ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] ราชันย์แห่งสมรภูมิ

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 14

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 67


    “ออร์ค 20 ตัวรึ?!”

    “กำลังพลไม่พอ!”

    “พวกมันมี 20 ตัว!”

    ทันทีที่ได้ยินรายงาน กลุ่มทหารก็เริ่มพากันส่งเสียงพูดคุยจนวุ่นวาย

    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ

    เมื่ออยู่ในเกมหรือนิยายแฟนตาซีออร์คส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ประหลาดอ่อนแอที่สามารถต่อกรได้ง่าย ๆ ทว่าที่แพนเจียแห่งนี้ออร์คเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพละกำลังอย่างมาก ต้องใช้อย่างน้อย ๆ สี่หรือห้ากำลังคนเพื่อจัดการกับออร์คเพียงตัวเดียว

    พวกมันมีกัน 20 ตัวกับจำนวนทหารเพียง 50 นาย กำลังของพวกเขาในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อสู้กับพวกมันได้

    “เงียบ เงียบ!!”

    ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการเจมส์เองก็แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่เขาก็สามารถรักษาความสงบนิ่งของตัวเองในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังและพยายามสงบสติอารมณ์ของกองทหารอย่างใจเย็น

    จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับคังชอลอินด้วยท่าทีสุขุม

    “นายท่านขอรับ ด้วยจำนวนออร์คที่มากเกินไปเช่นนี้ ข้าว่าวันนี้เราควรจะถอยทัพกันไปเสียก่อนนะขอรับ พรุ่งนี้เราค่อยออกล่าใหม่พร้อมทัพเสริม...”

    “ไม่”

    คังชอลอินตัดคำพูดของเจมส์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “เจ้ากำลังบอกให้ข้าถอยทัพเพียงเพราะออร์คเหล่านี้น่ะรึ?”

    “ต แต่ว่า นายท่าน.... จำนวนทหารของพวกเรา…”

    “ข้ารู้”

    คังชอลกล่าว

    “มันอาจจะทำให้ยืดเยื้อ ไม่สิ มันเป็นการยืดเยื้อเลยต่างหาก หากพูดกันตามหลักเหตุและผลแล้วการจะจัดการกับออร์คกลุ่มนี้อย่างน้อย ๆ เราก็ควรมีพลทหาร 100 นาย”

    “ขอรับ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนายท่านด้วยเช่นกันนะขอรับ”

    “แต่นั่นคือสิ่งที่ผู้นำไร้ความสามารถจะพึงกระทำ … ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง การตัดสินใจของเจ้านั้นถูกต้องแล้ว การจะต่อสู้กับออร์คพวกนั้นได้เจ้าจำเป็นต้องเตรียมกำลังให้พร้อมเพื่อการปราบปรามที่สมบูรณ์”

    คังชอลอินไม่มีเจตนาจะถอยทัพแต่อย่างใด

    “แต่วันนี้เราสามารถเอาชนะได้ อีกทั้งยังมีโอกาสมากที่จะประสบความสำเร็จ หากเจ้าตามการนำของข้า เราก็จะสามารถกำจัดออร์คกลุ่มนั้นทั้งหมดได้โดยไม่มีใครต้องสละชีพแม้แต่คนเดียว”

    “ว วิธีการใดหรือขอรับ?!”

    “ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ประจักษ์แจ้งเอง”

    ขณะนั้นเอง คังชอลอินที่อยู่ตรงจุดกลางของกองทัพก็เผยรัศมีบางอย่างที่ไม่อาจจับต้องได้ครอบคลุมตัวเจมส์และกองกำลัง

    ‘แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับออร์ค’

    รัศมีที่คังชอลอินสร้างขึ้นเป็นทักษะที่ผู้พิชิตราชันย์ทุกคนพึงมี ทักษะ“กระตุ้นขวัญกำลังใจ”

    เนื่องจากตอนนี้ระดับสถานะของเขายังเป็นเพียงแค่ 1 ดังนั้นระยะเวลาของการใช้ทักษะนี้จะอยู่ได้แค่เพียง 10 นาทีเท่านั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วต่อการปราบปรามพวกออร์ค

    “ทุกคนจงฟัง!”

    คังชอลอินคำรามลั่น

    “สัตว์ประหลาดพวกนั้นกำลังพยายามยึดครองประชาชนและทรัพย์สินของพวกเรา!”

    กองกำลังทหารเกิดภาวะสั่นไหวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอิทธิพลดึงดูด

    “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังหวั่นกลัว อย่างไรก็ตาม หากเราล่าถอยไปในครั้งนี้ คนของเราจะต้องตาย เราจะสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรและสัตว์ของเราจนหมดสิ้น และด้วยเหตุนั้น ข้า คังชอลอินจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด! ข้าจะสังหารออร์คและจะปกป้องคนของเรา ทรัพย์สินของพวกเรา!”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความคิดล่าถอยได้หายไปจากใจของกองทหารโดยสิ้นเชิง

    ‘การทำตัวให้เป็นแบบอย่าง’ คือการมีอยู่ของเหตุผล

    “จงร่วมมือกับข้า! เราจะกำจัดพวกออร์คกลุ่มนั้นไปด้วยกัน!”

    คังชอลอินตัดสินใจเพิ่มแรงจูงใจเข้าไปอีกหนึ่งสิ่ง

    “ข้าจะให้รางวัลแก่ทหารที่สามารถสังหารออร์คได้ยอดเยี่ยมที่สุด!”

    ทหารเริ่มร้อนใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้

    “หากพวกเจ้าทำตามคำสั่งของข้า ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครต้องมาสละชีพ! จงเชื่อมั่นในตัวข้า! วางใจในตัวข้า! และอย่าได้สงสัยถึงชัยชนะของพวกเรา!”

    ด้วยคำพูดปลุกขวัญสร้างกำลังใจเหล่านี้ ใบหน้าของกองทหารก็เริ่มเต็มไปด้วยสีหน้ามั่นใจ แน่วแน่ และเด็ดขาด

    เป็นไปตามที่คาดไว้

    กองกำลังทหารกลุ่มนี้มีความเป็นระเบียบวินัยและความกระตือรือร้นอย่างมากเป็นทุนเดิม ดังนั้นการใช้“กระตุ้นขวัญกำลังใจ”ยิ่งทำให้คำสัญญามอบรางวัลและการรับรองชัยชนะของคังชอลอินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เขาอาจพูดเกินจริงไปหน่อยแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ถูกเขียนขึ้นด้วยพื้นฐานจากการพูดเกินจริงกันทั้งนั้น

    “ข้าจะเป็นคนนำทัพ!”

    คังชอลอินชักดาบกลืนโลหิตของตัวเองออกมาและคำราม

    “ทหาร! บุกได้!”

    เมื่อสิ้นคำพูด อาชาขาวของคังชอลอินก็เริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัด กองทหารคุ้มกันลาพิวต้าที่ได้รับขวัญกำลังใจมาเต็มที่ออกวิ่งตามหลังไปอย่างเหี้ยมหาญ

    “โอ๊ย หลังข้าคงจะหักเสียแล้วละมัง โอ๊ย หลังข้า…”

    รัสเซลเลอร์ เกษตรกรที่หยุดพักจากการทำฟาร์มเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังขมวดคิ้วเมื่อเขามองเห็นพายุฝุ่นก่อตัวจากระยะไกล

    “อะไรกันล่ะนั่น?”

    รัสเซลเลอร์หยีตามอง เขากำลังคิดว่าฝุ่นที่เห็นอยู่นี้อาจเป็นพายุฝุ่นที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ เมื่อพายุฝุ่นมาเขาจะเกิดอาการไอเพราะฝุ่นผงที่ปกคลุมตัวจึงพักจากการทำงานและเข้าไปหลบอยู่ในกระท่อมของตัวเอง

    “ห๊ะ? น นั่นมัน…!”

    รัสเซลเลอร์ที่ตั้งใจมองพายุฝุ่นอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องประหลาดใจ

    ไม่ มันไม่ใช่ความประหลาดใจหากแต่เป็นความกลัวที่พุ่งขึ้นมา

    “ออร์ค!”

    ความสิ้นหวังถูกระบายจนเต็มทั่วใบหน้า

    เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

    ถ้าหากมันเป็นพวกก็อบลินหรือสัตว์ประหลาดตัวเล็ก ๆ เขาพอจะมีความสามารถปกป้องตัวเองด้วยเครื่องมือการเกษตรของเขาได้บ้าง แต่กับออร์คมันจะต่างไปโดยสิ้นเชิง ออร์คเพียงตัวเดียวก็สามารถการทำลายเกษตรกรที่นี่กันได้อย่างง่ายดาย

    “หนีเร็ว!”

    เกษตรกรที่กำลังก้มหน้าทำงานหนักเงยหน้าขึ้นมองเนื่องด้วยเสียงกรีดร้องของรัสเซลเลอร์

    “พวกออร์ค! พวกออร์คกำลังมา! ทุกคนรีบหนีเร็วเข้า!”

    ด้วยคำพูดเหล่านั้น ความโกลาหลและความกลัวก็ได้แผ่กระจายไปยังเกษตรกรของลาพิวต้าในทันที

    “เร็วเข้า!”

    “รีบหนีไป!”

    “พวกเจ้าต้องวิ่ง! เดี๋ยวนี้!”

    “ออร์คกำลังมาแล้ว!”

    สำหรับเกษตรกรที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจ ออร์คจะทำลายพวกเขาจนย่อยยับ

    ทันทีที่พวกเขาถูกต้อนให้จนมุม พวกเขาจะถูกโจมตีด้วยอาวุธหรือขวานและถูกจับกินเป็นอาหาร พวกเขาจะตายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องวิ่ง ถ้ายังมีหนทางให้พอวิ่งหนีได้นั่นจะเป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่

    “วิ่งเร็ว ลาน่า!”

    รัสเซลเลอร์ที่กำลังวิ่งหนีตายนึกถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองและเริ่มมองหานางด้วยความกระวนกระวายใจ

    “ลาน่า! ลาน่า!”

    เมื่อครู่นี้ ลาน่าเพิ่งนำอาหารกลางวันมาให้ผู้เป็นพ่อของตัวเองพร้อมกับหญิงสาวชาวบ้านอีกสองคน

    “พ พ่อ!!”

    เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวดังมาจากที่ไกล ๆ ทันใดนั้นความกลัวของรัสเซลเลอร์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขาเริ่มออกวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงของนาง

    “ลาน่า!”

    ในตอนที่เขาพบนาง ลาน่าเกิดข้อเท้าแพลงในขณะวิ่งหนี

    “รีบขึ้นมาที่หลังข้าเร็ว!”

    รัสเซลเลอร์รีบอุ้มนางขึ้นหลังอย่างรวดเร็วเพื่อพานางหนี

    ในขณะเดียว พวกออร์คก็มาถึงฟาร์มใกล้มากขึ้นทุกที

    รัสเซลเลอร์ออกวิ่งอย่างสุดความสามารถด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี

    มิฉะนั้นเขาจะตาย

    และไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่ต้องตาย แต่รวมไปถึงลูกสาวที่น่ารักของเขาที่จะถูกออร์คกลืนกินไปด้วยเช่นกัน หากนางไม่ถูกออร์คจับกิน นางก็จะกลายเป็นทาสทางเพศให้กับออร์คเพื่อให้กำเนินลูกครึ่งออร์คต้องสาปจากนั้นก็จะถูกกินในภายหลัง

    “เฮ้อ… เฮ้อ”

    ด้วยความเหนื่อย รัสเซลเลอร์หอบหายใจทางปาก

    อย่างไรก็ตาม

    เกษตรกรธรรมดา ๆ ไม่อาจเทียบความเร็วกับสัตว์ประหลาดได้ ออร์คมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์มาก อีกทั้งความเร็วของพวกมันก็ยังเร็วมากจนไม่อาจจินตนาการได้

    หืด หาด ...

    พวกออร์คที่เห็นเหยื่ออยู่ต่อหน้าต่อตาโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

    “ไม่นะ ไม่! ไอ้สัตว์ร้าย!”

    รัสเซลเลอร์พยายามวิ่งอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาชีวิตลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่ในที่สุดด้วยความอ่อนแอก็ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น

    “อ่า!”

    เสียงตะโกนร้องดังลั่นพร้อมกับร่างมนุษย์สองคนที่กลิ้งไปตามพื้น

    “อ่าาาาา!”

    ลาน่าล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้

    “ลาน่า!”

    รัสเซลเลอร์ตะโกนชื่อของลูกสาว

    “พ่อ!”

    ลาน่ากำลังจะถูกกระบองเหล็กของออร์คตัวหนึ่งทุบตีที่ศีรษะต่อหน้าต่อตาผู้เป็นพ่อของนาง รัสเซลเลอร์เองก็กำลังจะโดนทำร้ายด้วยเช่นกันแต่เขาเอาแต่จ้องมองนางโดยไม่กังวลถึงชีวิตของตัวเอง

    หืด หาด … หืด หาด ...

    ออร์คที่กำลังตื่นเต้นสูดลมหายใจอย่างเกรี้ยวกราดขณะยกกระบองเหล็กขึ้นเหนือหัวของตัวมันเอง

    “โอ้ ลาน่า ลูกสาวข้า ไม่!…”

    รัสเซลเลอร์จ้องมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนจะหลับตาปิดแน่น

    เขาพยายามไม่เปิดตาของตัวเองเพราะกลัวในสิ่งที่จะได้เห็น

    เขาไม่อยากเห็นจุดจบชีวิตของบุตรสาวที่มีเลือดไหลนองท่วมตัว เขาจะปิดตาของเขาเพื่อสาปส่งพวกสัตว์ประหลาดร้ายและค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับความตายของตัวเองอีกครั้ง

    อย่างไรก็ตาม โชคร้ายที่เขาคาดคิดกลับมาไม่ถึงตัว

    ฟึ่บ!

    รัสเซลเลอร์เปิดตากว้างเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

    “อ่า”

    อัศวินม้าขาวปรากฏกายขึ้นพร้อมประหารหัวออร์คอย่างกล้าแกร่ง

    คอของออร์คพุ่งขาดตัวพร้อมเลือดสดสีแดงที่เปียกโชกอยู่ใต้พื้น แม้จะดูน่ากลัวแต่ก็เป็นภาพที่งดงาม

    ฮี่ ๆ … !

    อาชาขาวส่งร้องเสียงดังก่อนจะเตะออร์คตัวนั้นไปให้พ้นทางด้วยขาหน้า

    “ลุกขึ้นเถิด เด็กน้อย”

    อัศวินที่ช่วยชีวิตนางหันมาพูดกับลาน่า

    “บุตรสาวของเจ้ายังไม่สิ้นชีพ เจ้าเองก็จะได้มีชีวิตอยู่ต่อ ราชันย์ของพวกเจ้าจะช่วยปกป้องพวกเจ้าเอง”

    ตอนนั้นเองที่รัสเซลเลอร์ตระหนักได้ว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นพ้นเหนือขอบฟ้าแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×