ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] ราชันย์แห่งสมรภูมิ

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 17

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 67


    “เหยี่ยวสอดแนม” เป็นการสอดแนมแบบที่ใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง สามารถซื้อได้ที่ [คลังสินค้าราชันย์] โดยราคาการซื้ออยู่ที่ 10 ทอง ราชันย์ที่ซื้อเหยี่ยวนี้กำลังเลือกใช้มันเพื่อสอดแนมดินแดนของคังชอลอิน

    10 ทองคือการใช้ทองคำบริสุทธิ์ 97.8% มาใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินซึ่งจะมีมูลค่าเท่าเงินวอนอยู่ที่เกือบ ๆ 5 ล้านวอน นั่นหมายความว่าราชันย์ที่ส่งเหยี่ยวนี้ต้องลงทุนถึง 5 ล้านวอนเพื่อจะสอดแนมเขา

    ‘ไอ้โง่ ไม่รู้จักใช้ทองที่มีอยู่ให้รู้ค่า’

    คังชอลอินพ่นเสียงไม่พอใจก่อนจะเหลือบตากลับขึ้นไปมองเหยี่ยวสอดแนมที่กำลังวนอยู่เหนือหัวเขาอีกครั้ง เหยี่ยวสอดแนมจะใช้งานได้แค่เพียงหนึ่งชั่วโมงและระยะทางในการติดตามคือประมาณ 20 กม. ด้วยราคาขนาดนี้มันไม่มีความคุ้มค่ากับการใช้งานใด ๆ มันไม่ใช่ตัวเลือกที่แนะนำเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องใช้จริง ๆ

    “หมอบตัวลงต่ำซะ มีใครมีธนูบ้างหรือไม่? ไม่เช่นนั้นจะเป็นปืนก็ได้”

    “นี่ขอรับนายท่าน”

    ทหารนายหนึ่งที่ใช้ธนูเป็นอาวุธส่งมันมาให้กับคังชอลอินในทันใด

    ‘5 ล้านวอน… ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครแต่ข้าจะทำลายเงินที่มีค่าของเจ้าให้ดู’

    คังชอลอินหมายจะยิงไปที่เหยี่ยวสอดแนมและสอยมันให้ร่วงลงมา

    แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะยิงมันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เหยี่ยวสอดแนมถูกสร้างขึ้นโดยมีส่วนประกอบจากเวทมนตร์ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสกัดกั้นมันได้ด้วยการใช้ฟิสิกส์ธรรมดา

    ‘ผ่านมาได้สักพักแล้วเหมือนกัน … อยากรู้นักว่ายังจะทำได้อยู่ไหม’

    คังชอลอินคิดขณะดึงคันธนูมาใกล้ตัว

    เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขายิงธนูนั้นคือเมื่อไหร่

    เขาเป็นดั่งนักรบที่มีฝีมือทางการทหารที่ใช้ดาบและไม่เคยได้ทำความคุ้นเคยกับการใช้ธนูมากนัก

    ‘เอาล่ะ ถ้าอย่างนี้ก็น่าจะพอเป็นไปได้’

    แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยขาดความมั่นใจในตัวเองไปอย่างสมบูรณ์เช่นกัน

    แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักธนูผู้เชี่ยวชาญแต่เขาก็มีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมสำหรับศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด เหยี่ยวสอดแนมเพียงตัวเดียวไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเขา คังชอลอินมั่นใจอย่างยิ่งกับความสามารถของตัวเอง

    ‘เล็งเป้าและ...ยิง!’

    วู้ชช

    ลูกธนูกลายเป็นแสงแวววับเมื่อมันพุ่งเข้าหาเหยี่ยวสอดแนม

    แอ่กกก แอ่กกก!

    เหยี่ยวสอดแนมที่สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาส่งเสียงด้วยความหยิ่งผยองและไม่ได้พยายามที่จะหลบลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้ามาแต่อย่างใด ราวกับว่ามันกำลังล้อเลียนคังชอลอินเป็นคำพูดว่า “ลูกธนูแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้”

    ‘โง่นัก’

    คังชอลอินยิ้มเยาะ

    คังชอลอินไม่ได้ยิง “แค่ลูกธนู” ไปอย่างเดียวแต่เขาใช้เวทมนตร์ผสมไปด้วยเล็กน้อยบนปลายลูกธนูก่อนจะปล่อยมันออกไป มันไม่ได้เป็นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งแต่สำหรับเหยี่ยวสอดแนมที่มีการป้องกันที่อ่อนแอแล้ว ก็ถือว่าพอเป็นการโจมตีที่ใช้ได้อยู่บ้าง

    หากลูกธนูยิงเข้าเป้ามันจะยิ่งเป็นหลักประกันแห่งชัยชนะได้เป็นอย่างดี

    แคร่ก!

    ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าโดยตรงและติดค้างอยู่ที่ส่วนท้องของเหยี่ยวบนท้องฟ้าตามที่คาดการณ์ไว้

    เอี๊ยด ๆ

    เสียงร้องสับสนดังออกมาจากปากของเหยี่ยว

    เมื่อมีเวทมนตร์จากอีกสิ่งหนึ่งแทรกแซงร่างกายที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ ประกายไฟก็เริ่มก่อตัวขึ้นและตามมาด้วยเสียงดังโครม จากนั้นเหยี่ยวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราคาแห่งการสอดแนม 5 ล้านวอน เศษซากของมันกลายเป็นผงธุรีที่ปลิวกระจาย

    “โว้ว”

    “มหัศจรรย์เหลือเกิน!”

    “กระทั่งธนูนายท่านก็ยังชำนาญการ!”

    ทหารที่ได้เห็นสิ่งนี้ต่างพากันปรบมือและยกย่องให้กับทักษะของเขา

    ‘มันคงจะเจ็บเล็กน้อย’

    คังชอลอินที่ไม่สนใจการยกย่องจากกองทหารยกยิ้มพอใจ

    เหยี่ยวสอดแนมมีกลไกที่เชื่อมไปถึงกับจิตใจราชันย์ผู้ใช้ ดังนั้นเมื่อมันถูกทำลายตัวราชันย์เองก็จะได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน

    มันเป็นบทลงโทษที่แปลกและเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องระวังเมื่อเลือกจะใช้เหยี่ยวสอดแนมนี้

    แม้เขาจะมองไม่เห็นด้วยตาของตัวเองแต่เขามั่นใจว่าราชันย์ที่ส่งเหยี่ยวสอดแนมนี้มากำลังโอบรัดท้องของตัวเองและคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดราวกับว่าเขาเป็นคนที่ถูกยิงด้วยลูกธนูเสียเอง

    “กองกำลังทั้งหมดกลับฐานทัพ”

    คังชอลอินสั่งการ

    “ตอนนี้เลยหรือขอรับ?”

    เจมส์เอ่ยถาม

    “นั่นเป็นหน่วยสอดแนมที่ถูกส่งมาโดยราชันย์คนอื่นหมายความว่ายังมีดินแดนที่ถูกครอบครองในระยะ 20 กม.อยู่อีกแห่ง”

    “อ๋อ!”

    “ข้าไม่รู้ว่าเจตนาของราชันย์ผู้นี้คืออะไร แต่พวกเขาอาจจู่โจมเราได้ทุกเมื่อดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะกลับไปยังกองบัญชาการใหญ่และเตรียมตัว บางทีมันอาจเป็นแค่การลาดตระเวนตามปกติ”

    คังชอลอินไม่สามารถห้ามตัวเองจากการพูดได้ “แพนดิโมเนียมจะมีแต่ความบ้าคลั่งในสงครามเท่านั้น”

    มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    มันเป็นสวรรค์สำหรับผู้พิชิตราชันย์ที่คลั่งไคล้ในสงครามและปีศาจ มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติสำหรับพวกเขาที่จะเกิดการสู้รบหรือทำลายซึ่งกันและกัน

    “ไปบอกให้พวกคนงานและเกษตรกรทั้งหลายล่าถอยซะ การระวังไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”

    “ขอรับนายท่าน!”

    แม้เขาจะเป็นกังวลที่ต้องหยุดการทำฟาร์มไปสักสองสามวันแต่มีบางอย่างบอกให้เขาต้องทำแบบนั้น หากศัตรูบุกเข้ามาจริง เช่นนั้นชีวิตของผู้บริสุทธิ์อาจเกิดการสูญเสียได้

    “อึ่ก!”

    ลึกลงไปในอุโมงค์ที่ราบทางเหนือ ราชันย์แห่งเบอร์โรลกำลังกุมหน้าท้องของเขาและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด

    “นะ นายท่าน! เป็นอะไรหรือขอรับ?!”

    ผู้ช่วยส่วนตัวของดินแดนเบอร์โรล ทิโมธีรีบเข้ามาพยุงดูแลนายของตัวเองอย่างเร่งรีบ ทิโมธีเป็นก็อบลินที่มีหนวดเคราสีขาวขนาดใหญ่

    “อึ่ก!”

    “โอ้ นายท่าน! เหยี่ยวสอดแนมของนายท่านถูกโจมตีหรือขอรับ?”

    ราชันย์แห่งดินแดนเบอร์โรลไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้ชั่วขณะแม้จะมีคำถามมากมายจากผู้ช่วยส่วนตัว เนื่องจากความเจ็บปวดที่โดนลูกธนูแทงทะลุหน้าท้องเหยี่ยวกำลังแพร่กระจายมายังบนตัวทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิใด ๆ ได้ในตอนนี้

    ความเจ็บปวดของเขาใช้เวลานานถึง 30 นาทีถึงจะสงบ ราชันย์แห่งเบอร์โรลบดฟันด้วยความโกรธแค้น

    “ไอ้บัดซบสารเลวเอ๊ย!”

    “นายท่านดีขึ้นแล้วหรือขอรับ? นี่น้ำเย็นขอรับ ๆ โปรดดื่มให้ชื่นใจเสียก่อน”

    “หุบปาก!”

    ทิโมธีนำน้ำเย็น ๆ มาให้แก่ราชันย์ของเขา ทว่าราชันย์ของเขากลับตีมือที่ถือถ้วยนั้นจนตกลงไปที่พื้น

    “ไอ้ตัวอุบาทว์ก็อบลิน! บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรียกข้าว่าว่านายท่านหรือราชันย์! ให้เรียกข้าว่าโชกุน!”

    “อ๊ะ! ขอรับ ท่านโชกุน!’

    “ไอ้โง่เอ๊ย! ที่โง่แบบนี้เพราะเป็นก็อบลินด้วยหรือเปล่า? ทั้งแก่และทั้งน่าเกลียด! เฮ้อ จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายทำไมผู้ช่วยของข้าถึงต้องเป็นก็อบลินด้วยกัน”

    คิมูระ ฮิเดคิ ราชันย์แห่งเบอร์โรลกำลังวิพากษ์วิจารณ์และระบายความโกรธของเขาไปกับทิโมธีก็อบลินผู้ช่วยส่วนตัว

    “โง่เง่าและไร้ประโยชน์! ทำไมข้าถึงได้ก็อบลินโง่ ๆ แบบนี้! เฮ้อ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเป็นผู้หญิง!”

    “...”

    “อะไร? เจ้าทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร? มีปัญหากับสิ่งที่ข้าพูดงั้นรึ?”

    “ไม่เลยขอรับ! ไม่ใช่เลยท่านโชกุน!”

    “เจ้าหมายถึงอะไรที่ว่าไม่?”

    คิมูระตะโกนลั่น

    เพี๊ยะ!

    ตามด้วยเสียงตบที่ดังก้องจนหัวของก็อบลินหันไปอีกทาง

    “ก็อบลินเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจ!”

    “ข้าขออภัยขอรับที่ข้าเป็นเพียงก็อบลิน…”

    ทิโมธีคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่เขาต้องถูกตีอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

    ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้สักอย่าง

    เขาต้องอดทนแม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมหรือแม้ว่ามันจะทำร้ายความภูมิใจของเขาเองก็ตาม

    ชะตากรรมของผู้ช่วยส่วนตัวเช่นเขาคือการอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครเล่าจะอยากมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวให้กับคนป่าเถื่อนแบบนี้กัน?

    สิ่งเดียวที่ทิโมธีทำได้ก็คือการยอมรับชะตากรรมของตัวเอง การหมุนทายลูกเต๋าย่อมมีความเสี่ยงร่วมด้วยเสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้อาจกล่าวได้ว่าลูเซียผู้ซึ่งได้พบกับคังชอลอินที่ฉลาดและมีความสามารถในฐานะผู้นำนั้นถือเป็นกรณีที่โชคดีอย่างมาก

    “ราชันย์ในพื้นที่เกษตรกรรมคนนั้นมันยิงเหยี่ยวสอดแนมของข้า”

    “ข เขาทำเช่นนั้นจริงหรือขอรับ?!”

    “ไอ้สารเลวนั่น… ข้าคิดว่าการส่งตัวตุ่นออกไปจะทำให้มันยอมแพ้ต่อดินแดนนั่นแล้วเชียว ไอ้สารเลวที่ดื้อด้าน!”

    ที่จริงแล้วคนที่ส่งตัวตุ่นมาขัดขวางเควสของคังชอลอินก็คือคิมูระ

    หากจะกล่าวให้ถูกต้อง คิมูระต้องการทิ้งกองบัญชาการใหญ่ใต้ดินของเขาและขึ้นมาปกครองดินแดนภาคพื้นซึ่งได้รับคำแนะนำจากทิโมธีว่าให้เลือกดินแดนของคังชอลอินมาเป็นเป้าหมาย

    “ท่านโชกุน ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?”

    ทิโมธีถาม

    “หมายความว่าอะไรที่ถามว่าข้าจะทำอะไร! ข้าก็จะโจมตีมันน่ะสิ!”

    "แต่…"

    "อะไร?"

    “หากเหยี่ยวสอดแนมสามารถถูกโจมตีได้นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วยนะขอรับ มีความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายจะจัดการ”

    “ข้าเป็นผู้เล่น ข้าต่างหาก!”

    “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านโชกุนได้อย่างแท้จริงขอรับ แน่นอนว่าท่านอาจรู้สึกประหลาดใจและเจ็บปวด แต่ท่านโชกุน! สงครามไม่ใช่เรื่องของการละเล่นนะขอรับ”

    “หุบปาก! ข้าสั่งให้หุบปาก!”

    คิมูระไม่สนใจคำเตือนจากทิโมธีเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือการแก้แค้นคนที่กล้าโจมตีเหยี่ยวสอดแนม สำหรับเขาแล้วข้อเท็จจริงอื่น ๆ เช่นความสามารถของคังชอลอินในการบัญชาการและการใช้เวทมนตร์นั้นไม่มีความสำคัญใด ๆ

    “เห้ย ก็อบลิน”

    “ขอรับ ท่านโชกุน”

    “เตรียมกำลังพลของข้าซะ ข้าจะบุกกองบัญชาการของมันเดี๋ยวนี้”

    “ท่านโชกุน ท่านช่วยฟังความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของข้าสักครั้งได้หรือไม่ขอรับ?”

    “ความปรารถนาของเจ้า? ข้าจำเป็นต้องทำตามความปรารถนาของเจ้าด้วยรึ?”

    ทิโมธียอมรับการเย้ยหยันและความอาฆาตแค้นจากคิมูระเพราะนั่นคือบทบาทหน้าที่ของเขา ไม่ว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายเพียงใดแต่พวกเขาก็ต้องรับใช้ราชันย์ด้วยทุกสิ่งที่เขามี

    “ท่านโชกุนขอรับ ทิโมธีนี้ผู้นี้ อย่างที่ท่านกล่าวมาข้าไม่มีอะไรเลยนอกจากการเป็นก็อบลิน แต่ข้าก็ยังมีประโยชน์นะขอรับ ถ้านายท่านยอมปล่อยให้ข้า…”

    “เจ้าจะทำอะไร?”

    “มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยขอรับที่จะกล่าวว่าชัยชนะของสงครามนั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นำ หากท่านโชกุนยินยอมให้เวลาข้าแค่เพียงสองวัน ข้าจะมอบรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางทหารและสิ่งอำนวยความสะดวกในปัจจุบันของศัตรูให้ท่านได้ทราบ การที่ส่งข้าไปทำเช่นนั้นท่านโชกุนไม่คิดหรือขอรับว่าโอกาสแห่งชัยชนะของท่านจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น?”

    “หืม… เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้งั้นรึ?”

    “ไม่เลยขอรับท่านโชกุน! ข้าแค่เพียงต้องการจะบอกว่า ‘ถ้าท่านรู้จักศัตรูของท่านและถ้าท่านรู้จักตัวท่านเป็นเป็นอย่างดี ต่อให้มีการสู้รบกันร้อยครั้งท่านก็จะสามารถเอาชนะมาได้ทั้งร้อยครั้ง’ต่างหากขอรับ ข้าเพียงแนะนำกฏของการทำสงคราม...”

    “เรื่องนั้นข้าก็รู้!”

    คิมูระตะโกน

    “คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรืออย่างไร? เรื่องนั้นข้าก็จะทำด้วยเหมือนกัน!”

    คิมูระพูดอย่างไร้ยางอายราวกับว่าความคิดของทิโมธีนั้นเป็นของเขาเอง

    “ข้าจะใช้หน่วยสอดแนมที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย”

    “โอ้ ท่านโชกุน ท่านช่างปราดเปรื่องอย่างมากเลยขอรับ!”

    “เจ้ากล้ายิงข้างั้นรึ? ได้! แค้นนี้ข้าจะชำระให้เอง!”

    เห็นได้ชัดว่าวิธีการของเขาเป็นวิธีการที่ค่อนข้างทำเกินกว่าเหตุ

    คิมูระ ฮิเดคิอยู่ที่โตเกียวทาวเวอร์เมื่อตอนที่เขาถูกพามายังแพนเจีย เขาเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่ไม่สามารถเชื่อสถานการณ์ที่เขาได้เข้าร่วมในตอนแรกได้

    ทุกคนคงจะเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก

    อยู่มาวันหนึ่งโดยไร้ซึ่งสัญญาณการเตือนล่วงหน้า ตัวของท่านได้ถูกนำพามายังโลกอื่นที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จตามเควสที่ปรากฏโดยที่ท่านไม่รู้จักที่มาในการจะปกครองดินแดนของตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นท่านคงปฏิเสธความจริงไปตามปกติ

    อย่างไรก็ตามแพนเจียคือความเป็นจริงและคิมูระก็ยอมรับสถานะของเขาในฐานะราชันย์ ตามความคาดหวังของคนญี่ปุ่น เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงของที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว คิมูระตัดสินใจทำเควสปราบมอนเสอตร์ในดินแดนของเขาจากนั้นก็ตั้งใจทำตามจุดประสงค์ในฐานะผู้พิชิตราชันย์เพื่อขยายการครอบครองดินแดน

    มันดีมาตลอดจนถึงตอนนี้

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงบนโลกที่แตกต่างนี้ได้แต่เขาไม่ได้ตระหนักถึง "ความจริง" และความรุนแรงของสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นที่แพนเจียนี้เลยแม้แต่น้อย

    ความตายบนแพนเจียมีค่าเท่ากับความตายบนโลก นี่คือวิถีแห่งธรรมชาติและกฎแห่งชีวิตซึ่งระบุไว้แต่แรกแล้วว่าไม่มีใครสามารถยกเลิกการตายของตัวเองได้ นอกจากชายที่ชื่อคังชอลอินที่ใช้พลังสำรองวิญญาณเพื่อกลับสู่อดีตได้อีกหนึ่งครั้ง

    คิมูระไม่รู้ซึ้งถึงความจริงที่สำคัญนี้

    การโจมตีราชันย์คนอื่นด้วยความตื่นเต้นที่ได้เป็นราชันย์เหมือนได้เป็นผู้เล่นในเกมเป็นการตัดสินใจที่ภาคภูมิใจของนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งที่แสนโง่เขลา

    หากต้องการชีวิตของใครสักคนก็ควรเตรียมพร้อมที่จะสูญเสียชีวิตของตัวเองด้วยเช่นกัน แต่ในใจของคิมูระมีเพียงภาพลักษณ์ของตัวเองที่ได้ขึ้นเป็นใหญ่หลังจากที่เขาพิชิตดินแดนของคังชอลอินมาได้สำเร็จ

    มันเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่ไม่ได้คำนึงถึงผลพวงของการก่อสงคราม

    อย่างไรก็ตามมันสายเกินไปแล้วที่จะย้อนกลับมาพิจารณาใหม่ ท้ายที่สุดการที่เขาเลือกคังชอลอินผู้อยู่ตรงข้ามกับทุกฝ่ายมาเป็นคู่ต่อสู้คือความผิดพลาดที่แสนมหันต์

    ในวันนั้นคังชอลอินรู้สึกได้ถึงเมฆแห่งสงครามที่กำลังก่อตัว

    เขาเห็นเหยี่ยวสอดแนมบินวนรอบลาพิวต้าบ่อยมากขึ้นและไกลเกินเอื้อมกว่าที่ลูกธนูจะยิงถึงได้ และหลังจากนั้นสองวันก็มีเหยี่ยวสอดแนมประมาณ 5 - 6 ตัวบินวนรอบลาพิวต้า ฝ่ายตรงข้ามได้เปิดเผยการสอดแนมซึ่ง ๆ หน้าซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นการประกาศเพื่อบุกรุก

    ‘คงต้องเลื่อนกำหนดการกลับโลกไปอีกสัก 2 - 3 วัน ดีเหมือนกันที่มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นให้ได้เล่นสนุก’

    คังชอลอินยิ้ม

    ราคาของดินแดนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 พันทอง อย่างไรก็ตามลาพิวต้าของเขามีราคามากถึง 9,800 ทอง เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าของดินแดนอื่นจึงอาจทำให้เกิดการล้มละลายได้ง่าย ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ การมีราชันย์อื่นบุกเข้ามาถึงที่ด้วยสองเท้าของตัวเองนับเป็นเรื่องที่เขารู้สึกขอบคุณอย่างมาก

    ราชันย์ที่ชนะการสู้รบจะได้รับไปทั้งหมด

    เขาจะเอาทั้งดินแดน ประชาชน และทหารของฝ่ายตรงข้ามมาให้หมด นอกจากนี้เขายังจะได้รับค่าตอบแทนด้วยคะแนนราชันย์ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นทางลัดสำคัญในการขึ้นเป็นจอมราชันย์ จากมุมมองของคังชอลอินแล้ว การบุกรุกครั้งนี้เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์

    “ลูเซีย”

    “เจ้าค่ะ นายท่าน”

    “อีกไม่นานจะมีราชันย์อื่นบุกมา”

    “เจ้าค่ะ”

    “ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเสียจริง”

    “ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

    “เขาเป็นคนที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ดินแดนของเรา จงเตรียมการต้อนรับเขาเป็นอย่างดี”

    “แน่นอนเจ้าค่ะ”

    คังชอลอินพูดพร้อมรอยยิ้ม

    งานเลี้ยงต้อนรับ?

    เขาจะตั้งใจเตรียมการต้อนรับนี้ให้เป็นอย่างดี

    เพื่อที่เขาจะสามารถบดขยี้อีกฝ่ายจนไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างได้!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×