ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Story in Reverse (HP/DM)

    ลำดับตอนที่ #9 : Full Circle

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.61K
      170
      18 ม.ค. 59

    ตอนที่ 8: Full Circle

    I Love you. I knew it in the minute I met you. I'm sorry it took so long for me to catch up. I just got stuck. – Silver Lining Playbook (2012)

     

                    น่าประหลาดใจนักที่เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนโลกกำลังจะถล่มอย่างที่กลัว การยอมรับว่าตัวเองรักเดรโกมัลฟอยไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย บางทีการที่ได้รู้ว่ามัลฟอยคือแอสเทอเรียก็ช่วยด้วย เพราะมันทำให้เขาเข้าใจว่าหากตัดความรู้สึกที่เขามีต่อมัลฟอยตั้งแต่ฮอกวอตส์ออกไปแล้ว มัลฟอยก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เขาสามารถตกหลุมรักได้ง่ายๆ

                    มันไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเจ็ดปีในฮอกวอตส์จะไม่มีความหมาย แต่มันเพียงหมายความว่าเขากำลังยอมรับว่าทั้งเขาและมัลฟอยต่างก็โตขึ้นและต่างออกไปจากตอนเด็ก

                    ...ผู้คนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้... และการรู้จักใครนานถึงสิบสองปีก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้จักตัวตนของคนนั้นจริงๆ หากเขาไม่เปิดใจ

     

                    แต่ปัญหาก็คือเขาควรจะทำยังไงต่อไป แน่นอนว่าแฮร์รี่อยากจะเดินไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผมทองเสียตั้งแต่วินาทีที่รู้ความจริง แต่หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ มัลฟอยก็ไม่มีวันบอกเหตุผลในเมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะปิดเขามานานถึงขนาดนี้

     

                    ทางเดียวที่แฮร์รี่เห็นก็คือ เขาต้องสืบด้วยตัวเอง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ความลับของมัลฟอยแล้วหนึ่งอย่าง เขาจะหาทางรู้สิ่งที่เหลือให้ได้

                    และการได้ใกล้ชิดกับมัลฟอยยังเป็นโอกาสที่เขาและมัลฟอยจะได้รู้จักกันจริงๆ บางที...หมอนั้นกับเขาอาจจะไม่ได้คิดต่างกันมากก็ได้ ให้ตายเถอะแฮร์รี่แน่ใจว่าหน้าตาเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ มัลฟอยเองยังเคยอ่อยเขาเลยด้วยซ้ำ (แม้ว่าจะเป็นตอนเมาเละก็เถอะ) นิสัยเขาก็คง...โอเค...อาจจะต้องปรับปรุงหน่อย แต่พวกเขาก็เข้ากันได้นะ...ในแบบของพวกเขา

    .

    .

    .

                    “สวัสดีมัลฟอย” แฮร์รี่ส่งยิ้มทักทายชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาในกระทรวงเวทมนตร์ ข้อดีของการเป็นคนดังก็คือเขาสามารถตีสนิทกับเจ้าหน้าที่กองต่างๆแล้วถามหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่เขาอยากรู้ได้ ซึ่งก็ทำให้เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่มัลฟอยมีนัดที่กระทรวงเวทมนตร์บ้าง

     

                    คนที่โดนทักชะงักไปแต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเดินฉับๆ ต่อไปโดยไม่สนใจเขา “นึกว่านายจะเลิกมาดักรอฉันแล้วซะอีกนะพอตเตอร์” มัลฟอยพูดพร้อมกับปรายหางตามามองเขา

                    “จะมาเทกาแฟใส่ฉันอีกรึไง”

     

                    แฮร์รี่รีบเร่งฝีเท้าให้ทันอีกฝ่าย ทำไมหมอนั้นถึงต้องขายาวแบบนี้ด้วยนะ แต่ก็ดีแล้วที่มัลฟอยพูดเรื่องกาแฟขึ้นมา เขากำลังหมดมุกพอดีว่าจะคุยอะไรดี “วันนั้นฉันผิดเอง ให้ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงนายเป็นการขอโทษนะ”

     

                    ร่างโปร่งกดลิฟต์แล้วหันมามองหน้าเขา “นายก็รู้ว่าฉันพูดอะไรกับนายไม่ได้”

     

                    คำพูดของมัลฟอยทำเอาแฮร์รี่งงไปชั่วขณะว่าอีกฝ่ายหมายความถึงอะไร แต่แล้วเขาก็นึกออก มัลฟอยกำลังพูดถึงแอสเทอเรีย เหตุผลที่มัลฟอยแต่งงานกับแอสเทอเรียที่เขาพยายามเฝ้าถาม

                    โธ่เอ๋ยรู้แล้วหล่ะพ่อคุณว่าไม่ยอมพูดดีๆแน่ เขาถึงต้องมาทำอย่างนี้ยังไงล่ะ

                    “มัลฟอย ฉันจะไม่ถามอีกแล้วล่ะถ้านายไม่อยากบอก ฉันไม่พูดถึงแอสเทอเรีย ไม่พูดถึงเรื่องงานแต่งงาน ฉันก็แค่...อยากขอโทษนายที่ทำมารยาทแย่ๆใส่วันนั้น แล้วก็...” แฮร์รี่กัดริมฝีปากตัวเอง

                    “แล้วก็ฉันอยากจะกินข้าวกับนายด้วย” พูดจบเขาก็รู้สึกว่าหูเขาร้อนผ่าว

     

                    มัลฟอยมองเขานิ่ง “นายมีแผนอะไรพอตเตอร์”

     

                    แฮร์รี่ทำหน้าเซ็ง ให้ตายสิทำไมหมอนั้นถึงได้มีเลือดสลิธีรินเต็มเปี่ยมขนาดนี้ด้วยนะ จะคิดง่ายๆว่าเขาอยากเลี้ยงข้าวไม่ได้รึไงนะ ถึงแม้ว่าเขาจะมีแผนจริงๆก็เถอะ!

                    ชายหนุ่มต้องบังคับให้ตัวเองคิดแบบสลิธีริน เวลาแบบนี้ควรตอบไปยังไงดีไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย

                    “เปล่า ฉันอยากขอโทษจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วด้วยฉันก็แค่อยากจะถามว่านายเป็นยังไงบ้าง เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอมัลฟอย นายไม่อยากคุยกับเพื่อนเหรอมัลฟอย” แฮร์รี่พูดเสียงดังในตอนท้าย ทำให้คนอื่นๆที่กำลังรอลิฟท์หันมามองพวกเขาทั้งคู่ พร้อมเริ่มซุบซิบกัน ชายหนุ่มแอบกลั้นยิ้ม จะมีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับแฮร์รี่ พอตเตอร์กลางกระทรวงเวทมนตร์แบบนี้ด้วยเหรอ

     

                    มัลฟอยมองเขาอย่างแค้นๆพร้อมกับกอดอก “ใช่พอตเตอร์นายเป็นเพื่อน ตกลงเจอกันที่โรงอาหารกระทรวงนะฉันมีนัดต่อต้องรีบ”

     

                    “ได้เลย” แฮร์รี่พูดพร้อมกับลิฟท์เคลื่อนมาถึงพอดิบพอดี เขาเบียดตัวเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับมัลฟอยและเจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์อีกเป็นสิบ ปกติเขามักจะหงุดหงิดกับลิฟท์ที่แน่นขนาดนี้ทุกเช้า แต่วันนี้คงเป็นเพราะความแน่นของลิฟท์ที่เป็นใจให้เขาได้ใกล้ใครบางคนซะเหลือเกินทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด

     

                    “ขยับออกไปเลยพอตเตอร์ ฉันไม่ไว้ใจให้นายเข้ามาใกล้เสื้อผ้าฉันอีกแล้ว” มัลฟอยพูดเสียงเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน

     

                    “แสดงว่าถ้าเข้าใกล้นายโดยไม่มีเสื้อผ้าได้อะดิ” แฮร์รี่ถามกลับอย่างอดไม่ได้ และท่าทางสะอึกของคนที่โดนสวนกลับก็ทำให้แฮร์รี่หัวเราะออกมาเบาๆ

     

                    หลังจากนั้นมัลฟอยก็เงียบแต่ยังมองเขาตาเขียว จนถึงชั้น 5 นั้นแหละมัลฟอยถึงขอตัวเดินออกไป เขารู้ว่าวันนี้ชายหนุ่มมีนัดกับสภามาตรฐานการค้าเวทมนตร์ระหว่างประเทศเพื่อคุยเรื่องการนำเข้าหนังมังกรจากโรมาเนีย ดูเหมือนว่ามัลฟอยจะชนะการประมูลและเป็นผู้จัดส่งวิสกี้ให้กับการแข่งม้าบินอแบรกเซียแล้ว คิดแล้วแฮร์รี่ก็ยิ่งชื่นชมร่างโปร่ง มัลฟอยทำงานหนักมากจริงๆเพื่อดูแลบริษัทของตระกูลมัลฟอยทั้งหมด ทั้งๆที่หมอนั้นจะนั่งกินนอนกินไม่ทำงานทำการก็ได้ ทองที่ตระกูลมัลฟอยมีนั้นเหลือเฟือพอจะใช้ไปได้อีกสิบชาติเลยด้วยซ้ำ แล้วการที่มัลฟอยเลือกทำงานก็เท่ากับเอาตัวเองเข้าไปให้กลุ่มคนที่เกลียดประณาม แต่ตลอดห้าปีสิ่งที่ชายหนุ่มทำก็คือแค่ปิดปาก เชิดหน้าสูง แล้วทำหน้าที่ในฐานะประธานบริษัทให้ดีที่สุดเท่านั้น

                    จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครปฏิเสธการทำธุรกิจกับตระกูลมัลฟอยได้อีกแล้ว พวกเขาได้ชื่อว่าตรงไปตรงมาและสุจริต ต่างจากสมัยก่อนลิบลับ

     

                    เมื่อลิฟท์มาหยุดที่ชั้นสองแฮร์รี่ก็ก้าวออกไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนหน้า เขารอให้ถึงตอนเที่ยงแทบไม่ไหวแล้ว

     

                    “สายแล้ว สายแล้ว” ชายหนุ่มพึมพำขณะก้าวแทรกเจ้าหน้าที่กระทรวงคนอื่นเข้าไปในโรงอาหาร เขายุ่งกับการเขียนรายงานและวางแผนว่าจะต้องเก็บหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเพื่อจะส่งฟ้องคดีที่เจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์รับเงินใต้โต๊ะจากร้านที่ขายไม้กายสิทธิ์ให้กับพ่อมดฝ่ายมืด

                    หวังว่ามัลฟอยจะยังไม่หนีไปไหนนะ แต่แล้วเขาก็ต้องหายใจสะดวกทันทีที่เห็นชายหนุ่มผมทอง มัลฟอยดูหงุดหงิดไม่น้อยแต่ก็ยังรอเขาอยู่

                    “ขอโทษทีนะที่มาช้า”

     

                    มัลฟอยกลอกตาแล้วพึมพำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับลืมสอนมารยาทเรื่องเวลาให้เขา ทำให้แฮร์รี่แอบยิ้มแล้วเดินตามอีกคน เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าคนที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชเขาเรื่องมารยาทมาตลอดสองสัปดาห์ก็คือชายหนุ่มขายาวตรงหน้าเขานี้แหละ เขารีบเดินไปสั่งอาหารแล้วพามัลฟอยมานั่ง มัลฟอยสั่งสลัดอีกเช่นเคย เมื่อเขาถามว่าทำไม หมอนั้นก็ตอบเขาสั้นๆว่ามันกินง่ายและไม่หกเลอะเทอะ แถมยังเป็นอย่างเดียวที่รสชาติไม่ห่วยแตกของที่นี่ คำตอบของมัลฟอยทำให้เขาต้องหัวเราะแล้วส่ายหน้า มันช่างเป็นคำตอบที่เป็นมัลฟอย

                    “นายนั้นแหละ ทานที่นี่ได้ยังไงทุกวี่ทุกวัน” มัลฟอยทำหน้าเซ็งๆ แล้วใช้ส้อมแทงสลัดเหมือนมันทำอะไรผิดมหันต์

     

                    “ก็ไม่ได้ทุกวันนะ ช่วงนี้ฉันก็ไม่ค่อยมาทานที่นี่ ฉันไม่ชอบมาทานคนเดียวน่ะ” แฮร์รี่พูดแล้วส่งยิ้มให้คนที่นั่งตรงข้าม แต่แทนที่จะหน้าแดงเหมือนที่เขาคาดมัลฟอยกลับเลิกคิ้วส่งกลับมาหาเขาแทน

     

                    “ปกติคนพูดแบบนั้นต้องเป็นหนุ่มฮอตที่มีสาวๆมานั่งกินข้าวด้วยทุกวันไม่ใช่เหรอพอตเตอร์ คนอย่างนายที่ทานข้าวกับวีสลีย์ทุกวี่ทุกวันกล้าพูดอะไรแบบนั้นด้วยรึไง”

     

                    แฮร์รี่ถอนหายใจออกอย่างเซ็งๆ ไม่ใช่กับรอนคนเดียวซะหน่อย หมอนั้นลืมไปแล้วรึไงว่ามีช่วงนึงที่กินข้าวเที่ยงกับเขาที่กระทรวงบ่อยๆแบบนี้

                    “ฉันหมายถึงนายต่างหาก” แฮร์รี่บ่นเบาๆแล้วก็จิ้มผักเข้าปากบ้าง

     

                    “อะไรนะ” มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมาถาม

     

                    “ฉัน...” แฮร์รี่สบตาอีกคนแล้วสูดหายใจลึก เขาเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าปัญหาคือเขากับมัลฟอยไม่มีใครพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ถ้าอยากจะเปลี่ยนเขาก็ต้องเลิกปากไม่ตรงกับใจแบบนี้

                    “ฉันไม่ได้มาทานที่นี่เป็นสัปดาห์แล้ว เพราะฉันไม่อยากนั่งกินคนเดียวโดยไม่มีนาย” แฮร์รี่พูดออกมาจากใจจริง เขาหลีกเลี่ยงโรงอาหารเพราะมันเป็นความทรงจำระหว่างเขากับมัลฟอย

                    “ฉันดีใจนะที่วันนี้นายตกลงถึงฉันจะต้องหลอกล่อก็เถอะ”

     

                    มัลฟอยเงียบไปนาน ตาสีเทานั้นมีแววอะไรบางอย่างแต่ก่อนที่เขาจะได้มองมันชัดๆ เจ้าของสายตาคู่นั้นก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง แต่ถึงก้มอย่างนั้นเขาก็แน่ใจว่าแก้มของมัลฟอยมีสีเข้มขึ้น

                    “นึกว่านายไม่อยากเจอหน้าฉันแล้วซะอีก นึกว่ายังโกรธเรื่องแต่งงาน” มัลฟอยพูดเบาๆ โดยไม่มองหน้าเขา

     

                    แฮร์รี่อยากจะเชยคางคนตรงหน้าให้เงยหน้ามองเขา แล้วบอกว่านั้นเป็นเพราะเขาเข้าใจผิดมหันต์ และมันก่อนที่เขาจะรู้ใจตัวเองอีกด้วย เขายังคงโกรธเรื่องแต่งงานอยู่แต่มันเป็นเพราะคนตรงหน้าจะแต่งงานโดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเอง เขาแน่ใจว่ามัลฟอยรู้ว่าคนที่เขารักไม่ใช่แอสเทอเรีย กรีนกราสตัวจริง แต่เป็นตัวเองนั้นแหละที่ปลอมเป็นแอสเทอเรีย

                    ...และที่เขาทำทุกอย่างตอนนี้เพราะเขาอยากได้คำตอบคืนกลับมาว่ามัลฟอยรู้สึกอย่างไรกับเขา

                    “ช่างเรื่องแต่งงานเถอะ ฉันชอบใช้เวลากับนาย เราลืมเรื่องพวกนั้นแล้วกลับมาเป็น...เพื่อน...เหมือนก่อนหน้าได้ไหม” แฮร์รี่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาใช้คำว่าเพื่อนนี้มันถูกรึเปล่า ก่อนหน้านี้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นก็จริง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าทั้งเขาและมัลฟอยเรียกว่าเพื่อนกันได้รึเปล่า

                    “หรืออย่างน้อยๆให้โอกาสฉันได้เป็นเพื่อนนายนะ”

     

                    มัลฟอยวางส้อมแล้วกอดอกมองหน้าเขานิ่ง “พอตเตอร์ ตอนที่พวกเราติดกันในกระท่อมนายบอกว่านายไม่เข้าใจฉันไม่ใช่รึไง นายหงุดหงิดที่ฉันไม่เคยบอกอะไรนายเลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ--“

     

                    “แล้วฉันก็ยังบอกว่าฉันไม่อยากให้นายตาย­ แล้ว...แล้วตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่” แฮร์รี่พูดขัด ให้ตายสิทำไมมัลฟอยต้องจำทุกคำของเขาได้นะ

     

                    “นายยังเคยพูดว่าฉันไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก แล้วก็เป็นงูพิษ” มัลฟอยพูดต่อเบาๆ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่แฮร์รี่ก็รู้สึกถึงความน้อยใจผ่านน้ำเสียงของอีกคนได้ชัดเจน เขาอยากจะด่าตัวเองเสียจริงๆที่ปล่อยให้ตอนนั้นตัวเองโกรธจนหน้ามืดแล้วพูดจาร้ายกาจออกไป

     

                    “ฟังนะมัลฟอยฉันขอโทษนะ เราลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเริ่มใหม่ได้ไหม ฉัน...คิดถึงนายนะ”

     

                    คนนั่งตรงข้ามเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วกลอกตาใส่เขา “พระเจ้าพอตเตอร์ ก็ได้ๆ ฉันเองก็รู้ตัวว่าฉันก็ไม่ได้ทำดีกับนายนักหรอกที่ผ่านมา เราเสมอกันแล้วน่า”

                    

                    แฮร์รี่ยิ้ม ถ้ามัลฟอยเล่นกัดเขาตอบแบบนี้ได้แสดงว่าหมอนี้คงหายโกรธเขาแล้ว เขารู้ว่าสำหรับพวกเขาสองคนมันคงเป็นแบบนี้แหละ มัลฟอยจะจิกกัดเขาเสมอ ส่วนเขาก็จะสวนกลับไม่ต่างกัน แต่นั้นก็คือมิตรภาพเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเบื้องหลังคำพูดพวกนั้นไม่ได้มีความหมายร้ายกาจอะไร จากมุมมองของคนนอกพวกเขาอาจจะดูเหมือนคู่กัด แต่สำหรับพวกเขามันไม่ใช่

                    ...เขาแน่ใจว่ามัลฟอยคิดอย่างนั้นเช่นกัน

                    ตอนนี้ที่มัลฟอยเริ่มเปิดใจกับเขานี้แหละเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้รู้อะไรมากขึ้น

                    “มัลฟอยเรื่องเตรียมงานแต่งไปถึงไหนแล้วล่ะ” แฮร์รี่ถามเรียบๆ

     

                    มัลฟอยขมวดคิ้วมองหน้าเขาเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “นายโอเคกับที่ฉันจะแต่งงานกับแอสเทอเรียแล้วเหรอ”

     

                    ไม่เลยต่างหาก ชายหนุ่มตะโกนตอบในใจ แต่เขากลับพูดตรงกันข้ามกับที่ใจคิดอย่างสิ้นเชิง

                    “ฉันรู้แล้วว่าเรื่องของฉันกับแอสเทอเรียเป็นไปไม่ได้ ฉันจะเลิกคิดแล้วล่ะ”

     

                    “เรื่องเตรียมงานแต่งไม่มีปัญหาหรอก มันเป็นงานเล็กๆ ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็เหลืออีกสองสัปดาห์กว่าๆเองนี้นะ วันเสาร์นี้ฉันต้องไปลองชุดแล้ว”

     

                    แฮร์รี่รู้สึกเหมือนเขากำลังหายใจไม่ออก เขารู้ว่างานแต่งมันใกล้ แต่มันใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ ให้ตายสินี้เขาต้องทั้งสืบหาความจริงและทำให้มัลฟอยตกหลุมรักเขาให้ได้ในเวลาแค่สองสัปดาห์กว่าๆ

                    “ให้ฉันไปด้วยนะ” แฮร์รี่พูดออกมาก่อนที่จะได้คิด เพราะสิ่งเดียวในสมองของเขาก็คือเขาต้องใช้เวลากับมัลฟอยให้ได้มากที่สุด

     

                    “ไปลองชุดแต่งงานของฉันเนี้ยนะพอตเตอร์” มัลฟอยถามเสียงสูงอย่างประหลาดใจ

     

                    “เอ่อ...เอ่อ...คือฉันก็ต้องตัดชุดใหม่เหมือนกัน แล้วฉันเชื่อว่าร้านที่นายเลือกต้องดีแน่ๆเลยก็เลยขอไปด้วยไง นายจะได้แนะนำฉันด้วยว่าชุดแบบไหนดี” แฮร์รี่โกหกเป็นไฟ

     

                    มัลฟอยวางส้อมลง “เอ่อ ก็ได้ เดี๋ยวฉันส่งจดหมายมาบอกที่อยู่กับเวลาให้ แล้วก็ขอบคุณสำหรับอาหารเที่ยงพอตเตอร์ แต่ฉันมีนัดต่อ ลาก่อน” พูดจบร่างโปร่งก็คว้าเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป แฮร์รี่อยากจะเดินตามใจแทบขาด แต่เขาเองก็งานยุ่งรัดตัวตลอดบ่ายเหมือนกัน

     

     

                    เสียงเคาะประตูห้องทำให้เจ้าของห้องทำงานเงยหน้าขึ้นมาจากรายงานหลักฐานที่ชายหนุ่มกำลังอ่าน ประตูของห้องทำงานเขาเปิดออกโดยไม่ต้องรอคำเชิญ และคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้ก็มีแค่เพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น

                    “มีอะไรรอน” แฮร์รี่ถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เข้ามาในห้องแล้วโบกไม้กายสิทธิ์ล็อคประตู

     

                    “นายสั่งให้คอลีนสะกดรอยตามมัลฟอยเหรอ บอกเธอว่าเป็นการฝึกภาคปฏิบัติ” คอลีนเป็นมือปราบมารฝึกหัดที่เขาตกลงช่วยเป็นผู้ดูแลเธอระหว่างที่เธอมาฝึกงานที่แผนกเขา รอนพูดพร้อมกับหรี่ตามองเขา “ฉันรอให้นายปฏิเสธอยู่นะเพื่อน”

     

                    แฮร์รี่วางปากกาลงแล้วถอนหายใจ ไหงเขาถึงโดนจับได้ง่ายๆน้า แล้วนั้นก็เป็นการฝึกจริงๆ คอลีนควรสะกดรอยแล้วมารายงานเขาว่าวันๆนึงมัลฟอยทำอะไรบ้างและมีแผนไปไหนบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับคดีที่เขาทำอยู่เลยก็เถอะ

     

                    “นี้นายกลับมาหมกมุ่นกับมัลฟอยอีกแล้วเหรอพวก” รอนลากเก้าอี้แล้วนั่งลง มือควานหาคุกกี้ในโถคุกกี้บนโต๊ะเขา “นึกว่านายเลิกไปแล้วซะอีก คราวนี้สงสัยอะไรหมอนั้นอีกล่ะ”

     

                    “เปล่าน่ะสิ ฉันแค่ให้คอลีนฝึกติดตามผู้ต้องสงสัย แล้วมัลฟอยก็เป็นเป้าหมายที่ดี เขาทำงานเป็นผู้บริหารซึ่งเหมือนกับผู้ต้องสงสัยส่วนใหญ่ของแผนกนี้ และเขาก็ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยจริงๆ ใครจะไปกล้าส่งเด็กฝึกหัดให้ไปตามคนร้ายจริงๆเล่า” แฮร์รี่อธิบาย แต่รอนก็ไม่ผิดซะทีเดียวเพราะเขากลับมาหมกมุ่นกับมัลฟอยจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่เพราะมัลฟอยทำอะไรผิดเลย

                    “ที่จริงฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับนายกับเฮอร์ไมโอนี่พอดีเลย” แฮร์รี่เปิดปากพูดออกมา ตั้งแต่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เขาก็ยังไม่ได้ปรึกษากับใครเลย บางทีการได้พูดกับเพื่อนสนิททั้งคู่อาจจะทำให้เขามีไอเดียอะไรก็ได้ คนที่ทำให้เขารู้ตัวว่ามัลฟอยปลอมตัวก็คือรอนนี้แหละ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ก็เถอะ

                    “ว่างมาเจอกันหน่อยไหม”

     

                    รอนหยุดเคี้ยวแล้วทำหน้าคิดหนัก “ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์น่ะได้ ไม่มีปัญหาหรอก ที่จริงถ้าฉันคนเดียวได้ทุกวันอยู่แล้วพวก แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ว่างสักวัน กว่าเธอจะกลับบ้านก็สี่ห้าทุ่มทุกวันแล้ว” รอนกับเฮอร์ไมโอนี่ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว แฮร์รี่เองก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่เพื่อนสนิททั้งคู่จะแต่งงานกันเสียที 

     

                    “ดีงั้นอาทิตย์บ่ายละกัน ฉันจะไปหาพวกนายที่บ้านนะ” เขามีนัดกับมัลฟอยแล้ววันเสาร์นี้ เพื่อไปดูชุดแต่งงานนั้นแหละ

     

                    “เออๆ แล้วเรื่องคอลีนน่ะอย่าให้โรบาดส์รู้ก็แล้วกัน” รอนเตือนก่อนจะเดินกลับออกไป ถึงรอนไม่เตือนเขาก็ไม่มีวันให้เจ้านายรู้อยู่แล้วล่ะ เพราะโรบาดส์ต้องซักเขายกใหญ่แน่นอน และเขาไม่คิดว่าการยอมรับว่าเขาใช้เด็กฝึกงานให้ไปตามคนที่เขาแอบชอบนี้จะถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของมือปราบมารหรอกนะ (ถึงเขาจะยืนยันว่าคอลีนได้ฝึกจริงๆก็เถอะ!)

     

    #########

                     

                    เดรโกนั่งบนโซฟามองเสื้อคลุมยาวแบบทางการสีขาวที่อยู่หน้าห้องแต่งตัวอย่างชั่งใจ ...ชุดแต่งงานของเขา...

                    เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ทำให้เขาชักสงสัยการตัดสินใจของตัวเองที่จะแต่งงานเสียแล้ว นอกจากความตั้งใจที่จะลืมพอตเตอร์จะล้มไม่เป็นท่าเพราะคนที่เขาอยากลืมดันโผล่หน้ามาทุกที่ที่เขาไป จนทำให้เขาสงสัยว่าไอ้หมอนี้มันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาได้ยังไง อย่างวันศุกร์ทันทีที่เขานั่งลงที่ร้านอาหารโปรดเพื่อจะทานอาหารเย็น พอตเตอร์ก็โผล่มาในห้านาทีแล้วทำสีหน้าประหลาดใจซะเหลือเกินที่เจอเขา แล้วบอกว่าบังเอิญเสียจริงๆก่อนจะอัญเชิญตัวเองมาทานข้าวกับเขา แต่มันชักเกิดขึ้นบ่อยเสียจนเขาไม่แน่ใจว่ามันบังเอิญจริงๆหรือเปล่า

                    นอกจากนั้นพอตเตอร์ก็ยังทำดีกับเขาเสียจนเดรโกไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าความโกรธเคืองอะไรที่เคยมีมันหายไปเสียหมด แถมหมอนั้นก็ไม่เปิดปากถามเกี่ยวกับแอสเทอเรียอีกเลย ไม่สักครั้งเดียว มีแต่คุยเรื่องเขา...ไม่สิพวกเขาคุยกันทุกเรื่องเลย ยกเว้นเรื่องแอสเทอเรีย  

                    แล้วยังเรื่องวันนี้...พวกเขาควรจะแค่ไปดูชุดแต่งงานของเขาด้วยกัน...แต่ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนเป็นเดทยังไงยังงั้นเลยนะ เริ่มจากพอตเตอร์มาก่อนเวลาแล้วรอเขาพร้อมกับชาร้อนและพายฟักทอง ก่อนจะชวนเขาเดินชมเมืองตอนเช้าก่อนจะเข้าไปในร้าน สุดท้ายพวกเขาก็นั่งคุยกันที่สวนสาธารณะจนสายนั้นแหละทั้งคู่ถึงได้ไปที่ร้านตัดเสื้อ พวกเขาใช้เวลาไม่นานในร้านนั้น พอตเตอร์ดูไม่ได้เห็นอยากจะตัดชุดใหม่เหมือนที่บอกเลย แถมหมอนั้นยังทำหน้าเซ็งเมื่อเห็นเสื้อคลุมแต่งงานของเขาอีกด้วย และแทนที่หลังออกจากร้านตัดเสื้อพอตเตอร์จะแยกย้ายไป แต่หมอนั้นกลับชวนเขาไปทานอาหารเที่ยงต่อ พวกเขาใช้อยู่ด้วยกันจนบ่ายแก่ๆเขาถึงต้องขอตัวเพราะมีนัดทานอาหารเย็นกับที่บ้าน

                    มันจะเป็นไปได้ไหมนะที่พอตเตอร์จะชอบเขา เดรโกถามตัวเอง แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไหนมันก็บีบหัวใจเขาทั้งนั้น

                    แต่ถ้าพอตเตอร์ชอบเขา งานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นก็คือสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น เขาทิ้งโอกาสที่จะได้มีความรักจริงๆสักครั้งในชีวิตเพื่อเพื่อนและเพื่อครอบครัว เขาเองก็อยากจะทำตัวเห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่เขารู้ว่าถึงสุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ใจตรงกัน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แอสเทอเรียเป็นเพื่อนเป็นน้องสาวเป็นเหมือนครอบครัวเขาคนนึงเลยนะ แล้วยังพ่อเขาอีก เดรโกไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเขาบอกความจริงกับพ่อไปว่าเขาไม่อยากแต่งงาน เขาชอบผู้ชาย และผู้ชายคนที่ว่าก็คือพอตเตอร์อะไรจะเกิดขึ้น

                    ทำไมสิ่งดีๆ มันต้องเกิดตอนเวลาที่แย่ที่สุดด้วยนะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาอาจจะไม่ลังเลใจมากนัก เพราะมันเป็นเรื่องของเขากับครอบครัวมัลฟอยอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับแอสเทอเรีย หรือถ้าเกิดขึ้นหลังหญิงสาวแต่งงานกับเขาแล้วบางทีพวกเขาอาจจะตกลงหย่ากันโดยไม่มีใครต้องเสียชื่ออะไร แอสเทอเรียได้แบ่งสมบัติ ส่วนเขาก็ได้คนสืบทอดตระกูล แต่มันดันเกิดขึ้นตอนนี้น่ะสิ แล้วเขารู้ดีว่าคนอย่างพอตเตอร์จะไม่รอให้เขาเลือกแต่งงานกับแอสเทอเรียและคบกับเขาอย่างหลบๆซ่อนๆแน่นอน

                    เขาไม่มีทางเลือกเลยนอกจากทำตามแผนแล้วคิดเสียว่าพอตเตอร์ไม่ชอบเขา

    .

    .

    .

                    “ลูกเป็นอะไรรึเปล่าจ้ะ” มารดาของเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะพวกเขาทั้งคู่มานั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดด้วยกัน

                    “แม่เห็นลูกเหม่อๆตั้งแต่ตอนที่กินข้าวแล้ว แต่ไม่อยากทักต่อหน้าพ่อเค้าน่ะ”

     

                    เดรโกหันไปมองนาร์ซิสซา เขาไม่เคยสามารถซ่อนอะไรจากมารดาของตัวเองได้เลย แม่จะรู้ทุกอย่างที่เขาคิดเสมอ ดังนั้นเดรโกจึงเลือกที่จะไม่โกหกเธอ

                    “ผม...ผมคิดเรื่องงานแต่งครับ”

     

                    มือเรียวของนาร์ซิสซาเอื้อมมาบีบมือเขาไว้เบาๆ “แม่คิดไว้อยู่แล้วว่าลูกจะต้องเสียใจที่ตัดสินใจแต่งกับหนูแอสเทอเรีย”

                    “ลูกไม่อยากแต่งงานใช่ไหม”

     

                    เดรโกพยักหน้า “แต่มันไม่เกี่ยวกับผมคนเดียวซะหน่อย” ชายหนุ่มแย้งออกมา

     

                    “ลูกหมายถึงพ่อหรือจ้ะ”

     

                    เดรโกพยักหน้าอีกครั้ง “พ่อเขาคงผิดหวังในตัวผมมากสินะครับถ้าผม...ผมไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนเลย”

     

                    แม่ของเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วบีบมือเขาอีกครั้งอย่างให้กำลังใจ “แน่นอน เพราะพ่อเขาอยากให้ลูกมีความสุขยังไงล่ะ แล้วสำหรับพ่อเขาแล้วการที่มีครอบครัว มีลูก มีคนรักนั้นคือความสุขของเขานะ”

     

                    เดรโกหันไปสบตาแม่ “แต่ผม...” 

     

                    “แม่รู้จ้ะ แม่รู้...แม่รอให้ลูกพูดออกมาเอง ที่ลูกไม่ยอมพูดออกมาเพราะลูกกลัวพ่อเหรอจ้ะ” แม่เขาพูดขัดก่อนที่เขาจะได้โอกาสพูดต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา ใช่เขาไม่อยากให้พ่อผิดหวัง เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่พูดต่อนาร์ซิสซาก็พูดขึ้นอีกครั้ง

                    “พ่อรักลูกมากนะจ้ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อไม่มีวันเปลี่ยนไปหรอกลูกก็รู้นี้”

     

                    “ผมรู้ครับ...แต่ผมไม่อยากทำให้พ่อผิดหวังอีกแล้ว” เดรโกสารภาพออกมา

     

                    “โธ่ลูกจ๋า ทำไมลูกถึงคิดว่าถ้าลูกเป็นเกย์แล้วพ่อจะผิดหวังล่ะจ้ะ”

     

                    “ก็...ก็หมายความว่าสายเลือดของเราจะต้องจบลงที่ผม” เดรโกไม่กล้าสบตากับนาร์ซิสซา เขามองมือของหล่อนที่กุมมือเขาเอาไว้แทน

     

                    “เดรโกเงยหน้ามองแม่” นาร์ซิสซาพูดสั่งเสียงเข้ม ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากเงยหน้าขึ้น

                    “ถ้าลูกคิดว่าพ่อรักตระกูลมัลฟอยมากกว่าตัวลูก ลูกเข้าใจผิดแล้ว สายเลือดหรืออะไรไม่สำคัญเท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าเรานะ คำว่ามัลฟอยของพ่อก็คือคนที่อยู่ตอนนี้ ไม่ใช่คนในอดีตหรือคนในอนาคต”

                    “แล้วลูกคิดว่าแม่จะยอมอยู่กับผู้ชายที่ไม่ยผมรับลูกของแม่โดยไม่มีเงื่อนไขได้เหรอจ้ะ เดรโก...พ่อจะไม่ผิดหวังถ้าพ่อรู้ว่าลูกได้เลือกทำอะไรที่ลูกมีความสุข พ่ออยากให้ลูกแต่งงานกับหนูแอสเทอเรียเพราะพ่อเขาเชื่อจริงๆว่าลูกรักแอสเทอเรีย แต่ใจของลูกรู้ใช่ไหมว่าใครคือคนที่จะทำให้ลูกมีความสุข”

     

                    เดรโกกัดริมฝีปากตัวเอง เขาพยายามกลั้นน้ำตาแต่ตาเขาก็พร่าอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าเพียงแต่ถ้าเขามีความกล้าแล้วพูดมันออกไปก่อนหน้านี้ เขาคงได้รู้ว่าทั้งพ่อและแม่รักเขามากขนาดไหน

     

    ########

     

                    วันอาทิตย์มาถึงเร็วกว่าที่แฮร์รี่คิด ที่จริงเขาอยากให้วันเสาร์ยาวนานไม่รู้จบด้วยซ้ำ เขาสนุกกับการได้ออกไปเที่ยวกับมัลฟอยจริงๆ เมื่อไม่ได้พยายามหาเรื่องทะเลาะเขาก็ได้รู้ว่ามัลฟอยเป็นคู่สนทนาที่สนุกแค่ไหน แน่นอนว่าพวกเขามีความเห็นที่ไม่ตรงกับ แต่มันก็สนุกดีไม่ใช่หรือที่ได้โต้เถียงกัน ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันเสียจนแฮร์รี่ประหลาดใจว่าเขาลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ยังไง พวกเขามีงานอดิเรกแบบเดียวกัน พวกเขาพยายามสร้างชีวิตหลังสงครามโดยพยายามลืมบาดแผลที่เกิดขึ้น และพวกเขารักคนรอบๆตัวไม่ต่างกัน

                    เขาลืมความตั้งใจเดิมที่จะค่อยๆถามเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งงานของมัลฟอยเสียสนิท หรือแม้แต่พยายามจะทำให้มัลฟอยหันมาหลงรักเขา เขาแค่สนุกกับการได้ใช้เวลากับมัลฟอย เขาเคยคิดว่าเขาชอบมัลฟอยตอนเป็นแอสเทอเรีย แต่เมื่อได้มาอยู่ใกล้ตัวจริงเขาก็รู้ตัวว่าเขารักมัลฟอยที่เป็นตัวของตัวเองแค่ไหน

                    ...หรือบางทีเขาอาจจะขุดหลุมฝังศพของตัวเองก็ได้กับการทำแบบนี้...เพราะเขาไม่ใกล้เป้าหมายที่ตั้งใจเลยสักนิด มีแต่ตัวเขาเองที่นานวันจะตกหลุมรักเดรโก มัลฟอยจนแทบไม่อยากคิดว่าจะทนเห็นชายหนุ่มเป็นของคนอื่นได้ยังไง

    .

    .

    .

                    หลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ทั้งรอนและเฮอร์ไมโอนี่ฟังอย่างหมดเปลือก แฮร์รี่ก็มองหน้าเพื่อนสนิททั้งคู่ที่ตอนนี้ดูเหมือนยังช๊อคพูดอะไรกันไม่ออก รอนนั้นอ้าปากค้างตั้งแต่ตอนที่เขาพูดประโยคแรกว่าเขาคิดว่าเขาหลงรักเดรโก มัลฟอยแล้ว อย่างน้อยๆชายหนุ่มผมแดงก็ไม่ได้พยายามลากเขาไปตรวจยาเสน่ห์หลังจากที่เขาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง หรืออาจจะเป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ที่ตอนนี้จับแขนแฟนหนุ่มเอาไว้แน่นจนรอนลุกไปไหนไม่ได้ก็เป็นได้ ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ก็เอาแต่มองเขาเหมือนเขาเป็นโจทย์ที่เธออ่านไม่ออก หน้าตาเธอเหมือนทุกครั้งที่เห็นคาถายากๆเป็นครั้งแรก

                    “เอ่อ พวกนายไม่มีอะไรจะพูดเลยเหรอ” แฮร์รี่กระแอมถาม

     

                    “มีสิ มีเยอะด้วย—“ รอนเปิดปากพูด แต่เขาก็โดนเฮอร์ไมโอนี่ส่งเสียงชู่ให้เงียบลงเสียก่อน

     

                    “เงียบสิรอนฉันกำลังคิดอยู่”

     

                    “มาคิดอะไรตอนนี้ ตอนนี้ต้องเมาแล้ว ให้ตายสิไมโอนี่ แฮร์รี่มันไปรักไอ้เฟอร์เร็ตนะ แถมยังไม่ได้โดนยาเสน่ห์อีกด้วย แต่เป็นอย่างเต็มใจ ฉันไม่อยากมีสติเต็มร้อยตอนที่คิดเรื่องนี้เลย” รอนพูดบ่นเป็นชุด

     

                    “ยังกับว่านายไม่รู้อย่างนั้นแหละว่าแฮร์รี่ชอบมัลฟอย” หญิงสาวพูดพร้อมกลอกตา ทำให้คนที่ถูกอ้างถึงอย่างแฮร์รี่ต้องอ้าปากค้างบ้าง เขาเองยังเพิ่งรู้ตัวเลย!

     

                    “จะไปรู้ได้ยังไงเล่า! แล้วนี้เรากำลังพูดถึงมัลฟอยที่ทำให้ชีวิตเราสามคนทุกข์ทนตลอดหกปีที่ฮอกวอตส์นะ เธอลืมไปแล้วรึไง” รอนถามกลับ ซึ่งแฮร์รี่ก็อดพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่ได้

     

                    “โอ๊ย แฮร์รี่น่ะอะไรๆก็มัลฟอย ตั้งแต่เด็กยันโต แถมมัลฟอยยังสเป็คแฮร์รี่อีก แล้วฉันทำงานกับเขาตั้งหลายครั้ง เขาก็ดีขึ้นกว่าตอนฮอกวอตส์ตั้งเยอะ ไม่แปลกใจเลยถ้าแฮร์รี่จะตกหลุมรักเขาตอนนี้” เฮอร์ไมโอนี่อธิบาย แต่สีหน้าของเธอยังเหมือนกำลังครุ่นคิด

     

                    “ถ้ารู้อยู่แล้วเธอจะต้องคิดอะไรล่ะ ปล่อยให้ฉันไปดื่มย้อมใจซะทีสิ เพราะฉันไม่ได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของฉันจะชอบคู่อริไปได้ ให้ตายสิ แล้วหมอนั้นกำลังจะแต่งงานด้วย คราวนี้ถ้าพลาดจากมัลฟอยแล้วแฮร์รี่มารักพาร์กินสันขึ้นมาหล่ะ”   

     

                    แฮร์รี่ต้องรีบพูดขึ้นก่อนที่รอนกับเฮอร์ไมโอนี่จะเถียงกันไปนานกว่านี้ “อย่างแรกนะรอน ไม่หล่ะยัยนั้นฉันขอผ่าน เธอจะให้ส่งฉันให้โวลเดอร์มอร์นะ” ซึ่งมัลฟอยกลับปฏิเสธแฮร์รี่พูดต่อในใจ

                    “แล้วเฮอร์ไมโอนี่ เธอคิดอะไรอยู่ถ้าเธอไม่ได้ประหลาดใจเรื่องฉันกับมัลฟอย” แฮร์รี่เองก็สงสัยไม่ต่างจากรอน

     

                    “สาเหตุที่มัลฟอยต้องแต่งงานน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่พูดแล้วขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก “ที่นายบอกก็คือที่มัลฟอยกับกรีนกราสแต่งงานกันก็เพราะเธอเป็นลูกสาวคนรองไม่มีสิทธิ์ให้มรดกแล้วการแต่งงานกับมัลฟอยก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ทำไมต้องเร่งให้เร็วขนาดนี้ด้วย ทั้งสองคนไม่ได้รักกัน ไม่มีใครได้อะไรจากการเร่งแต่งงานเลย ถ้าคุณกรีนกราสเสียไปแล้วและแอสเทอเรียต้องการเงินก็ว่าอย่าง”

     

                    “ก็นั้นแหละที่ฉันไม่เข้าใจ หมอนั้นดันบอกว่าเหตุผลของเขามันจริงจังและหนักแน่นมากกว่าความรักซะอีก เหตุผลบ้าอะไรก็ไม่รู้” แฮร์รี่บ่นอย่างเสียอารมณ์

     

                    “ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีคนรัก…” เฮอร์ไมโอนี่พูดพร้อมกับคิดหนัก “เพราะฉะนั้นก็คงไม่ใช่แต่งเพื่อไล่คนรักที่ไม่พึงประสงค์”

     

                    “เอ๊ะ หรือว่ามัลฟอยมันรู้ว่านายรักมันเลยจะรีบแต่งงานไล่นาย” รอนพูดแล้วยิ้มออก ทำให้แฮร์รี่อดเอาหมอนปาใส่หน้าเพื่อนไม่ได้ “เออๆ ไม่แกล้งนายแล้วก็ได้”

     

                    “ฉันแน่ใจว่ามัลฟอยไม่ได้ไม่พึงประสงค์ฉันแน่นอน” แฮร์รี่พูดแล้วหน้าแดงเมื่อนึกถึงคืนที่มัลฟอยเมาแล้วอ่อยเขา ทำไมตอนนั้นเขาปฏิเสธไปนะ โง่จริงเชียวเรา

                    “ฉันว่ามันต้องเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่มัลฟอยต้องปลอมตัวเป็นแอสเทอเรียช่วงนั้นแน่นอน” แฮร์รี่พูดอย่างมั่นใจ เขามีลางสังหรณ์ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

     

                    เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า “นายบอกว่าหลังจากกลับมาแอสเทอเรียดูเหม่อลอยแล้วก็เหนื่อยง่ายใช่ไหม”  

     

                    “ใช่ ..อ้อแล้วฉันก็แทบไม่เห็นเธอใช้เวทมนตร์ ครั้งหนึ่งเธอหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมามัลฟอยเห็นก็ดุเธอใหญ่เลยว่าเธอไม่ควรใช้คาถา” แฮร์รี่รีบพูดตอบ

     

                    “หรือว่าแอสเทอเรียเป็นโรคร้ายที่กำลังจะตาย แล้วความหวังสุดท้ายของเธอคือการแต่งงาน” รอนเสนอขึ้นมาบ้าง แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็หันมามองเขาแล้วทำตาโต ก่อนจะยิ้มออกมา

     

                    “ฉลาดมากรอน แต่โรคเดียวที่เกิดกับผู้หญิงแล้วทำให้อ่อนเพลียและใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แถมยังมีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการแต่งงานก็คือ...ท้อง” เฮอร์ไมโอนี่อธิบาย “ฉันคิดว่าแอสเทอเรีย กรีนกราสท้อง แล้วในตระกูลอย่างนั้นการท้องนอกสมรสทางเลือกเดียวคือการทำแท้ง เพราะฉะนั้นทั้งเธอและมัลฟอยถึงต้องเร่งแต่งงาน ให้ตายสิ ถ้าจริง เหตุผลของเขาก็จริงจังแล้วก็หนักแน่นยิ่งกว่าความรักของนายจริงๆด้วยแฮร์รี่”

     

                    “ตะ...แต่มัลฟอยเป็นเกย์นะ หมอนั้นจะทำให้แอสเทอเรียท้องได้ไง” แฮร์รี่รีบเถียง

     

                    “ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่ามัลฟอยจะเป็นพ่อเด็ก แต่ทุกอย่างมันลงล็อค อาการแปลกๆของแอสเทอเรีย แล้วก็การเร่งแต่งงาน บางทีช่วงเวลาที่แอสเทอเรียหายไปเธออาจจะไปพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อตัวจริงของหล่อน” เฮอร์ไมโอนี่พูดต่อ

     

                    แฮร์รี่คิดตาม เขาภาวนาให้มันไม่ใช่อย่างที่เฮอร์ไมโอนี่พูดเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงเป็นคนร้ายที่พยายามจะหยุดงานแต่งงานในเมื่อผลของมันจะเท่ากับการที่แอสเทอเรียต้องเสียลูกไป ชายหนุ่มกำมือแน่น เขารู้ว่าคนที่เขาจะต้องถามคือใคร คนเดียวที่พอจะคุยกับเขา

     

                    “เดี๋ยวเฮ้ยลุกไปไหน” รอนรีบถาม แต่ก่อนที่ชายหนุ่มผมแดงจะห้ามทันแฮร์รี่ก็เดินไปที่เตาผิงแล้วปาผงฟลูก่อนจะก้าวเข้าไปในเปลวไฟสีเขียวนั้นแล้ว  

    .

    .

    .

                    “เดฟนี!” แฮร์รี่ตะโกนหาเจ้าของห้องทันทีที่เท้าแตะพื้น ใจเขาร้อนเป็นไฟแล้วตอนนี้

     

                    “คุณมีอะไรรึเปล่า” หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากโซฟามาหาเขาพร้อมกับมองไปรอบๆอย่างตกใจ

                   

                    “แอสเทอเรีย...แอสเทอเรียท้องใช่ไหม เธอกับมัลฟอยถึงต้องแต่งงานกันเร็วขนาดนี้” แฮร์รี่จับไหล่หญิงสาวแล้วถามเธอตรงๆ หล่อนไม่ตอบแต่สายตาของเธอก็เป็นคำยืนยันที่เพียงพอแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเข่าอ่อนไปหมด

                    “มันต้องมีทางดีกว่านี้สิที่มัลฟอยจะไม่ต้องทำแบบนี้”

     

                    “ถ้ามันมีทางเลือกอื่นก็ดีสิคะ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นทั้งคู่แต่งกันนักหรอกค่ะ ฉันยังอยากเห็นทั้งน้องแล้วก็เพื่อนของฉันมีความรักอย่างคนอื่นบ้าง”

     

                    “แล้วพ่อของเด็กล่ะ” แฮร์รี่ถามเสียงสูง

     

                    เดฟนีส่ายหน้า “ถึงขนาดนี้แล้ว ฉันเองก็ไม่อยากปิดคุณแล้ว คุณมานั่งเถอะค่ะ เพราะที่ฉันกำลังจะเล่ามันยาวมาก” หญิงสาวดึงเขาไปที่โซฟา แล้วเปิดปากเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง มันเหมือนที่พวกเขาคิดเอาไว้ ผิดแต่ที่ว่าแอสเทอเรียเพิ่งรู้ว่าตัวเองท้องหลังจากกลับมา และที่เธอหายไปเพราะช่วยพ่อของเด็กไม่ให้ถูกไล่ฆ่า

                    “เพราะอย่างนั้นฉันถึงถามคุณว่ามันมีวิธีคืนความทรงจำไหม ฉันรู้ว่าพ่อจะต้องไม่ชอบที่แอสเทอเรียรักกับมักเกิ้ลแต่อย่างน้อยน้องก็รักปีเตอร์ไม่ใช่เดรโก”

     

                    แฮร์รี่ส่ายหน้า การคืนความทรงจำไม่ใช่เรื่องง่าย เขาไม่รู้ว่าแอสเทอเรียใช้คาถาอะไร บางคาถามันมีผลถาวรและบางคาถามันยังพอจะคืนได้ อย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้กับพ่อแม่ของเธอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำได้อย่างรวดเร็ว เธอต้องค่อยๆปลดล็อคความทรงจำของคุณและคุณนายเกรนเจอร์ทีละนิด และจนถึงบัดนี้ยังมีบางเรื่องที่พวกเขาลืมเลือนเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ไป แล้ว ที่สำคัญจะไปตามหาตัวปีเตอร์ ฟิงก์คนรักของแอสเทอเรียได้จากที่ไหนกัน นิวยอร์คไม่ใช่ที่เล็กๆเสียหน่อย    

     

                    “น้องเองก็ยืนยันว่าจะไม่แต่งกับเดรโก แต่เดรโกนั้นแหละบอกว่ายังไงก็จะรับเด็กเป็นลูกให้ได้ เพราะถ้าน้องมีลูกตอนแต่งงานแล้วหย่าทีหลัง น้องก็คงไม่เสียชื่ออะไร แต่ถ้าหากท้องโดยไม่แต่ง...” เดฟนีเว้นเอาไว้โดยไม่ได้พูด บางครั้งแฮร์รี่ก็เกลียดความหัวโบราณคร่ำครึทั้งหลายในโลกเวทมนตร์เหลือเกิน

     

                    อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าแอสเทอเรียไม่ใช่ผู้หญิงหัวเก่าถึงขนาดที่จะทำแท้งเพื่อไม่ให้เสียชื่อ แต่ว่าดูท่าคนที่จะกล่อมยากกว่าคงเป็นมัลฟอยเสียมากกว่า หมอนั้นดูจะเป็นห่วงแอสเทอเรียจากใจจริง

                    ...แต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับมัลฟอยอยู่ดี...

                    “ผมอยากคุยกับมัลฟอย” แฮร์รี่หันไปบอกเดฟนี “เครือข่ายฟลูของคุณผ่านเข้าไปในห้องเขาได้ไหม” ชายหนุ่มรู้จากมัลฟอยว่าวันนี้เขามีแผนจะอยู่ที่คฤหาสน์ทั้งวัน แล้วเขาก็อยากเจอมัลฟอยมากพอที่จะเสี่ยงเข้าไปในคฤหาสน์มัลฟอย จะโดนจับได้ก็ช่างมัน เขาแค่มีเรื่องอยากจะเคลียร์กับมัลฟอยให้ได้

     

                    หญิงสาวพยักหน้า “ใช่ค่ะ แล้วคุณไปเถอะค่ะ ฉันว่าคนเดียวที่เขาพอจะฟังอาจจะเป็นคุณ ทำให้เขารู้ทีเถอะว่าเขากำลังจะเสี่ยงทำอะไรไป”

     

                    เขาไม่แน่ใจว่ามัลฟอยจะฟังเขาจริงหรือ ในเมื่อตลอดเวลาสิ่งเดียวที่มัลฟอยทำก็คือปกปิดความจริงจากเขา เขามันไม่น่าไว้ใจขนาดนี้เลยเหรอ แฮร์รี่คิดแล้วอดน้อยใจไม่ได้ หมอนั้นคิดว่าถ้าเขารู้เขาจะเอาไปโพนทะนาหรืออย่างไร ไม่คิดว่าเขาจะอยากช่วยหรือบ้างไงนะ

                   

                    เป็นครั้งที่สองของวันที่แฮร์รี่ก้าวผ่านเตาผิงออกมา เท้าเขาเหยียบลงบนพรมหนา และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมาไม้กายสิทธิ์ก็จ่อเข้าที่หน้าอกของเขา

                   

                    “จะสาปฉันหรือมัลฟอย” แฮร์รี่ถามเรียบๆ

     

                    “พระเจ้า พอตเตอร์ แล้วทำไมถึงมาอย่างนี้เล่า ฉันก็ตกใจน่ะสิ แล้วนายมาทางฟลูได้ยังไง” มัลฟอยเก็บไม้กายสิทธิ์ ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตยับย่นกับกางเกงสแลค ทำให้เขานึกถึงวันที่พวกเขาไปดูควิดดิชด้วยกัน คิดแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกปวดอกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะการได้ใช้เวลากับมัลฟอยจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้วหากคนดื้อด้านตรงหน้ายังยืนยันจะแต่งงาน เขาจะรอมัลฟอยได้หรือ แล้วเขาจะเก็บอาการได้ยังไงหากต้องเจอมัลฟอยในที่สาธารณะ

                    หรือแม้กระทั่งตอนนี้ เขาอยากดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามากอด แล้วเขาจะรออยู่ทำไมในเมื่อนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาก็ได้

                    เขายื่นมือไปดึงข้อมืออีกคนจนร่างสูงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา จมูกของเขาซุกอยู่ที่คอของอีกคนพอดี ดูเหมือนมัลฟอยจะตกใจกับการกระทำของเขาจนนิ่งแข็งไม่ขัดขืน

                    “ฉันเกลียดนายชะมัดที่นายเลือกเสียสละตัวเองเพื่อแอสเทอเรียกับลูกของเธอ” แฮร์รี่พูดเบาๆ แต่มัลฟอยก็ได้ยินอย่างชัดเจน ชายหนุ่มรีบผลักอกแฮร์รี่ออก ตาสีเทามองหน้าเขาอย่างตกใจ

                    “ประหลาดใจเหรอที่ฉันรู้ ฉันคุยกับเดฟนีแล้ว ฉันรู้ทุกอย่างแล้วนะมัลฟอยตั้งแต่เรื่องที่นายปลอมตัว ทั้งเรื่องที่ทำไมนายต้องรีบแต่งงาน” แฮร์รี่พยายามจะสะกดความโกรธเอาไว้ แต่มันก็ยากเย็นเต็มที

                   

                    “ตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่” มัลฟอยยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างตกใจ เขาถอยห่างจากแฮร์รี่

     

                    “เรื่องที่นายปลอมตัวฉันรู้ตั้งแต่ตอนที่กลับจากทริปแล้ว แต่เรื่องของแอสเทอเรียฉันเพิ่งรู้ ทำไมนายไม่บอกฉันล่ะมัลฟอย” แฮร์รี่ถามออกมาในที่สุด

                    “นายก็รู้ตั้งแต่แรกว่าคนที่ฉันรักก็คือนาย แต่นายก็ยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แล้วยังเรื่องแอสเทอเรียอีก นายคิดว่าฉันจะทำอะไรถ้ารู้ล่ะ คิดว่าคนอย่างฉันจะทำร้ายเธอกับลูกเหรอ”

     

                    “คิดว่านายจะทำอย่างที่นายทำตอนนี้น่ะสิพอตเตอร์ นายจะพยายามบอกให้ฉันหยุดซะ!” มัลฟอยพูดเสียงดังใส่หน้าเขา “แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าคนที่นายรักคือฉันซะหน่อย”

     

                    “โกหก!” แฮร์รี่เดินเข้าไปประชิดตัวอีกคน “คนโกหก ถ้านายไม่รู้ทำไมนายต้องกลัวถ้าฉันจะบอกให้นายอย่าแต่งงานกับเธอด้วยล่ะ” ชายหนุ่มมองดวงตาสีเทาอย่างค้นหา

                    “นายกลัวเพราะว่าถ้าฉันขอร้องนาย นายจะรู้ว่าตัวเองกำลังต้องเลือกระหว่างความสุขของตัวเองกับความสุขของแอสเทอเรีย”

     

                    มัลฟอยถอยหลังอีกก้าว “อย่าทะนงตัวไปหน่อยเลยพอตเตอร์ นายคิดว่าตัวนายจะเป็นความสุขของฉันเลยเหรอ พวกเราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ นายจะมา—“

     

                    “ฉันรักนาย” แฮร์รี่พูดออกมาอย่างชัดเจน “ฉันรักนายตั้งแต่ตอนที่ฉันยังสับสนระหว่างนายกับแอสเทอเรีย ฉันเอาแต่บอกตัวเองว่าฉันไม่ควรรักคนอย่างนาย คนที่ใจร้ายกับฉันตลอดเวลาที่ฮอกวอตส์ แต่มันก็ไม่สำคัญเพราะอดีตของนายมันไม่ใช่ตัวนายตอนนี้”  

                    “คิดอีกทีเถอะมัลฟอย อย่าแต่งงานเลย ให้โอกาสฉันนะ” แฮร์รี่ขอร้องอีกครั้ง

     

                    มัลฟอยไม่ตอบในทันที ตาสีเทามองเขานิ่ง ก่อนจะก้มต่ำหลบตาเขา “ถ้านายพูดอย่างนั้น ทำไมนายไม่รอฉันล่ะ ทำไมนายไม่รอให้ฉันแต่งงานแล้วก็หย่าล่ะ”

     

                    แฮร์รี่อยากจะจับตัวคนข้างหน้ามาเขย่า เขาพูดถึงขนาดนี้แล้วมัลฟอยยังตอบกลับมาอย่างนี้ได้ยังไง “แล้วมันจะกี่ปีล่ะ แล้วระหว่างนั้นคืออะไร ฉันจะต้องเป็นชู้ของนายเหรอ”  แฮร์รี่ถามเสียงสูง มัลฟอยเสนอสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องไม่ทำ สำหรับเขาแล้วเขาเองก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองเหมือนกัน

                    “มันต้องมีทางออกอื่นนอกจากนี้สิ”

     

                    “งั้นนายก็บอกมาสิว่าทำยังไง ทางที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข” มัลฟอยหันมาถาม “มันมีทางง่ายๆด้วยรึไง”

                    “นายไม่ต้องมาพูดให้ฉันเลือกระหว่างฉันหรือแอสเทอเรีย เพราะคำตอบมันง่ายๆอยู่แล้ว ชีวิตฉัน ฉันยังมีโอกาสได้รับความรักอีกหลายครั้ง แต่สำหรับเด็กคนนี้ เขาจะมีแค่โอกาสเดียวที่จะมีพ่อ”

                    มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอีกครั้ง “แล้วนายก็เหมือนกัน สักวันนายก็เจอคนที่นายรักมากกว่าฉัน”

     

                    แฮร์รี่รู้สึกเหมือนหัวใจเขาถูกดึงออกมา มัลฟอยยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ เขาไม่มีโอกาสเลยสักนิด ชายหนุ่มตัวชาแล้วเดินไปที่เตาผิงเหมือนคนไร้วิญญาณ ในเมื่ออีกคนปฏิเสธขนาดนี้เขาคงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้าไปในเตาผิงตรงกลับไปที่ห้องของเดฟนี

     

                    แต่ขณะที่หมุนคว้างอยู่ในเครือข่ายฟลู แฮร์รี่ก็เพิ่งคิดได้ว่าถึงแม้มัลฟอยจะยอมแพ้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำว่าไม่ได้รักเขา   

    #######

     

                    หลังจากมองแผ่นหลังกว้างหายไปในเครือข่ายฟลูเดรโกก็ทรุดตัวลงนอนบนพื้น มือยกมือปิดหน้าแล้วปล่อยให้น้ำตาที่กดเอาไว้ไหลออกมา

                    เขาตั้งใจพูดทุกอย่างที่จะไล่พอตเตอร์ เขาเจ็บยิ่งกว่าอะไรตอนที่เห็นตาสีเขียวมรกตคู่นั้นหมดประกายลง

                    ถึงจะตั้งใจแค่ไหนแต่ก็เขาก็ไม่อาจจะฝืนใจตัวเองพูดออกไปได้ว่าเขาไม่ได้รักคนตรงหน้านั้น

     

                    ถ้าเพียงแค่มันมีทางออกอื่น หรือถ้าเพียงแค่พวกเขาได้รู้จักกันให้เร็วกว่านี้

                    ...แต่มันก็เป็นเพียงถ้า...เพราะความจริงนั้นเขาเลือกแล้วว่าจะทำยังไง แม้จะต้องแลกกับน้ำตานองหน้าก็ตาม

    #####


    Note: หายไปนานอีกแล้ว >< ขอโทษนะคะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วค่ะ แต่เราเปิดเทอมแล้ว เขียนไม่จบก่อนเปิดแฮะ (ขอโทษนะค้า ไปหมกมุ่นกับ 1D มาเต็มๆ ตะลุยอ่านฟิค 1D มากๆ) 

    ตอนหน้าคงจะอัพเสาร์อาทิตย์หน้านะคะ 


    แก้คำผิด January 18, 2016

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×