ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] ราชันย์แห่งสมรภูมิ

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 19

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 67


    “องค์ราชันย์เจ้าคะ”

    ขณะที่ทิโมธีกำลังสูญเสียคำพูด ลูเซียที่เงียบมาตลอดการสนทนาเขยิบก้าวเข้ามาใกล้แล้วเรียกคังชอลอิน

    “ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของราชันย์ ก็อบลินผู้นี้ได้อาสาตัวเองเพื่อมาเป็นนักการทูตและเยี่ยมชมดินแดนของเรา แต่ในความเป็นจริงเขากำลังพยายามทำลายเราจากภายในและลวงหลอกนายท่านเรื่องการทำศึก ข้าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะต้องได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้”

    ความคิดเห็นของลูเซียนั้นสมเหตุสมผลมาก

    เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ทิโมธีเป็นเพียงนักการทูตที่ต้องการเจรจาขอความสันติ แต่ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นตัวแปรหลักในการเดินทัพของศัตรู มันไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุหากจะตัดสินประหารหัวเขาซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้

    อย่างไรก็ตามคังชอลอินมีความคิดที่ต่างออกไป

    “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”

    “เช่นนั้นให้ข้านำเครื่องประหาร…”

    ลูเซียพูดโดยไร้ซึ่งความปราณีใด ๆ นางไม่คิดให้อภัยกับใครก็ตามที่อาจหาญกล้ามาดูหมิ่นคังชอลอิน

    “ยังก่อน”

    คังชอลอินส่ายหัว

    “ลูเซีย ความคิดเห็นของเจ้านั้นถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่มันไม่มีความสำคัญใดที่จะมาฆ่าก็อบลินเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันยังไม่สายที่จะพิจารณาโทษใหม่อีกครั้งหลังการสู้รบสิ้นสุด”

    “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่นายท่านกล่าว…”

    “จงมองไปที่ก็อบลินให้ดี”

    คังชอลอินเพยิดคางของเขาชี้ไปที่ก็อบลินตามข้อสงสัยของลูเซีย ทิโมธีกำลังตัวแข็งทื่อและไม่ยอมขยับร่างกายไปไหน เขาไม่อาจรับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างคังชอลอินและลูเซียได้ นั่นเพราะเขากำลังสูญเสียสภาพจิตใจของตัวเอง

    “ผู้ช่วยส่วนตัวที่ถูกทอดทิ้งโดยราชันย์ที่เขารับใช้”

    ดวงตาของลูเซียเบิกกว้างขณะที่นางเข้าใจความคิดของคังชอลอินได้ในที่สุด

    ‘ใช่แล้ว!’

    ทันใดนั้นลูเซียก็สร้างภาพสถานการณ์ของทิโมธีขึ้นมาในใจ

    ‘ผู้ช่วยส่วนตัวผู้นี้ไม่อาจทราบได้ว่าราชันย์ของเขากำลังจะบุกมาที่ดินแดนของเรา! หากเขารู้อยู่ก่อนหน้าคงไม่มีการตอบสนองเช่นนี้แน่! อา...องค์ราชันย์ของข้าไม่เคยมองพลาดรายละเอียดเล็กน้อยอีกเช่นเคย!’

    ช่างเป็นคนที่แสนสารเลวเพียงใดกันถึงได้คิดทำสงครามหลังจากส่งนักการทูตมาได้ไม่ถึงวันและยังไม่มีการประกาศเริ่มนำสงครามมาก่อนเช่นนี้อีก นอกจากจะเป็นการเจรจาต่อรองที่รุนแรงและไร้ซึ่งอารยธรรมแล้วมันยังเป็นการตัดสินใจที่โหดร้ายและไร้ความปราณีอย่างแท้จริงที่ไม่คำนึงถึงทูตที่ส่งมาเลยแม้แต่น้อย

    “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ราชันย์ของศัตรูไม่คำนึงถึงผู้ช่วยส่วนตัวเลยว่าเขาจะเป็นจะตายหรือไม่อย่างไร ทิโมธีผู้นี้ได้ถูกทอดทิ้งโดยสมบูรณ์”

    เมื่อลูเซียมองกลับไปทิโมธีอีกครั้ง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

    นางเองก็เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเช่นกัน

    นางย่อมรู้ดีกว่าใครว่าการถูกราชันย์ทอดทิ้งนั้นหมายถึงสิ่งใด จนถึงตอนนี้ลูเซียเองก็ยังไม่มีความมั่นใจและกลัวว่าตัวนางจะไร้ประโยชน์ต่อคังชอลอินและคงจะถูกทอดทิ้งในที่สุด แม้นางไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดแต่นางก็พอรู้สึกถึงหัวใจของทิโมธีที่กำลังมอดไหม้จนแผดเผาเป็นเถ้าธุลีในตอนนี้ได้

    “ใช่ เช่นนั้นแล้วชีวิตที่สูญเสียไปหมดทุกอย่างจะเป็นเช่นไรต่อ?”

    “...”

    “ถึงอย่างไรเขาก็ต้องชดใช้ที่กล้าเข้ามาบ่อนทำลายข้า”

    “เช่นนั้นข้าจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าการได้รับความตายขอรับ”

    คังชอลอินแสยะยิ้มร้ายอย่างพอใจ

    “ทิโมธี เจ้าพูดอะไรออกมา?”

    “... องค์ราชันย์...”

    เสียงของทิโมธีไร้ซึ่งพลังเมื่อเขาตอบกลับ หูของเขาหย่อนคล้อยแต่กลับไม่ดูน่าสงสารอีกต่อไป

    “ตามข้ามา”

    “...”

    “เจ้าไม่อยากเห็นหรือว่าคนที่ทอดทิ้งเจ้าจะถูกทำลายลงเช่นไร?”

    วินาทีนั้นทิโมธีเหมือนได้เห็นภาพปีศาจแห่งความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและภาพของผู้นำที่มีเมตตาซ้อนทับกันบนใบหน้าของบุรุษที่ชื่อคังชอลอิน

    คำกล่าวก่อนหน้าของคังชอลอินตีเป็นความหมายออกมาได้สองประการ

    “เจมส์”

    คังชอลอินเรียกหาผู้บัญชาการเจมส์โดยไม่สนใจทิโมธีที่กำลังใช้ความคิด

    “ขอรับ”

    “ไปแสดงให้ไอ้”ยุ่น“เห็นถึงสถานะของตัวเองและตอบรับความเย่อหยิ่งของมันซะ”

    “ขอรับ องค์ราชันย์!”

    เจมส์ตอบรับเสียงดังและแสดงความเคารพแก่คังชอลอิน จากนั้น...เขาก็ค่อย ๆ เอ่ยถามอย่างระวังราวกับว่ามีบางสิ่งรบกวนจิตใจของเขา

    “แต่องค์ราชันย์…”ยุ่น“นี่หมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ?”

    “...อะไรบางสิ่งจากที่ ๆ ข้าจากมา”

    “อ๋อ ขอรับ!”

    คังชอลอินไม่ได้ตอบออกไปตามตรงเพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบายในตอนนี้

    จากนั้นคังชอลอินก็นำลูเซียและทิโมธีไปยังหอสังเกตการณ์

    ที่ลาพิวต้ามีหอสังเกตการณ์ที่สามารถสังเกตได้ไกลถึง 40 กม. ซึ่งจะทำให้เขามองเห็นอาณาเขตดินแดนและพื้นที่โดยรอบได้จากตรงจุดนี้

    เหตุผลในการมาอยู่ที่หอสังเกตการณ์นั้นง่ายมาก

    นั่นเพราะคังชอลอินไม่คิดร่วมต่อสู้กับศึกในครั้งนี้

    มันไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วนและไม่ใช่สงครามใหญ่ที่จะต้องให้คนอย่างเขาออกไปร่วมต่อสู้

    คังชอลอินได้เตรียมการบางสิ่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วและคำสั่งที่เขาสั่งการออกไปนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการพิจารณาทิศทางของสงคราม คิมูระและทิโมธีไม่เคยรู้ว่าคังชอลอินเองก็ใช้เหยี่ยวสอดแนมสองตัวรวมถึงหน่วยสอดแนมเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับข้อมูลสถานะปัจจุบันของเบอร์โรลมา

    ด้วยเหตุนี้ ทหารของลาพิวต้าจึงได้เสร็จสิ้นการเตรียมตั้งรับสงครามทั้งหมดก่อนที่ทิโมธีจะมาถึงและกำลังรอให้ทหารของดินแดนเบอร์โรลบุกเข้ามาด้วยความใจเย็น

    ราวกับเขาเป็นแมงมุมที่จ้องจะกินหยื่อหลังชักใย

    “ทิโมธี”

    คังชอลอินกล่าวเรียกทิโมธีขณะที่เขาจ้องมองทหารของดินแดนเบอร์โรลที่ใกล้เข้ามาจากระยะไกล

    “ขอรับ...ราชันย์”

    ทิโมธียังคงมีความโกรธแค้น การถูกทอดทิ้งเป็นสิ่งที่เกินรับได้สำหรับก็อบลินชราวัยเช่นเขา

    “เจ้าคาดหวังให้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?”

    คังชอลอินเอ่ยถาม

    “... หากท่านเปรียบเทียบแค่มุมมองของกองกำลัง ข้าคาดว่าดินแดนเบอร์โรลจะสามารถมีชัยได้อย่างยิ่งใหญ่ขอรับ”

    “งั้นรึ?”

    “กำลังทางทหารของเบอร์โรลมีความแข็งแกร่งอย่างมาก พวกเขามีทั้งมด 300 ตัว ตะขาบยักษ์ 4 ตัว และท่านโชกุนก็ยังมีคางคกเปลวเพลิงข้างกายอีกเช่นกัน”

    “มันดูเหมือนจะเป็นกองกำลังที่ทรงพลัง”

    คังชอลอินพยักหน้ารับ

    ในความเป็นจริง

    อำนาจทางทหารหมายถึงพลังทางเศรษฐกิจ

    เนื่องจากลาพิวต้ามีราคาแพงมากคังชอลอินจึงไม่มีเงินเหลือมากพอให้ไปใช้จ่ายในคลังสินค้า มันค่อนข้างน่าอายเล็กน้อยแต่สถานะทางการเงินของลาพิวต้าในตอนนี้ค่อนข้างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

    คังชอลอินไม่ได้แสดงอาการผ่านทางสายตาใด ๆ ออกไป เขาเพียงยิ้มรับให้กับคำตอบจากทิโมธี

    “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าราชันย์ของเจ้าจะสามารถพิชิตดินแดนนี้ได้หรือไม่?”

    “นั่นมัน…”

    ทิโมธีไม่สามารถให้คำตอบตอบกลับไปได้ในทันที

    ‘แน่นอนว่าฝ่ายเรามีทหารที่ดีกว่า เรามีความได้เปรียบ ... แต่ทำไมข้าถึงยังรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้?”

    ความไร้ความสามารถของราชันย์คิมูระถือเป็นปัจจัยหนึ่งในเหตุผลนั้น แต่พฤติกรรมที่มั่นใจของคังชอลอินนี่ต่างหากที่ทำให้เขาสับสน เขากำลังผ่อนคลายเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาได้รู้แล้วว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบเรื่องกำลังพล? ทิโมธีไม่สามารถเดาผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ได้เลย

    “ข้าจะมอบคำตอบให้เอง”

    ทันใดนั้นคังชอลอินก็พูดขึ้นมา

    “ข้าจะชนะ”

    มันเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่แท้จริง

    “วันนี้ดินแดนเจ้าจะล่มสลาย”

    “ไม่!”

    ก่อนที่ใครจะทันได้กระพริบตา ทิโมธีที่ไม่เห็นด้วยตะโกนเสียงดัง

    ‘เขายังคงมีความเป็นผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์อยู่ … เข้าใจแล้ว’

    คังชอลอินมองดูทิโมธีและรู้สึกหวั่นกลัวถึงความภักดีของก็อบลินชราวัยเล็กน้อย

    ตามที่มองผ่านจากสายตาของคังชอลอิน ดูเหมือนว่าทิโมธีเองยังไม่ได้สูญเสียความจงรักภักดีที่มีต่อราชันย์ของเขาไปจนหมดแม้ว่าเขาจะถูกทอดทิ้งแบบไร้เยื่อใยก็ตาม

    “แม้ท่านโชกุนจะไร้ประสบการณ์ แต่ท่านโชกุนไม่มีทางแพ้เป็นอันขาด!”

    “หืม…เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?”

    “ขอรับ! แม้กองทัพของท่านจะดูไม่ธรรมดาแต่ท่านไม่มีทางสามารถเอาชนะความแตกต่างในสงครามได้ ...”

    “เช่นนั้นจงรอดู”

    คังชอลอินตัดคำพูดของทิโมธีแล้วหันไปพูดกับลูเซีย

    “โทรโข่ง”

    “เจ้าค่ะ”

    ลูเซียส่งโทรโข่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องขยายเสียงให้คังชอลอินอย่างสุภาพ

    “จงจำไว้ การร้องขอเพื่อยอมจำนนก็เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่แข็งแกร่งเช่นกัน”

    คังชอลอินมองอย่างเหยียดหยามขณะส่งเสียงพูด คิมูระและกองกำลังของเขาใกล้มาถึงลาพิวต้าแล้วเพียงอีกไม่นาน

    ปี๊บ!

    “สวัสดี ศัตรูของข้า ได้ยินเสียงข้าหรือไม่?”

    คังชอลอินทำการทดสอบเสียงด้วยการเอื้อนเอ่ยวาจาแปลกประหลาด

    “เจ้าคือราชันย์ของดินแดนนี้งั้นรึ?!”

    คิมูระตะโกนตอบกลับคังชอลอิน เนื่องจากเขาไม่ได้นำโทรโข่งมาด้วยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “จงยอมจำนน…”

    “ยอมจำนนแก่ข้าซะยุ่น”

    “...”

    “เช่นนั้นแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

    คังชอลอินปล่อยหมัดฮุคเข้าเต็ม ๆ ตัวคิมูระ

    “ยะ ยุ่นงั้นรึ!”

    เปลวเพลิงแห่งความแค้นปะทุขึ้นภายในดวงตาของคิมูระทันใด

    “แก ไอ้แมลงโชซอน!(สมัยกาลโบราณของเกาหลีที่ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น)”

    ในขณะที่คนเกาหลีรู้จักคำว่า “ยุ่น” เพื่อใช้ดูถูกคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเองก็รู้จักคำสบประมาทของเกาหลีด้วยเช่นกัน

    “กล้าดี… กล้าดีอย่างไรถึงมาเรียกข้าว่ายุ่น!”

    “ก็ข้าจะเรียก หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วยอมจำนนกลับไปซะ”

    “กะ แก!”

    คิมูระตัวสั่นด้วยความโกรธ

    เสียงของคังชอลอินน่าขยะแขยงมากจนเขารู้สึกถึงความโกรธแค้นที่เติมเต็มร่างกายจนลึกลงไปในกระดูก

    “ถ้าเจ้ายังยืนกรานไม่ยอมจำนน…”

    คังชอลอินแสยะยิ้มร้ายอีกครั้งก่อนจะปล่อยหมัดฮุคใส่คิมูระอีกเป็นครั้งสุดท้าย

    “ข้าจะโจมตีจนเหมือนว่าเจ้ากำลังถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู... แต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันความสามารถพิเศษของเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่รึ? เจ้าเป็นคนเดียวในโลกที่ได้รับสิ่งนั้น สองลูกจาก...คนที่เจ้าก็รู้ดีกว่าใคร พวกแมลงสาบอมตะ”

    คิมูระไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้

    แม้คังชอลอินจะจุดชนวนเพิ่มความโกรธอย่างไรแต่มันก็เป็นความจริงที่เขาไม่มีทางปฏิเสธได้เลย

    ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกและชาติสุดท้ายที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูบนโลก

    “ลิตเติ้ลบอย” ระเบิดปรมาณูที่ทำจากยูเรเนียมและ “แฟตบอย” ระเบิดปรมาณูที่ทำจากพลูโทเนียมเป็นหนึ่งในความอัปยศอดสูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่น

    “ข้าจะฆ่าแก ไอ้นรก!”

    คิมูระที่โกรธเคืองจนถึงขีดสุดระเบิดเสียงคำราม

    “เช่นนั้นก็ลองทำดู”

    คังชอลอินเย้ยหยัน

    “แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจะสามารถมาฆ่าข้าได้จริงหรือไม่”

    ขณะนั้นคิมูระรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังสั่งการเขาอยู่ในหัว เขาตะคอกคำสั่งออกไปด้วยความว้าวุ่น

    “โจมตี!”

    คิมูระบัญชาทัพ

    “เดี๋ยวนี้! ไปเอาตัวมันมาให้ข้า! โจมตี! ข้าสั่งให้โจมตีมัน!”

    และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม

    ภายใต้การนำของคิมูระ ทหารของเบอร์โรลเริ่มพุ่งตรงไปที่กำแพงปราสาทของลาพิวต้า

    การล้อมดินแดนได้เริ่มขึ้นแล้ว

    “ท่านโชกุน!”

    ทิโมธีหลับตาลงแน่นเนื่องด้วยสถานการณ์ที่น่าหดหู่

    แม้เขาจะพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ทางวาจา แต่ราชันย์ที่ล้มลงได้ง่ายดายเพียงการเย้ยหยันของคังชอลอินนั้น สำหรับทิโมธีผู้ซึ่งอยู่กลางดินแดนของศัตรูรู้สึกเขินอายจนเขาอยากจะซ่อนตัวลงในหลุมเสีย

    “เจ้ายังภักดีต่อคนที่โง่เขลาขนาดนี้ได้อยู่อีกหรือ?”

    เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ คังชอลอินก็โยนคำถามกลับไปที่ทิโมธีอีกครั้ง

    “โปรดระวังคำพูดด้วยขอรับ ถึงทิโมธีผู้นี้จะถูกท่านโชกุนถูกทอดทิ้งแต่ข้าก็ยังมีความภักดีต่อท่าน”

    “งั้นรึ?”

    คังชอลอินเอ่ยถามด้วยความสนใจ

    “ถ้าอย่างนั้น ...”

    เขายิ้ม มันเป็นยิ้มดั่งเช่นรอยยิ้มปีศาจ

    “จงเพลิดเพลินไปกับการดูศึกครั้งนี้เสียเถอะ”

    และในตอนนั้นเอง เหล่าทหารของเบอร์โรลก็เริ่มปีนไต่กำแพงเมืองขึ้นมา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×