ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] ราชันย์แห่งสมรภูมิ

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 67


    ภารกิจแรกของคังชอลอินหลังได้กลับมายังอดีตคือการจัดระเบียบชีวิตตัวเองก่อนการอัญเชิญครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น และอย่างแรกก็คือการเลิกทำงานในบริษัทที่ทั้งสกปรกและเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นแห่งนี้ซะ

    ‘ไม่มีอะไรให้ต้องอดทนกับบริษัทแบบนี้อีกต่อไป’

    ก่อนการอัญเชิญครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น คังชอลอินเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นเท่าไหร่ เป็นเพียงชายหนุ่มที่ดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงตัวเองในทุกวัน

    เขายิ้มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศ

    ทุกสายตาจับจ้องมาที่คังชอลอินทันทีที่ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังประหม่าเหมือนชาวนากลุ่มหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับขุนนางใหญ่เพียงลำพัง

    “เห้ย ไอ้สวะ!”

    คิมมินชอลที่กำลังเดินวนไปมาพร้อมไม้กอล์ฟในมือคำรามขณะจดจ้องสายตามาที่เขา

    “ว่าไง? ไอ้สวะ”

    คังชอลอินตอบกลับ

    “... !”

    ทั้งออฟฟิศถูกความเงียบเข้าครอบงำในทันใด

    ‘คังชอลอิน ในที่สุดหมอนี่ก็เป็นบ้าไปแล้ว หมอนี่ต้องเป็นบ้าเพราะเครียดมากไปแน่ ๆ’ พนักงานชายบางคนแอบคิดอยู่ในใจ

    ‘เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?’

    ‘ท่านประธานเป็นอันธพาลนะ คังชอลอินจะไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหม?’ และสิ่งนี้คือความคิดจากพนักงานหญิง

    “อะไรนะ?”ว่าไง ไอ้สวะ?“งั้นเหรอที่แกพูดออกมา?”

    “ก็ใช่ไง ไอ้สวะ”

    คิมมินชอลเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วทั้งตัว ใครจะไปคาดคิดว่าประธานบริษัทจะถูกพนักงานทดลองงานที่ไม่แม้แต่จะเข้าสู่ “โลกแห่งความเป็นจริง” ของการทำงานได้สำเร็จพูดจาหยาบคายด้วยขนาดนี้

    “แก ไอ้แมลงฝึกงานจิ๊บจ๊อย! คิดว่าตอนนี้กำลังพูดกับใครอยู่ห๊ะ?!”

    “ใครที่ว่านี่หมายถึงใคร? ใช่ไอ้เวรอ้วน ๆ ที่มีเงินนิดหน่อยไหม? หรือว่าอันธพาล? พวกนักเลง?”

    หลายคนที่เคยใช้หมัดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมักจะตอบสนองต่อคำว่า “นักเลง” กันอยู่บ้าง พวกผู้ชายที่มีจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญมักชอบเรียกตัวเองว่าพวกนักเลงเพื่อแสดงความเป็นใหญ่

    แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

    ในสายตาของคังชอลอินแล้วใครก็ตามที่แสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ความรุนแรงก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขยะ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแก๊งหลังจากยุค 90 ที่ใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของพวกตัวเอง

    คิมมินชอลคือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบต่อตัวอย่างเลว ๆ พวกนั้น

    “เอาล่ะ มีอะไรให้เรียกอีกได้บ้างนะนอกจากอันธพาล พวกถ่อยงั้นเหรอ?”

    คังชอลอินที่ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์โกรธของประธานบริษัทที่เป็นเหมือนดั่งปีศาจยังคงสบประมาทเขาไม่หยุด

    ในที่สุดคิมมินชอลที่ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปก็ระเบิดอารมณ์ออก

    “ไอ้บัดซบ!”

    ไม้กอล์ฟที่อยู่ในมือคิมมินชอลหลุดออกจากมือพร้อมด้วยเสียง “วืด” ที่ดังขึ้นกลางอากาศ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตาอย่างไรก็ตามไม้กอล์ฟนั่นไม่ได้สร้างความเสียหายให้คังชอลอินแต่อย่างใด

    “ห๊ะ?”

    คิมมินชอลมองไปรอบ ๆ

    “พลาดนะ”

    คังชอลอินหัวเราะเยาะใส่คิมมินชอล เขาหลีกเลี่ยงไม้กอล์ฟที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยการเอนตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย

    “ไอ้เวรเอ้ย!”

    คิมมินชอลหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งเข้าหาคังชอลอิน แต่เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสกับปลายเสื้อของคังชอลอินได้เลย

    มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร

    คังชอลอินได้รับการยอมรับจากคนอื่นถึงความแข็งแกร่งและพลังทางกายภาพ แม้จะอยู่ในร่างนี้แต่เขาก็ยังคงเป็นคังชอลอิน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นนักมวยมืออาชีพถึงจะเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อเขา

    “แฮ่ก ๆ … แก ไอ้หนูสกปรก”

    คิมมินชอลหายใจหอบพร้อมกัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ

    “ก็แค่คนไร้ความสามารถคนหนึ่งสินะ หึ ไม่แม้แต่จะโดนตัวฉันได้เลยด้วยซ้ำ”

    คังชอลอินยิ้มเยาะ

    “ยิ่งไปกว่านั้น …”

    การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปในทันใด ดวงตาที่แผดเผาของเขาจ้องทะลุเหมือนจะแทงหัวใจของอีกฝ่าย

    “ถ้าคิดที่จะใช้ไม้กอล์ฟนี่อีกแม้แต่ครั้งเดียว มันจะไม่สนุกแบบนี้อีกแน่”

    มันเป็นคำเตือนอย่างชัดเจน

    อย่างไรก็ตามคิมมินชอลที่ถูกครอบงำไปด้วยความโกรธไม่สามารถตัดสินใจจำยอมต่อคำเตือนนั้นได้ ท้ายที่สุดเขาก็คว้าไม้กอล์ฟขึ้นมาแล้วเหวี่ยงมันออกไปอีกครั้ง เป็นที่ชัดเจนว่าชายคนนี้ไม่มีทั้งสามัญสำนึกหรือมารยาทใด ๆ

    “ตายซะเถอะ!”

    อึก!

    “อ่า!”

    คิมมินชอลล้มลงพื้นไปพร้อมเสียงโอดครวญและความสามารถการหายใจที่ติดขัด กำปั้นที่พุ่งเข้ามาได้ทำลายไปถึงส่วนกระเพาะอาหาร

    “อ๊วกกก...”

    แรงกระแทกนั้นรุนแรงมากถึงขนาดทำให้คิมมินชอลต้องอาเจียนสตูว์ปลาที่เขากินเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ออกมาจนหมด

    “ไม่ได้โดนกระแทกแรงเท่าไหร่เลยนี่ สงสัยเพราะมีพุงอ้วน ๆ นี่คอยช่วยบังไว้ให้ล่ะสินะ”

    คังชอลอินสบประมาทคิมมินชอลเป็นครั้งสุดท้าย

    “บอส เป็นหรือเปล่าครับ?!”

    พนักงานคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าหาคิมมินชอลเพื่อเอาหน้า

    “บอส! คังชอลอิน ไอ้เลวเอ้ย! รีบคุกเข่าขอโทษบอสเดี๋ยวนี้เลย!”

    เขาเข้ามากล่าวโทษคังชอลอินด้วยอารมณ์รุนแรงเพื่อหวังว่าการกระทำในครั้งนี้จะนำเขาสู่ความประสบสำเร็จในหน้าที่การทำงานในอนาคต

    คังชอลอินไม่ได้ตอบสนองอะไรต่อการกระทำของพนักงานชายคนนั้น มันไม่คุ้มค่าพอให้ลดตัวลงไปใส่ใจ

    ‘พวกมนุษย์ขยะ’

    คนพวกนี้ก็เป็นเหมือนกันหมด ไอ้หมูอ้วนที่เหวี่ยงไม้กอล์ฟเพราะความโกรธ พนักงานที่แสร้งเข้ามาช่วยเหลือเพราะต้องการเป็นที่โปรดปรานของไอ้หมูตัวนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะวิจารณ์พนักงานชายที่คิดทำอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรที่จะพยายามทำทุกหนทางเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่การละทิ้งความภาคภูมิใจและทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งสกปรกไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปราน และเมื่อนึกถึงการกระทำของคิมมินชอลที่ผ่าน ๆ มาเขาก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น

    “แก ไอ้เลว ฉันจะฆ่าแก!”

    คิมมินชอลที่ได้พนักงานชายเข้ามาช่วยเหลือและคุ้มกันจ้องเขม็งไปที่คังชอลอิน

    “ไปเรียกผู้จัดการปาร์คมา ไปให้เขามาจัดการมันซะ!”

    ผู้จัดการปาร์คเป็นคนจากแก๊งอันธพาลที่มาทำงานให้กับคิมมินชอลและกำลังคุมแก๊งเล็ก ๆ อยู่ในตอนนี้

    “โอ้ กลัวเหลือเกินนะเนี่ย” คังชอลอินเย้ยหยัน

    สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดแต่เขาก็ยังพยายามใช้ความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผลในขณะประกาศกร้าวต่อหน้าผู้คน คังชอลอินกำลังสงสัยว่าคิมมินชอลเป็นเพียงคนโง่หรือเป็นคนที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้นอกเหนือจากความโกรธกันแน่

    “ไอ้โง่เอ้ย ถ้าผู้จัดการปาร์คมาถึงล่ะก็…”

    คิมมินชอลกล่าวอ้างถึงผู้จัดการปาร์คขึ้นมาซ้ำ ๆ เพื่อขู่คังชอลอิน ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจมากว่าผู้จัดการปาร์คจะสามารถจัดการกับคังชอลอินได้

    “อ่า ๆ ผู้จัดการปาร์ค!”

    เมื่อมองเลยไปด้านหลังคังชอลอิน คิมมินชอลก็ได้เห็นคนที่เขาต้องการตัวมากที่สุดเข้า บังเอิญพอดีกับที่ผู้จัดการปาร์คเข้าออฟฟิศมาในวันนี้

    “ท่านประธาน?”

    ผู้จัดการปาร์คดูประหลาดใจเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแต่เขาก็ยังมีสติมากพอที่จะสั่งให้ลูกน้องเข้ามาช่วยพยุงคิมมินชอล

    “โอ้ ผู้จัดการปาร์ค ไอ้เวรนี่แหละที่มันทำร้ายฉัน!”

    คิมมินชอลร้องครวญครางในขณะค้ำตัวเองและลงน้ำหนักไปที่ผู้จัดการปาร์ค มองข้ามการกระทำของตัวเองที่เหวี่ยงไม้กอล์ฟเพื่อโจมตีอีกฝ่ายไปโดยสิ้นเชิง

    “ไอ้เวรนี่แค่โดนฉันสอนงานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็มาสบถใส่แล้วยังต่อยฉันอีก!”

    “บอส แล้วเรื่องทั้งหมด...”

    “ไม่ต้องไปสนเรื่องราวทั้งหมด สนแค่มันต่อยฉันก็พอ! ไปจัดการมันซะ!”

    คิมมินชอลโวยวานจนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมพลางโบกสะบัดแขนไปมาเหมือนเด็กร้องขอขนมไม่มีผิด

    ‘ช่างโง่เง่าและปัญญาอ่อนจริง ๆ กล้าที่จะทำตัวแบบนี้ต่อหน้าพนักงานทุกคนได้ยังไง?’

    ในตอนนั้นผู้จัดการปาร์ครู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมากแต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความต้องการของบอสไปได้ คิมมินชอลเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับเขาและครอบครัวซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแก๊งเล็ก ๆ ที่เขากำลังคุมอยู่ในตอนนี้

    ต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

    ผู้จัดการปาร์คตัดสินใจที่จะทำความสะอาดออฟฟิศก่อนเป็นอย่างแรก

    “ทุกคนมัวมุงดูอะไรกัน?!” เมื่อผู้จัดการปาร์คแผดเสียง ทุกสายตาก็รีบก้มกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองในทันที

    “ทำงานกันไปอย่างเงียบ ๆ แทนการนินทาที่ไม่จำเป็นซะ แล้วก็ผู้จัดการโอ”

    ผู้จัดการปาร์คชี้ไปยังพนักงานชายที่เข้ามาช่วยคิมมินชอลในตอนแรก

    “พาท่านประธานไปที่ห้องของเขาซะ”

    “โอ้ เอ่อ ครับ! บอสครับ ไปกันเถอะครับ”

    ผู้จัดการโอพยายามช่วยพยุงคิมมินชอลผู้มีน้ำหนักที่มากเกินพอดี

    “ฮ่า ๆ แกเสร็จแน่ไอ้สารเลว!”

    ระหว่างทางเดินกลับเข้าห้องทำงาน คิมมินชอลไม่วายแขวะคังชอลอินอีกครั้ง ภาพการพ่ายแพ้ของคังชอลอินที่ถูกผู้จัดการปาร์คเล่นงานได้ฝังแน่นอยู่ในหัวเขาเป็นที่เรียบร้อย

    “โอ้ อย่างนั้นเหรอ?”

    คังชอลอินเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ พลางสงสัยว่าเขาทนทำงานถึง 10 เดือนที่บริษัทนี้มาได้อย่างไร

    “นี่ ไอ้เด็กฝึกงาน”

    ในขณะที่คังชอลอินกำลังสงสัย ผู้จัดการปาร์คก็เอ่ยเรียกเขา

    “ควรเรียนรู้ที่จะกลืนความภาคภูมิใจของตัวเองลงไปซะหน่อยนะ แค่เพราะเขาพูดอะไรไม่เข้าหูก็ใช่ว่าจะไปทำตัวแบบนั้นได้ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่านาย นายก็ควรเห็นด้วยไปกับเขาแล้วก็ไม่ต้องไปขัดใจอะไรเขาสิถึงจะถูก”

    แม้ผู้จัดการปาร์คจะตำหนิคังชอลอินแต่เขาก็ดูไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่บอสต้องการ เขารู้ถึงความผิดของประธานคิมมินชอลดีเพราะเขาเองก็ได้รับความเครียดสะสมอย่างมากมาจนถึงตอนนี้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะทำงานให้กับคิมมินชอลแต่เขาก็เข้าใจความโกรธที่พนักงานทดลองงานคนนี้กำลังรู้สึกได้เป็นอย่างดี

    ‘งั้นก็ตวาดใส่ไปสักหน่อยแล้วปล่อยไปก็แล้วกัน’

    ผู้จัดการปาร์คคิดเพียงลำพังในใจ นี่มันยุคใหม่แล้ว การใช้หมัดเพื่อแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่ล้าหลัง สิ่งที่ฉลาดที่สุดสำหรับแก๊งอันธพาลที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้คือการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คิมมินชอลพึงพอใจ อย่างไรก็ตามความตั้งใจดีทั้งหมดของผู้จัดการปาร์คกลับต้องสูญสลายไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจจากพนักงานตรงหน้า

    “ผู้ใหญ่บ้าบออะไรกัน?”

    คังชอลอินเอ่ยถาม

    “ในสายตาของพวกแก ไอ้หมูอ้วนนั่นคือผู้ใหญ่แล้วอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ ถ้าให้เดาสำหรับพวกนักเลงแล้วคนที่มีเงินก็คือผู้ใหญ่งั้นสินะ”

    เส้นเลือดนูนโป่งขึ้นที่หน้าผากของผู้จัดการปาร์คทันทีที่ถูกสบประมาท

    “เห้ย”

    ผู้จัดการปาร์คจ้องไปที่คังชอลอิน

    “ระวังปากไว้ด้วย คิดถึงตัวเองซะบ้าง นั่นเป็นวิธีที่จะทำให้นายมีชีวิตที่ยืนยาวได้ เข้าใจไหม?”

    “กฏนั้นใช้ได้แค่กับนักเลงแบบพวกแกเท่านั้นแหละ”

    คำว่า “นักเลง” เป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้จัดการปาร์คต้องกำหมัดเหมือนที่คิมมินชอลคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่

    “ไอ้หมาบ้า!”

    “อยากตายนักหรือไง?”

    ดูเหมือนว่าลูกน้องของผู้จัดการปาร์คจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนลูกพี่ตัวเองหลายเท่า

    “ไอ้สวะ เมื่อกี้แกเรียกบอสของเราว่านักเลงงั้นหรอวะ?”

    “โอ้ ยิ้มอยู่ด้วย? อยากให้ฉันเล่นหน้าแกให้เละนักใช่ไหม?”

    บรรยากาศแห่งการคุกคามก่อตัวขึ้นราวกับว่าพวกเราพร้อมจะปล่อยหมัดกันได้ทุกเมื่อ

    “เฮ้อ ฉันว่าจะปล่อยนายไปดี ๆ แล้วเชียวแต่ดูเหมือนต้องเรียกมาปรับทัศนคติกันสักหน่อยแล้วในวันนี้” ผู้จัดการปาร์คยังคงนิ่งสงบและใจเย็น เขาไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำแม้จะโดนสบประมาทอยู่ก็ตาม

    “ตามฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า”

    ผู้จัดการปาร์คชี้ไปยังประตูของออฟฟิศ

    “ไม่ ไม่เอาแบบนั้น” คังชอลอินตอบ “พวกแกนั่นแหละที่ต้องตามมา” จากนั้นเขาก็เดินออกจากออฟฟิศไปก่อน

    “เด็กอะไรกัน...?”

    ผู้จัดการปาร์คยิ้มเย้ยหยันให้กับสถานการณ์ไร้สาระในตอนนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×