ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Story in Reverse (HP/DM)

    ลำดับตอนที่ #4 : Shattered Hope

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.79K
      183
      8 ม.ค. 59

    ตอนที่ 4: Shattered Hope

    I loved her against reason, against promise, against peace, against hope, against happiness, against all discouragement that could be. -  Charles Dickens, Great Expectations

     

                    คืนนั้นหลังจากไปส่งแอสเทอเรียที่เวิร์ทวูดแมนชั่น เดรโกก็กลับมาหลับเป็นตาย เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่เขาไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อจะได้ลุกไปเปลี่ยนตัวเป็นแอสเทอเรียเสียแต่เช้ามืด และเมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกทั้งโล่งใจและเสียใจ เขาดีใจที่ได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แต่เขาก็เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้กล่าวคำลากับพอตเตอร์ ความรู้สึกเสียใจนั้นยิ่งบาดลึกลงไปมากขึ้นอีกเมื่อเดรโกเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวแล้วเห็นหม้อน้ำยาสรรพรสตั้งอยู่

                    เดรโกหยิบน้ำยาในขวดขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง น้ำยาสีขุ่นที่ดูแสนจะไม่มีพิษไม่มีภัย แต่มันคือใบเบิกทางที่ให้เขาได้ใกล้ชิดกับพอตเตอร์ และโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดเขาก็เปิดรับพอตเตอร์เข้ามาเต็มหัวใจเสียแล้ว พอตเตอร์เองก็ไม่ได้มีท่าทางรังเกียจเขาเวลาเขาเป็นแอสเทอเรียเหมือนเวลาเขาเป็นเดรโกเลยสักนิด ชายหนุ่มยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นแล้วกัดฟันเสกคาถาให้อุปกรณ์และน้ำยาทุกอย่างตรงหน้าอันตรธานหายไป

                    ...แล้วเราจะต้องเจอกันอีกครั้งแน่นอนพอตเตอร์... ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม

     

                    “วันนี้ว่างอยู่บ้านแล้วเหรอ” ลูเซียส มัลฟอยทักบุตรชายทันทีที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปในห้องทานอาหารเช้า นี้ก็เป็นอีกสิ่งที่เขาคิดถึงเช่นกัน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูเซียสจะไม่ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนสงคราม แต่สำหรับเดรโกเขาก็ยังรักพ่อและแม่เสมอ แม้มันอาจจะไม่ใช่ความรักแบบเทิดทูดบูชาดั่งแต่ก่อนก็ตาม

     

                    เดรโกลากเก้าอี้แล้วนั่งลงจิบชาก่อนจะตอบออกมา “เดี๋ยวผมก็ต้องเดินทางไปเอดินบะระนะครับ ผมอยากไปดูโรงกลั่นวิสกี้ของเราหน่อย กองควบคุมดูแลเกมและกีฬาเวทมนตร์มีแผนจะจัดแข่งวิ่งม้าอแบรกซาน (Note: Abraxan ม้ามีปีกขนาดใหญ่ อาหารหลักคือวิสกี้อย่างดี) แล้วกำลังหาบริษัทที่จะจัดส่งวิสกี้ให้ช่วงแข่ง ผมคิดว่าเราน่าจะพอมีกำลังการผลิตเหลือพอที่จะเพิ่มได้ทันสำหรับการแข่งขัน แต่ที่ผมห่วงก็แค่ว่าวิสกี้ของเราจะได้มาตรฐานรึเปล่าเท่านั้นเอง” สั้นๆก็คือวันนี้เขามีเรื่องยุ่งทั้งวัน หายหน้าไปสองสัปดาห์กลับมาเขามีงานต้องทำแทบล้นมือ ไม่มีเวลาปลีกตัวไปที่เวิร์ทวูดแมนชั่นแน่นอน

     

                    “อยากให้พ่อโทรหาเพื่อนพ่อที่เป็นรองเลขานุการอยู่ที่กองควบคุมดูแลเกมและกีฬาเวทมนตร์รึเปล่า” ลูเซียสวางหนังสือพิมพ์แล้วหันมาถามลูกชาย ถึงแม้พ่อของเขาจะเป็นอดีตผู้เสพความตาย (ถึงสองครั้ง!!) แต่ลูเซียสก็ยังถือว่ามีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์หลายๆคนที่มาติดหนี้ติดสินกู้ยืมเงินจากตระกูลร่ำรวยของมัลฟอย

     

                    แต่เดรโกก็ไม่ชอบที่จะใช้อิทธิพลทำเรื่องพวกนั้น เขาไม่อยากติดค้างใคร แต่อยากให้บริษัทของเขาชนะด้วยความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์แทน และเขาเชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่นอน

                    “ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องนี้ผมจัดการเองได้”

     

                    ลูเซียสถอนหายใจออกมา “พ่อไม่ได้จะก้าวก่ายหรอกเดรโก แต่พ่อแค่อยากช่วยเท่านั้น เห็นลูกยุ่งๆ วันก่อนเจอท่านเดมิทริสท่านยังถามหาลูกเลยว่าหายหน้าหายตาไปไหน จะทำงานจนละเลยหนูแอสเทอเรียก็คงไม่ดีนะ”

                    “อีกอย่างพ่อก็ทั้งแก่ทั้งเจ็บออดๆแอดๆ” ว่าแล้วลูเซียสก็ไอโขลกๆ “อยากจะเห็นหลานก่อนตายสักครั้งก็ยังดี”

     

                    ทั้งนาร์ซิสซาทั้งเดรโกพากันกลอกตา ชายหนุ่มสงสัยจริงๆว่าพ่อเขาคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ มีหรือแม่และเขาจะไม่รู้ทันพ่อ ไอ้นิสัยเว่อร์ๆชอบแสดงละครตบตานี้เอาไปใช้กับคนอื่นดีกว่า พ่ออายุอย่างมากก็ห้าสิบ พ่อมดมีอายุเป็นร้อยกว่าปี พ่อคงอยู่ยงคงกระพันจนกระทั่งเห็นหลานหรือเหลนนั้นแหละ

                    แต่ทั้งเขาทั้งแม่ก็ปล่อยให้พ่อคิดไปว่าหลอกพวกเขาสำเร็จ นาร์ซิสซานั้นชินกับนิสัยอย่างนี้ของสามีแล้ว ส่วนเขาไม่อยากจะเถียงกับพ่อให้เหนื่อย

     

                    “งั้นเราไปอุปการะเด็กมาสักคนเลยดีไหมครับ สงครามจบเด็กกำพร้ามีเต็มไปหมด” เดรโกถามยิ้มๆ

     

                    ส่วนลูเซียสพอได้ยินดังนั้นก็กุมหน้าอกแน่น พร้อมหลับตาเหมือนคำพูดของลูกชายบาดลึกลงไปในหัวใจ (นี้เขาเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพ่อเขาเวอร์ขนาดไหน ไม่ต้องคิดเลยว่าทำไมเข้ากับสเนปและจอมมารได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย)

                    “แล้วลูกจะปล่อยให้สายเลือดตระกูลเกือบพันปีของเราหายไปจากโลกนี้เหรอ โอ๊ยฟังแล้วหัวใจคนแก่มันเจ็บซะจริงๆ”

     

                    “คุณคะพอเถอะค่ะฉันอายลูก” นาร์ซิสซาพูดขึ้นในที่สุดอย่างอดรนทนไม่ได้

                   

                    เดรโกทำเป็นคิดก่อนจะพูดออกมา “ก็ผมไม่อยากมีลูก ผมว่านะทางออกที่ดีกว่ารอให้มีหลานก็คือพ่อกับแม่มีลูกอีกคนดีกว่า ผมชักอยากมีน้องซะแล้วสิ”

     

                    เมื่อเห็นว่าพ่อหันจะไปคว้าไม้เท้าหมายจะตีลูกชายตัวดีอย่างเขา เดรโกก็รีบลุกขึ้น เสียงหัวเราะดังลั่นห้องอาหาร “เอาล่ะครับ ผมไปทำงานแล้ว” ชายหนุ่มหันหลังแล้วเดินยิ้มออกจากห้องอาหาร จะมีใครคิดบ้างว่าที่บ้านของมัลฟอยเช้าๆน่ะจะมีเรื่องให้หัวเราะเยอะขนาดนี้

     

    ##########

     

                    ...แอสเทอเรียแปลกไป...แฮร์รี่คิดในใจอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่เช้าเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่แปลกไปในตัวหญิงสาว แน่นอนเธอยังคงเป็นแอสเทอเรีย แต่เธอ...แววตาของเธอไม่ได้มีประกายเวลาที่มองเขา เธอไม่ยิ้มหรือหัวเราะ ที่จริงเขาแทบไม่ได้ยินหญิงสาวพูดอะไรสักนิดเลยตั้งแต่เช้า ให้ตายสิแม้กระทั่งชาที่เธอดื่มก็ยังเปลี่ยนไปด้วย แทนที่จะเป็นอิงลิชเบรกฟาสต์กับนมเหมือนทุกที เธอกลับเลือกดื่มเอิร์ลเกรย์

                    และเขาแน่ใจว่าไม่ใช่แค่เขาที่สังเกต เพราะเดฟนีเองก็มองน้องสาวด้วยสายตาเป็นห่วงเช่นกัน เดฟนีอยู่ติดกับแอสเทอเรียตั้งแต่เช้า เกิดอะไรขึ้นกับเธอนะ

                    “แอสเทอเรีย คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” แฮร์รี่ตัดสินใจถามออกมา เขาจ้องตรงไปที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นหมายจะสื่อความให้เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆ ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่สามคนในเรือนกระจก ท่านเดมิทริสออกไปทำธุระตั้งแต่เช้ามืด

     

                    “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อยๆนิดหน่อย เมื่อคืนฉันนอนหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่” เธอตอบกลับมาในทันที ริมฝีปากคลี่ยิ้มส่งให้เขา แต่ยิ้มนั้นกลับไม่ถึงดวงตา แฮร์รี่ขมวดคิ้วเป็นครั้งแรกที่เขาอ่านแอสเทอเรียไม่ออก ดวงตาคู่นั้นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ใบหน้าเรียบๆของหญิงสาวก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าการจะพยายามถามเธอออกไปตรงๆคงไม่ได้ผล ชายหนุ่มคิดในใจ เขาต้องหาทางอื่นเสียแล้ว

    .

    .

    .

                    “เดฟนี” แฮร์รี่จับแขนหญิงสาวที่เดินคนเดียวบนระเบียงแล้วดึงเข้ามาใกล้

                   

                    “คุณพอตเตอร์ เฮ้ปล่อยนะ” เดฟนีพยายามจะสะบัดมือเขาออก แต่เขาไม่ปล่อยง่ายๆหรอก เขาว่าคนเดียวที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแอสเทอเรียก็คือเดฟนีนี้แหละ ตลอดเวลาที่เดฟนีอยู่กับแอสเทอเรีย เธอพยายามจะไม่ให้เขาได้คุยกับแอสเทอเรียสองต่อสอง และหลายต่อหลายครั้งที่เธอเล่นตอบคำถามแทนแอสเทอเรีย เธอยังเป็นคนบอกเขาด้วยว่าบทเรียนประจำวันของเขากับแอสเทอเรียคงต้องถูกยกเลิกลงซะแล้วเพราะหลังจากนี้น้องคงไม่ว่างจะช่วยเขาแล้ว

     

                    “แอสเทอเรียต้องเป็นอะไรแน่ๆ เธอดูเหมือนผีดิบไม่มีผิด” แฮร์รี่พูดเสียงดุใส่เดฟนี ตาสีเขียวเป็นประกายท้าให้เธอปฏิเสธแต่เธอกลับนิ่งและทำเพียงเลิกคิ้วให้เขา

     

                    “น้องก็เป็นอย่างนี้แหละ ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาน้องอาจจะผิดปกติก็ได้ แล้วตอนนี้ก็แค่กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง”

     

                    “ยังไงก็หมายความว่าเธอต่างออกไปอยู่ดี เกิดอะไรขึ้นกันแน่เดฟนี เกิดอะไรขึ้นกับแอสเทอเรีย” ชายหนุ่มถามตรงๆ

     

                    หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยสายตาที่เขาอธิบายไม่ถูก... สงสาร เห็นใจ และ...เศร้าเหรอ...

                    “แอสเทอเรียเป็นอย่างนี้แหละค่ะ ปกติน้องก็ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่ค่อยยิ้มหรือแสดงอารมณ์ใดๆ แอสเทอเรียที่คุณรู้จักน่ะเป็นแค่ช่วงสั้นๆที่แปลกไปเท่านั้น และเธอคนนั้นก็ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว”

     

                    ชายหนุ่มผงะเล็กๆ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “แล้วอะไรล่ะครับที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป ผมทำอะไรรึเปล่า”

     

                    เดฟนีกลอกตา “อย่าให้เดรโกมาได้ยินคุณพูดอย่างนี้เชียว เขาต้องบอกว่าอย่าคิดว่าโลกหมุนรอบตัวนายนะพอตเตอร์” เธอพูดพึมพำเบาๆ ก่อนจะรีบตะปบปากตัวเองเหมือนตกใจที่หลุดพูดอย่างนั้นออกมา

     

                    คราวนี้แฮร์รี่สิที่ต้องงง เดรโก มัลฟอยเกี่ยวอะไรด้วย

                    “มัลฟอยเหรอ เขามาเกี่ยวด้วยตรงไหน หรือเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้แอสเทอเรียเศร้า”

     

                    “โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้วคุณ บอกแล้วว่าไม่มีอะไร แล้วคุณมายุ่งอะไรกับเรื่องของน้องฉันเนี้ย หน้าที่คุณคือคุ้มครองฉันไม่ใช่รึไง”

     

                    ชายหนุ่มเปิดปาก แต่ก็ไม่คำอธิบายหลุดรอดออกมา เขารู้สึกว่าแก้มเขากำลังร้อนผ่าว ตอนนี้หน้าเขาต้องแดงมากแน่ๆ และมันคงทำให้เดฟนีรู้ทันทีว่าทำไม หญิงสาวมองหน้าเขาแวบเดียวแล้วทำตาโตอย่างตกใจ

                    “คุณจะบ้าเหรอ คุณชะ...ชอบ...แอสเทอเรียเหรอ” หญิงสาวลดเสียงคำว่าชอบลงจนอีกคนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ว่าในความเงียบสนิทของทางเดินเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน       

                   

                    แฮร์รี่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธออกไปทำไม เขาจึงพยักหน้าอย่างจำยอม แต่ก็รีบพูดต่อ “ผมรู้ครับว่าผมไม่มีสิทธิ ผมไม่คิดจะบอกอะไรกับแอสเทอเรียหรอก เธอมีคู่หมั้นที่เธอรักอยู่แล้ว ผมก็แค่...แค่...ไม่อยากให้เธอต้องเสียใจ”

     

                    เดฟนีอุทานสบถออกมาเป็นชุด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดึงตัวแฮร์รี่มากอดเบาๆอย่างปลอบใจ พร้อมกับพูดซ้ำๆไม่หยุดว่า “ให้ตายสิถ้าเดรโกรู้นะ”

     

                    “คุณก็อย่าบอกเขาสิครับ ผมไม่คิดจะแย่งแอสเทอเรียมาจากเขาหรอกน่า ยกเว้นแต่ถ้าเขามันเป็นไอ้เวรที่ทำไม่ดีกับเธอนะ” ชายหนุ่มพูดแล้วกำหมัดแน่น

     

                    “หยุดเลย หยุดคิดอย่างนั้นเลย เดรโกน่ะเป็นคนดีแน่นอน ฉันยืนยันด้วยชีวิตเลย” เดฟนีรีบห้าม แล้วเธอก็พูดต่อด้วยประโยคที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด 

                    “เฮ้อคุณพอตเตอร์ทำไมคุณต้องตกหลุมรักแอสเทอเรียคนนั้นด้วยน้า”  

     

                    ...แอสเทอเรียคนนั้น... เธอพูดยังกับมีแอสเทอเรียหลายคนอย่างนั้นแหละ เขาแน่ใจว่าลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลกรีนกราสไม่ได้มีฝาแฝดหรือเป็นคนสองบุคลิกแน่นอน

                    แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามเดฟนีก็พูดต่ออีกครั้ง

     

                    “ถามหน่อยสิคะ คุณชอบอะไรในตัวน้องฉันเหรอ เพราะหน้าตาเหรอ”

     

                    แฮร์รี่รีบส่ายหน้า ไม่ใช่เลย แอสเทอเรีย กรีนกราสไม่ใช่คนขี้เหร่ก็จริง แต่นั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสังเกตเห็นเธอ

                    “เธอ...มีชีวิตชีวา เธอทำให้ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรก็ได้เวลาอยู่กับเธอ เธอเป็นคนที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยพบเลย เธอไม่กลัวที่จะพูดออกมาตามใจคิด แสดงออกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง คุณรู้ไหมว่ามันหายากแค่ไหน แล้วเธอก็ยังดีกับทุกคนรอบๆตัวเธอ แน่ล่ะถึงเธอจะปากร้ายแต่พอคิดๆดูหลายๆครั้งมันก็ตลกจะตาย จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมจริงๆ แต่ผมชอบ...ขอบทุกอย่างที่เธอทำ”   

     

                    “โธ่คุณพอตเตอร์” เดฟนีพูดอย่างสงสาร เขาก็เข้าใจได้นะ เพราะเขาเพิ่งบอกเธอว่าเขารักผู้หญิงคนนึง คนที่ทำให้เขาอกหักทันทีที่รู้สึกตัว

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ สักวันผมต้องเจอคนที่ดีเท่าๆกับแอสเทอเรีย”

     

                    เดฟนียิ้มเศร้า “คนที่ว่าอาจจะอยู่ใกล้ๆกว่าที่คุณคิด ขอให้คุณโชคดีนะคะ แล้วดูท่าคุณต้องใช้โชคเยอะซะด้วย”

     

    ##########

     

                    “นายคิดจะคบผู้ชายเป็นตัวเป็นตนไหมเดรโก”

     

                    ชายหนุ่มแทบจะพ่นชาออกมาจากปากทันทีที่ได้ยินคำถามของเดฟนี เขาต้องรีบกวาดตามองรอบๆให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ ดูเหมือนพอตเตอร์เองก็หลบหน้าไปทันทีที่รู้ว่าเดรโกจะมาที่เวิร์ทวูดแมนชั่น

     

                    “ตกใจอะไรยะ ก็นายเป็นเกย์ไม่ใช่รึไง ฉันก็ต้องสงสัยสิ” เดฟนีพูดต่อหน้าตาย ส่วนแอสเทอเรียมองพวกเขาสองคนอย่างสนอกสนใจ

     

                    “เธอจะบ้าเหรอ พ่อฉันได้ช๊อคตาตั้งพอดี”

     

                    หญิงสาวกลอกตา “แล้วจะปิดไปถึงเมื่อไหร่หือ นี้นายกะจะแต่งงานกับแอสเทอเรียจริงๆเหรอ”

     

                    “ตลอดชีวิตเว้ย”

     

                    “ไม่สงสารน้องฉันเหรอที่ต้องอยู่เหงาเฉาตาย ขณะที่นายจะออกไปหาหนุ่มเอ๊าะๆข้างนอก” เดฟนีขมวดคิ้ว 

     

                    “พี่คะ” แอสเทอเรียส่งเสียงอย่างตกใจที่เดฟนีถามตรงซะขนาดนั้น

     

                    เดรโกถอนหายใจ เขาก็คิดเหมือนกัน ไอ้การจับแต่งงานนี้ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งคู่นั้นแหละ

                    “ถ้าแอสเทอเรียไม่อยากแต่งฉันก็จะไม่แต่ง หรือถ้าน้องอยากเลิกวันไหนก็ได้ ถ้าวันไหนน้องมีคนรักที่เหมาะสมพี่ก็จะหลีกทางให้ทันที ตอนเราตกลงกันเราใช้เรื่องหมั้นนี้ทำให้ฝ่ายพ่อแม่ของเราทั้งคู่ไม่พยายามจับคู่เรากับคนอื่น และพวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ สัตย์จริงก็คือทั้งฉันทั้งแอสเทอเรียไม่ได้คิดจะแต่งกันอยู่แล้ว ตัวฉันคิดว่าน้องคงเจอคนรักในสองสามปี แล้วฉันก็จะได้ใช้ข้ออ้างว่ารักแอสเทอเรียเกินไปจนแต่งงานกับใครไม่ได้อีกแล้วตลอดชีวิต”

     

                    “นายพูดถึงแต่แอสเทอเรียจะเป็นคนมีคนรัก แล้วถ้ามีคนมารักนายล่ะเดรโก” เดฟนีถามอีกครั้ง

     

                    “นี้เธอ ใครจะทนฉันได้ นอกจากนิสัยเสียสามล้านอย่างของฉัน แล้วใช่ไม่ต้องทำหน้าตกใจฉันรู้ตัวน่าว่าไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบ ฉันยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เสพความตาย เป็นตระกูลมัลฟอย แล้วก็ไม่มีเวลาให้ใครทำแต่งาน” เดรโกตอบอย่างเร็ว ก็แน่ล่ะนั้นเป็นเหตุผลที่เขาบอกตัวเองมาตลอดที่ทำให้เขาไม่สามารถหาเดทกับใครได้สักที

     

                    หญิงสาวยกมุมปากขึ้น เขาไม่ชอบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ของเดฟนีเลยให้ตายสิ “บางทีนะยะ อาจจะมีคนตาดีมองผ่านไอ้เปลือกหนาๆของนายจนเห็นนิสัยดีๆข้างในตัวนายก็ได้”

     

                    เดรโกกลอกตา “ต้องมองทะลุเยอะมากเลยนะ ปกติแค่เห็นคำว่ามัลฟอยก็มองหลบกันแล้ว”  

     

                    “อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น” เดฟนีพูดเป็นปริศนาอีกครั้ง

     

                    “เปลี่ยนเรื่อง นี้มาเยี่ยมนะไม่ได้มาให้สอบปากคำ” เดรโกทำตาดุใส่หญิงสาว

                    “แล้วนี้พอตเตอร์หายไปไหนเหรอ” ชายหนุ่มแอบถามถึงคนที่อยู่ในความคิดเขาไม่ได้

     

                    เดฟนีถอนหายใจ “ไปนั่งทำตัวอีโมในห้องสมุดน่ะสิ พอเห็นนายมาหมอนั้นก็หน้าตูดแล้วหายไปเลย”

     

                    ถึงจะรู้ว่าอีกคนไม่ชอบเขา แต่พอได้ยินคำยืนยันอย่างนี้ก็อดเสียใจลึกๆไม่ได้ เขาตัดสินใจแล้วว่าถึงความรู้สึกที่เขามีให้พอตเตอร์มันจะเป็นความคิดที่แย่ขนาดไหน (เริ่มจากเหตุผลแรกเลยคือหมอนั้นชอบผู้หญิง 1,000%!!!) แต่เขาก็เชื่อว่าเขาเป็นเพื่อนกับพอตเตอร์ได้ หมอนั้นไม่ได้รังเกียจเขาตอนที่เขาเป็นแอสเทอเรีย บางทีถ้าพอตเตอร์ได้มีโอกาสรู้จักกับเดรโก...บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้

                    “สั่งให้เอลฟ์ประจำบ้านเอาชากับทรีเคิลทาร์ตไปเสิร์ฟที่ห้องสมุดด้วยนะ ฉันว่าฉันน่าจะไปทักพอตเตอร์เสียหน่อย”

     

                    น่าประหลาดใจที่เดฟนีไม่ได้ห้ามแต่กลับรีบโบกมือไล่เขา ส่วนแอสเทอเรียก็นั่งเงียบๆอยู่กับเดฟนีเหมือนเคย ร่างสูงโปร่งเปิดประตูห้องสมุดเข้ามา...เขาคิดถึงห้องสมุดของบ้านกรีนกราสชะมัด...ที่นี่จัดได้ดูน่านั่งผิดกับที่คฤหาสน์มัลฟอย ที่ขนาดเก้าอี้ในห้องสมุดยังต้องดูหรูหราแต่นั่งโคตรจะไม่สบาย

                    และก็เป็นอย่างที่เดฟนีบอก พอตเตอร์นั่งทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียวในห้องสมุด เบื้องหน้าชายหนุ่มคือหนังสือประวัติศาสตร์กระทรวงเวทมนตร์ที่เดรโกเพิ่งสั่งให้ชายหนุ่มอ่าน คนเป็นอาจารย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้ดูท่าแล้วพอตเตอร์ไม่ได้กำลังอ่านอยู่เลยสักนิด ตาสีเขียวมรกตมองตรงไปที่ผนังแทนที่จะเป็นหนังสือที่ถูกลืมเบื้องหน้า

                    เดรโกกระแอมเบาๆ เรียกให้อีกคนหันกลับมา

                    “สวัสดีพอตเตอร์”

     

                    ทันทีที่เห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใครไหล่ของพอตเตอร์ก็เกร็งขึ้นมาทันที ริมฝีปากของอีกคนเม้มแน่น ตาสีเขียวมองเขาอย่างหวาดระแวง มันทำให้เดรโกหงุดหงิดชะมัด เขาไม่ได้ทำท่าทางข่มขู่หรืออะไรเสียหน่อย เขาแค่ทักทายตามปกติเท่านั้นเอง

                    “นายมีอะไร” เสียงห้วนบ่งบอกว่าคนพูดไม่ได้เต็มใจจะเสวนาสักเท่าไหร่เลย

     

                    “เดฟนีบอกว่านายอยู่ห้องสมุดคนเดียว ฉันก็เลยบอกให้พวกเอลฟ์เอาชามาให้นายด้วย” เดรโกส่งยิ้มน้อยๆไปให้พอตเตอร์ แต่ดูเหมือนรอยยิ้มของเขาจะทำให้อีกคนยิ่งระแวงมากขึ้นไปอีก

     

                    “นายเล่นเกมส์อะไรอยู่มัลฟอย” พอตเตอร์ถามอย่างหงุดหงิด

                    “นายจะมาเยาะเย้ยฉันใช่ไหม”

     

                    เดรโกกระพริบตาถี่ๆ ไม่เข้าใจสักนิดว่าพอตเตอร์พูดเรื่องอะไร

     

                    “คงได้ยินจากสองพี่น้องนั้นแล้วสิว่าฉันถูกลงโทษทางวินัย” พอตเตอร์พูดพร้อมทำหน้าตึง

     

                    เดรโกกลอกตา เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ “นายพูดยังกับว่ามันแย่นักหนา นายได้ใช้เวลาสนิทกับพวกกรีนกราส พวกนี้เป็นคนดีออกนะ แล้วฉันได้ข่าวว่าระหว่างนี้นายก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆด้วย” เดรโกพยายามพูดด้วยเสียงเรียบๆ พร้อมเตือนตัวเองว่าเขามาอย่างมิตร ห้ามปากไวด่าพอตเตอร์เด็ดขาด แม้อยากจะทำแค่ไหนก็ตาม

     

                    “พวกกรีนกราสไม่แย่หรอก แต่ต้องมาเจอหน้านายแบบนี้...” พูดจบแฮร์รี่ก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ

                   

                    ความน้อยใจแล่นไปทั่วร่างโปร่ง การที่เจอเขามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาอยากจะตะโกนใส่หน้าโง่ๆของพอตเตอร์ว่า เจ้าบ้าเอ้ย นายก็เจอฉันทุกวันอยู่แล้วตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

                    หรือเพราะว่าคนที่ยืนตรงหน้านี้มีใบหน้าของเดรโก มัลฟอย แทนที่จะเป็นหญิงสาวตระกูลกรีนกราสกันหนอ ทำไมกันนะ ทำไมถ้าเป็นเขามันถึงแย่นักหนา เขารู้ว่าระหว่างเขากับพอตเตอร์มันไม่ได้มีอดีตที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยทำอะไรพอตเตอร์เลย เขาสิเป็นฝ่ายทักทายอย่างสุภาพทุกครั้งที่เจอ ต้องให้เขาทำอะไรสักเท่าไหร่ ต้องให้เวลาผ่านไปถึงเพียงไหนพอตเตอร์ถึงจะลืมว่าพวกเขาเคยเกลียดกันได้นะ

                    ...ต้องเป็นคนอื่นยังไงล่ะ...เสียงในหัวเดรโกตอบกลับมาให้ คำตอบนั้นทำให้เขาปวดหน้าอกจี๊ด เพราะมันหมายความว่าไม่ว่ายังไง ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน ไม่ว่านานเพียงไหน หากแค่เป็นเขาแล้วนั้น ไม่มีวันที่พอตเตอร์จะมองผ่านตัวตนของเขาตอนเด็กไปได้ เขายังคงเป็นเดรโก มัลฟอยที่แสนจะน่ารังเกียจไม่เปลี่ยน

                    ชายหนุ่มกัดริมฝีปากบอกตัวเองว่าห้ามแสดงอารมณ์ออกมาเด็ดขาด แม้จะรู้ว่าดวงตาสีเทาของเขามันมักจะปล่อยความรู้สึกออกมาโดยที่เจ้าตัวห้ามไม่ได้

     

                    บางทีพอตเตอร์อาจจะเห็น หรือไม่เห็น แต่สุดท้ายหมอนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าคำพูดของตนทำให้เดรโกรู้สึกอย่างไร เขารู้สึกเหมือนตัวเองต้อยต่ำยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือนต่อหน้าพอตเตอร์แบบนี้

     

                    “นายไม่ต้องกลับไปทำงานรึไง หรือว่าเพราะเกิดมารวยจะโดดมาดื่มน้ำชาแล้วอ้อยอิ่งนานๆก็ได้ คงมีลูกน้องเป็นสิบคอยวิ่งวุ่นลอบบี้ใส่เงินใต้โต๊ะทำงานให้นายสินะ”

     

                    เดรโกรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า พอตเตอร์ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาทำงานหนักแค่ไหนเพื่อกอบกู้อาณาจักรมัลฟอยที่เกือบล่มจม เขาไม่มีทั้งประสบการณ์ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากสมองกับสองมือ เขาต้องทำทุกอย่าง ไม่มีลูกน้องหรือใครทั้งนั้น

                    ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะหันหลังกลับออกไป แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น เอลฟ์ประจำบ้านก็หายตัวเข้ามาพร้อมกับถาดใส่ชาและอาหารว่าง

                   

                    “ชาคีมุนและทรีเคิลทาร์ตสำหรับคุณพอตเตอร์ตามที่คุณมัลฟอยสั่งครับ” เอลฟ์ตัวจ้อยพูดอย่างนอบน้อมพร้อมกับก้มศีรษะต่ำ ก่อนจะเสกให้ทั้งถาดลอยขึ้นแล้วไปวางอยู่บนโต๊ะข้างๆโซฟาที่หนุ่มผมดำกำลังนั่งอยู่

                   

                    “งั้นฉันลาก็แล้วกันพอตเตอร์ เพราะฉันก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น” เดรโกพูด เขาไม่สนอีกแล้วว่าน้ำเสียงเขาจะฟังดูเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจขนาดไหน

     

                    “เดี๋ยวสิมัลฟอย” เสียงทุ้มเรียกเขาเอาไว้ แต่เดรโกไม่คิดจะหยุดหันหลังกลับ เขาต้องออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย คิดแล้วชายหนุ่มก็ยกไม้กายสิทธิ์แล้วหายตัวไปก่อนที่อีกคนจะคว้าแขนเขาไว้ทัน

     

    ##########

     

                    ...มัลฟอยรู้ว่าขนมโปรดและชาแบบที่เขาชอบคืออะไร... แฮร์รี่คิดขณะจ้องมองถอดชาที่วางข้างตัว นี้ไม่ใช่เซตชาตอนบ่ายแบบปกติของที่นี่ ซึ่งมักจะเป็นชาดาจีลิ่งพร้อมกับขนมสโคน แถมหมอนั้นยังรู้ด้วยว่าเขาชอบทานชากับน้ำผึ้ง มัลฟอยมาหาเขาอย่างสุภาพชน แต่เขาสิที่ทั้งเหวี่ยง ทั้งพูดจาไม่ดีใส่หมอนั้น  

                    คิดแล้วแฮร์รี่ก็ทิ้งตัวลงไปบนโซฟาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยิบชาคีมุนขึ้นมาจิบ กลิ่นหอมของชาปนกับกลิ่นชอคโกแลตเฉพาะตัว กลิ่นที่ปกติทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายในทันทีแต่วันนี้มันกลับไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ปัญหาใหญ่คือเขาไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับมัลฟอยดี ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของหมอนั้นมันเตือนให้เขารู้สึกว่าเขากำลังอกหัก แถมเรื่องระหว่างเขากับมัลฟอยตลอดเจ็ดปีในโรงเรียนก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยด้วย แต่อย่างน้อยในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งแฮร์รี่ก็แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเพิ่งทำกับมัลฟอยนั้นไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับแน่นอน เขาทำตัวเหมือนกับเป็นเด็กๆอย่างนั้น

                    ...แต่การจะทำหน้าเฉย ปั้นยิ้ม แล้วคุยกับมัลฟอยเหมือนปกติอย่างที่เขาควรจะทำ...คิดแล้วแฮร์รี่ก็ย่นจมูก ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม เขาสอบตกเรื่องการเป็นผู้ใหญ่จริงๆเลยสินะ

     

                    เวลาที่เหลือหลังจากนั้นของเขาในเวิร์ดวูดแมนชั่นก็เป็นไปอย่างเบื่อหน่าย เดฟนีเป็นคนเดียวในบ้านที่ยังคุยกับเขาอย่างปกติ แอสเทอเรียนั้นเงียบขรึม เธอหมกตัวในห้องสมุดหรือไม่ก็ในห้องทำงานเขียนบทความเกี่ยวกับมักเกิ้ลศึกษา พวกเขาแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ และทุกครั้งที่เขาคุยกับเธอเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างหายไป แม้ว่าหลังจากที่แอสเทอเรียเริ่มกลับมายิ้มอีกครั้ง แต่รอยยิ้มของเธอก็ยังต่างจากเดิม เสียงหัวเราะก็หาใช่แบบเดิม เธอไม่เคยพูดอะไรที่ไม่สมควรอย่างเคย เธอไม่ขำกับเรื่องตลกของเขา และเธอก็ดูสับสนเป็นอย่างมากเวลาเขาพยายามชวนเธอคุยเรื่องควิดดิช

                    ผ่านไปเกือบสามสัปดาห์นับจากเริ่มงานนี้ จดหมายจากสำนักงานมือปราบมารก็ส่งมาถึงเขา เป็นจดหมายที่บอกว่างานของเขาที่นี่ใกล้จะจบลงแล้ว พร้อมกับโน้ตสั้นๆจากกาเวน โรบาดส์ที่ให้เขาเข้าไปรายงานตัวทันทีในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แฮร์รี่กลืนน้ำลาย อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเวิร์ทวูดคงเหลือแค่ความทรงจำที่ดีเท่านั้น เขากับพวกกรีนกราสคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วหลังจากนี้

    .

    .

    .              

                    บ่ายวันอาทิตย์ที่อากาศดีแบบนี้ สองพี่น้องกรีนกราสกับมัลฟอยตัดสินใจที่จะมาปิกนิกในสวนข้างนอก ทำให้เขาต้องตามมาอย่างเสียไม่ได้ และเมื่อต้องนั่งอยู่ใกล้ๆมัลฟอยแบบนี้แฮร์รี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคุยกับอดีตคู่อริ ปล่อยให้เดฟนีกับแอสเทอเรียออกไปเดินเล่นชมดอกไม้

     

                    “ได้ยินว่านายจะกลับไปที่สำนักงานแล้ววันจันทร์นี้” มัลฟอยเป็นคนเปิดปากถามขึ้นมาก่อน ขณะล้วงเข้าไปหยิบขนมจากตะกร้า ดูเหมือนว่ามัลฟอยจะชอบอาหารหวานซะจริงๆเลย โดยเฉพาะพายฟักทองเพราะทันทีที่หยิบพายฟักทองขึ้นมา ตาสีเทาของหมอนั้นก็เป็นประกายสุกใสเหมือนเด็กๆในช่วงคริสต์มาสไม่มีผิด ...น่าเอ็นดูชะมัด...แฮร์รี่อดคิดไม่ได้ ก่อนจะรีบส่ายหัวเมื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรแบบนั้นกับมัลฟอย

     

                    “ใช่ คดีของเรนฮาร์ทสิ้นสุดลงแล้ว หมอนั้นต้องถูกส่งไปคุมที่อัซคาบันส่วนมาเฟียที่หมอนั้นช่วยเหลือทางฝั่งอินเตอร์โพลก็รวบตัวคนใหญ่ๆมาได้เกือบหมดแล้ว” แฮร์รี่พูดพร้อมกับยิ้มให้ความสำเร็จ ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนยัดไอ้วอลเตอร์เข้าคุกด้วยตัวเอง แต่แฮร์รี่ก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นคดีของเขา 

     

                    “ฉันไม่เคยชอบหน้าไอ้หมอนั้นเลย คิดอยู่ว่ามันต้องทำชั่วอะไรอยู่สักอย่าง ไม่คิดว่ามันจะมีส่วนร่วมในการช่วยพวกมักเกิ้ลค้ามนุษย์” มัลฟอยพูดพร้อมกับทำหน้าเบ้อย่างรังเกียจ ทิ้งให้แฮร์รี่ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคนอย่างมัลฟอยออกมาเห็นใจมักเกิ้ล เขาคิดมาตลอดว่ามัลฟอยคงมองมักเกิ้ลเหมือนสัตว์ไร้ค่าทั้งหลาย

     

                    “เพิ่งรู้ว่านาย...เอ่อ...ไม่คิดว่าการค้ามักเกิ้ลเป็นเรื่องดี”

     

                    ตาสีเทาตวัดมามองเขาอย่างตกใจ “นี้นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไงเนี้ย”

                    “ถึงฉันจะไม่ได้เป็นพวกรักใคร่มักเกิ้ลนักหนา แต่ฉันก็ไม่คิดว่าการบังคับค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมักเกิ้ลหรือผู้วิเศษ หรือใครหน้าไหนก็ตามมันดีทั้งนั้นแหละ พระเจ้า นายคิดว่าฉันจะเห็นด้วยกับคนอย่างวอลเตอร์ เรนฮาร์ทเหรอ” มัลฟอยพูดเสียงสูง

     

                    “ฉันจะไปรู้เหรอ” แฮร์รี่พูดอ้อมแอ้ม พร้อมกับรับแซนด์วิชที่มัลฟอยยื่นมาให้ ชายหนุ่มผมทองรู้อีกแล้วว่าเขาจะชอบไส้อะไร แฮร์รี่คิดขณะมองแซนด์วิชไส้ไก่ย่างเพสโต้ในมือ

                    ...ไม่ใช่แค่เดาๆแล้ว...แฮร์รี่คิดในใจ หมอนั้นรู้แน่ๆ เพราะร่างโปร่งนั้นต้องค้นในตะกร้ากว่าจะเจอไส้นั้น

     

                    มัลฟอยกลอกตาก่อนจะหยิบพายฟักทองใส่ปาก ร่างสูงโปร่งดูจะไม่สนใจที่จะกินของคาวแต่เริ่มด้วยของหวานก่อนเลย

                    “บอกเลยนะพอตเตอร์ ฉันเคยคิดว่าตระกูลพวกเราดีกว่าใครคนอื่น ฉันเคยคิดว่าพวกเลือดบริสุทธิ์ควรจะมีสิทธิ์มากกว่าใครในโลกเวทย์มนตร์ แต่ฉันไม่เคยคิดว่ามักเกิ้ลไม่มีค่า ฉันไม่เคยมองว่าการซื้อขายคนเหมือนกับวัวควายมันเป็นเรื่องปกติ ช่วยปรับสมองนายซะใหม่ด้วยนะพอตเตอร์ ให้ตายสิฉันโตขึ้นมาในสมัยที่ไม่มีทาสแล้วนะ แล้วเรายังต้องเรียนประวัติศาสตร์การเลิกทาสกับบินส์เลย โอ๊ยฉันน่าจะรู้ว่านายลืมวิชาประวัติศาสตร์ไปหมดแล้ว” มัลฟอยพูดแล้วส่ายหน้า

     

                    ส่วนแฮร์รี่ที่พยายามจะพูดตอบโต้แต่ก็กลับโดนสายตาอีกคนส่งมาด่า

     

                    “เคี้ยวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูด นี้นายจำมารยาทอะไรที่เคยสอนได้บ้างไหมเนี้ย” มัลฟอยบ่นต่อพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดปากปัดเศษขนมปังที่ตกบนหน้าอกเสื้อของเขา

                     

                      “ฉันไม่ใช่เด็กนะ แล้วฉันจะไปรู้เรื่องที่นายคิดได้ยังไงเล่า ดูจากสิ่งที่นายทำกับเฮอร์ไมโอนี่ตอนเรียนสิ”

     

                    มัลฟอยเงียบไปก่อนจะถอนหายใจแล้ววางพายลง “ตอนเด็กฉันมันเป็นไอ้โง่ ฉันถูกเลี้ยงดูโดยสอนให้เชื่อว่าพวกเลือดบริสุทธิ์อย่างเราต่างหากที่ควรมีควรได้ทุกอย่าง คนอย่างเกรนเจอร์นั้นเบียดบังสิทธิ์ที่ควรได้ของพวกเรา แล้วพวกเขาก็เป็นภัยต่อความลับของพวกเรา...แต่ฉันก็ไม่เคยอยากจะทำร้ายเธอเลยนะ”

     

                    แฮร์รี่อยากจะเถียงว่านั้นไม่จริงซะหน่อย เฮอร์ไมโอนี่ถูกทรมานในบ้านตระกูลมัลฟอย โดยมีคนตรงหน้าเขานี้แหละที่ร่วมอยู่ด้วย แต่เมื่อย้อนนึกกลับไปแล้ว...คนตรงหน้าจริงๆก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนี้หน่า...หมอนั้นดูกลัวด้วยซ้ำไป

    แล้วถ้าคิดจริงๆหลังจากนั้นมัลฟอยก็ไม่เคยทำไม่ดีกับเฮอร์ไมโอนี่อีกเลย ตอนที่เจอกันตามงานสังคมมัลฟอยก็ทักทายเพื่อนสนิทของเขาอย่างสุภาพและให้เกียรติทุกครั้ง

                    ...หรือว่ามัลฟอยจะเปลี่ยนไปแล้วนะ...

     

                    “นี้พอตเตอร์คือ---“ แต่ก่อนที่มัลฟอยจะพูดจบ เสียงตะโกนอย่างตกใจของเดฟนีก็ทำให้แฮร์รี่และมัลฟอยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาหญิงสาวทันที มือของเขาจับไม้กายสิทธิ์เอาไว้แน่น กลัวว่าจะเกิดอะไรกับหญิงสาว และเมื่อไปถึงเดฟนีก็กำลังประคองตัวแอสเทอเรียเอาไว้ แล้วรีบบอกพวกเขาว่าน้องสาวของเธออยู่ดีๆก็เป็นลม

     

                    หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็รีบรุดกลับแมนชั่น โดยมีเดรโกจัดการเรียกหาผู้บำบัดมาให้ดูอาการแอสเทอเรียถึงที่เวิร์ทวูด เดฟนี เขาและมัลฟอยต่างก็พากันนั่งอยู่ข้างหน้าห้องแอสเทอเรียอย่างเป็นห่วง ขณะที่ผู้บำบัดตรวจดูอาการเธอ จากคำบอกเล่าของเดฟนี อยู่ดีๆแอสเทอเรียก็บอกว่าเหนื่อยแล้วพอพวกเขากำลังเดินกลับเธอก็เป็นลมล้มลงไปก่อนที่จะกลับมาถึง โชคดีที่เดฟนีเข้าไปประคองเธอไว้ทัน

                   

                    ผู้บำบัดในชุดเสื้อคลุมสีเขียวเดินออกมาจากห้องแอสเทอเรีย แฮร์รี่รีบลุกขึ้นเพื่อไปถามอาการ แต่เธอกลับไม่ตอบอะไร ยกเว้นถามหาคู่หมั้นและครอบครัวของแอสเทอเรียเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งเดฟนีและเดรโกมองหน้ากันงงๆ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในห้องของแอสเทอเรีย ทิ้งให้แฮร์รี่ยืนอยู่ที่ระเบียงคนเดียว ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงแทบจะบ้า

     

    ###

     

                    “น้องเป็นอะไรรึเปล่าคะ” เดฟนีรีบรุดเข้าไปข้างเตียงลูบผมเป็นลอนของน้องสาวของเธอ เดรโกรู้ว่าทั้งสองคนสนิทกันแค่ไหน 

                    “ทำไมป่านนี้น้องยังไม่ฟื้นเลย” เสียงเธอสั่นอย่างตื่นตระหนก แต่ผู้บำบัดสาวกลับไม่มีท่าทางอย่างคนที่กำลังจะบอกข่าวร้ายสักเท่าไหร่ นั้นเป็นสิ่งเดียวที่เดรโกมองว่ายังคงดีอยู่

     

                    “คุณแอสเทอเรีย กรีนกราสมีอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรงจากการสูญเสียพลังงานเวทย์มนตร์ค่ะ เป็นอาการปกติทั่วไป...” หญิงสาวหยุดพูดแล้วหันมาสบตากับเดรโกนิ่ง

                    “ของแม่มดที่ท้องค่ะ”

     

                    เดรโกรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน แอสเทอเรียท้อง พระเจ้า พระเจ้า แม้กระทั่งเดฟนีเองก็พูดอะไรไม่ออก ผู้บำบัดกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

                    “ช่วงแรกจะมีเด็กจะมีการใช้พลังงานเวทย์มนตร์จากแม่ก่อนที่เด็กจะโตพอที่ร่างกายมีเวทย์มนตร์ได้เอง ฉันจะให้น้ำยาเพิ่มพลังงานนะคะ แต่ขอแนะนำให้คุณแอสเทอเรียไปติดต่อโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดดีกว่า ทางครอบครัวมีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหมคะ”

     

                    ชายหนุ่มฝืนยิ้ม “ไม่ครับ ขอบคุณมากครับ”

     

                    “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันจะกลับเลยนะคะ ให้คุณแอสเทอเรียนอนพักสักครู่เดี๋ยวก็คงตื่น ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ” พูดจบหล่อนก็หยิบไม้กายสิทธิ์และอุปกรณ์ตรวจร่างกายอื่นๆ ก่อนจะหายตัวออกไปจากห้อง

     

                    เดรโกกับเดฟนีมองหน้ากันนิ่ง

                    “นายจะทำยังไง” เดฟนีถามเสียงเบาหวิว เขารู้ว่าเธอหมายความว่ายังไง

                    ...เขาจะแต่งงานกับแอสเทอเรียไหม... แต่นั้นไม่ใช่ตัวเลือกของเขาไม่ใช่หรือ หากเป็นของหญิงสาวที่ยังคงนอนไม่ได้สติตรงนี้ แอสเทอเรียต่างหากที่ต้องเป็นคนเลือกว่าจะทำยังไงดี และสำหรับเดรโกเขามีคำตอบอยู่แล้ว หากแอสเทอเรียยังอยากจะแต่งงานกับเขา เขาก็ยินดีที่จะรับเป็นพ่อของเด็กในท้องของเธอ ซึ่งมันก็ลงตัวพอดีเลยไม่ใช่หรือ เขาที่ไม่อยากจะทำให้ผู้หญิงคนไหนท้อง มาแต่งงานกับผู้หญิงที่ท้องอยู่แล้ว

                   

                    ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรต่อ คนบนเตียงก็ส่งเสียงครางเบาๆออกมา ตาสีน้ำตาลเข้มค่อยๆเปิดขึ้น

                    “ฉันเป็นอะไร” หญิงสาวพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ

     

                    “น้องเป็นลมตอนเราเดินกลับจากดูดอกไม้ จำได้ไหม” เดฟนีรีบเข้าไปดูอาการของน้องสาว เดรโกเองก็เช่นกัน ผิวหน้าซูบซีดของเธอเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว

     

                    “ดื่มนี้ซะแอสเทอเรีย” เดรโกยื่นน้ำยาที่ผู้บำบัดทิ้งเอาไว้ “ดื่มแล้วน้องน่าจะรู้สึกดีขึ้น”

     

                    หญิงสาวรับขวดแก้วมาแล้วทำตามอย่างว่าง่าย

                    “หนูไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมคะ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลมองเดรโกกับเดฟนีสลับกัน ท่าทางเธอสับสนเป็นอย่างมา

     

                    ชายหนุ่มสบตากับเดฟนี ใครจะเป็นคนบอกแอสเทอเรีย เขาสั่งทางสายตาให้เดฟนีเป็นคนพูด เธอเป็นพี่สาวของแอสเทอเรียนะ 

                   

                    “น้องไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ” เดฟนีพูดอย่างฝืนๆ “แต่แค่...เอ่อ...น้องกำลังท้องน่ะ”

     

                    สิ้นคำของเดฟนี หญิงสาวผมเข้มก็ยกมือขึ้นมาแตะกลางลำตัวเบาๆ ตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจในไม่กี่วินาที เธอเป็นเรเวนคลอแน่นอนว่าเธอประติดประต่ออาการของเธอได้ไม่ยากอยู่แล้ว

                    “หนู...หนูต้องบอกปีเตอร์” เธอพูดเสียงสั่นเครือ ท่าทางของเธอทำให้เดรโกสงสารคนตรงหน้าจับใจ และเขาก็รู้สึกแย่ขึ้นไปอีกที่เขาต้องเป็นคนพูดความจริงต่อไปนี้กับเธอ

     

                    “น้องลบความทรงจำเขาไปแล้ว แอสเทอเรียการฟื้นความทรงจำน่ะยากแค่ไหนน้องก็รู้ แล้วถ้าบอกเขาไปจะทำยังไงต่อ ท่านเดมิทริสจะยอมให้น้องไปอยู่กับมักเกิ้ลหรือ” เดรโกถามออกมาตรงๆ เขารู้ว่าตระกูลกรีนกราสไม่ได้เกลียดมักเกิ้ล แต่การไม่ได้เกลียดมันไม่ได้เหมือนกับการรับเป็นลูกเขยหรอกนะ และเพราะเรื่องนั้นไม่ใช่หรือพวกเขาทั้งคู่ถึงต้องแกล้งทำเป็นคู่หมั้นกัน

     

                    เธอเงียบไปเหมือนคิดตาม เดรโกรู้ว่าถ้าแอสเทอเรียต้องการจะหนีจากตระกูลเธอก็ทำได้ แต่เธอรักบิดาของเธอมากกว่าสิ่งไหน เขาเป็นคนเดียวที่เลี้ยงเธอมาหลังจากคุณนายกรีนกราสเสียไป เธอไม่มีวันทำอะไรให้เขาเสียใจแน่นอน

                    “งั้นหนูก็จะเลี้ยงเด็กคนนี้คนเดียว หนูจะไม่เอาเด็กออกหรอกนะคะ” แอสเทอเรียพูดถึงการทำแท้งที่เป็นปกติในตระกูลเลือดบริสุทธิ์ หากคิดว่าลูกที่จะเกิดเป็นสควิบหรือท้องนอกสมรส พวกเขามีคาถาเฉพาะซึ่งไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ แต่เดรโกก็รู้เช่นกันว่าคนอย่างแอสเทอเรียไม่มีวันเลือกทางนั้น

     

                    “เธอไม่ต้องทำคนเดียวนะ พี่ยังเป็นคู่หมั้นเธอ” เดรโกเสนอทางออก แต่หญิงสาวหันขวับมามองหน้าเขาเหมือนเขาบ้าไปแล้ว

                   

                    “หนูทำอย่างนั้นกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะแต่งงานกัน แล้วอีกอย่างพี่จะรับเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดมัลฟอยมาเป็นทายาทนะคะ ลุงลูเซียสรู้คงอกแตกตาย”

     

                    เดรโกหัวเราะเบาๆ ก็จริงอย่างที่เธอพูดทุกอย่าง แต่สำหรับเขามัลฟอยไม่ใช่สายเลือก ไม่เกี่ยวกับยีนหรืออะไรทั้งนั้น ความเป็นมัลฟอยคือตระกูล คือคนที่อยู่ในนั้น คือประวัติศาสตร์ทุกอย่าง และไม่สำคัญหรอกว่าคนที่จะมาสืบทอดจะมีสายเลือกนั้นหรือไม่ แค่เขาโตเข้ามาโดยเข้าใจตระกูลมัลฟอยแล้วพร้อมจะนำตระกูลต่อไปก็พอแล้ว

                    “พี่ยืนยันนะแอสเทอเรีย ให้พี่แต่งกับเธอยังดีกว่าแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนๆ แล้วเราก็มีลูกโดยไม่ต้องทำอะไรเลย วิน-วินกันทั้งคู่ ลูเซียสไม่จำเป็นต้องรู้อะไรด้วย”

     

                    “อย่างนั้นหนูก็เอาเปรียบพี่เกินไปสิคะ แล้วพี่ก็ไม่ต้องมีชีวิตรักแบบที่พี่ต้องการกันพอดี ถ้าวันไหนพี่เจอคนที่พี่รักล่ะค่ะ” แอสเทอเรียถามตรงๆ

     

                    คำถามของเธอทำให้หน้าอกเขาปวดขึ้นมาเบาๆ เจอแล้วต่างหาก ไม่ใช่วันไหน แต่คนที่เขารักน่ะ มันไม่มีโอกาสเลย พอตเตอร์ไม่ได้มีท่าทีจะชอบเขาเลยสักนิด อย่างมากก็แค่ทนๆทำตัวปกติเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น จะให้เปลี่ยนจากเกลียดเป็นรู้สึกรักในเวลาสั้นๆสำหรับพอตเตอร์แล้วคงเป็นไปไม่ได้ คนอย่างหมอนั้นหากเชื่ออะไรแล้วไม่มีวันเปลี่ยน เขาต่างหากสิที่เปลี่ยนไปตามเวลา เปลี่ยนจากความอิจฉา เป็นเข้าใจ เป็นมิตร และรู้สึกรักในที่สุด

                    “เอาไว้ค่อยคิดตอนที่มีดีกว่า” เดรโกขยี้ผมเธอเบาๆ เมื่อเธอเปิดปากจะเถียงเขาอีกครั้งเดรโกก็รีบพูดต่อ

                    “แต่งงานกับพี่นะแอสเทอเรีย แต่งกันให้เร็วที่สุดเลยด้วย” แล้วอยู่ด้วยกันสองคนแบบคนที่อกหักตลอดชีวิต เดรโกพูดต่ออย่างขมขื่น ก็มันจริงนี้หน่า แอสเทอเรียต้องตัดใจจากปีเตอร์หนุ่มมักเกิ้ลของเธอ ส่วนเขาก็ต้องลืมพอตเตอร์ให้ได้

     

                    หญิงสาวหยุดคิดก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า “แต่พี่ยกเลิกได้ทุกวินาทีเลยนะคะ เมื่อไหร่ก็ได้”

     

                    เดรโกส่งยิ้มเศร้าๆให้เธอ คงไม่มีหรอกวันนั้น

     

    ###########

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×