศพของญาติและนำเทียนไปจุดเพื่อเป็นการรำลึกถึง ผู้คนมักจะนำดอกไม้มาวางแทนเทียน โดยดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันนี้คือLe chrysanthème หรือดอกเบญจมาศนั่นเอ
ความคิดเห็น