“ บางครั้ง การมองเห็นของคนเราก็ไม่ได้ทำให้เดาได้เหมือนกัน .. ว่าสิ่งที่อยู่หลังภูเขาลูกนั้นคืออะไร”
" ดันทุรังทำทั้งๆที่บาดเจ็บแบบนั้นก็ไม่มีทางสำเร็จหรอกครับ .. นั่งพักก่อนดีกว่านะ .. ? "
" ผมไม่สามารถบอกพวกคุณได้ว่าคนพวกนั้นมีแผนจะทำยังไง วางกับระเบิดเอาไว้ตรงไหน .. ผมมีหน้าที่ช่วยเหลือพวกคุณในเรื่องอาการป่วยไข้หรือบาดเจ็บทั้งทางกายและทางใจ .."
" .. เพราะงั้น ไม่จำเป็นต้องพูดว่า'ไม่เป็นไร'เวลาหรอกนะครับ .. "
บทที่เลือก : ๗ | นายแพทย์ผู้ทรงเกียรติ
ชื่อ-นามสกุล : นายแพทย์ รังศิมันต์ ปรศ ณ วังวิชัย [ Rangsimun Parasa Na Wangwichai ]
*นามสกุลอ่านว่า ปะ-ระ-สะ นะคะ Y//Y
ชื่อเล่น : พระศุกร์ [ Phasuk ] | หมอศุร์ [ Su ]
ความหมายของชื่อ : ชื่อจริงมีความหมายว่า 'ผู้ให้แสงสว่าง' เปรียบเสมือเจ้าตัวที่มีจิตวิญญาณและจรรยาบรรณของแพทย์อย่างเต็มเปี่ยม คอยให้ความช่วยเหลือและต่อชีวิตผู้เคราะห์ร้ายมานับไม่ถ้วน เปรียบเสมือนดวงตะวันอันอ่อนโยนที่คอยสอดส่องและชี้ทางให้แก่สิ่งมีชีวิตนั่นเอง
อายุ : ๓? ( เนื่องจากยังไม่ทราบผล จึงขอละเว้นเอาไว้เผื่อว่าตัวละครนี้จะมีโอกาสได้เข้าไปร่วมบทในเรื่อง และใช้อายุเช่นเดียวกันกับนายร้อย เพราะในประวัติและอุปนิสัยบางส่วนอิงมาจากตอนที่ยังเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กับนายร้อยค่ะ )
เพศ : ชาย
รูปร่างลักษณะ :
หน้าตา
อันชายหนุ่มผู้นี้นั้นเป็นบุตรคนกลางสุดของบ้าน ณ วังวิชัย การเลี้ยงดูจึงหาได้เคร่งครัดมัดมือเช่นคนใหญ่และคนรองใหญ่ ซ้ำยังตามใจผิดผีผิดคนคล้ายคนรองสุดท้องและคนสุดท้อง ท่านชายอยากเรียนดนตรีคุณท่านก็ให้ ท่านชายอยากเรียนศิลปะคุณท่านก็ให้ ท่านชายอยากไว้ผม คุณท่านก็มิได้หาว่าอะไร จนในปัจจุบัน เกษเหล่านั้นยาวระประบ่าโดยที่ยังมิได้ผ่านการตัดทอนแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ต้นปีมา แพผมนิฬกาลเงางามจนไร้ที่ติ ดวงเนตรคมสีดำขลับคล้ายเนื้อทรายที่มักจะฉายแววใจดีและดูมีเรื่องให้คิดอยู่เสมอ ขนตายาวแลคิ้วได้รูปด้วยไร้การแต่งเติม โครงหน้าเรียวรับกับจมูกโด่งเป็นสันเช่นคนมีบุญในตระกูล ร่องรอยแห่งอายุนั้นดูจะเลือนลองจนมองเห็นได้ยาก ร่างกายค่อนข้างไปทางผอมเนื่องจากไม่ได้กินได้นอนและทำงานแบบมาราธอนอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังคงมีกล้ามเนื้อบางๆพอประมาณและทำให้เจ้าตัวดูสมส่วนขึ้นมาบ้าง ผิวขาวเหลืองตามเชื้อสายไทยแท้ ดูเนียนละเอียดทว่าหาได้แพ้สิ่งใด คงจะมีมือเรียวที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักอันเป็นตำหนิแห่งเดียวนี่กระมัง
บุคลิกภาพ
ด้วยอาชีพรับราชการและดำรงตำแหน่งแพทย์มาค่อนข้างหลายปี ทำให้ภายนอกนั้นดูเป็นผู้ใหญ่มากความรู้และพึ่งพาได้ อาจจะด้วยการถูกสั่งสอนมารยาทจากภายในบ้านมา บางคราก็ว่าคล้ายเป็นลูกคุณหนูทั้งๆที่ในความจริงนั้น พระศุกร์เป็นแพทย์ที่พร้อมจะลุยน้ำลุยไฟ ขึ้นเหนือล่องใต้อยู่เสมอหากมีหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งบนใบหน้ายังประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแสนสุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาททุกทวงท่าบ่งบอกถึงการอบรมที่ดีจากบุพการี ทุกย่างก้าวแทบจะไร้ที่ติ อาจจะเรียกได้ว่าภายในบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ใหญ่และใจเย็น แต่ก็มากไปด้วยความชวนให้สบายใจ
การแต่งตัว
หากจะกล่าวไปถึงการแต่งตัวแล้ว บุรุษผู้นี้มิได้เคร่งเครียดว่าวันนี้จะต้องสวมแบบไหนหรือตัวใด เสื้อผ้าของพระศุกร์ส่วนใหญ่ล้วนจะเป็นสีโทนสุภาพ ไม่ขาวเกินไปและไม่ดำเกินไป เน้นรูปแบบที่เหมาะกับกาลเทศะและให้เกียรติในสถานการณ์นั้นๆ แต่พระศุกร์ไม่นิยมสวมเสื้อสีขาว สีโอรส หรือ สีครีม เนื่องจากตนสวมกาวน์เป็นประจำอยู่แล้ว จะให้ตัวข้างในเปื้อนจนส่งผลกระทบต่อภาพรวมอีกก็กระไรอยู่ ขอเพียงแค่ไม่เป็นปัญหาต่อภาพลักษณ์และความเหมาะสม เน้นกระฉับกระเฉงและใช้งานได้จริง รองเท้าก็มีแต่แบบสุภาพ รวมไปถึงการออกไปข้างนอกเพียงชั่วครู่ก็ยังจะสวมถุงเท้าและรองเท้าหนังทุกครั้ง เห็นเป็นผู้แต่งกายมิดชิดเสียงยิ่งกว่ามิชชันนารีเสียนี่ สุดท้ายคงเป็นรื่องของทรงผม ยามปฏิบัติงานหรือออกไปข้างนอกจะรวบสูงเอาไว้ด้วยยางเส้นเล็กๆ หากมิได้ออกไปไหนก็รวบต่ำพาดประบ่าด้วยเหตุผลที่ว่ารวบตึงทั้งวันก็ปวดหัวเกินไป
ส่วนสูง / น้ำหนัก : ๑๖๕ เซนติเมตร | ๕๖ กิโลกรัม
อุปนิสัย :
「 สมบัติผู้ดี 」
เดิมที หมอศุร์ได้รับการอบอรมมาจากทางบ้านค่อนข้างจะเข้มงวดในเรื่องของมารยาท แม้จะมีในบางเรื่องที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจ แต่อย่างไรภาพลักษณ์ของตระกูลก็ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก คติดั่งกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้นี้จะคงเอาไว้ซึ่งความสุภาพและความเรียบร้อยเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ทุกทวงท่าการวางตัว หรือแม้กระทั่งบทสนทนาก็จะแฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและหาได้มีการอวดวิชาจนเป็นผู้ที่น่าสนทนาด้วยสำหรับผู้ใหญ่วัยกลางหลายๆคน ทั้งยังเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ วางตัวดี รู้ว่าสิ่งใดสมควรกระทำหรือไม่สมควรกระทำ รู้จักที่สูงที่ต่ำและรู้เวลาที่จะแสดงความเห็น
ทั้งหมอศุร์ยังมีความเป็นผู้ใหญ่ตามวัยอย่างที่มิอาจแย้งได้ มุมมองของชายวัยกลางผู้นี้นั้นเข้าถึงยาก ในเมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะแสดงแต่ความรู้สึกดีๆออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ ภายใต้แววตาแสนใจดีและเป็นมิตรนั้น น้อยคนจริงๆที่จะรู้ว่าหมอศุร์มีเรื่องให้คิดมากอยู่เสมอโดยเฉพาะเรื่องคนไข้ที่การรักษาเบื้องต้นไม่สำเร็จ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่อีกอย่างก็คงจะเป็นเหตุผลที่ใช้รองรับในทุกๆการกระทำ หมอศุร์ไม่เคยทำอะไรที่ไร้ประโยชน์หรือไม่มีเหตุผลแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ย่างก้าวเข้าวัยเบญจเพสมา อาจจะด้วยความเป็นคนที่รู้จักคิด รู้จักวางแผนก่อนจะกระทำสิ่งใด ทั้งยังพยายามวิเคราะห์และคาดเดาสิ่งที่จะตามมาจากการกระทำทั้งมวลว่าก่อให้เกิดผลดีผลเสียอย่างไร หากเป็นผลดีก็พึงกระทำต่อไป หากจะเกิดผลเสียก็คงต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นในการแก้ปัญหาเสีย
「 ขยัน มีวินัย ตรงต่อเวลา 」
นิยามดังกล่าวจะมิได้เกิดขึ้นเลย หากมิใช่ว่าความพยายามของหมอศุร์ที่เป็นคนขยันและมีวินัยในตนเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร วางแผนชีวิตไว้อย่างไรก็ต้องกระทำอย่างนั้นให้เป็นกิจ ตื่นตีสี่ครึ่งขึ้นมาทบทวนบทเรียน อาบน้ำอาบท่า ทานมื้อเช้าก่อนออกจากบ้านพัก และตรงต่อเวลาเรียน กิจวัตรเหล่านี้ทำให้หมอศุร์เป็นผู้มากวินัยตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนประถม และคำกล่าวที่ว่า'ความพยายามไม่เคยทรยศใคร'ก็สัมฤทธิ์ผลกับเด็กชายรังศิมันต์ผู้นี้ เมื่อคะแนนทดวัดความรู้ของจันทร์สูงมากจนคณะครูหลายๆท่านกล่าวว่าจันทร์เป็นผู้เรียนที่ฉลาดที่สุดในทุกๆรุ่นที่ผ่านมา จันทร์สามารถเล่าเรียนและทำความเข้าใจบทเรียนล่วงหน้าได้โดยไร้ซึ่งอาการท้อใจใดๆ อาจจะด้วยความที่เป็นคนเรียนรู้วิชาไวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และวิชาที่ชอบยังเป็นวิชายากอย่างภาษาปะกิดอีกด้วย หน้าที่การเป็นนักเรียนนั้นจึงไม่ยากเลยแม้แต่น้อย
นอกจากความขยันเล่าเรียนใฝ่รู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีความเด่นชัดไม่ต่างกันก็คงจะเป็นการนำความรู้ที่ได้รับในชั้นเรียนหรือนอกชั้นเรียนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการเอาตัวรอด เช่น การผูกเงื่อน การเย็บผ้า การสอย การทำอาหาร ฯลฯ แทบจะเรียกได้ว่ามีทักษะชีวิตตั้งแต่ยังน้อย แถมยังดูเเลตัวเองได้โดยปราศจากพี่เลี้ยงหรือผู้ปกครองตั้งแต่อายุสิบสี่ย่างสิบห้าปี แม้ว่าหมอศุร์นั้นจะไร้คนคอยคุมพฤติกรรม(ที่ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง) แต่ความจริงจัง ความขยันและมุ่งมั่นของเจ้าตัวไม่เคยเสื่อมถอยในทุกๆบริบท ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะนักเรียน นักศึกษาแพทย์ และนายแพทย์ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างสุดความสามารถ
「 ขึ้นตรงต่อหน้าที่ 」
ด้วยความที่ตนเป็น'นายแพทย์' คอยรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คน หมอศุร์เป็นคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบ ขึ้นตรงต่อหน้าที่และมีใจรักในวิชาแพทย์อย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรือมีบุญวาสนา เงินเดือนจะมากจะน้อยเพียงไรก็ไม่บ่นเพราะตนมิได้สนใจเรื่องนั้น สิ่งที่หมอศุร์โฟกัสและตั้งใจมากที่สุดก็คงจะเป็นการรักษาผู้ป่วยเบื้องหน้าให้สุดความสามารถเสียมากกว่า ต่อให้อาการของผู้ป่วยจะหนักปางตายแค่ไหน หากหมอศุร์เห็นว่ายังมีโอกาสรอดกลับมาเป็นปกติ ก็จะออกคำสั่งให้เปิดห้องผ่าตัด ทำการรักษาเร่งด่วนทันที และมีผู้ป่วยหลายรายที่รอดพ้นความตายมาได้ด้วยฝีมือการผ่าตัดของหมอศุร์สมเสียงเล่าลืออีกด้วย
ภายใต้ความสำเร็จเหล่านั้น ในใจของหมอศุร์ก็ยังคงกดดันตัวเองอยู่เป็นเนื่องนิจ .. แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความสามารถทางการแพทย์ของตนเองมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลาดเลย (เนื่องจากเคสแรกของหมอศุร์และเคสสำคัญของพี่สาวนั้นล้มเหลว จึงฝังใจมาจนถึงตอนนี้) ถึงมันจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ถ้าไม่กดดันตัวเองเลยก็จะไม่เกิดความพยายาม อาจจะเรียกได้ว่าหนทางที่ทำให้ตัวเองเครียดที่สุด เป็นหนทางผลักดันตัวเองให้กลายเป็นคนที่ได้รับผลลัพธ์จากการกระทำที่ดีที่สุดก็ว่าได้
หากจะพูดถึงหมอศุร์ก่อนจะลาออกมานั้น เรียกได้ว่าเป็นแพทย์ที่ฝีมือดีที่สุดในโรงพยาบาลบางกอกแห่งนั้น มือสองข้างของนายแพทย์ผู้นี้ประหนึ่งหัตถ์ของพระเจ้าที่ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ นับตั้งแต่หมอศุร์ประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน การทำงานของนายแพทย์รังศิมันต์ผู้นี้ก็ไม่มีคำว่าพลาดอีกเลย .. แต่ถ้าจะพลาด ก็คงเป็นโอกาสที่น้อยมากจริงๆ ทั้งหมอศุร์ยังมีความอดทนในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างมาก ด้วยความที่เป็นหมอประจำแผนกเร่งด่วนแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง การเห็นหมอศุร์ออกมาจากห้องผ่าตัดหนึ่งแล้วเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งนั้นเป็นภาพที่ปกติและชินตาของบุรุษพยาบาลและพยาบาลผู้ช่วยไปเสียแล้ว แถมยังสามารถทำหน้าตาสดชื่นรื่นรมย์ได้ทั้งๆที่ไม่ได้หลับได้นอนมาเกือบห้าสิบชั่วโมงได้อีกด้วย ..
「 ทุกครั้งที่ผิดพลาด จะไม่โทษใครนอกจากตัวเอง 」
เป็นอีกนิสัยหนึ่งที่หมอศุร์เก็บเงียบไว้และไม่เคยบอกใคร ทุกครั้งที่ไม่สามารถรักษาชีวิตใดชีวิตหนึ่งเอาไว้ได้หรือทำการผ่าตัดล้มเหลว หมอศุร์จะโทษว่าเป็นสิ่งที่ตนทำพลาดอยู่เสมอ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยในเวลาที่เข้าไปช่วยพี่หญิงทำมื้อเย็นแล้วพนิตโดนมีดบาด หมอศุร์ก็จะโทษว่าเป็นความผิดของตนเองที่ไม่ยอมทำงานใช้มีดแทนพี่สาวจนได้รับบาดเจ็บแบบนั้น สิบแปดล้านเหตุผลที่จะเอามารองรับว่าทำไมเขาถึงโทษตัวเองได้ ถ้าอยากให้หมอศุร์เลิกโทษตัวเอง คงต้องให้คู่กรณีที่อยู่ด้วยมารับรองความสบายใจเสียสักสองสามประโยค
รวมไปถึงทุกครั้งที่รู้สึกเสร้าหมอง หดหู่ หมอศุร์ก็จะไม่แสดงอารมณ์เชิงลบเหล่านั้นออกมาเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีที่ความอดทนสิ้นสุดลงจริงๆ ( ซึ่งความอดทนของหมอศุนั้นสูงยิ่งกว่าตึกใบหยก ) ถึงจะแสดงอารมณ์เหล่านั้นออกมาให้เห็น ถ้าเป็นในยามปกติ ต่อให้จะเจ็บเจียนตายหรืออะไรก็ช่าง สิ่งที่สะท้อนทางแววตาและสีหน้าจะเป็นความใจดีและอ่อนโยนอยู่เสมอ เผลอๆ คงจะเก็บซ่อนความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นได้มิดชิดยิ่งกว่าการแต่งกายของของเจ้าตัวเสียอีก
เหตุผลที่กล่าวมานั้น ไม่แปลกเลยหากภายใต้ดวงตายิ้มแย้มและบรรยากาศที่พร้อมยื่นมือช่วยเหลือทุกเมื่อจะเต็มไปด้วยความคิดด้านลบร้อยแปดพันเก้าอยู่มากมาย .. ซึ่งความคิดด้านลบที่ว่าก็คงจะเป็นเรื่องที่ตัวเองเคยทำผิดพลาดไปในอดีตนั่นแล บางทีก็ชอบคิดมากไปเองเสียด้วยว่าตนทำบรรยากาศในวงสนทนาพังหรือไม่ แม้กระทั่งเวลาทำอาหารที่เผลอหยิบเกลือสลับน้ำตาล ผู้โชคร้ายคนนั้นจะเป็นคนที่หมอศุร์ตามประคบประหงมไปอีกนาน ..
「 ผู้ประนีประนอม 」
พื้นฐานของคนเป็นแพทย์แล้ว สิ่งที่สำคัญพอๆกับวิชาคือ'ความใจเย็น'และ'สติ' ซึ่งสองอย่างที่กล่าวไปนั้น หมอศุร์ก็สามารถควบคุมมันได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ใต้สถานการณ์ที่กดดันแค่ไหน ใบหน้าเรียวคมนั้นจะยังคงเอาไว้ซึ่งความสุขุมและเยือกเย็นอยู่เสมอ สถานการณ์ที่แสดงถึงความสามารถข้อนี้ของหมอศุร์ได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเวลาที่อยู่ในห้องผ่าตัด เพราะเมื่อเกิดปัญหาเมื่อไร จะเคสใหญ่เคสเล็ก หมอศุร์จะเป็นคนเดียวที่บอกวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแก่แพทย์หรือผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกันในขณะนั้น เดิมทีนอกจากชีวิตประจำวัน หมอศุร์ก็ไม่ใช่คนเจ้าแผนเจ้าการณ์ถึงขั้นต้องมีแผนเตรียมเอาไว้ในหัวตลอดเวลา แต่ในตอนที่เกิดปัญหา ไหวพริบอันดีเยี่ยมของชายวัยกลางผู้นี้ก็จะช่วยให้สถานการณ์เหล่านั้นฝ่าฟันความกดดันมาได้อย่างเหลือเชื่อ
นอกเหนือจากความใจเย็นและความมีสติเหล่านี้ สิ่งที่มีเยอะไม่ต่างกันก็คงเป็นความยุติธรรมภายในจิตใจ บ่อยครั้งที่หมอศุร์ต้องไปเป็นคนกลางตัดสินใจกับสองฝ่ายที่เกิดการทะเลาะหรือเถียงกัน แม้แต่ที่ประชุมก็ยังไม่เว้น ถึงเเม้ว่าจะใส่ใจกับคำพูดของคนรอบข้างในระดับหนึ่ง แต่หมอศุร์ก็มั่นใจว่าสิ่งที่ตนได้ให้คำตอบออกไปนั้นคือคำพูดที่ผ่านการคัดกรองและเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ถ้าเป็นกรณีที่สองฝ่ายไม่มีใครยอมใครและพยายามจะทะเลาะกันต่อ หมอศุร์ก็คงจะใช้ไม้แข็งด้วยการตะโกนว่า'หยุด!!'ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอันเป็นของแรร์ของเจ้าตัวเป็นแน่
และลงโทษด้วยการให้วิ่งรอบโรงพยาบาลหรือท่อนชื่อยาในห้องยาให้ตนฟังซักรอบสองรอบ
แต่ถ้าไม่ใช่สถานการณ์คอขาดบาดตายจริงๆก็คงจะปล่อยให้กำหมัดซัดกันต่อไป หมอขอลาออกมาจิบกาแฟไร้ไขมันเงียบๆดีกว่า
「 คุณหมอผู้ใจดี 」
โดยความธรรมดาสามัญแล้ว หมอศุร์ก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีความรู้สึกนึกคิด มากล้นไปด้วยน้ำใจ การกระทำทุกอย่างบริสุทธิ์ดุจวารีใส กระทำสิ่งใดให้ไม่เคยขอหรือหวังผลตอบแทน ขอเพียงแค่ส่งรอยยิ้มและพบว่าคนไข้คนนั้นสบายดี มันก็เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่มากๆแล้วสำหรับคนเป็นหมอ ทั้งบรรยากาศรอบกายที่ดูเป็นมิตรและชวนให้สบายยิ่งทำให้น่าเข้าใกล้ บนใบหน้า(ที่ไม่ดู)สูงวัยนั้นจะประดับเอาไว้ด้วยความอ่อนโยนและจริงใจอยู่เสมอ แม้กระทั่งในดวงตาคู่นั้น .. ซึ่งความเมตตาของหมอศุร์ไม่ได้หยุดอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง หากมีคนเจ็บวิ่งโร่เข้ามาหาพร้อมบอกเล่าถึงสาเหตุที่ควรทราบ คุณหมอคนนี้ก็จะทำแผลให้โดยไม่รีรอ ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กแผลใหญ่ หนักหนาแค่ไหน สุดท้ายก็จะปลอดภัยกลับบ้านไปอยู่ดี
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยบอกใครแต่ก็ทราบกันดี ทุกครั้งที่เกิดรอยยิ้มในดวงตา ริมฝีปากก็จะพลอยยิ้มตามไปด้วยจนติดเป็นนิสัย .. คงจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่ยิ้มง่ายกระมั่ง .. แถมหมอศุร์ใจดีและรักเด็กๆมากๆ เอ็นดูทุกครั้งเวลาที่เห็นร่างน้อยๆอยู่กับผู้ปกครองพร้อมเกาะชายเสื้อ เพราะสะท้อนภาพเด็กชายรังศิมันต์ในวัยเด็กไม่มีผิด .. แม้กระทั่งเดินผ่านร้านขนมหรือเห็นเครื่องดนตรีไทย ก็อดหยุดยืนมองและยิ้มน้อยๆกับตนเองเสียไม่ได้
บางที คุณหมอที่ดูเป็นผู้ใหญ่ก็ยังมีมุมที่ไม่รู้จักโตอยู่บ้างเหมือนกัน
ขนมซอง ไอติมน้ำอัดลม สติ๊กเกอร์การ์ตูน
ว่าแล้วก็ซื้อมาเก็บลงลิ้นชักไว้ซักชิ้นสองชิ้น
(...)
「 ยึดถือหลักความจริง 」
หมอศุร์เป็นคนที่มองโลกในแง่มุมของเหตุผล ทุกอย่างอยู่ในระดับครึ่งๆกลางๆ ไม่มีอะไรดีหรือแย่ ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎีบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค หมอศุร์มีความมั่นใจในฝีมือการรักษาของตัวเองก็จริง แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ไปกล่าวอวดวิชาว่าตนพิเศษหนักหนาหรือเก่งกว่าใคร เนื่องจากตระหนักและย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าคนเราเกิดมามีเลือดสีแดงเท่ากัน มองว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะคนจนหรือคนรวย มีความรู้เท่ากัน ต่อให้เป็นแพทย์ฝีมือดี แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งและประสบความสำเร็จกว่าใคร รักษาเก่งแค่ไหนก็มียังคงมีเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดอยู่ในขั้นตอนได้อยู่ดี
แม้ว่าจะมาจากบ้านตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่หมอศุร์ก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อสาราคาแบบกล้องต้องแพลนแบรนด์กุxชี่วิxกี้ชาแนxแต่อย่างใด เป็นเสื้อผ้าเรียบๆที่สวมใส่ให้เหมาะกาลเทศะ ทั้งยังเป็นคนที่ใช้เงินเห็นตามสมควร ไม่ได้ฟุ่มเฟือยหรือไม่ได้ใช้ไปกับสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น ซ้ำร้าย ยังบริจาคให้โรงพยาบาลที่ตนทำงานอยู่ด้วยซ้ำไป เพราะเห็นว่ามันจะเกิดประโยชน์กว่าการที่ตนเอาเงินเหล่านั้นไปนั่งทานอาหารให้ภัตตาคารหรูๆเสียอีก แค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็อยู่ท้องแล้ว
แถมยังเป็นคนที่คาดเดาอนาคตและลางสังหรณ์ค่อนข้างแม่น เพราะความเจ้าเหตุผลเหล่านั้น ทำให้หลายครั้งที่ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด เลือกทางที่ดีและก่อให้เกิดผลประโยชน์โดยรวมของผู้ป่วยมากที่สุด เช่น หากคุณมีผู้ป่วยสองรายที่ต้องการตับและปอดตามลำดับโดยด่วน และมีผู้ป่วยอีกรายที่เข้าสู่วัยกลางคนและเป็นอาการป่วยระยะสุดท้าย หมอศุร์ก็จะทำการผลัดเปลี่ยนอวัยวะของชายวัยกลางคนเข้ากับผู้ป่วยหนุ่มสาวสองรายนั้นอยู่ดี
หรือหากเป็นเหตุการณ์บนป่าบนเขา ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แต่มอร์ฟีนและยาแก้ปวดเหลือเพียงพอสำหรับทุกคนยกเว้นหนึ่งคนในกลุ่ม หมอศุร์ก็จะเป็นผู้เสียสละตนเองอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น และปล่อยยาที่เหลือให้กับผู้ร่วมทางให้ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป .. หากจะถามเหตุผลว่าทำไม หมอศุร์คงจะตอบว่าตนมันเป็นคนที่ตายยาก - ยากจะตาย ซ้ำแผลแค่นี้ไกลหัวใจ ..
เสียสละสิ่งหนึ่งเพื่อนประโยชน์หลายๆอย่าง มันก็คุ้มกว่าไม่ใช่หรือไร ?
「 ติดดิน 」
จะว่าหมอศุร์เป็นลูกคุณหนูคุณนายที่ทำตัวไม่ติดหรูก็คงใช่ โดยพื้นเพมิใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว จะนอนกลางดินกินกลางทรายอย่างไรก็ไร้ปัญหา ทั้งๆที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคุณชายเจ้าสำอางค์ ตื่นนอนมาทานอาหารบนเตียง มีพนักงานแต่งตัวและขับรถไปส่งให้ .. หลังออกเวรก็ไปนั่งรอทานสัปเป้อ(supper) ตามประสาผู้ดี ทั้งๆที่ในความจริงแล้วนั้น น้อยคนที่จะสังเกตเห็นว่าคุณหมอยังคงนั่งทานข้าวในปิ่นโต ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็นานๆที การไปออกงานสังคมแบบนั้นก็ไปนานๆทีเช่นกัน สิ่งที่เป็นความ(ไม่)ลับของนายแพทย์คนนี้ก็คงจะเป็นการลุยป่าลุยเขาเพื่อไปทำหน้าที่ของแพทย์บนเขาบนดอยสมัยฝึกงาน เห็นผอมๆแบบนี้ แต่ทางยากลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น ก้าวเดินไปอย่างไม่อิดออก ปีนเขา หมอบโคลน กระโดดน้ำตก ก็จะทำโดยไม่มีเสียงบ่นใดๆ ยกเว้นบางการกระทำที่จะต้องเตือนให้เพื่อนร่วมคณะรู้จักป้องกันตัวเองสักหน่อยเพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและความปกติของร่างกายจริงๆ
ความพิเศษอีกอย่างก็คือ หมอศุร์สามารถทำการผ่าตัดด่วนเพื่อช่วยชีวิตคนได้ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะบนป่าเขา ในถ้ำ กลางน้ำ(บริเวรโขดหินหรือขอนไม้) แม้จะเสี่ยงติดเชื้อ แต่ถ้ามันพอจะยื้อชีวิตให้ไปตายเอาดาบหน้าได้ หมอศุร์ก็ยินดีจะทำ เพราะแบบนั้น เจ้าตัวเลยสะพายกล่องบรรจุเครื่องมือแพทย์ไปด้วยตลอดเวลา แถมยังมีตลับปลอดเชื้อที่ใส่มีดผ่าตัด กรรมไกร คีมเหล็ก และด้าย ให้พร้อมต่อการใช้งานอีกด้วย
「 มุมจริงจัง 」
ในบางเรื่องที่จริงจังเป็นพิเศษก็คงจะเป็นความเจ้าระเบียบเจ้าวินัยอันเข้มขนอยู่ในสายเลือดชีวิตประจำวัน ความสะอาดภายในห้องต้องเนี๊ยบเรียบร้อยแทบจะตลอดเวลา ทุกคนจะต้องทานข้าวเช้าตามเวลาเจ็ดนาฬิกา (ถ้าใครยังไม่ตื่น อาจจะโดนหมอศุร์เอาช้อนเคาะถาดปลุกก็เป็นได้) รวมไปถึงมื้อเที่ยงอีกด้วย แต่มื้อเย็นไม่บังคับและสามารถผ่อนปรนกันได้ บางครั้งที่มีงานใดงานหนึ่งต้องทำร่วมกัน หมอศุร์จะใส่ใจทุกรายละเอียด เก็บงานในจุดที่คนอื่นพลาดไป กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นคนที่บทจะยิ้มก็ยิ้ม บทจะจริงจังก็ห้ามมีใครมากวนเชียว
ซึ่งมุมจริงจังของหมอศุร์จะเป็นเวลาที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์เสียส่วนใหญ่ ในขณะเริ่มการผ่านตัด เปลือกตาสีอ่อนจะปิดลงเพื่อทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้น .. ลบล้างแววความใจดีและความอ่อนโยนออกไปเสียจนหมดสิ้น มีเพียงแววตาจริงจังและเรียบนิ่งสะท้อนจากนิลกาฬคู่เท่านั้น รวมไปถึงการเย็บแผลขนาดใหญ่ หรือการรักษาแผลฉกรรจ์ของบุคคลในคณะอีกด้วย เป็นไปได้ไม่ควรรบกวนหมอศุร์ตอนจริงจังจะเป็นการดีที่สุด เพราะถ้าหมอศุร์หมดความอดทนหรือโกรธขึ้นมาเมื่อไร ตามง้อถึงอสงไขยก็คงยังไม่หันกลับมามองหน้าเป็นแน่
「 ความชักช้าที่ไม่ช้า 」
ชักช้าในที่นี้หมายถึงสมองช้า เวลามีใครเล่นมุกหรือล้อเล่นเรื่องอะไรมา คงต้องใช้เวลาสองนาทีกว่าๆกับการที่จะเข้าใจมุกตลกตรงนั้น หากไม่ได้อยู่ในหน้าที่ ก็มีหลายอย่างที่ดูเหมือนหมอศุร์ทำช้า เนื่องจากพื้นเพเป็นคนทางภาคเหนือและค่อยเป็นค่อยไปกับทุกสิ่ง บ่อยครั้งที่มีคนรอบข้างวิเคราะห์ว่าท่าทีเปิดปิ่นโตด้วยความชักช้าเหล่านั้น คงตรงกับสำนวนที่ว่า'กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้'เป็นแน่ แต่ห้านาทีต่อมา หมอศุร์ก็กลับมาประจำตำแหน่งทันที.. ประหนึ่งว่าท่าทีที่ดูเหมือนจะทานข้าวเที่ยงช้าเหล่านั้นกลับทานหมดอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
และด้วยความเป็นคนหัวช้า ทำให้ตกใจยาก กลัวยาก รวมถึงเชื่อยาก เนื่องจากทำงานกับร่างที่ใกล้เคียงจะไร้วิญญาณและเฉียดตายมานาน ทำให้หมอศุร์จะเอนเอียงความเชื่อไปทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ไม่ลบหลู่ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านั้น แต่เวลาที่นอนหลับ จะเป็นคนที่หลับง่ายตื่นง่ายมากๆ เพียงแค่มีคนเดินมาหน้าประตูก็ตื่นแล้ว เลยไม่มีใครสามารถแกล้งหลอกคุณหมอได้อย่างจริงๆจังๆซักที
「 เข้มแข็ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่อ่อนแอ 」
หมอศุร์สามารถแยกแยะและบังคับใจตัวเองได้ว่าหากอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ จะต้องเข้มเเข็งและเป็นที่พึ่งพาได้ หรือเวลาไหนที่ไม่จำเป็นต้องอดทน ก็คงจะนอนพักผ่อนทั้งกายทั้งใจโดยไม่สนว่าจะมีใครมากวน บ่อยครั้งที่หมอศุร์ชอบตั้งคำถามทั้งที่รู้เหตุผลและคำตอบกับตัวเองว่า นอกจากฝีมือการรักษาผู้ป่วยแล้ว ตนเองมีค่าพอจะให้คนอื่นสนใจอย่างไรอีก .. ? หากเราไม่แสดงฝีมือการผ่าตัดในวันนั้น ทุกคนจะมองว่าตนเป็น'หมอเก๊'หรือ'หมอปลอม'เหมือนเดิมใช่ไหม ?
ความอ่อนแอที่ฝังอยู่ในจิตใจหล่อหลอมให้จันทร์มีด้านอ่อนไหวอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย แม้จะชินชากับความตายและการสูญเสียเพราะเอาชนะตัวเองมาได้แล้วก็ตาม ซึ่งด้านอ่อนไหวเหล่านั้นก็ไม่คิดจะแสดงออกมาให้ใครเห็นหรือรับรู้อยู่ดี ความไม่อยากเผยด้านอ่อนแอมันรุนแรงถึงขั้นที่ .. ผ่าตัดเหนื่อยๆออกมาแล้วเจอคนดูใจมานานบอกว่าเราไปกันไม่ได้ แถมยังมีเสียงนินทาต่อท้ายว่าไปกินของเหลือจากเขา หมอศุร์ก็ยังคงยิ้มและเดินเข้าร้านข้าวไปสั่งกะเพราจานนึงมากินได้โดยไม่มีน้ำตาไหลแม้แต่หยดเดียว
「 ความละเอียดอ่อนและนิสัยอื่นๆของหมอศุร์ 」
ในส่วนของมุมมองด้านความรักนั้น หมอศุร์เคยมีคนที่คบหาดูใจมานานคนหนึ่ง (ในบุคคลที่เกี่ยวข้องและประวัติช่วงเป็นหมอมาซักพักหนึ่ง) แต่โดนบอกเลิกอย่างไร้เยื่อใยด้วยเหตุผลที่ว่าเราไปกันไม่ได้ ทำให้หมอศุร์มองว่าความรักแบบหนุ่มสาวนั้นเป็นเรื่องของสารเคมีจากสมองที่สั่งการให้รู้สึกรักและชอบ แตกต่างจากความสัมพันธ์ของมิตรสหายเป็นไหนๆ ทำให้เป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดรับและวิ่งตามใครๆ ถึงเวลาเมื่อไรมันก็คงจะมาหาเอง แถมยังไม่ยึดติดกับเงินทองหรือศักดิ์ศรี อย่างแรกมันเป็นของนอกกาย อย่างหลังมันใช้ช่วยชีวิตคนไม่ได้และเป็นเพียงนามธรรมที่ก่อให้เกิดความรู้สึกยิ่งใหญ่ก็แค่นั้น
เอาเข้าจริงๆแล้ว หมอศุร์ค่อนข้างจะใส่ใจเรื่องของคนรอบข้างในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่คิดมากเกี่ยวกับคำคนทั้งหลาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เก็บมาคิดเลย ในขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่แพทย์ของตนมากจนเกินไป ถึงอย่างนั้น หากเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวก็จะจำได้หมดว่าคนๆนี้ชอบทานอะไร ชอบสีอะไร ชอบของหวานหรือมีการแต่งตัวแบบไหน บางทีเพียงแค่ได้กลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ก็จะสามารถเดาได้เลยว่าเป็นใคร อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวความจำดีเป็นต้นอยู่แล้วกระมัง
ประวัติ : [ เหล่าบุคคลที่ปรากฏ ] | [ เรื่องเล่าของจันทร์ ] - ประวัติจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรก ว่าที่คุณหมอยังคงมีอาการ Thanatophobia | ช่วงที่ ๒ จะเป็นช่วงที่เป็นแพทย์เต็มตัวและลาออกจากรพ.ค่ะ
ความสามารถพิเศษ :
✁ ยิงปืน :: เคยถูกว่าที่นายร้อยลากไปยังสนามยิงปืนบ่อยๆในช่วงย่างเข้าการศึกษาระดับมัธยมปลาย สุดท้ายก็ยอมใช้อภิสิทธิ์ของบิดาช่วยให้เมิตรสหายเพียงหนึ่งเดียวได้เข้าไปทดลองฝึกเสียนี่ แม้กระทั่งจันทร์เองก็ได้จับปืนสั้นฝึกจนพอจะยิงปืนเป็นกับเขาบ้าง แต่ก็มิได้โดดเด่นเกินวิชาแพทย์หรือครัวเรือนที่ถนัดเสียเท่าไร (ปืนที่ใช้จะเป็นปืนพกแบบ Revolver ขนาด .357 magnum ค่ะ ไม่กล้าเอาเซมิออโต้เพราะกลัวว่ามันอาจจะล้ำสมัยเกินไป แหะ;;-;; )
✁ ไม่หลับไม่นอนข้ามคืน ( เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษได้ฤๅ ? ) :: เป็นแพทย์ต้องอดทน เคสด่วนสิบเคสชนต้องไม่ตาย หมอศุร์ใช้ชีวิตประหนึ่งนกเค้าแมวมาตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ระดับมัธยมปลายเพื่อสอบเข้า แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็ยังต้องมาหาความรู้สอบ บั้นปลายการศึกษาก็คือการรักษาผู้ป่วยด้วยแผนกที่ตนอยู่ ทำให้บ่อยครั้งจะเห็นหมอศุร์ออกมาจากห้องผ่าตัดที่หนึ่งแล้วย้ายไปห้องที่สองโดยมิมีหยุดพัก ขีดจำกัดของเขาก็คงประมาณห้าสิบสองชั่วโมงได้กระมัง
✁ สามารถทำการรักษาหรือผ่าตัดได้แทบจะทุกสถานที่ :: ด้วยจิตวิญญาณแพทย์ภายในสายเลือด ประกอบกับความมั่นใจในฝีมือที่มีอยู่เปี่ยมล้น ต่อให้จะเป็นกลางสนามรบ บนเรือหรือเกาะ แม้กระทั่งในป่าดงพงไพร ก็หาได้ทำให้ความสามารถของนายแพทย์ผู้นี้ลดถ้อยลง มิได้สะดวกสะบายเท่าบนเตียงหามหรือในอาคารก็จริง แต่หนทางใดที่สามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ได้ หมอศุร์ก็พร้อมจะเสี่ยงทั้งนั้น
✁ ศิลปะป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน :: เป็นการป้องกันตัวธรรมดาๆ จำพวกล็อคแขนหรือสะกัดข้อต่อ เนื่องจากจันทร์ไม่นิยมใช้ความรุนแรงเท่าไร
✁ ทำอาหาร/ขนม :: เสน่ห์ปลายจวักนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มทำอาหารโดยมิหวังสิ่งใด ต่อให้เป็นเมนูธรรมดาอย่างข้าวต้มหรือขนมเทียน หากให้กุ๊กหมอศุร์มาทำให้พร้อมใส่ความใส่ใจลงไป คงจะเป็นข้าวต้มและขนมเทียนที่อร่อยที่สุดในสยาม(เพราะมีที่เดียว)เป็นแน่
✁ เล่นดนตรี :: เล่นได้สองอย่างหลักๆคือการตีขิมกับสีซอ เครื่องสายอย่างอื่นก็สามารถ แต่อาจจะไม่ชำนาญเท่าสองอย่างแรก แต่พอมาอยู่ใต้ ก็คงจะมีแต่อังกะลุงนี่แล ที่พอจะมีโอกาสได้หยิบได้จับเสียบ้าง
อุปกรณ์คู่ใจ :
✁ กล่องยาสามัญประจำบ้าน :: เป็นหมออย่างไรก็ต้องมีของคู่ใจอย่างนั้น จะให้พกข้าวต้มมัดหรือน้ำมะพร้าวก็คงมิใช่ สิ่งที่จำเป็นอย่างยาแดง ผ้าก๊อซปิดแผล สำลี หรือแอลกอฮอลล้างแผล ซึ่งกล่องที่ว่าจะเป็นวัตถุขนาดเล็กบรรจุอยู่ในกล่องใหญ่(กล่องใส่เครื่องมือแพทย์ขนาดพกพา)อีกที
✁ กล่องใส่เครื่องมือแพทย์ขนาดพกพา :: อันได้แก่ มีดผ่าตัด ผ้าก๊อซสะอาด ถุงมือและหน้ากากอนามัย ยา ด้าย หรือกรรไกร สำหรับการผ่าตัดโดยฉับพลันและเร่งด่วน รวมไปถึงยาแก้ปวด และกล่องยาสามัญประจำบ้านอีกด้วย
✁ นาฬิกาพก :: ของนำเข้าจากฝั่งยุโรป นาฬิกาของตระกูล ณ วังผา เคยเป็นสมบัติไว้ชมเชยราคาและความงามของมัน แต่ในขณะที่ครอบครัวเก็บมันไว้เพื่อการนั้น หมอศุร์กลับเอามาจับเวลาผ่านตัดเร่งด่วนนอกสถานที่ประหนึ่งเป็นนาฬิกาพกถูกๆเสียนี่
สิ่งที่ชอบ :
✓ ความเงียบสงบของบรรยากาศในตอนกลางคืน :: เพราะทำให้คิดเรื่องต่างๆได้สะดวกและมีสมาธิยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคืนที่ไม่มีเหตุร้ายต่างๆเกิดขึ้น คงเป็นคืนที่มีค่าที่สุดในทุกๆคืนของหมอศุร์เป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งคือตนนั้นมิค่อยได้มีเวลาออกมาเฝ้ามองผืนฟ้ายามราตรีเช่นนี้เท่าไรนัก เนื่องจากต้องเข้าผ่าตัดมาธาราธอนไม่ก็สลบไปด้วยความเหนื่อยอ่อนซะส่วนใหญ่
✓ รอยยิ้มของผู้อื่น :: ปกติจะจมอยู่กับสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความเครียดตลอด พอมีเรื่องที่ทำให้คนอื่นมีความสุขและยิ้มได้ ก็ทำให้คุณหมอคนนี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
✓ ความสุขทั้งทางกายและทางใจ :: มิค่อยต่างจากข้อก่อนหน้าเท่าไรนัก แต่ความสุขในข้อนี้คือความสุขที่เกิดจากบางสิ่งที่ทำให้หมอศุร์รู้สึกมีความสุข ทั้งสุขภาพร่างกายที่ดี ละสุขภาพจิตใจที่ดี ซึ่งน้อยครั้งที่สองอย่างนี้จะดีพร้อมกันได้
✓ การทำอาหารให้ผู้อื่นทาน :: อะไรที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขนอกจากการรักษา หมอศุร์ก็ยินดีจะทำทั้งนั้น
✓ อาหารพื้นเมือง :: เดิมทีเป็นคนถิ่นเหนือ อู้กำเมืองเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าต้องมักต้องชอบอาหารพื้นเมืองบ้านเหนือ โดยเฉพาะไข่เจียวทอดใบตองกับขนมเทียนไส้หวาน (แต่อย่างหลังไม่แนะนำให้ทานเท่าไรนัก เพราะมีน้ำตาลมะพร้าวที่หวานเกินอาหารประเภทไขมันที่ควรจะได้รับในวันหนึ่ง )
✓ นิทานฝั่งยุโรป / นิทานพื้นบ้านของไทย :: อย่างไรก็ฟังได้หมด ส่วนใหญ่จะชอบอ่านในเวลาพัก เพราะในยามปกตินั้นคงจะเจอแต่ชื่อกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆในร่างกาย ไม่ก็ตำแหน่งของเส้นเลือดที่สามารถผูกกันได้ ปวดหัวเสียจนจะทานหนังสือเป็นอาหาร (...)
✓ การเขียนจดหมาย :: รู้สึกเหมือนตนเองได้ปลดปล่อยความเครียดและบอกเล่าสิ่งที่อยู่ภายในใจให้ปลายทางได้รับรู้ ส่วนใหญ่จะเขียนถึงครอบครัว นายร้อย หากมีเวลามากพอโดยที่ไม่สลบไปเพราะความเหนื่อยอ่อนก่อนก็คงเขียนถึงตนเองในอนาคตด้วย
สิ่งที่ไม่ชอบ :
✗ ความสกปรก/ไม่เป็นระเบียบ :: พวกดินโคลนหรือเลือดเป็นข้อยกเว้น ความไม่ชอบข้อนี้จะเป็นในกรณีที่มีคณะเดินทางทำพื้นหรือสถานพักสกปรก กินขนมหล่น หรือรื้อห้องจนรกแล้วไม่เก็บ แต่หมอศุร์จะไม่ทำอะไรนอกจากถอนหายใจแล้วเก็บให้ในครั้งแรกๆ หากมีครั้งต่อมาจะเปิดโหมดนิ่งพร้อมน้ำเสียงดุๆใส่เป็นการเตือนสักที
✗ ตอนการทำการรักษาไม่สำเร็จ :: ผู้ป่วยหมดลมหายใจไปก่อนที่จะทำการรักษาให้พ้นขีดอันตราย นั่นเป็นการตอกย้ำว่าตนจะต้องพัฒนามากขึ้นกว่านี้ และบั่นทอนความมั่นใจฝีมือตนเองลง
✗ การเห็นเพื่อนซักคนหรือผู้ร่วมเดินทางตายไปต่อหน้า :: แม้จะก้าวผ่านอาการหวาดกลัวความตายและความสูญเสีย ( Thanatophobia ) มาได้แล้ว แต่ก็ไม่อยากสูญเสียใครไปอยู่ดี
✗ ความใจร้อนและขาลุยของเพื่อนเก่าแก่อย่างนายร้อย :: หลายครั้งในวัยเรียนที่จันทร์ต้องปวดหัวเพราะความมุทะลุของเลือดวัยรุ่น เพียงแต่ในตอนนี้ตนเหนื่อยใจ(ปลง)แล้ว อาจจะมีห้ามปรามบ้าง แต่ถ้ามองเห็นและคาดเดาว่ามันจะสำเร็จและผ่านไปได้ด้วยดีก็จะสนับสนุน
✗ เสียงระเบิดหรือเสียงปืน :: ตอนแรกคงไม่ชินเท่าไหร่ และบ่อยครั้งยกมือขึ้นอุดหูอย่างลืมตัว แต่หลังๆเริ่มจะทำใจได้บ้าง ที่ไม่ชอบเพราะมันอาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียน่ะซิ ..
✗ อาหารรสจัด :: ด้วยมุมมองของแพทย์ในยุคที่ประชาชนสุขภาพไม่ดีตามเศรษฐกิจ การทานอาหารรสฉูดฉาดไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นไปได้ก็อยากให้งดตาม สุขบัญญัติแห่งชาติสิบประการ[ที่อาจจะให้เหล่าคณะเดินทางท่องให้ฟังเป็นการลงโทษที่เอาแต่กำหมัดใส่กันจนเลยเวลาทานอาหาร(...)] แต่ถ้าเลือกมิได้ก็เต็มใจทานอยู่ดี .. ✗ เครื่องดื่มแอลกอฮอลทั้งหลายทั้งแหล่ :: สุราอาจจะทำให้ขาดสติและการตัดสินใจลดน้อยลง หากเป็นการดื่มเฉลิมฉลองสักโอกาสคงมิมีปัญหา แต่ถ้าให้ตนไม่ร่วมวง หมอศุร์คงจะขอปฏิเสธตั้งแต่ผู้ชวนกล่าวประโยคแรกออกมาเสียเเล้ว
โรคประจำตัว/แพ้ : -
งานอดิเรก :
✁ จัดยา / เช็คยาสำหรับผู้ป่วยภายในค่าย :: เป็นหน้าที่ปกติของแพทย์ที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์และอาการป่วยไข้ ถ้ามีคนมาสะกิดนิดหน่อยแล้วบอกหมอศุร์ว่ารู้สึกปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ไม่สบาย หมอศุร์ก็จะจัดยาให้พร้อมกับกำชับเวลาทานยาอย่างเด็ดขาดอีกด้วย
✁ รักษาคนเจ็บ :: ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กน้อย ขอแค่วิ่งมาบอกเล่าถึงสาเหตุและอาการเหล่านั้น คุณหมอก็จะทำแผลให้โดยไม่คิดจะปฏิเสธเลย
✁ เล่นดนตรี :: หากมีให้เล่น อังกะลุงตัวเดียว โน้ตเดียว หมอศุร์ก็เล่นให้เป็นเพลงได้
✁ อ่านหนังสือ :: อาจจะเป็นกายวิภาคบ้าง หรืออาจจะเป็นนิทานภาษาอังกฤษซักเล่มที่พกติดตัวมาจากบางกอก
✁ พักผ่อน :: ด้วยความที่ร่างกายถึงขีดจำกัดโดยสมบูรณ์แบบ เวลาว่างส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับการหลับ งานอดิเรกข้อที่สามและสี่คงนานๆทีจะได้แลเห็น
: ลักษณะการพูด :
น้ำเสียงของหมอศุร์มีลักษณะคล้ายผืนนภาที่สงบนิ่ง หรืออาจจะเป็นลำธารที่ไหล่ไปอย่างไม่รีบร้อน น้ำเสียงทุ้มเย็นคงไว้ซึ่งความสุภาพและใจดี แม้กระทั่งลักษณะคำพูดของหมอศุร์ก็ยังมีแต่ถ้อยคำในแง่บวก กล่าวเต็มปากเต็มคำได้ว่า น้ำเสียงของคุณหมอท่านนี้นั้นเป็นดุจน้ำเย็นที่คอยชะโลมจิตใจอันร้อนรุ่มของผู้ลุ่มหลงในกองเพลิงแห่งโทสะให้ดับมอดลง และคุยกันด้วยหตุผลในท้ายที่สุด ทั้งทุกประโยคยังมีความชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย สามารถทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ง่าย
✎__หมอศุร์มาจากภาคเหนือ บางทีก็จะหลุดกำเมืองออกมาบ้างเป็นบางเวลา
✎__แทนตัวเองว่า'ผม' แทนผู้อื่นว่า ' คุณ 'และลงท้ายด้วย'ครับ' เมื่ออีกฝ่ายเป็นคนรุ่นราวเดียวกัน เพื่อนร่วมงาน หรืออาวุโสกว่า แทบจะเรียกได้ว่าใช้มากที่สุด
✎__พูดคุยกับเด็กๆที่ยังไม่ประสีประสา จะใช้คำแทนตัวเองว่า'ฉัน' และลงท้ายด้วย 'จ๊ะ/จ้ะ'
✎__และเมื่อพูดคุยกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างร.ต.อ. จะแทนตัวเองว่า 'ฉัน' แทนอีกฝ่ายว่า 'คุณ'และไม่มีหางเสียง
✎__ไม่เคยใช้คำหยาบในการพูดหรือดุ
ตัวอย่างบทสนทนา
*สถานการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงการจำลองขึ้น บางส่วนบางตอนอาจจะไม่ตรงกับในประวัติ
สถานการณ์ที่ ๑
ดวงเนตรนิลกาฬกระพริบถี่รั่วในยามพบเห็นหนูน้อยเดินร้องไห้เข้ามาหา พอสอบเรื่องไปมา ก็ได้ความมาว่าทำตุ๊กตาผ้าปักหล่นหายเสียนี่ .. ฉันเพียงแค่ยิ้มรับถ้อยคำพร้อมเสียงสะอื้นเหล่านั้น เอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้เด็กหญิงคนดีสักสองสามที ก่อนจะหันไปหยิบตุ๊กตาผ้าปักที่ฉันตั้งใจจะซื้อมาฝากพี่หญิงและหลานชาย แต่เสือน้อยดันไม่รับเพราะอยากได้ของเล่นชิ้นใหญ่เสียนี่สิ
" .. ตุ๊กตาตัวนี้ใช่ของหนูรึเปล่าจ๊ะ .. ? "
เด็กน้อยส่ายหัวพองาม และเป็นสัญญาณอันดีที่เสียงสะอื้นแลน้ำหูน้ำตาหยุดไหล
" . เช่นนั้น ต่อจากนี้มันจะเป็นของหนู .. "
มือเรียวหยาบหยิบสิ่งนั้นยื่นให้ เป็นรางวัลแก่ความซื่อสัตย์ที่แสดงให้เขาประจักษ์อย่างแท้จริง
โดยไม่ลืมรอยยิ้มอ่อนโยนทิ้งท้าย ในตอนที่มือเล็กๆยกขึ้นไหว้เป็นการขอบคุณ ก่อนร่างป้อมนั้นจะวิ่งไปหามารดาที่พึ่งออกจากห้องตรวจมาเสียพอดิบพอดี
สถานการณ์ที่ ๒
ไม้หินอ่อนหน้าชั้นเรียนเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการนั่งพูดคุยหรือทานมื้อเที่ยง เพราะมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาและแสงแดดในวันนี้ไม่ร้อนจนเกินไป .. เด็กชายจันทร์ในวัยสิบสี่ปีเปิดปิ่นโตสำหรับใส่อาหารออก ชั้นบนเป็นไข่เจียวทอดชะอมโรยเกลือเพียงเล็กน้อย ชั้นที่สองเป็นแกงจืดเต้าหู้ไข่ และชั้นสุดท้ายเป็นข้าวสวยหนึ่งทัพพี เนื่องจากว่าหากทานสองทัพพีเช่นตอนเช้า มิวายได้หลับในคาบจนเสื่อมเสียชื่อเสียงปรศเป็นแน่
" (ชื่อเล่นร.ต.อ.)เอาแกงเผ็ดมากินอีกแล้วหรือ ? "
ดวงหน้าผินมองมิตรสหายเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ ด้วยความที่ตนมาจากบ้านใหญ่ ทั้งยังสืบสกุลมาจากราชสกุลแม้มิได้รับพระราชทานโดยตรง ในสายตาผู้อื่นจึงมองว่าเด้กชายจันทร์เป็นของสูง(ประหนึ่งชนชั้นสูง) ทั้งๆที่แท้จริงนั้น จันทร์มิได้ถือโทษโกรธอันใดแก่ผู้ที่เข้าหาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่ง(ชื่อร.ต.อ.)ที่เข้ามาชวนตนไปเล่นเตะฟุตบอลโต้งๆในระหว่างซ้อมตีขิมในห้องดนตรีนี่ละหนา
มาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรก็คงตอบไม่ได้ เพราะรู้ตัวอีกทีก็เป็นแทบจะทุกวันที่จันทร์ต้องลำบากมาทำแผลเกิดจากความเลือดร้อนนั้น หากจะให้ตอบจริงๆ จันทร์คงอยากจะตอบว่า'ไปเหวี่ยงแหในคลองพระศิลามา' ถึงได้(ชื่อเล่นร.ต.อ.)มาเป็นเพื่อนเช่นนี้
" อยากฟังฉันบ่นอีกหรือ ว่าทานแกงเผ็ดมากเกินไปมันไม่ดีต่อสุขภาพ ซ้ำร้าย อาจจะสำไส้ขาดเลยก็เป็นได้"
แน่นอน ตนถูกตอกกลับมาว่า'ตีตนไปก่อนไข้'ซะอย่างนั้น .. แม้วันต่อมา (ชื่อเล่นร.ต.อ.)จะเข้าโรงพยาบาลหยอดน้ำข้าวต้มจืดเพราะท้องไส้ปั่นป่วนก็ตาม
" ฉันเตือนแล้ว"
พิโรโกรธา
สถานการณ์ที่ ๓
หมอศุร์ยืนนิ่งเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เหล่าพยาบาลผู้ช่วยพากันวุ่นวายตรงเตียงคนไข้ที่ตนเป็นเจ้าของ พอนายแพทย์ผู้มีกิตติศัพท์อันเลื่องลือเดินเข้าไปใกล้ ก็พบกับผู้ป่วยสูงวัยนอนหายใจรวยรินด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับที่ต้องถูกฉีดเข้าเส้นเลือดในเวลาสิบสามนาฬิกา .. แต่เข็มเล็กๆยังคงฝังตัวอยู่บนผิวหนังเหี่ยวย่นนั้นทั้งที่ไร้หลอดยา
" เกิดอะไรขึ้น ? "
น้ำเสียงเย็นเฉียบชวนให้เสียวสันหลังดังก้องไปทั่วบริเวณทั้งที่ผู้กล่าวมิได้ตะโกนหรือเอ่ยเสียงดังใดๆ .. อาจจะเป็นเพราะสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธปะทุอยู่ภายในยามมองไปยังคุณหมออีกคนที่เข้ามาแย่งหน้าที่หมอศุร์และทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำมากที่สุด
" ผมไม่รู้ว่าคุณมีอะไรให้เข้ามาในห้องนี้ , แพทย์ภายในอย่างคุณควรจะอยู่ประจำที่แผนก ไม่ใช่ออกมาเดินป้วนเปี้ยนแล้วมาทำให้งานแพทย์คนอื่นผิดพลาด .. "
คำสวดร่ายยาวจบลงเมื่อไรมิอาจทราบได้ แต่ความโกรธทั้งหมดต้องถูกระงับลงไป เมื่อต้องเพ่งสมาธิไปกับการนำแท่งส่งยาออกจากข้อพับร่างบนเตียงเบื้องหน้า
สถานการณ์ที่ ๔
ใบหน้าใจดีนั้นเรียบลงทันทีที่พบว่าห้องทำงานเต็มไปด้วยเศษขนมจากหลานชายตัวแสบ ตนจะมิว่ากล่าวอันใดเลยหากนี่มิใช่ห้องทำงานและห้องนอนของตนเอง ไปดูงานที่Taiwan คล้อยจากบ้านใหญ่ไม่ถึงปี มีเหตุอันใดให้หลานตัวแสบมาใช้ห้องนอนตนโดยไม่รักษาความสะอาดแบบนี้ .. ?
พอจะเก็บกวาดก็ถูกปาหมอนใบเล็กใส่ หมอศุร์ที่ไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงแค่อุ้มเด็กดื้อเบื้องหน้าส่งคืนผู้ปกครองอย่างพี่เขยและพี่หญิงนิตที่ทานอาหารอยู่ในครัว
" ละอ่อนไผ ? เป็นหยังบ่เก็บฮื้อดี .. ? "
คำกล่าวเหล่านั้นทำให้พนิตกำลังถักไหมพรมแทบจะวางไม่ทัน เพราะรับรู้ถึงสายตาไม่พอใจขีดสุดที่ถูกใช้ห้องโดยมิได้รับอนุญาตเช่นนั้น ต่างจากพี่เขยซึ่งหาได้ฟังออกเนื่องจากเป็นกำเมือง ..
โศกามรณา
สถานการณ์ที่ ๕
คืนที่ฝนตก เป็นคืนชวนทรมานที่สุดสำหรับบุตรชายคนกลางของบ้านปรศ .. ห้องพักที่บางกอกของตนมิได้กั้นเสียงใดๆ จะให้นอนนิ่งหรืออ่านหนังสือก็คงไม่เข้าหัวเท่าไร ซ้ำยังหลับไม่ลง
.. ในความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้หมอศุร์รู้สึกทรมาณเช่นนี้คงจะไม่พ้นสายตาของญาติผู้ป่วยที่มองมาทางเขาและคณะผู้ช่วยด้วยความผิดหวังต่างหาก .. ไม่ใช่ว่ามิรู้สึกอันใด แต่การเสียใจหรือแผ่พลังกายด้านลบออกไปให้ผู้อื่นก็มิใช่เรื่องสมควรสำหรับผู้เป็นแพทย์ .. ?
หมอศุร์ได้ตั้งคำถามต่อตนเองทุกเมื่อ ทุกครั้งที่สับสนและอับจนหนทางในจิตใจตนเองแบบนี้ ..
" .. ฉันจะต้องทำยังไง .. ? "
" ต้องทำยังไงถึงจะรักษาได้ .. ? "
มือสองข้างกำแน่น .. ถ้อยคำที่ตอกย้ำถึงความผิดและการโทษตัวเองพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
สถานการณ์ที่ ๖
จดหมายจากหญิงณีเป็นดั่งคมด้ายที่ผ่าลงกลางใจ .. มือเรียวสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกถ้อยคำเหล่านั้นสาดคลื่นบางอย่างที่ทำให้ชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าใส่ ร่างกายที่พร้อมจะออกไปเยือนข้างนอกกลับอ่อนแรงขึ้นมาเสียดื้อๆจนต้องเอนกายลงบนเก้าอี้บุนวมตัวโปรด ..
" วาสนาเรามีต่อกันเพียงนี้หรือ .. ? "
เสียงทุ้มเย็นพึมพัม .. แม้จะกล่าวได้เต็มเสียงว่าตนมิได้รู้สึกว่ารักหรือชอบพอกับหญิงณีจริงๆ แต่การที่หล่อนส่งจดหมายตัดความสัมพันธ์ในเวลานี้ .. ช่างเหมาะสมเสียเหลือเกิน ..
ในเมื่อบิดาของหญิงณี คือผู้ป่วยที่ตนพึ่งทำการผ่าตัดเสร็จไปเมื่อสี่สิบห้านาทีก่อน ..
หมอศุร์ได้แต่ลากสังขารขึ้นมาบนห้องนอนของตน
ทำแต่คุณ บูชาแต่โทษ
" .. พี่หญิงนิต .. ผมอยากไปอยู่กับพี่หญิงเสียจริง .. "
วาจายามเขินอาย
สถานการณ์ที่ ๗
พลันริ้วสีฝาดปรากฏขึ้นบนพวงแก้มขาวซีด .. คงจะเป็นครั้งแรกกระมังที่หมอศุร์รู้สึกว่าตัวเองมีค่ากว่าที่ผ่านๆมา .. ตนมิได้ต้องการการถูกยอมรับจากคนรอบข้างหรือคนในครอบครัว
เสียเพียงแต่ความสุขที่เกิดขึ้นทั้งกายและใจนั้น น้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นเช่นนี้ ..
" .. ดอกไม้ป่าเหล่านี้เหมาะกับคนอื่นมากกว่าผม .. ช่วยลืมภาพนั้นไปทีเถอะ .. "
มือเรียวค่อยๆประคองมงกุฏดอกไม้เหล่านั้นวางบนตัดเอาไว้ดังเดิม วาจาเฉไฉแสร้งเปลี่ยนเรื่องนั้นฟังมิขึ้นหูเอาเสียเลย
สถานการณ์ที่ ๘
ยกมือขึ้นปิดหน้า พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆจนผู้ได้ยินกลัวว่าปอดจะฉีก .. แต่วางใจเสียเถอะ หมอศุร์ตายยากเสียยิ่งกว่าอะไร เพียงแค่มีบางสิ่งที่ทำให้นิลกาฬนั้นต้องหลุบลงต่ำด้วยความมิมั่นใจ
" คุณไม่ควรจะใช้สายตาเยอะแบบนั้นนะครับ .."
เหตุใดกันหนอ .. แพทย์หนุ่มผู้นี้ถึงเขินยากเขินเย็น แถมพอเขินก็ยังปากแข็งแบบนี้
ไม่เห็นเหมือนจันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าที่ขอข้าวขอแกงได้เลย
คล้ายคลาว่ากำลังจริงจัง
สถานการณ์ที่ ๙
เสียงเครื่องวัดชีพจรเครื่องใหญ่ที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้นดังก้องไปทั่วห้องผ่าตัดแสนหม่นหมองและกดดันแห่งนี้ เสียงวางมีดและกรรไกรดังสลับกันไปมาพักใหญ่ๆ .. จนกระทั่งความแสงสว่างจากภายนอกจะหายไป มีเพียงแสงไฟจากห้องผ่าตัดและหน้าจอดิจิตอลที่แสดงผลความดันหัวใจและเลือดเท่านั้น
สถานการณ์ภายนอกเริ่มจะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยบางรายก็วิ่งไปทั่วด้วยความแตกตื่น
จนความกดดันทำให้ความอดทนมาถึงขีดสุด
ร่างโปร่งวางอุปกรณ์ในมือลง ถอดถุงมือและหน้ากากอนามัยออกในขณะที่เดินไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ระบบไฟฟ้าที่เดินผ่านมาราวกับปาติหาริย์
" .. ติดต่อตึกหลัก เชื่อมกระแสเครื่องปั่นไฟตรงหน้ามา แล้วให้แผนกผู้ป่วยในใช้ไฟสำรองที่เหลืออยู่"
" ติดต่อช่างเฉพาะทางให้มาที่นี่เพื่อปรับปรุงระบบไฟสำรองด้วย เร็วเข้า! "
ด้วยความที่ยุคนั้นเทคโนโลยียังคงเจริญไม่พอ ขนาดโรงพยาบาลที่หมอศุร์ทำงานอยู่ในบางกอก การใช้เครื่องปั่นไฟหรือไฟสำรองขนาดใหญ่แต่ละทีนั้นยุ่งยากเกินบรรยายจนต้องตามช่างหลายๆคนมาเสียนี่ ..
ท้ายที่สุดแล้ว ร่างนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องผ่าตัด พร้อมผลักเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อความสะอาดและทำการฆ่าเชื้อโดยเร็วไว
เมื่อหมอศุร์ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณแพทย์เต็มหัวใจ มีหรือสิ่งที่จะหยุดการรักษาของตนได้
" กรรไกรครับ "
สถานการณ์ที่ ๑๐
เสียงโครมครามจากบนเขาดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล ดวงเนตรสีเข้มหันไปมองบาดแผลจากกิ่งไม้ที่ปักอยู่บนน่องขาของผู้ร่วมเดินทางคนหนึ่ง .. ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาหยิบขวดยาฆ่าเชื้อเทลงกับสมุนไพรที่ตนเก็บมาระหว่างทาง
" .. ต้องรีบไปกันแล้ว อดทนหน่อยนะครับ .. "
สิ้นประโยค .. กิ่งไม้แหลมถูกดึงออกพร้อมกับบางสิ่งที่ถูกประคบเข้าหาจนทำให้อาการชาจากความเจ็บปวดยาวนานขึ้น .. หมอศุร์ผูกผ้าเอาไว้ให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะประคองคนเจ็บไปยังคณะเดินทางที่ตั้งหลักพักอยู่ไม่ไกล
" ช่วยเตรียมอุปกรณ์เย็บแผลให้ด้วยครับ !! เราจะต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ !"
อยากอยู่ให้น้ำป่าซัดหรืออย่างไร ..
กำเมืองแหมน้อย
สถานการณ์ที่ ๑๑
บ้านปรศดูจะเงียบเหงากว่าทุกทีเมื่อเข้าสู่ช่วงตอนกลางวันที่ทุกคนต่างออกไปทำงาน .. คงจะมีแต่เด็กชายรังสิมันต์กระมังที่กำลังจะจัดเตรียมบางอย่างเพื่อทำให้หญิงพนิตแปลกใจเมื่อกลับมาถึง
" .. ขะใจก่า .. เปิ้นจะตกคันไดกะมื้อนี่ .. "
เสียงเล็กๆของผู้ที่ยังไม่แตกหนุ่มเสียดีดังขึ้น เมื่อพากันขนภาพต่อจิ๊กซอว์ที่หญิงพนิตชอบลงมาจากชั้นบนของบ้าน .. มารดาสอนว่าหนักเอาเบาสู้ แต่หนักและช้าแบบนี้ก็คงไม่เสร็จเสียพอดี ..
และประหนึ่งว่าฟ้าจะไม่เข้าข้าง เพราะเสียงใสๆของสตรีผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวดังขึ้นเสียก่อน ..
" น้องเอ๋ย .. อยู่ใดจ๊ะ ..?"
!!!
เสียงโครมครามที่ดังขึ้นทำให้เจ้าหล่อนต้องปรีเข้าไปดู พอพบสภาพน้องชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่ในสภาพผิดท่าแบบนั้นก็เผลอทำกระเป๋านักเรียนตกโดยไม่ได้ตั้งใจ .. พร้อมรูปจิ๊กซอว์ที่หญิงพนิตใช้เวลาถึงเดือนหนึ่งในการต่อชิ้นส่วนทั้งหมด
และตอนนี้ มันกระจุยกระจายไปหมดแล้ว
" ยะหยังไป๋ตกคันไดจะอั้น!!!!"
เพิ่มเติม :
✁ เป็นคนเชียงใหม่ แต่ลงมาเรียนโรงเรียนประจำขึ้นชื่อเรื่องสอบเป็นข้าราชการบางกอก จึงทำให้ฟังกำเมืองออก แต่คำใต้ต้องฟังแล้วฟังอีกเพราะเร็วและสั้น ..
✁ เป็นนักศึกษาแพทย์ที่จบเกียรตินิยม ในณะแพทยศาสตร์ แต่เข้าตำงานในตำแหน่งศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่ทำงานได้รวดเร็วและมีคุณภาพ
✁ เชี่ยวชาญการรักษาแทบจะทุกแขนง ทั้งแบบสากลและแบบไทยโบราณ(ที่ได้ผลในสถานการณ์นั้นๆ) เหนือสิ่งอื่นใดคือการผ่าตัดที่เป็นดั่งปาฏิหาริย์ในหลายๆเคสการรักษา
✁ ทำแผลมือเบามาก แทบไม่เจ็บเลยด้วยความที่คุณหมอใส่ความใส่ใจและความอ่อนโยนลงไป .. รวมถึงการฉีดยาเช่นกัน ซึ่งหมอศุร์จะให้เด็กที่กลัวเข้มจ้องลงมาในดวงตาของตนเอง เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ
✁ ติดนิสัยเวลาที่อยู่ในที่พักหรือนอกเวลางานจะรวมผมต่ำ และติดนิสัยเกี่ยวปอยผมทัดหู
✁ เมื่อก่อน หมอศุร์เป็น Thanatophobia แต่ประสบอุบัติเหตุและเกือบจะได้สัมผัสความตายจริงๆ ทำให้รับรู้ว่าความตายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดและเอาชนะความกลัวเหล่านั้นมาได้ ✁ หลังจากวางซองขาวแล้วกลับไปที่บ้าน ก็ทะเลาะกับที่บ้านต่อ เพราะพ่อกับแม่และพี่ชายที่หวงสมบัติขึ้นมาซะดื้อๆ ในโรงพยาบาลก็เจอเหตุการณ์แบบนั้นอีก หมอศุร์เลยหอบเงินเก็บบางส่วนลาออกมาใช้ชีวิตเป็นแพทย์อาสาในชนบทซักพักหนึ่ง จนเพื่อนเก่าติดต่อมานั่นแล
สถานเรือนจำใหญ่ของชายแดนภาคใต้บรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยความเศร้าโศกลอยอยู่ในมวลอากาศ เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกสักหน่อยก็พบกับห้องกระจกคั่นที่มีแสงสว่างเล็ดรอดเข้ามาดูท่าจะหายใจหายคอได้มากขึ้น เจ้าหน้าที่หน่วยหน้านิ่งผู้นำทางยังคงนิ่งแข็งเป็นหินเช่นเดิม เขาโค้งอย่างนอบน้อมและผายมือไปยังห้องกระจกเบื้องหน้า
"ถึงที่แล้วครับ พลโทชัยวัฒน์จะเป็นคนสัมภาษณ์คุณในวันนี้ขอให้โชคดี"
ผู้มาเยือนค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปยังห้องกระจกเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสงบนิ่งภายในใจ นัยนาคู่นั้นยังคงนิ่งเรียบและเต็มไปด้วยประกายอ่อนแสงไม่เปลี่ยน .. ทุกการก้าวเดินไร้ซึ่งเสียงใดๆให้รบกวนจิตใจ แม้กระทั่งตอนเลื่อนเก้าอี้ออกก็ยังคงเอาไว้ซึ่งความเงียบ
" ขอบคุณที่นำทางมานะครับ "
นายแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาทพึงกระทำจนเป็นกิจ ก่อนจะหันกลับมาหาคู่สนทนาที่จะเป็นคนสัมภาษณ์ตนในไม่กี่วินาทีข้างหน้า
เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นเดินกลับไปทางเดิมแล้ว รังสิมันต์ก็พบกับพลโทที่เพิ่งได้ยินชื่อมาหมาดๆ ช่างผิดหูผิดตากับพล.อ.เสียจริง เขาดูองอาจราวกับราชสีห์ แม้จะมีริ้วรอยแห่งวัยขึ้นบนใบหน้าแต่ก็ดูเกรงขามอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
"นั่งคุยกันเสียก่อนซิคุณรังสิมันต์"
พลโทยิ้มและนั่งลงเอนหลังราวกับ ณ ตอนนี้เป็นเพียงบทสทนาสบายๆไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
"ผมถูกขอร้องโดยตรงจากพล.อ.ให้มาสัมภาษณ์พิเศษดูว่าคุณเหมาะสมกับการเดินทางนี้หรือไม่ ถ้ากังวลว่าผมจะบอกอะไรเขาคุณเลิกคิดไปได้เลย ผมมีหน้าที่บอกแค่คุณ ผ่าน หรือ ไม่ เพียงเท่านั้นจะไม่มีอะไรหลุดไปจากห้องนี้ดังนั้นคุณเป็นอิสระในการพูดได้เลย"
ดวงเนตรสีเข้มเพียงแค่จ้องตรงไปยังเบื้องหน้า ทวงท่ายังคงดูสบายๆ ไม่เหมือนกับการสัมภาษณ์ที่จะนำไปสู่บั้นปลายของชีวิตเร็วๆนี้เลยก็ว่าได้ .. หมอศุร์อาจจะเคยหวาดกลัวความตายมาก่อนก็จริง แต่ในตอนนี้ ตนก็ตระหนักและรับรู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เรียกว่า'ความตาย'นั้นมันใกล้ตัวกว่าที่คิดเสียอีก
" ได้ยินแบบนั้นพอจะสบายใจแล้วครับ .. "
พยักหน้ารับกับคำกล่าวเหล่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนมาประสานมือวางบนหน้าตักแทน
"เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเถอะ"
พลโทลุกขึ้นนั่งหลังตรงประสานมือกันไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า แววตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังจะเข้าเรื่องจริงจังแล้ว ณ บัดนี้
"ก่อนอื่นเลย แรงจูงใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก บอกหน่อยซิว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจร่วมคณะเดินทาง"
หมอศุร์เพียงแค่หลักตาทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองสบกับคู่สนทนาอย่างใจเย็น .. ไร้ซึ่งแววความใจดีและอ่อนโยนเช่นเมื่อครู่ ความคิดในหัวร้อยแปดพันเก้าทางถูกกลั่นกรองออกมาในเวลาอันนั้น แม้กระทั่งน้ำเสียงเอ่ยตอบเหตุผลที่พลโทต้องการทราบก็ยังคงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่และความสุขุมอยู่เต็มเปี่ยม
" ผมเบื่อกับการพยายามในสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับมา .. ภาพลักษณ์วงการแพทย์ที่ดีเลิศประเสริฐศรี คุณควรจะรู้ว่าความดีเลิศที่ผมพูดถึงนั้นไม่จริง .. "
ทิ้งคราบคุณชายผู้อ่อนโยนและประนีประนอมต่อทุกอย่าง หมดสิ้นซึ่งความศรัทธาเมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนจากมา
" ถ้าผมไม่สามารถรักษาคนไข้ได้เพียงเพราะผมไม่มีอำนาจ ที่ๆผมอยู่ก็ไม่ใช่ตรงนั้น .. "
มันเหมือนกับคุณตกอยู่ในการรุกราน .. ทหารฝ่ายนั้นบุกเข้ามาจนจะฆ่าประชาชนของพวกคุณไปหลายๆคนแล้ว แต่คุณไม่สามารถช่วยเหลือแม้แต่การยิงสะกัดให้ชาวบ้านรอดเพียงเพราะคุณไม่ใช่คนยศสูงที่มีสิทธิ์ออกคำสั่ง
มันน่าเศร้านะ
รอยยิ้มอ่านยากปรากฏบนใบหน้าของพลโท ท่าทางเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าตกลงจะให้ผ่านหรือไม่ มันทำให้รังศิมันต์รู้สึกเหมือนโดนฉีดยาชาที่ออกฤทธิ์ช้ายิ่งกว่าอะไร อึดอัด และกดดัน .. แต่ถึงอย่างนั้นก็พอเข้าใจได้ว่าเขาอาจะทำไปเพียงแค่ให้รู้สึกสบายใจที่จะยังพูดต่อไป
"แล้วความสามารถของคุณล่ะ อะไรที่ทำให้คิดว่าคุณเหมาะสมและเป็นประโยชน์ในการร่วมคณะครั้งนี้"
เมื่อมาถึงคำถามนี้ สิ่งที่ได้รับกลับไปก็คงจะเป็นรอยยิ้มเทวดาของคุณหมอที่ออกมาจากใจจริง .. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตอบสิ่งที่ตนภาคภูมิใจกับมันที่สุด แม้ว่าการจะได้มาซึ่งความสามารถนี้จะเต็มไปด้วยความขมขื่นก็ตาม
" คุณคงจะเข้าใจ หากผมบอกว่าผมเป็นแพทย์แผนกอุบัติเหตุ "
แทบจะเข้าเวรตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จนการอดนอนมาราธอนหรือผ่าตัดสามเคสติดมันเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้ว
อดีตมากความผิดพลาดถูกฝังเอาไว้
แต่ในตอนนี้ เคสหนักปางตายแค่ไหน ถ้าผ่านมือนายแพทย์รังศิมันต์ ปรศ ณ วังวิชัย โอกาสเสียชีวิตก็แทบจะไม่มี
ถึงจะมี ก็คงน้อยที่มันจะแสดงผล
"ต่อให้จะเป็นกลางสนามรบหรือในป่า มีดผ่าตัดของผมก็ไม่เคยเสียคมครับ :) "
มันอาจจะดูเป็นการอวดวิชา แต่ถ้าช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ก็ขอซักครั้งหนึ่ง ..
ให้อีกฝ่ายเอาปืนจ่อปอดตัวเองตอนนี้ หมอศุร์ก็ยังไม่หวั่นเรื่องอัตราการรอดชีวิตที่ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ห่วงสวัสดิภาพและสถานะของเขาในตอนนี้นี่ซิ ..
"อืม คุณเป็นคนมีความสามารถนะ"
พลโทพูดยกย่องในความสามารถของนายแพทย์รังสิมันต ์ ไม่ผิดเลยที่ผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกให้เข้าร่วมคณะ แต่แล้วฉับพลัน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นเฉียบด้วยคำถามอันไม่น่าพิศมัย
"แล้วถ้าคุณไม่มีโอกาสได้กลับออกมาจากป่าใต้ล่ะ"
รอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อครู่ค่อยๆลดลง .. จนเหลือเพียงรอยยิ้มมุมปากที่ยากจะคาดเดาว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไร คล้ายท่าทีของพลโทในตอนแรกไม่มีผิด แม้กระทั่งดวงตาที่ฉาบไปด้วยประกายความยินดีจากใจจริงที่จะได้เข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้น ..
" ผมไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้วครับ "
หากตาย ก็ถือว่าตายในหน้าที่ ดูสมเกียรติและรู้สึกภาคภูมิใจกว่าการแก่ตายไปพร้อมกับเบี้ยเกษียณเป็นไหนๆ
ดวงตาและริมฝีปากยังคงทอประกายรอยยิ้มความสุขจากผู้ที่เคยหวาดกลัวความตาย ทั้งๆที่ในตอนนี้กลับพร้อมจะอ้าแขนรับสิ่งที่ตนเคยหวาดกลับมากที่สุดอย่างเต็มใจ
ด้วยศรัทธาในจิตวิญญาณของผู้อาสาที่ตนมี
หมอศุร์ไม่ได้ต้องการเงิน ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือศักดิ์ศรี
มีเพียงแค่ชีวิตของคนที่เขาจะต้องดูแลให้ไปถึงเป้าหมายเท่านั้น
พลโทถอนหายใจเฮือก บรรยากาศผ่อนคลายลงเมื่อเขาเอนหลังและหลับตาสักพักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นเป็นเชิงให้กำลังใจ
"เอาเถอะ ยังไงก็ตามผมก็หวังว่าพวกคุณจะกลับมาอย่างปลอดภัย"
บรรยากาศที่ดูเบาลงอย่างเห็นได้ชัดไม่ได้ทำให้หมอศุร์คลายท่าทีเหล่านั้นลงเท่าไรนัก สองมือยังคงประสานอยูาบนหน้าตัก ก่อนดวงตาคู่นั้นจะค่อยๆปรือลงอย่างเชื่องช้า .. ซึมซับความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้
ถ้ายังกลัวตาย ที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่ๆคนอย่างเขาควรอยู่
แต่นายแพทย์รังศิมันต์คนนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
" ผมก็หวังว่าทุกคนจะได้กลับมา .. "
เสียงเคาะประตูกระจกดังขึ้นก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ท่าทางแข็งเป็นหินคนเดิมเข้ามาเสิร์ฟน้ำส้มให้ด้วยท่าทางนอบน้อม พลโทหยิบแก้วแรกขึ้นดื่มและยื่นอีกแก้วให้ชวนดื่มท่าทางใจดี
"ผมคิดว่าผมหมดคำถามแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์"
เจ้าหน้าที่หน้าประตูพร้อมแก้วน้ำส้มทั้งสองที่บัดนี้ว่างเปล่า ยืนผายมือราวกับอยากจะให้แขกออกไปจากที่นี่ซะเต็มแก่ หมอศุร์ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินกลับทางที่ผ่านเข้ามา ในขณะนั้น พลโทเองก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
"เดี๋ยว ผมขอถามคำถามสุดท้าย"
มือเรียวเอื้อมไปรับแก้วนั้นมาไว้ในมือ ยกขึ้นจิบเล็กน้อยพอเป็นมารยาทที่ดี ก่อนจะดำเนินไปเรื่อยๆจนของเหลวสีสว่างภายในแก้วพร่องลงไปจนหมด ความสดชื่นของผลไม้มากวิตามินซีพอจะช่วยให้หมอศุร์คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้บ้าง ..
แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน ร่างในชุดกาวน์ชะงัก ก่อนจะค่อยๆขยับหันกลับมาหาผู้ที่รั้งตนเองเอาไว้ด้วยสีหน้ามากความสงสัย แต่ยังคงความสุภาพและใจดีเอาไว้เช่นเดิม
" คงไม่ใช่วีรกรรมแปลกๆของนายร้อยคนนั้นใช่ไหมครับ "
หวังว่า ..
"มันสำคัญเสียด้วย"
พลโทถอนหายใจราวกับนี่เป็นเรื่องที่เขาหนักใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับคำถามที่แล้วมา
"การเดินทางครั้งนี้คุณต้องทำงานร่วมกับคนในหมู่คณะอีกหลายๆคน ถึงแม้คุณอาจะยังไม่พบหน้าพวกเขา แต่พอจะบอกได้ไหมว่าคุณมีความพยายามหรือคาดว่าจะเข้ากับพวกเขาได้มากแค่ไหน"
เรียวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความสนใจกับคำถามเหล่านั้น ก่อนจะขยับกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมเพื่อการตอบคำถามที่ชัดเจนและสะท้อนมุมมองทัศนคติของคุณหมอมากชื่อของโรงพยาบาลบางกอกได้ดียิ่งกว่าสิ่งใด
" ผมคงจะแตกต่างจากพวกเขา "
"แต่เพราะความแตกต่างเหล่านี้ จะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันได้ครับ .. "
สิ้นประโยคก็ได้แต่หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย .. หมอศุร์เป็นคนที่ไม่เคร่งเครียดกับการเข้ากลุ่มกับใครอยู่แล้ว จะมีก็แต่คนอื่นนี่แลที่ดูไม่กล้าเข้าหาเขาเพียงเพราะสร้อยนามสกุล ณ วังวิชัย ..
เสียงสูดหายใจลึกของพลโทดังไปรอบห้องในเมื่อห้องนั้นเงียบกริบจนได้ยินเสียงพัดลมบนฝาผนังหมุนรอบ เขายกมือไหว้ลาดังมารยาทไทยควรทำและกล่าวลาด้วยคำพูดที่คาดว่าคัดกรองมาดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
"ไม่ว่ายังไงผมหวังว่าพวกคุณจะเข้ากันได้ดี ความสามัคคีเป็นสำคัญโดยเฉพาะภารกิจอันตรายเช่นนี้ ขอให้คุณโชคดีมีชัย"
คำพูดอวยพรเหล่านั้นหาได้ทำให้ปณิธารและหน้าที่ของแพทย์หนุ่มสั่นคลอน .. เขารู้หน้าที่และความสามารถของตัวเองดี ต่อให้รอยร้าวระหว่างพวกเขาใหญ่แค่ไหน หมอศุร์คนนี้จะเป็นคนทำให้รอยร้าวเหล่านั้นแคบลงด้วยเหตุผลเอง
" ขอบคุณครับ .. หวังว่าคุณจะไม่ลืมรักษาสุขภาพ .. "
ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ
รวมถึงตัวเขา
เพื่อจะออกไปเผชิญวันข้างหน้าที่มีแต่เปลวไฟและเสียงลั่นไกปืน
สวัสดีค่า เรานักเขียนมือใหม่(หรือเรียกได้ว่ากลับมาใหม่//แหะ) นามปากกาคุณช่างฝันนะคะ คุณล่ะชื่ออะไร?
:: สวัสดีค่ะคุณช่างฝัน เรียกเราว่าฮูกก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ >w<
ก่อนอื่นเลยขอบคุณที่มาสมัครเรื่องนี้มากๆ ว่าแต่ทำไมถึงเลือกบทนี้หรือเรื่องนี้ล่ะคะ?
:: ส่วนตัวชอบอาชีพคุมหมออยู่แล้วค่ะ ! แล้วคาร์อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอของคุณหมอเป็นไทป์เรามากๆๆ แถมตอนเห็นครั้งแรกก็คิดเลยว่า หมอผมยาวต้องมาแร้วๆๆๆ ตกหลุมรักตั้งแต่ดีเทลเลยล่ะค่ะ UU <3
สำนวนเราอาจะยังไม่ดีมากสามารถติได้ ส่วนตลค.ก็ขอคัดและวิจารณ์ตามความเหมาะสม ไม่ว่ากันน้าT_T
:: แค่หน้านิยายก็ทำให้เราที่เฟติซอะไรยากๆหวีดได้แล้วค่ะ YY /อุดปากกรี๊ด ทำไมพึ่งมาเจอเรื่องนี้กันนะ !
เรื่องนี้วายนะคะ รับได้นะ? ส่วนจะมีผช.คนนึงคู่กับแหม่มเป็นนอมอลคู่เดียวในเรื่อง ถ้าแจ็คพอตโอเคใช่มั้ยคะ?
:: คือเราน่ะ เรา ..
เราชอบวายมากๆเลยค่ะ!! ถึงขั้นที่ว่าเราไม่สามารถบริจาคเลือดให้ใครได้เพราะเลือดเราเป็นสีม่ว-
(ทำไมเด็กดีแปะมีมไม่ได้กันนะYY)
แค่นี้ล่ะค่ะขอให้โชคดีน้า สุดท้ายมีอะไรจะบอกเราหรือตลค.ของคุณมั้ยเอ่ยย
:: ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็จะรอติดตามนะคะ ! อยากขอให้คุณหมอพักผ่อนเยอะๆ กินเยอะๆ แล้วก็พยายามอย่าเครียดหรือกดดันตัวเองจนเกินไป
ส่วนเรื่องที่อยากบอกคุณช่างฝัน เราอยากจะบอกว่านิยายเรื่องนี้เป็นอะไรที่ทัชใจเราตั้งแต่กดเข้ามาอ่านครั้งแรก เนื้อเรื่องบทที่ศูนย์ หรือดีเทลตั่งต่างของตัวละครคุณหมอและคนอื่นๆ รวมไปถึงคุณพรานในร้านตัดผม ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะออกมาหรือแจ็กพ๊อตยังไงก็จะติดตามตลอดไปเลยค่ะ ! รักนะคะ <3<3<3
อนุญาตให้เรายัดตัวละครได้ไหมคะ?
:: ข ขออนุญาตพาเขากลับบ้านนะคะ แหะๆYY;
ความคิดเห็น