ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] ราชันย์แห่งสมรภูมิ

    ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่ 22

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 67



    คังชอลอินเหวี่ยงกระบองเหล็กลงบนตัวคิมูระด้วยความนิ่งสงบ

    เขาไม่ได้ใช้แรงที่มีทั้งหมดเพื่อหวดตีคิมูระเพราะถ้าเขาทำแบบนั้นสะโพกของคิมูระจะแตกหลังจากโดนหวดไปในครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม และเขาจะตายทันทีหลังจากโดนหวดในครั้งที่สิบ เขาพยายามควบคุมความแข็งแรงของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ตีคิมูระให้ได้ในจำนวนมากที่สุดเท่าที่คิมูระจะทนไหว อย่างไรก็ตามมันก็ยังดูจะมากเกินรับได้สำหรับคิมูระ

    “อึ่กๆ! อุ่ก!”

    คิมูระกรีดร้องตามจังหวะการโดนกระบองเหล็กหวด แต่เพราะที่ปากถูกปิดแน่นมันจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องอู้อี้ไม่รู้ความ

    ตุ้บ! ตุ้บ!

    คังชอลอินหวดตีราวกับเขาเป็นเครื่องจักรที่ไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมและนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก ทำให้ใครก็ตามที่กำลังได้มองดูภาพการลงโทษตอนนี้ต้องเกิดอาการขนลุกตั้งชันด้วยความหวาดกลัว

    และมันก็ดำเนินแบบนั้นต่อเนื่องนานถึง 30 นาที

    เมื่อคิมูระถูกหวดตีไปได้ประมาณ 50 ครั้งคังชอลอินก็พูดขึ้นว่า

    “แก้มัดซะ”

    “ขอรับ”

    ทหารคนหนึ่งรีบมาทำตามคำสั่งเขาในทันใด

    “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ! ข้าขอร้อง!”

    คิมูระที่ได้รับอิสระจากการถูกคลายมัดเปิดปากขอร้องวิงวอนพร้อมแบมือลงแนบเท้า เขาร้องไห้อย่างหนักและกำลังขวัญเสียอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในตอนนี้คิมูระเป็นเหมือนกับเด็กชายวัยรุ่นที่เพิ่งมีปัญหาร้ายแรงกับผู้เป็นพ่อเป็นครั้งแรก

    “ข้า อึก… ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว! ข้าสาบาน! เพราะงั้นได้โปรด ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย อย่าฆ่าข้าเลย!”

    คิมูระคุกเข่าขอร้อง เขาได้สูญสิ้นถึงเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะราชันย์ไปจนหมดสิ้น เขายอมจำนนอย่างเศร้าโศกและพูดขอร้องจนพัลวัน

    “เจ้าทำอะไรผิดมา?” คังชอลอินเอ่ยถามโดยไม่สนใจต่อคำร้องขอใด ๆ จากเขา

    “ข้าขออภัยที่ข้าก่อสงคราม ข้าผิดไปแล้ว และ...และข้าก็เสียใจที่สาปแช่งท่านไปแบบนั้น”

    “ไม่ใช่”

    คังชอลอินส่ายหัวให้กับคำตอบที่ได้รับ

    จากนั้นปากของคิมูระก็ถูกปิดไว้อีกครั้ง

    “อืมมมม! อื้มมมมมม!!”

    ตามมาด้วยเสียงจากกระบองเหล็กที่ปะทะกับร่างกายเขาอีกหน

    “พูดสิ ว่าเจ้าทำอะไรผิด?”

    คังชอลอินรามือกับการตีรอบที่สองและเอ่ยถามไปใหม่อีกครั้ง

    “ข้า ข้าขอโทษ … ข้าผิดไปแล้ว”

    “เช่นนั้นอะไรล่ะที่เจ้าได้กระทำความผิด?”

    “ข ข้าไม่รู้ แต่ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่ง! ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า ปล่อยข้าไปเถิด…”

    “ยัดผ้ากลับไปใหม่”

    คังชอลอินยังไม่พอใจราวกับคำตอบนั้นไม่ใช่ในสิ่งที่เขามองหา

    แคร่ก!

    หลังการหวดกระบองเหล็กรอบที่สามเกิดขึ้น คิมูระก็เกือบหมดสติไปในที่สุดและการลงโทษด้วยกระบองเหล็กก็หยุดลงอีกครั้ง

    “อึ่ก!”

    “นี่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าได้ทำอะไรผิด?”

    “ได้โปรด หากท่านสามารถบอกข้าได้...โปรดบอกข้า”

    คิมูระไร้ซึ่งพลังที่จะร้องขอชีวิตอีกต่อไป แม้คังชอลอินจะควบคุมแรงในการตีอย่างไรแต่ความจริงที่ว่าเขาโดนกระบองเหล็กหวดตีไปเป็นร้อยครั้งนั่นทำให้เขาแทบปางตายได้ไม่ต่างกับการลงแรงตีหนัก ๆ

    “องค์ราชันย์ เหตุใดท่านถึงไม่ประหารหัวเขาไปเสียเลยล่ะขอรับ?”

    เจมส์ที่ไม่อาจเฝ้ามองดูได้อีกต่อไปเขยิบก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามข้อสงสัยแก่คังชอลอิน คิมูระที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่เจมส์กำลังร้องขอความตายที่ไร้ซึ่งความเจ็บปวดให้กับเขา

    “ไม่ ข้าไม่คิดที่จะฆ่าเขา”

    คังชอลอินส่ายหัว

    “ให้ยาเขาซะ”

    เมื่อได้รับคำสั่ง ทหารของคังชอลอินก็พยักหน้ารับด้วยความหวาดกลัว มันฟังดูเหมือนกับว่าเขาต้องการรักษาบาดแผลให้กับคิมูระเพื่อที่เขาจะได้ลงโทษต่อไปได้

    “คนที่เจ้าควรขอโทษไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นข้างนอกนั่น”

    การกระทำของคังชอลอินขัดแย้งกับความคิดของทุกคนในตอนนั้น เขาปล่อยกระบองเหล็กที่อยู่ในมือลงพื้นแล้วพูดต่อว่า

    “เมื่อเจ้าร้องขอบทเรียน ข้าก็จะมอบให้”

    นิ้วของคังชอลอินชี้ออกไปที่ด้านนอก

    “คนที่เจ้าควรขอโทษไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นทหารของเจ้า คนที่ต้องมาตายเพียงเพราะคำสั่งของเจ้าที่ไร้ซึ่งความสามารถและไร้ความคิด”

    “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นราชันย์ที่ไร้ความสามารถมากเพียงใดแต่อำนาจสั่งการก็ยังเป็นสิทธิ์ขาดของเจ้า เจ้าเคยคิดถึงน้ำหนักของคำสั่งนั้นบ้างหรือไม่? เคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาเมื่อเจ้าได้ออกคำสั่งไปบ้างหรือเปล่า?”

    เมื่อการสั่งสอนที่แท้จริงของคังชอลอินเริ่มขึ้น คิมูระไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้เพราะทุกอย่างที่เขาพูดมันเป็นความจริงทุกประการ

    “แน่นอนว่าเจ้ายังเด็กอยู่มากจึงไม่อาจสรุปเหตุการณ์การอัญเชิญที่เกิดขึ้นนี้ได้โดยสมบูรณ์ สถานการณ์นี้อาจรู้สึกเหมือนเป็นแค่เพียงความฝันหรือเป็นหนึ่งในการเล่นเกมแบบเสมือนจริง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่...”

    คิมูระกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความสั่นกลัว

    “ไม่ว่าเจ้าจะโง่เขลาและไร้ความสามารถเพียงใดแต่สิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปไม่อาจให้อภัยกันได้ง่าย ๆ มดเป็นสัตว์ที่มีทั้งอารมณ์และสติปัญญา และมดกว่า 200 ตัวนั่นต้องมาตายเพราะการออกคำสั่งโง่ ๆ ของเจ้า”

    ห้องโถงราชันย์เงียบสนิทเมื่อสิ้นคำพูดของคังชอลอิน

    “ยิ่งเจ้ามีตำแหน่งที่สูงมากเพียงใดเจ้าก็ต้องยิ่งมีความรับผิดชอบที่มากเพิ่มขึ้นเท่านั้น จงจำไว้ว่าชีวิตทหารของเจ้าจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเสมอ”

    มันไม่ใช่เพราะเขาต้องการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในฐานะผู้พิชิตราชันย์แต่มันเป็นสิ่งที่คังชอลอินเท่านั้นที่จะสามารถพูดออกไปได้ มีความเป็นความตายของคนตั้งเท่าไหร่ที่ต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งของเขา ครั้งหนึ่งคังชอลอินเคยเป็นบุรุษที่ควบคุมชีวิตไว้ได้หลายพันคน อาจมีบางคนที่รู้ดีกว่าตัวเขาว่าน้ำหนักของการเป็นราชันย์และน้ำหนักของสงครามที่ต้องแบกรับไว้นั่นมีมากเพียงใด

    “หากมีทหารแม้แต่เพียงคนเดียวของข้าต้องมาตายเพราะสงครามในครั้งนี้ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างไม่ลังเล แต่เจ้ายังโชคดีที่ไม่มีทหารคนใดของข้าต้องมาจบชีวิตให้กับสงครามโง่ ๆ นี่ แต่แม้ข้าจะให้อภัยแล้วเสียงทหารของเจ้าที่ต้องจบสิ้นไปแล้วล่ะใครจะมารับฟัง? แล้วไหนจะอารมณ์ความรู้สึกจงรักภักดีของทิโมธีที่เจ้าได้ทอดทิ้งเขาไว้อีกนั่นล่ะ?”

    “อะ อ่า!”

    ดูเหมือนว่าคิมูระจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่คังชอลอินต้องการบอกกล่าวกับเขาได้ในที่สุด

    “จงขออภัยให้กับผู้ที่ต้องมาจบชีวิตเพียงเพราะความโง่เขลาของเจ้าซะ”

    คิมูระคุกเข่าแล้วก้มศีรษะของเขาลงติดพื้น

    “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริง ๆ …”

    การขอโทษยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลานาน

    ‘เราเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน’

    คังชอลอินนึกคิดเพียงลำพังขณะมองดูคิมูระด้วยท่าทีนิ่งสงบและตระหนักได้ว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากเพียงใด ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะตัดคอประชาชนจากฝ่ายศัตรูทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ก็มีอยู่สองสามครั้งที่เขาได้ลงมือทำเช่นนั้นไปจริง ๆ

    อย่างไรก็ตามหลังจากได้กลับมาในคราวนี้เขารู้สึกว่าเขาได้แตกต่างไปจากเมื่อครั้งก่อน อาจเป็นเพราะความพ่ายแพ้ในวันนั้นที่ได้เปลี่ยนความคิดและชีวิตให้กับเขา

    ‘ถือซะว่าเป็นหนึ่งในโอกาสที่ได้รับก็แล้วกัน’

    บุรุษผู้โง่เขลาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะขาดการตระหนักได้ถึงความเป็นจริง มันเป็นที่ยอมรับได้ที่จะแสดงความเมตตาเมื่อพิจารณาว่าการอัญเชิญในครั้งนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนัก

    “การขอโทษต่อหน้าข้าจบสิ้นแค่เพียงเท่านี้ ข้าไม่รู้ว่าคำขอโทษที่เจ้าแสดงในตอนนี้เต็มไปด้วยความความจริงใจหรือเล่ห์เหลี่ยมเพียงเพื่อต้องการเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์นี้เท่านั้นหรือไม่ ข้าไม่มีทางรู้และข้าก็ไม่คิดสนใจ แต่ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างแท้จริงเจ้าจะต้องไม่มีวันลืมสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปในวันนี้เป็นอันขาด จากนี้ไปมันก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติด้านมนุษยธรรมของเจ้า และข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซง”

    คังชอลอินหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนจะดำเนินการต่อ

    “บทเรียนของข้าหมดสิ้นเพียงแค่เท่านี้ อย่างที่ข้าพูด ข้าจะยอมเชื่อใจเจ้าดังนั้นจงกลับบ้านไปทันทีที่คอของเจ้าดีขึ้น อ่อ... แต่ก่อนหน้านั้นทั้งเจ้าและข้าต้องทำบางสิ่งให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ลูเซีย!”

    ลูเซียที่ลงมาจากหอสังเกตุการณ์และได้มาอยู่ในห้องโถงก่อนหน้านี้เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอบรับเมื่อได้ยินการเรียกชื่อของตัวนาง

    “เจ้าค่ะ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะองค์ราชันย์?”

    “จงนำแกนวิญญาณมาให้ข้า”

    “เจ้าค่ะ!”

    ลูเซียหายไปที่ไหนสักแห่งแล้วกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยดาบงดงามที่นางถือมาทั้งสองมือ

    “แกนวิญญาณ”

    มันเป็นดาบที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อใช้เป็นอาวุธแต่จะนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ในการทำพิธี มันเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของราชันย์และการควบคุมอาณาเขต ดังนั้นแกนวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่ราชันย์และผู้ช่วยส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้ คังชอลอินจะสามารถควบคุมสิ่งอำนวยความสะดวกของลาพิวต้ารวมไปถึงดาวเทียมที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ในอวกาศได้เฉพาะกับแกนวิญญาณนี้เท่านั้น สำหรับราชันย์แล้วแกนวิญญาณเป็นเหมือนพระราชกฤษฎีกา: ของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานมอบให้

    “เจ้าไม่มีอำนาจสิทธิ์ในการเป็นราชันย์อีกต่อไป ความรับผิดชอบจากการพ่ายแพ้ในศึกสงครามจะตกอยู่ที่ราชันย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้ข้าจะชิงชนชั้นราชันย์ของเจ้ามา”

    “ย อย่างไร...?”

    คิมูระตอบเสียงสั่น

    “สิ่งที่เจ้าสวมใส่อยู่ที่เอว … นั่นคือแกนวิญญาณของเจ้า กล่าวคำสาบานต่อข้าขณะถือมันไว้ซะ”

    คิมูระดึงแกนวิญญาณของเบอร์โรลออกมาตามคำสั่งของคังชอลอิน

    “คุกเข่าแล้วแตะแกนวิญญาณของเจ้ามาที่ดาบข้า พูดตามข้า ข้า…”

    “ข้า…”

    “จะยอมมอบทหารและดินแดน…”

    “จะยอมมอบทหารและดินแดน…”

    “แก่ผู้ที่ได้รับชัยชนะเหนือข้า...”

    “แก่ผู้ที่ได้รับชัยชนะเหนือข้า...”

    “แด่ราชันย์แห่งลาพิวต้า คังชอลอิน”

    “แด่ราชันย์แห่งลาพิวต้า คังชอลอิน”

    “ส่วนข้าจะเหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า”

    “ส่วนข้าจะเหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า”

    เมื่อคำปฏิญาณได้ดำเนินต่อไป แกนวิญญาณของลาพิวต้าและเบอร์โรลก็เริ่มเปล่งแสงสว่าง

    “และข้าจะขอสละสถานะของข้าในชนชั้นราชันย์”

    “และข้าจะขอสละสถานะของข้าในชนชั้นราชันย์”

    ทันทีที่คิมูระกล่าวคำคำปฏิญาณเสร็จ แกนวิญญาณของเบอร์โรลก็เผาไหม้เป็นสีแดงฉาดและจากนั้น …

    แคร่ก!

    แกนวิญญาณเบอร์โรลได้พังทลายจนเป็นแค่เพียงเศษซาก

    ท่ามกลางซากของแกนวิญญาณเบอร์โรลที่แตกสลาย พลังงานเวทมนตร์ได้หลั่งไหลเข้าสู่แกนวิญญาณของคังชอลอิน

    จากนั้นก็มีหน้าต่างข้อความปรากฏขึ้นมา

    [ท่านได้รับอำนาจสิทธิ์ในการควบคุมดินแดนเบอร์โรล]

    [ท่านได้เลื่อนเป็นระดับ 5 ด้วยการพิชิตจากข้าศึก]

    [ท่านได้รับ 50 คะแนนราชันย์ด้วยการพิชิตจากข้าศึก]

    [บรรลุระดับ 14!]

    [บทฝึกที่ 1 สำเร็จ!]

    [รางวัลสำหรับเควสที่ทำได้สำเร็จ: ประสบการณ์ + 500 / 20 ทอง / บัตรผ่านประตูมิติ (ไม่จำกัด) ]

    เนื่องจากเป็นเพียงข้อมูลสรุปจึงไม่ได้มีรายละเอียดมากเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอำนาจสิทธิ์ปกครองเบอร์โรลได้ตกมาอยู่ที่คังชอลอิน เช่นเดียวกับมดที่รอดชีวิตและทองคำของคิมูระที่ได้โยกย้ายมาเป็นของคังชอลอินโดยสมบูรณ์ทั้งหมด เว้นเพียงแต่ทิโมธีเท่านั้น

    นอกจากนี้เนื่องจากเขาสามารถทำเควสบทฝึกที่ 1 ได้สำเร็จและได้รับรางวัลตามมา แม้จะเป็นชัยชนะที่น่าเบื่อเกินกว่าจะยินดีแต่รางวัลที่ได้รับยังคงเป็นสิ่งที่ดีงาม

    “จบ...จบแล้วงั้นหรือ?”

    คิมูระพูดเบา ๆ

    “ใช่ มันจบแล้ว”

    “ข้า ข้าขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งต่อทุก...”

    คิมูระเป็นลมหมดสติล้มไปกับพื้นโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค

    “พาตัวออกไป”

    ทันทีที่คังชอลอินออกคำสั่ง ทหารสองนายก็ได้พาตัวคิมูระออกไปจากห้องโถง

    ‘เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลากลับโลกอีกครั้งแล้ว”

    เมื่อเทียบกับสามหรือสี่วันที่เขาเคยคาดการณ์ไว้จากในตอนต้นเขากลับต้องใช้เวลานานถึงสองสัปดาห์อยู่ที่แพนเจีนซึ่งเป็นการเลื่อนเวลาที่นานออกไปมาก

    อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถกลับไปได้ในทันที

    เขาต้องดูแลมดที่รอดชีวิตและคางคกเพลิงที่เขาได้รับมาจากคิมูระ จากนั้นก็ต้องมอบรางวัลแก่เหล่าทหารของเขาที่มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้ รวมถึงการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับดินแดนเบอร์โรลต่อ

    เพื่อจะได้กลับสู่โลกอีกครั้ง เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามวัน

    ‘นอกจากนี้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปจ่ายดอกเบี้ยด้วยใช่ไหมนะ?’

    คังชอลอินที่ยืมเงินมาเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอันขมขื่น เขาอาจต้องบอกให้ลูเซียนำเงินในคลังส่วนตัวออกมาก่อน อย่างไรก็ตามอาจจะมีทองคำที่ได้รับจากคิมูระเหลืออยู่สักเล็กน้อยดังนั้นมันน่าจะพอมีเหลืออีกมากหลังการไปใช้ชำระหนี้เสร็จแล้ว และหากมันยังมีเหลือมากพอเขาอาจมอบมันเป็นทุนให้กับแม่เพื่อให้แม่ของเขาได้หาเช่าอพาร์ตเมนต์ดี ๆ แห่งใหม่

    มันเป็นเรื่องจริงที่คังชอลอินไม่สามารถหลบหนีจากความกังวลเรื่องหนี้สินและค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ได้พ้น แน่นอนว่าถ้ายิ่งเวลาผ่านไปนานกว่านี้เท่าไหร่เขาจะสามารถมีเงินได้หลายล้านแทนที่จะเป็นเพียงแค่หลักหมื่น แต่มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณหนึ่งปี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×