ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Story in Reverse (HP/DM)

    ลำดับตอนที่ #7 : Unclean Break

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 59


    ตอนที่ 6: Unclean Break

    If pain must come, may it come quickly. Because I have a life to live, and I need to live it in the best way possible. If he has to make a choice, may he make it now. Then I will either wait for him or forget him. 

    - Paulo Coelho, By the River Piedra I Sat Down and Wept

     

                    แฮร์รี่จับคอเสื้อตัวเองอีกครั้ง เขารำคาญชุดทางการของผู้วิเศษเป็นอันมาก แม้ว่าจะเป็นชุดที่ตัดใหม่เข้ากับเขาเป็นอย่างดีแต่มันก็ยังรู้สึกรุ่มร่ามเหมือนทุกครั้งที่เขาต้องใส่มัน ทั้งๆที่จริงเขาน่าจะชินกับชุดยาวแบบนี้ได้แล้วเพราะเสื้อคลุมของมือปราบมารเองก็เป็นชุดยาวซึ่งทั้งหนาและหนักไม่น้อยกว่าชุดทางการที่เขากำลังใส่นี้อยู่แล้ว

                    ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วกวาดตาไปรอบๆห้องบอลรูมอีกครั้ง ดูเหมือนงานกาล่ากำลังดำเนินไปได้ดี แถมยอดเงินบริจาคที่เรี่ยไรได้ก็ทะลุเป้าไปแล้ว ต้องขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่เชิญเหล่านักธุรกิจและตระกูลร่ำรวยทั้งหมดในโลกเวทมนตร์ ทำให้ทุกคนที่อยากอวดว่าตัวเองรวยพากันบริจาคแล้วอวดแบ่งแข่งกันน่าดู หน้าที่ของเขาในงานนี้คือจับมือกับกลุ่มผู้บริจาคแล้วอธิบายถึงการทำงานของสำนักงานมือปราบมารและแผนการที่จะใช้เงินในปีหน้า และพยายามที่จะไม่ทำผิดมารยาททางสังคม แฮร์รี่ไม่ลืมที่จะย่อเข่าจูบมือกับผู้หญิง และก้มศีรษะต่ำและแตะที่หน้าอกเมื่อทักทายกับแขกผู้ชาย บทสนทนาที่คุยได้คือเรื่องดินฟ้าอากาศ อาหาร และชุดที่อีกฝ่ายใส่ เรื่องต้องห้ามคือเรื่องการเมือง ตระกูล และสถานภาพการแต่งงาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแฮร์รี่ไม่อยากถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาจะจีบอีกฝ่าย)

                    หลังจากต้องเดินรอบห้อง และฟังทุกคนเล่าเรื่องของตัวเองจนเหนื่อย ตอนนี้เขาก็ขอพักเงียบๆสักหน่อยเถอะ อีกสักพักจะมีการเปิดฟลอร์เต้นรำแล้ว หวังว่าโรบาดส์จะไม่ได้คาดหวังให้เขาต้องชวนใครเต้นหรอกนะ ชายหนุ่มคิดแล้วถือแก้วเหล้าเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อสูดอากาศ

     

                    “เบื่อแล้วหรือพอตเตอร์” เสียงทุ้มๆดังมาจากข้างหลัง เสียงที่แฮร์รี่จำได้ทันทีว่าเป็นใคร เขาเห็นร่างโปร่งแวบๆในหมู่คน แต่เขาก็ยังไม่ได้มีโอกาสเดินไปทัก และอีกอย่างเขาชักไม่แน่ใจด้วยว่าเขาจะทักอีกคนในฐานะอะไร

                    ...เดรโก มัลฟอย...ไม่ใช่เพื่อนเขา แต่ก็ไม่ใช่คู่อริเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว และเขาก็คงกระดากปากหากจะเรียกอีกคนว่าแค่คนรู้จักเพราะเขาคงไม่สนุกกับการกินอาหารหรือดูควิดดิชกับแค่คนรู้จักหรอก บางทีเขาก็หวังว่าหมอนั้นจะไม่ทำกับเขาซะแสบขนาดนั้นตอนที่เรียนที่ฮอกวอตส์ เพราะมันคงทำให้เขาสะดวกใจเรียกมัลฟอยว่าเพื่อนง่ายขึ้น

     

                    แฮร์รี่ไม่ตอบแต่หันไปมองร่างโปร่งที่ยืนมาพิงระเบียงข้างๆเขา แสงไฟจากห้องบอลรูมสะท้อนกับผมของมัลฟอย หมอนั้นจัดผมเสยไปข้างหลังอีกแล้ว ทั้งๆที่เวลาปล่อยลงมาดูดีกว่าตั้งเยอะ “ทำผมแบบนั้นระวังนายจะหัวล้านเร็วนะมัลฟอย”

     

                    ตาสีเทาเบิกกว้าง ก่อนจะหรี่มองเขา

                    “นี้จำไม่ได้รึไงว่าติการแต่งกายและหน้าตาของคู่สนทนา”

     

                    แฮร์รี่ยิ้มออกมา ใช่จำได้สิ หนึ่งในบทเรียนที่แอสเทอเรียสอนเขา คนอย่างมัลฟอยคงเรียนรู้เรื่องพวกนั้นตั้งแต่เด็กๆแล้วสิ “นายก็ไม่เห็นจะเคยทำกับฉันเลย จำได้ไหมใครที่เรียกฉันว่า สี่ตา หน้าแผลเป็น แล้วไอ้หัวยุ่ง” แฮร์รี่สวนกลับ

     

                    “ไม่ยุติธรรมเลยพอตเตอร์ ตอนนั้นฉันยังเด็ก อีกอย่างฉันก็จำได้ว่านายก็เรียกชื่อฉันต่างๆนาๆ ไอ้หัวเมือกบ้างหล่ะ ไอ้หน้าแหลมบ้างล่ะ” มัลฟอยทำหน้าเบ้

     

                    “อะฮะ นายจะบอกว่านายโตแล้วตอนนี้ จะไม่ติหน้าตาฉันแล้วสินะ” แฮร์รี่ยกไวน์ขาวขึ้นมาจิบ เขาสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เพราะไวน์ เพราะอากาศ หรือเพราะคนตรงหน้ากันแน่นะ   

     

                    “แน่ล่ะ เห็นฉันด่าไอ้หัวที่เหมือนรังนกของนายรึเปล่าล่ะ ถึงฉันจะคันปากยุบยิบแล้วก็อยากลากนายไปร้านทำผมทุกครั้งที่เห็นก็เถอะ ฉันต้องอดทนอดกลั้นมากเลยนะพอตเตอร์” มัลฟอยพูดยิ้มๆ

     

                    “ก็ได้ๆ ไม่คุยแล้ว คุยเรื่องคู่หมั้นนายดีกว่า วันนี้แอสเทอเรียไม่มาหรือ” แฮร์รี่ถามออกมาในที่สุด เขาเห็นเดมิทริส กรีนกราส แต่เขากลับไม่เห็นลูกสาวทั้งสองคนของชายสูงวัย

     

                    มัลฟอยถอนหายใจแล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบบ้าง “แอสเทอเรียอยู่บ้านกับเดฟนี เดฟนีไม่อยากออกมางานแบบนี้หลังข่าวครึกโครมเรื่องเรนฮาร์ท ขี้เกียจฟังเสียงซุบซิบว่างานวิวาห์ล่มก่อนแต่งแค่ไม่ถึงสัปดาห์ แถมเจ้าบ่าวยังกลายมาเป็นคนคุกอีก”

     

                    แฮร์รี่แน่ใจว่ามัลฟอยโกหก เขาทำงานมานานพอที่จะจับโกหกได้ โดยเฉพาะกับคนที่เขารู้จักมาตั้งสิบสองปีอย่างมัลฟอย แต่เขาก็ไม่อยากจะเถียงมัลฟอย มันต้องมีอะไรที่หมอนั้นไม่อยากให้เขารู้ และเขาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาคาดคั้นเอาความจริงกับชายหนุ่ม

     

                    “เสียดายนะที่เธอไม่ได้เห็นฉันออกงานแล้วมีแต่คนชมว่ามารยาทดี โดยเฉพาะจากพวกป้าๆทั้งหลาย”

     

                    “ฉันจะกลับไปเล่าให้เธอฟัง ว่าเดี๋ยวนี้พานายออกงานได้ไม่ต้องกลัวขายหน้าแล้ว อย่างน้อยๆนายก็ใส่ชุดผู้วิเศษได้อย่างถูกต้อง” มัลฟอยก้าวเข้ามาใกล้ มือแตะที่ราวกระดุมเสื้อเม็ดเล็กๆของเขา “กระดุมแถวห้าสิบเม็ดกับเสื้อคลุมสีน้ำเงินไม่ใช่สีดำ เก่งมากพอตเตอร์ที่จำได้” แต่แล้วก็เหมือนร่างโปร่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ มัลฟอยรีบยกมือขึ้นแล้วถอยหลังกลับ

                    “เอ่อ ฉันว่าฉันกลับไปข้างในดีกว่า”

     

                    “เดี๋ยวสิมัลฟอย” แฮร์รี่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเรียกอีกคนออกไปแบบนั้น “เอ่อ คุยกันก่อนสิ” เขาพูดสิ่งแรกที่อยู่ในใจออกไป เขาอยากรู้จักอีกคนให้มากกว่านี้ ทุกครั้งที่เจอกันเรื่องเดียวที่คุยกันก็คือแอสเทอเรีย ไม่เคยสักครั้งเลยที่มัลฟอยจะพูดถึงตัวเอง แฮร์รี่ก็ไม่เคยคิดจะถามเช่นกัน เขาคิดว่าตัวเองรู้จักกับมัลฟอยดีพอ แต่ทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาร่วมกันก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาคิดผิดอย่างสิ้นเชิง

                   

                    ตาสีเทามองเขาอย่างไม่แน่ใจ แต่ร่างโปร่งก็เดินกลับมาที่ระเบียงเงียบๆอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ใช้เวลาพักใหญ่ดูดาว และคุยเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่เรื่องงานของมัลฟอย (บริหารธุรกิจทั้งหลายของตระกูลที่มีตั้งแต่ซื้อขายที่ดิน ทำโรงแรม เลี้ยงสัตว์ การเกษตร จนไปถึงโรงกลั่นเหล้า เขาเพิ่งรู้ว่ามัลฟอยต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด หมอนั้นถึงได้แทบหายหน้าไปจากวงสังคม) อาหารที่ชอบ (แน่นอนว่าคือพายฟักทองและของหวานต่างๆ) เรื่องที่สนใจ (ศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ! ทำให้เขาอยากจะเล่าว่าเขาเคยจับศิลาอาธรรพ์ไว้ในมือแล้ว อยากเห็นว่าหมอนั้นจะทำหน้าตาอิจฉาขนาดไหน) และควิดดิช   

                    พวกเขาคุยกันเงียบๆจนกระทั่งเสียงเพลงจากในห้องบอลรูมดังขึ้นนั้นแหละ มัลฟอยหันกลับไปมองเหล่าคู่ผู้วิเศษที่พากันเดินลงไปที่ฟลอร์เต้นรำ

                    “ฉันว่าพวกเราน่าจะกลับเข้าไปได้แล้วนะ”

     

                    แฮร์รี่พยักหน้าเห็นด้วย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องบอลรูมพร้อมกับมัลฟอย “นี้ฉันต้องเต้นรำด้วยรึเปล่าเนี้ย” แฮร์รี่บ่นกับตัวเองเบาๆ เพราะถึงแอสเทอเรียกับเดฟนีจะเคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนเต้นรำ แต่แฮร์รี่ก็ยังห่วยบรมอยู่ดี อาจจะไม่ถึงขั้นที่แย่แบบเหยียบเท้าคู่เต้นเหมือนตอนแรก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางสง่างามใกล้เคียงกับที่แอสเทอเรียทำเป็นตัวอย่างเลยสักนิด

     

                    “กลัวรึไงพอตเตอร์” มัลฟอยยกมุมปากขึ้นน้อยๆ

     

                    “ฝันไปเถอะ” แฮร์รี่พูดออกไปอัตโนมัติ แม้ว่าคำตอบจริงๆมันตรงกันข้ามก็ตาม

     

                    “นายทำได้น่าพอตเตอร์ และถ้าเพื่อนายยังไม่แน่ใจก็ดูฉันเอาไว้นะ ดูแล้วจำเอาไว้ด้วย ฟอร์มการเต้นที่สมบูรณ์แบบอย่างฉันน่ะไม่ได้หาได้ง่ายๆ” มัลฟอยพูดแล้วยักคิ้วให้แฮร์รี่ ก่อนจะหัวเราะแล้วหันไปค้อมศีรษะให้กับคุณนายอับบอต แม่ของฮันนาห์ อับบอต

                    ภาพตรงหน้ามันซ้อนกับเรื่องในความทรงจำของเขาราวกับเขากำลังฝันอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากแอสเทอเรีย กรีนกราสเป็นเดรโก มัลฟอยเท่านั้น ทั้งคำพูด ทั้งสีหน้าท่าทาง แล้วยังการยักคิ้วอย่างนั้นอีกเล่า เขาเคยคิดว่าแอสเทอเรียมีบางส่วนคล้ายมัลฟอย คล้ายจนเหมือน

                    แล้วยังวิธีการเต้นแบบนั้นอีก แฮร์รี่คิดขณะมองตามร่างโปร่งที่เคลื่อนที่อย่างสง่างามไปรอบๆ แอสเทอเรียเรียนวิธีการเต้นรำมาจากมัลฟอยหรืออย่างไรนะ

                    ...แต่ก็แปลกเหลือเกินที่คนสองคนจะเหมือนกันได้ขนาดนี้

     

    ##########

     

                    เดรโกอยากจะชกตัวเองแรงๆ เผื่อว่าสมองของเขาจะกลับมาเป็นปกติได้บ้าง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยทำตามคำสั่งของเขาสักเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพอตเตอร์ เขาควรจะทำตัวออกห่างจากพอตเตอร์ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมทุกครั้งที่เข้าใกล้ เขาก็เป็นเหมือนแมงเม่าที่ถูกดึงดูดด้วยแสง เขาหยุดตัวเองไม่ได้เลย และยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกดีกับพอตเตอร์มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าหมอนั้นยังคงไม่ได้ดีกับเขาเหมือนอย่างตอนที่เขาเป็นแอสเทอเรีย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอตเตอร์ไม่ได้ทำเหมือนรังเกียจเขาเหมือนเดิมอีกแล้ว หมอนั้นยิ้มและหยอกเย้ากับเขาเหมือนกับว่าเขาเป็น...เพื่อน...

                    ...มันคงดีกว่าถ้าพอตเตอร์เกลียดเขาไปซะ... อย่างน้อยเขาก็จะได้ตัดใจได้อย่างง่ายๆ แทนที่จะทำให้ทุกครั้งที่เจอหัวใจเขาเต้นแรง และมันมีความหวังอย่างที่ไม่ควรเช่นนี้

                    “ถึงเวลาของยาแรงแล้วมั้ง” เดรโกพูดกับตัวเองแล้วมองเพดาน

    .

    .

    .

                    “ลูกจะประกาศเรื่องแต่งงานเหรอจ้ะ” นาร์ซิสซาพูดอย่างตกใจพร้อมวางช้อนคนชาลง พ่อกับแม่รู้เรื่องที่เขาจะแต่งงานกับแอสเทอเรียมาแล้วสักพัก แต่เขายืนยันว่าจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับจนกว่าจะเตรียมพร้อมเสร็จ แม้พ่อจะฮึดฮัดอยากประกาศแค่ไหนก็ตาม ส่วนตั้งแต่แรกแม่เขาเอาแต่มองเขาอย่างเป็นห่วง เขาแน่ใจว่าแม่รู้ว่าจริงๆเขามีความชอบแบบไหน แต่แม่ก็ไม่พูดออกมา

     

                    “เดี๋ยวพ่อจัดการหาประชาสัมพันธ์ให้ดีไหม” ลูเซียสยิ้มกว้าง พร้อมกับร่ายคาถาเรียกสมุดรายชื่อออกมา พ่อของเขาดูยินดีเสียยิ่งกว่าคนที่เป็นเจ้าบ่าวเสียอีก ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าเขาจะแต่งงานกับแอสเทอเรียพ่อก็รีบสั่งให้เอลฟ์ประจำบ้าน ทำความสะอาดห้องว่างๆ แล้วแต่งห้องเตรียมสำหรับคู่แต่งงาน เขายังไม่ได้บอกพ่อว่าเขาวางแผนจะย้ายออกไปอยู่ในลอนดอนกับแอสเทอเรีย

                    “ต้องลงหน้าหนึ่งเดลี่โพรเฟ็ตเลยรึเปล่านะ” ลูเซียสพูดต่ออย่างครุ่นคิด

     

                    เป็นอีกครั้งที่ทั้งเขาและแม่ต้องกลอกตากับความเว่อร์ของพ่อ

                    “ไม่ต้องหรอกครับ แค่ประกาศเหมือนคนปกติเขาก็พอแล้วครับ ผมไม่อยากโดนด่าว่าเป็นพวกอวดรวย หรือดึงความสนใจมาที่ตระกูลมัลฟอย”

     

                    “เดรโก ลูก—“ นาร์ซิสซาพูดขึ้นอีกครั้ง

     

                    “ผมตัดสินใจดีแล้วครับแม่” ชายหนุ่มตัดบทแม่ของเขา นาร์ซิสซามองมาที่เขานิ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมแพ้

     

                    “แม่แค่อยากให้ลูกมีความสุขที่สุด จำเอาไว้นะจ้ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม่จะรักลูกเสมอ”

     

                    “แต่พ่อจะรักแกมากขึ้นถ้าแกมีหลานให้พ่อ” ลูเซียสพูดต่อโดยไม่สนใจอารมณ์ของคู่สนทนาร่วมโต๊ะอาหารทั้งคู่

     

                    “คุณค!ะ”

                    “พ่อครับ!” ทั้งนาร์ซิสซาและเดรโกพูดขึ้นพร้อมกัน

     

                    “พ่อเขาตั้งใจจะพูดว่าเขาก็รักลูกเหมือนกันนั้นแหละจ้ะ” นาร์ซิสซาส่งยิ้มให้ลูกชายคนเดียว

     

                    ชายหนุ่มฝืนส่งยิ้มกลับ เขารู้ดี ทั้งพ่อและแม่รักเขาแค่ไหน เดรโกแน่ใจด้วยซ้ำว่าถึงเขาจะบอกว่าเขาเป็นเกย์ทั้งคู่ก็คงไม่มีวันเกลียดเขาไปได้ แต่มันคงทำให้พ่อผิดหวังมาก...และเดรโกไม่อยากเป็นคนทำให้พ่อผิดหวังมากไปกว่านี้อีกแล้ว

     

                    เดรโกลงลายเซนต์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งกระดาษคืนให้เจ้าหน้าที่จากหนังสือพิมพ์เดลี่โพรเฟ็ต พรุ่งนี้ข่าวงานแต่งงานของเขากับแอสเทอเรียจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แต่มันจะเป็นแค่ย่อหน้าเล็กๆในส่วนสังคมของหนังสือพิมพ์

                    แล้วเขาก็ดูรายชื่อแขกที่แอสเทอเรียส่งคืนมาให้เขา หล่อนเพิ่มชื่อเพื่อนของหล่อนเข้ามาสองสามคน แต่ทั้งคู่ยืนยันว่าจะเป็นงานเล็กๆ ที่เชิญเฉพาะญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้น เหตุผลที่เขาบอกทุกคนก็คือเพราะเขาอยากให้รู้สึกเป็นส่วนตัวและพิเศษ แต่เหตุผลจริงๆก็คือเจ้าสาวของเขายังคงอ่อนเพลียจากการสูญเสียพลังงานเวทมนตร์ให้กับเด็กในท้อง แอสเทอเรียต้องเป็นลมไปก่อนแน่หากจัดงานใหญ่กว่านั้น นิ้วของเดรโกไล่ตามรายชื่อบนกระดาษจนมาสะดุดที่รายชื่อหนึ่ง ...แฮร์รี่ พอตเตอร์: แขกของเดฟนี กรีนกราส... เพื่อนบ้านั้นคิดอะไรอยู่นะถึงได้เชิญพอตเตอร์

                    แต่บางทีนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการก็ได้ ...ยาแรงของเขา... ไม่ต้องคิดเลยว่าพอตเตอร์จะโกรธแค่ไหนหากรู้ว่าเดรโกกำลังจะแต่งงานกับแอสเทอเรีย ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ขีดชื่อนั้นออก เขาม้วนกระดาษแล้วส่งให้เลขาจัดการส่งบัตรเชิญไปให้คนตามรายชื่อทั้งหมดด้วย

    .

    .

    .

                    และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด เพียงแค่สองวันหลังจากนั้น พอตเตอร์ก็บุกมาหาเขาถึงห้องทำงาน ไม่รู้ว่าหมอนั้นหาที่อยู่ของบริษัทเขาเจอได้ยังไง

                    “มัลฟอย” พอตเตอร์พูดเสียงเขียว ไม่ฟังเสียงร้องห้ามของเลขาของเขาที่บอกว่าให้พอตเตอร์ออกไปเดี๋ยวนี้

     

                    “ลินดาไม่เป็นไร แล้วปิดประตูให้ฉันด้วย” เดรโกลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วหันไปสั่งให้เลขาของเขาออกไป พอตเตอร์กำลังโกรธ และหมอนั้นไม่มีวันยอมถอยง่ายๆแน่ ทางเดียวก็คือเผชิญหน้าตรงๆ อย่างน้อยๆเขาก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง

                    เมื่อพวกเขาอยู่กันแค่สองคนพอตเตอร์ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

                    “นี้มันหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับการ์ดเชิญที่ถูกขยำในมือ “นายกำลังจะแต่งงานกับแอสเทอเรีย!!!” เสียงพอตเตอร์เต็มไปด้วยความโกรธ สายตาคู่นั้นมองเขาเหมือนเขาเป็นคนทรยศหรืออะไรอย่างนั้น

     

                    “ฉันเป็นคู่หมั้นเธอ การแต่งงานก็เป็นขั้นต่อไปอยู่แล้ว” เดรโกพูดเสียงเรียบๆ พยายามคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เขาจะไม่ให้สายตาแบบนั้นของพอตเตอร์มาทำให้เขาใจอ่อนเด็ดขาด

     

                    พอตเตอร์ปาการ์ดลงบนพื้น แล้วก้าวมาประชิดตัวเขา “สนุกมารึไงมัลฟอย นายเห็นฉันพยายามไล่ตามแอสเทอเรียทั้งๆที่รู้ว่าพวกนายกำลังจะแต่งงานกันอีกไม่ถึงเดือน”

     

                    “เปล่าเลยพอตเตอร์” เดรโกยืนหยันเขาจะไม่ถอยหลัง “แล้วฉันก็จำได้ว่าทุกครั้งฉันบอกนายแล้วว่านายไม่มีหวังหรอกกับแอสเทอเรีย”

     

                    พอตเตอร์ขมวดคิ้วมองตาเขาอย่างค้นหา “นายทำอย่างนั้นไปทำไม นายไม่ได้รักเธอด้วยซ้ำ นายจะผูกมัดเธอไว้ทำไมกัน ฉันคิดว่านายดีกว่านี้นะมัลฟอย”

     

                    เดรโกรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าเต็มๆ นี้พอตเตอร์คิดว่าเขาแย่ขนาดไหนกัน หมอนั้นคงคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดที่ใช้แอสเทอเรียเพื่อประโยชน์ของตัวสินะ ทำให้หญิงสาวพลาดจากรักที่เธอควรได้

                    ...แล้วเขาเล่า... เขาเองก็อยู่ในสถานะไม่ต่างกับแอสเทอเรียไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่เป็นผู้ร้าย

                    ...เพราะเขาไม่ใช่คนที่พอตเตอร์รักยังไงล่ะ...

                    “ฉันเคยบอกนายแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่นายคิด ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเข้าใจไหมพอตเตอร์ นายอาจจะมีชีวิตในโลกสีกุหลาบของนาย แต่คนอย่างฉันกับแอสเทอเรียเราก็มีโลกของเรา แล้วฉันบอกนายอีกอย่างนะพอตเตอร์ ฉันเชื่อว่าเหตุผลระหว่างฉันกับแอสเทอเรียมันจริงและหนักแน่นยิ่งกว่าความรักของนายเสียอีก”  

                    “นายเคยถามตัวเองไหมว่าที่นายจะรักผู้หญิงที่นายรู้จักแค่สามสัปดาห์ได้ยังไง หลังจากตอนนั้นนายได้คุยกับเธออีกเหรอ นายรู้อะไรเกี่ยวกับแอสเทอเรียบ้างฮึพอตเตอร์ นายจะไปรักคนที่นายไม่ได้รู้จักตัวตนดีขนาดนั้นได้ยังไง” เดรโกต้องพยายามพูดให้เสียงไม่สั่น

                    “อย่าเอาความคิดของนายมาตัดสินเรื่องของคนอื่น”

     

                    พอตเตอร์กำหมัดแน่น ตาสีเขียวเป็นประกายอย่างโกรธเกรี้ยว “นายนั้นแหละอย่าเอาเหตุผลของนายมาตัดสินเรื่องของฉัน ความรู้สึกที่ฉันคนอย่างนายไม่มีวันเข้าใจ เพราะนายมันคงไม่เคยมีหัวใจให้ใคร ในหัวของนายคงมีแต่เหตุผลไร้สาระเต็มไปหมด เคยจะมีสักครั้งไหมมัลฟอยที่นายจะมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์คนอื่น”

                    “ฉันมันไว้ใจคนอย่างนายได้ยังไงกันนะ นายมันเป็นพวกงูพิษชัดๆ แว้งกัดแล้วก็เลือดเย็น”

     

                    “รู้ก็ดีแล้วนี้ งั้นก็กลับไปได้แล้วพอตเตอร์ กลับไปเลย!” เดรโกตะโกนอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่  

     

                    พอตเตอร์สะดุ้ง ก่อนจะคลายหมัดที่กำแน่น แล้วก้มหน้าลง “ฉันมันบ้าเองที่คิดว่านายเปลี่ยนไปแล้ว”

     

                    น้ำเสียงผิดหวังของพอตเตอร์ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าคำพูดรุนแรงของอีกคนเสียอีก เขามาถึงจุดนี้ได้ยังไงกันนะ จุดที่แค่พอตเตอร์ไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้เขาแทบจะอยากลงไปกองอยู่ที่พื้น แล้วอธิบายทุกอย่าง ชายหนุ่มจิกเล็บเข้าไปกับฝ่ามือสั่งตัวเองไม่ให้ทำตามสิ่งที่ใจเรียกร้อง สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ควรทำ และ ต้องทำ เขาต้องตัดให้ขาด ทั้งเขากับพอตเตอร์ และ พอตเตอร์กับแอสเทอเรีย

     

                    พวกเขายืนสบตากันนิ่ง ก่อนที่แฮร์รี่จะเป็นคนแรกที่หลบตาก่อน ชายหนุ่มหันหลังเดินออกไป โดยไม่มีแม้แต่คำลาใดๆ

     

    ##########

     

                    แฮร์รี่นั่งเงียบๆในห้องนอน รอบตัวเขาเต็มไปด้วยเศษข้าวของที่แตกกระจาย มันเป็นอย่างนี้เสมอทุกครั้งที่เขาอารมณ์เสีย และยิ่งเสียมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้เท่านั้น และคราวนี้ทันทีที่เขากลับมาจากห้องทำงานของมัลฟอย เครื่องแก้วทุกชิ้นในห้องก็เริ่มสั่นแล้วก็แตกออก และตอนนี้แม้จะผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงแต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกถึงพลังงานที่พร้อมจะปะทุอยู่ข้างในตัวเขา เฮอร์ไมโอนี่พูดเสมอว่าพลังเวทมนตร์ที่มหาศาลของเขานี้แหละที่เป็นเหตุที่ทำให้เขาสามารถใช้เวทมนตร์โดยไม่ผ่านไม้กายสิทธิ์ได้ง่ายๆ ปกติผู้วิเศษคนอื่นต้องรวบรวมพลังงานผ่านทางไม้กายสิทธิ์แต่สำหรับเขามันมากมายจนแม้จะส่งออกมาผ่านทางมือเปล่าก็เพียงพอให้คาถาทำงานแล้ว แต่มันก็เป็นดาบสองคมด้วยเช่นกัน ...อย่างวันนี้ที่มันทำให้อพาร์ทเมนต์ของเขาเละเทะจนไม่เหลือเค้าเดิม โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในรัศมีไม่อย่างนั้น...

                    เขาเกือบจะปะทุออกมาตอนที่อยู่กับมัลฟอยแล้ว และนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาเดินออกมาจากห้องนั้นก่อนที่จะได้เค้นคำตอบออกจากปากอีกคนอย่างที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เขาเชื่อว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆที่ทำให้มัลฟอยต้องรีบจัดงานแต่งงานเร็วขนาดนี้ อะไรที่หมอนั้นไม่ยอมบอกเขา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติมนอกจากความสับสน

                    สีหน้ามัลฟอยอาจจะเรียบเฉยก็จริง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้เลยมั้งว่าดวงตาสีเทาคู่นั้นมันเปิดเผยแค่ไหน ทั้งความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกผิดหวัง และความเศร้าบาดลึกที่แฮร์รี่ไม่เข้าใจเลยสักนิด คนที่ควรจะต้องเศร้าเสียใจจนแทบร้องไห้ควรจะเป็นเขาสิ แต่ทำไมหมอนั้นกลับถึงมีสีหน้าแบบนั้นเวลาที่มองเขานะ เขาอาจจะพูดจาร้ายกาจไปบ้างแต่มันก็ไม่ได้รุนแรงไปกว่าที่เขาเคยพูดใส่มัลฟอยเลย

                    ...แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่เหมือนเดิมเวลาได้ยินคำพูดพวกนั้นจากปากของเขา...แทนที่มันจะลุกพือเป็นประกายเหมือนไฟป่า มันกลับหม่นลงราวกับดาวดับแสง แล้วมัลฟอยก็ไม่ใช่ปัญหาเดียวของเขา

                    ความรู้สึกของเขาก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เขาแก้ไม่ตก คำพูดของมัลฟอยมันเหมือนจี้เข้าตรงกลางใจเขา แม้เขาจะแน่ใจว่าเขารู้สึกชอบแอสเทอเรีย ...แต่มันคือรักหรือ... เขารู้จักเธอแค่ไม่กี่สัปดาห์ แม้ว่าทุกวินาทีที่อยู่กับเธอจะทำให้เขามีความสุขแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังรู้จักกันน้อยเกินไปอยู่ดี เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยสักนิด

                    บางทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้มีมัลฟอยตัดสินใจแต่งงาน เขาจะได้ยุติเรื่องของแอสเทอเรียซะ ตัดใจจากเธอเสียตั้งแต่ตอนที่ความรู้สึกเขายังไม่ได้ฝังรากลงไปลึก ...มันอาจจะเจ็บ... แต่คงน้อยกว่าหากเขารู้จักเธอดีกว่านี้แน่นอน

    .

    .

    .

                    และแฮร์รี่ก็ทำตามความตั้งใจของตัวเอง เขาตัดตัวเองออกจากเรื่องของมัลฟอยกับแอสเทอเรีย ทุ่มเทเวลาให้กับงานเหมือนเคย เขามีเป้าหมายแล้วว่าเขาจะต้องเป็นหัวหน้าสำนักงานนี้ให้ได้ แทนที่จะไปเสียเวลาไล่ตามคนอื่น สู้กลับมาไล่ตามความฝันของเขาไม่ดีกว่าหรือ แฮร์รี่ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น

                    แต่แทนที่ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆในหน้าอกทุกครั้งที่เห็นข่าวของทั้งคู่จะค่อยๆลดลงตามเวลา มันเพิ่มขึ้นทุกครั้ง และมันบ้าสิ้นดีที่เขาไม่ใช่เจ็บเวลาที่เห็นรูปของสองคนนั้น แต่เขากลับเจ็บเวลาที่เห็นสิ่งที่เตือนให้เขานึกถึงเดรโก มัลฟอยด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงอาหารของกระทรวงเวทมนตร์ ลิฟต์ ข่าวของทีมฟาลคอน หรือแม้กระทั่งพายฟักทอง

                    ทำไมเขาถึงต้องเจ็บกับเรื่องของหมอนั้นด้วยนะ แฮร์รี่ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

     

                   

                    “มือปราบมารพอตเตอร์คะ มีคนมาขอพบคุณค่ะ” เมลานี เลขาของเขาเดินมาบอกเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมาจากรายงานคดีตรงหน้า

     

                    “ใคร” ชายหนุ่มถามออกไป

     

                    “เดฟนี กรีนกราสค่ะ” ทันทีที่ได้ยินว่าใคร แฮร์รี่ก็ต้องขมวดคิ้วหนักขึ้น เดฟนีเหรอ หล่อนจะมาหาเขาทำไมกันนะ แต่เขาก็พยักหน้าเป็นสัญญานให้เธอส่งเดฟนีเข้ามาในห้องทำงานของเขาได้ ชายหนุ่มร่ายคาถาจัดการให้เอกสารเข้าที่ให้เรียบร้อย พอดีกับที่ประตูเปิดออกและหญิงสาวผมทองก้าวเข้ามา

     

                    “มือปราบมารพอตเตอร์สวัสดีค่ะ” หล่อนทักเขาอย่างสุภาพและนั่งลงโดยไม่ต้องรอให้เขาเชิญ

     

                    “มีอะไรรึเปล่าครับ”

     

                    “ฉันมาชวนคุณไปสกีรีสอร์ทกับครอบครัวกรีนกราส” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ เขามองเธอเขม็ง นี้เธอล้อเขาเล่นหรือเปล่า

     

                    “เดฟนีผม—“ ชายหนุ่มกำลังจะเปิดปากปฎิเสธแต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้นง่ายๆ

     

                    “คุณไม่อยากเจอแอสเทอเรียเป็นครั้งสุดท้ายเหรอคะ คุณรู้ใช่ไหมน้องกำลังจะแต่งงาน” เธอเสนอสิ่งที่คิดว่าเขาคงไม่มีทางปฏิเสธ

     

                    “คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” แฮร์รี่พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด เขารำคาญที่เธอพูดราวกับรู้จักเขาดูขนาดนั้น

     

                    เดฟนีเลิกคิ้ว “ฉันแค่อยากให้คุณได้เจอคนที่คุณรักอีกครั้งไง เผื่อว่าคุณจะทำให้...แอสเทอเรีย...เปลี่ยนใจได้” เธอสะดุดตอนที่พูดคำว่าแอสเทอเรีย

     

                    เขาไม่เชื่อเธอเด็ดขาด เขาอาจจะไม่ได้สนิทกับเดฟนี แต่เขาก็มั่นใจว่าเธอไม่มีทางคิดจะช่วยเขาแน่หากไม่มีแรงจูงใจอื่น แล้วเธอจะอยากให้น้องสาวเธอเปลี่ยนใจทำไม นึกว่าคนอย่างเธอจะเห็นว่างานแต่งงานระหว่างแอสเทอเรียกับเดรโกเหมาะสมกันดีอยู่แล้ว

                    แต่ยังไงมันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะคนที่จะตอบว่าเขาจะไปหรือไม่ไปก็คือเขาเองเท่านั้น

                    ...เขายังอยากจะเจอแอสเทอเรียอีกรึเปล่า... ชายหนุ่มถามตัวเอง เขาควรจะตัดใจใช่ไหม แต่ถ้ามันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ... เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากจะเจอเธอให้แน่ใจอีกสักครั้งว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับเธอมันจริงหรือเปล่า บางทีการได้เจอเธออีกครั้งอาจจะทำให้เขาลืมเธอง่ายขึ้นก็ได้

                    ...และบางทีการที่ได้เห็นเธอกับเดรโกอยู่ด้วยกันเขาจะได้บอกตัวเองซะทีว่าสองคนนี้ไม่ได้เหมือนกันเลยสักนิด...

     

                    “ตกลง”

     

                   

     

                    เรื่องที่แฮร์รี่ขอหยุดลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์เป็นที่โจษจันไปทั่วสำนักงานเพราะนี้เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ชายหนุ่มใช้วันหยุดลาพักร้อน แม้กระทั่งโรบาดส์ยังต้องถามเขาซ้ำตอนที่เขายื่นใบลาให้หัวหน้าว่าเขาสบายดีหรือเปล่า เขาต้องยืนยันกับทุกคนว่าเขาไม่ได้คิดจะลาออก และนี้เป็นการลาพักผ่อนจริงๆ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกใครสักคนว่าเขากำลังจะไปไหนและกับใคร กลัวว่าทุกคนจะช๊อคไปกว่านี้ที่คนอย่างเขาจะใช้วันหยุดพักร้อนกับตระกูลเลือดบริสุทธิ์เก่าแก่อย่างตระกูลกรีนกราส

                    ในวันเดินทางเขาก็ไปพบเดฟนีที่เวิร์ทวูดแมนชั่น แม้เขาจะจากที่นี่ไปเพียงสองสามสัปดาห์แต่มันก็เหมือนนานกว่านั้น และทุกอย่างที่นี่ยังคงงดงามเหมือนในความทรงจำเขาไม่ผิด ชายหนุ่มคิดขณะลากมือไปตามโต๊ะไม้ลื่นมือในห้องสมุด ย้อนคิดถึงเวลาที่เขาต้องนั่งที่นี่แล้วฟังแอสเทอเรียเล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ให้เขาฟัง

     

                    “ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง แฮร์รี่รู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใครโดยไม่ต้องหันกลับไปดู

                   

                    “เพราะฉันได้รับเชิญไงล่ะมัลฟอย” แฮร์รี่หันไปตอบให้แทน มัลฟอยเดินมาพร้อมกับเดฟนีและแอสเทอเรีย หนุ่มผมทองหันไปมองหน้าเดฟนีทันทีที่ได้ยินคำตอบของแฮร์รี่ แต่เธอแค่ส่งยิ้มกลับเท่านั้นเอง แสดงว่าเธอไม่ได้บอกใครเรื่องที่ชวนเขามาด้วย

     

                    “แล้วก็สวัสดีครับคุณแอสเทอเรีย คุณเดฟนี” แฮร์รี่ไม่ลืมทักทายสองคนที่เหลือ

                    “เราจะไปกันรึยังครับ”

     

                    เดฟนีพยักหน้า “อีกแป๊บเดียวกุญแจนำทางก็น่าจะใช้ได้แล้วค่ะ คุณพ่อไปรอที่รีสอร์ทแล้วนะคะ คุณพ่อก็ดีใจนะคะที่คุณมาด้วย บอกว่าคุณมาอยู่กับพวกเราตั้งนานจนสนิทกันขนาดนี้แล้ว หายไปท่านก็คิดถึงคุณค่ะ”

     

                    “ผมก็คิดถึงพวกคุณทั้งสามคนครับ” แฮร์รี่เน้นคำว่าสามคนแล้วมองตรงๆไปที่ชายหนุ่มผมทองให้อีกคนได้รับรู้ว่ามีอีกคนที่เขาไม่คิดถึงเลยสักนิด แต่มัลฟอยกลับแค่มองเขากลับแล้วกลอกตาเหมือนบอกว่าเขาช่างเล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้

                    ภาพนั้นทำให้เขานึกถึงใบหน้าของแอสเทอเรียที่กลอกตาใส่เขาทุกครั้งที่เขาถามอะไรโง่ๆในตอนที่เรียนมารยาทด้วยกันทุกครั้ง มือปราบมารหนุ่มต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป พร้อมกับมองไปที่หญิงสาวร่างบางข้างๆมัลฟอยแทน เธอไม่เหมือนกับมัลฟอยเลยสักนิด เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แฮร์รี่ดุตัวเอง

     

                    “งั้นก็อย่าให้คุณพ่อคอยเลยค่ะพี่” แอสเทอเรียพูดเร่งทุกคน แล้วก็เป็นคนแรกเดินออกไปที่สนามหญ้า เธอหยิบกุญแจนำทางรูปกระป๋องโค้กที่ถูกบี้แบนขึ้นมา เธอดูนาฬิกาอีกครั้งแล้วเร่งให้พวกเขารีบจับที่กุญแจนำทาง และอีกไม่กี่วินาทีกระป๋องโค้กบี้แบนนั้นก็เรืองแสงพร้อมกับดึงตัวแฮร์รี่ให้เคลื่อนที่ไปอย่างเร็ว

     

                    เมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็ตกลงมาบนหิมะหนาหน้าบ้านหลังใหญ่มหึมา ให้ตายสิตอนที่เขาได้ยินคำว่าสกีรีสอร์ท เขาคิดว่าจะเป็นเป็นบ้านพักทำจากไม้ซุงเล็กๆบนภูเขา แต่บ้านตรงหน้าเขานี้แม้จะเล็กกว่าเวิร์ทวูดแมนชั่น แต่ก็ยังถือว่าใหญ่โตเมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในความคิดของแฮร์รี่ 

     

                    “เลิกอึ้งแล้วเดินเข้าไปได้แล้วพอตเตอร์” มัลฟอยตะโกนเรียกเขา ชายหนุ่มรีบมองตามทั้งสามคนที่ตอนนี้ก้าวยาวๆมุ่งตรงไปที่ประตูทางเข้าแล้ว

                   

                    ข้างในของรีสอร์ทนี้ก็ดูหรูหราไม่แพ้จากข้างนอกเลย การตกแต่งเหมือนอยู่ในเมืองหนาวจริงๆ ทั้งพรมหนา แล้วก็เตาผิงใหญ่กลางห้อง ทันทีที่เขาเดินเข้ามาเอลฟ์ประจำบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชาร้อนๆ เขาลอบสังเกตคนที่เหลือ มัลฟอยนั้นลากเดฟนีเข้าไปคุยด้วย ท่าทางของชายหนุ่มทำให้เขารู้ว่ามัลฟอยกำลังโกรธ และเขาก็พอจะรู้ว่าคงเป็นเรื่องที่เดฟนีชวนเขามาโดยไม่ได้บอกใคร

                    ส่วนแอสเทอเรียนั้นเดินไปนั่งเงียบๆหน้าเตาผิง เธอดูเหนื่อยอีกแล้ว เขาคิดอย่างเป็นห่วงขณะเดินเข้าไปหาหญิงสาว

     

                    “คุณดูไม่ดีเลย” แฮร์รี่พูดขึ้น เสียงของเขาคงทำให้หญิงสาวตกใจเพราะเธอสะดุ้งโหยงแล้วหันมามองคนข้างตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมา

     

                    “ขอโทษค่ะ พอดีฉันคิดเรื่องอื่นอยู่” หญิงสาวรีบขอโทษ ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย แฮร์รี่มองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ แอสเทอเรียที่เขารู้จักไม่ขอโทษเขาง่ายๆแบบนี้หรอก เมื่อคิดอย่างนั้นแฮร์รี่ก็หยุดนิ่ง...แอสเทอเรียที่เขารู้จักเหรอ...อย่างกับจะมีแอสเทอเรียสองคน ชายหนุ่มดุตัวเองในใจ

     

                    “ผมเป็นห่วงคุณน่ะครับ คุณหน้าซีดจัง”

     

                    “ฉันเหนื่อยน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มมาให้เขา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ถึงดวงตาของเธอ

                   

                    “จะให้ผมไปเอาดาร์จีลิ่งกับน้ำผึ้งมาให้ไหมครับ เผื่อจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” แฮร์รี่เสนอ เขารู้ว่านั้นคือชาโปรดของหญิงสาว

     

                    เธอพยักหน้าเบาๆ เขารีบเดินไปหาเอลฟ์แล้วสั่งชาให้แอสเทอเรียก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม ทั้งมัลฟอยทั้งเดฟนียังคงกระซิบกระซาบใส่กันอยู่

     

                    “ถ้าคุณป่วยคุณก็ไม่น่าจะมาเลยนะครับ” แฮร์รี่ยื่นชาให้หญิงสาว และเมื่อมือพวกเขาสัมผัสกันเขาก็ต้องตกใจที่มือเธอเย็นเฉียบ จนทำให้เขาปล่อยมือจากถ้วยชา เสียงแตกของแก้วน้ำชาดังลั่นห้องโถง โชคดีที่แอสเทอเรียไม่โดนน้ำร้อนลวก ทั้งเขาและแอสเทอเรียรีบหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาทั้งคู่โดยสัญชาติญาณเพื่อเสกไล่เศษแก้วให้หายไป แต่เธอก็ช้ากว่าเขา แฮร์รี่จัดการทำให้เศษแก้วพวกนั้นหายไปในพริบตา

     

                    “แอสเทอเรีย” เสียงมัลฟอยตะโกนพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่วิ่งมาหาหญิงสาว เขารีบเข้ามาประคองเธอ ถามไถ่ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง แล้วรีบเร่งให้เธอไปพักในห้องเสีย นั้นไม่ได้ดูแปลกเท่าไหร่ แต่ที่น่าแปลกก็คือมัลฟอยดูตกใจไม่น้อยที่เห็นไม้กายสิทธิ์ในมือของแอสเทอเรีย เขารีบดุเธอว่าเธอไม่ควรใช้คาถา ...ทำไม...แฮร์รี่ถามตัวเอง แอสเทอเรียป่วยเป็นอะไรกันที่ไม่ควรใช้คาถา

                    และอีกอย่างที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดสำหรับเขาก็คือ ไม้กายสิทธิ์ของแอสเทอเรียไม่ใช่ไม้อันเดียวกับที่เขาเคยเห็นเธอใช้ แม้เขาจะไม่เคยเห็นมันใกล้ๆ แต่เขาแน่ใจว่ามันเป็นไม้สีดำสนิทกลมกลึงยาวอย่างน้อย 12 นิ้ว แต่ไม้วันนี้ในมือของเธอกลับเป็นไม้สีน้ำตาลอ่อนเป็นตะปุ่มตะป่ำและสั้น

                    เป็นไปได้ด้วยหรือที่คนคนนึงจะเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์ในเวลาไม่ถึงเดือน และเธอไม่ได้มีอาการของคนที่ยังไม่คุ้นกับไม้ใหม่เลย เธอจับมันเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่ติดมือเธอมาเป็นสิบๆปี

     

                    นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แอสเทอเรีย กรีนกราส ที่เขารู้จักเป็นใครกัน  

     

    ########   

     

                    เขาโกรธเดฟนีจนแทบอยากจะบีบคอเพื่อนสนิทให้ตายให้ได้ เดรโกคิดพร้อมกับลากเครื่องสกีไปตามลาน ยัยบ้านั้นต้องมีแผนอะไรอยู่แน่ๆถึงได้ชวนพอตเตอร์มาด้วย เขารู้ว่าเธอไม่เห็นด้วยลึกๆเรื่องที่เขาจะแต่งงานกับแอสเทอเรีย แต่เพราะเธอยังไม่มีทางออกที่ดีกว่านั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอต้องคิดอะไรเอาไว้แน่ๆ...และมันต้องมีพอตเตอร์เข้ามาเอี่ยวด้วย...แต่ยังไงล่ะ

                    หรือว่าเป็นไปได้ที่เดฟนีจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับพอตเตอร์ เดรโกแน่ใจว่าเขาไม่เคยแสดงสีหน้าอะไรออกไป เดฟนีต้องไม่รู้แน่ๆ ให้ตายสิแต่ถ้ายัยนั้นรู้แล้วบอกแอสเทอเรีย หล่อนคงไม่มีวันยอมแต่งกับเขา เธอรักเขามากเกินกว่าจะให้เขาเสียสละตัวเองแบบนี้ แม้จะเป็นแค่ความรักที่ไม่มีทาง สำหรับคนโรแมนติคอย่างแอสเทอเรียเธอคงยืนยันจะให้เขาลองพยายาม ไม่ใช่ล้มมันซะตั้งแต่ยังไม่เริ่มอย่างที่เขาทำ

                    ยิ่งคิดเดรโกก็ยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าเดฟนีจะชอบพอตเตอร์จริงๆนะ คิดแล้วชายหนุ่มก็เหล่มองไปที่คนในความคิด มือปราบมารหนุ่มกำลังคุยอยู่กับท่านเดมิทริสอย่างออกรส ส่วนเดฟนีก็หันมาคุยกับแอสเทอเรีย เธอไม่ได้ดูสนใจเขามากไปกว่าปกติเลย แต่ยังไงพอตเตอร์ก็ถือว่าเป็นหนุ่มฮอตแล้วยังมีชื่อเสียงอีกด้วย แถมถ้าที่เขารู้มาไม่ผิด หมอนั้นรวยพอๆกับตระกูลกรีนกราสเลยด้วยซ้ำ

                    คิดแล้วเดรโกก็ทำหน้าเซ็ง เหตุผลไหนของเดฟนีก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ เขาไม่อยากให้เดฟนีทำลายงานแต่งของเขา หรือว่าจีบพอตเตอร์ ให้ตายสิเขาจะทนเห็นสองคนนั้นเป็นคนรักกันได้ยังไง เขาคงอกแตกตายเสียก่อน เขารู้ว่าเขาควรจะตัดใจ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายๆอย่างที่คิด เขาเอาแต่เปรียบเทียบผู้ชายทุกคนที่เจอกับพอตเตอร์ แล้วก็ต้องเสียดายที่เขาไม่ได้รู้จักกับพอตเตอร์ให้เร็วกว่านี้ แถมเขายังอาการหนักขึ้นทุกวัน ข้อเสียทุกข้อที่เขาเคยคิดว่ามันแย่ของพอตเตอร์ อย่างไอ้นิสัยพูดตรงๆ ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย หรือแม้กระทั่งแว่นตาทรงประหลาดนั้น เดี๋ยวนี้มันกลับดูน่ารักในสายตาเขาเสียนี้

                    เมื่อไหร่เขาถึงจะหยุดรักพอตเตอร์ได้นะ

     

    #########

     

                    มัลฟอยมองมาทางเขาอีกแล้ว แฮร์รี่คิดกับตัวเอง หมอนั้นคงคิดว่าเขาไม่เห็น แต่เล่นจ้องเขาเป็นนาทีเสียแบบนั้น ถึงคนที่ประสาทช้าอย่างเขาก็ต้องรู้สึกตัวแหละ

                    แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือสายตานั้นมองเขาอย่างไหนกันนะ ...มิตร...หรือศัตรู...

                    แน่ๆคือมัลฟอยไม่ได้ทำตัวเป็นมิตรกับเขาเลยสักนิดเดียว ยกเว้นแต่เวลาที่ลอบมอง เวลาอื่นแล้วชายหนุ่มผมทองทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนจนเขายังอยากจะดึงตัวอีกคนให้หันมามองหน้าเขาตรงๆ แล้วบอกว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย ถึงคนที่เริ่มเกมส์นี้จะเป็นเขาก็เถอะ แต่การถูกทำทีว่าโดนเมินแบบนี้กลับทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าอะไร แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องหงุดหงิดก็เถอะ    

                    ชายหนุ่มต้องพยักหน้าทำเป็นสนใจบทสนทนากับคุณกรีนกราส ขณะที่แอบเหล่มัลฟอยที่กำลังลากอุปกรณ์สกีขึ้นไปบนเนินสูง ดูเหมือนคนเดียวที่สนุกกับการเล่นสกีก็คือมัลฟอย เขาเล่นไม่เป็นด้วยซ้ำ ส่วนคุณกรีนกราสก็บอกว่าแก่เกินไปเสียแล้ว แอสเทอเรียก็ยังคงป่วยอยู่ และเดฟนีก็ขออยู่เป็นเพื่อนน้องสาวดีกว่า ทำให้เขาข้องใจจริงๆว่านี้เป็นความคิดของใครที่จะมาเที่ยวสกีรีสอร์ท เดฟนีบอกเขาว่านี้เป็นกิจกรรมประจำปีของตระกูลกรีนกราส และปีนี้ก็โชคดีที่ใกล้กับงานแต่งงาน ทั้งเดรโกและแอสเทอเรียจะได้มาพักผ่อนกันก่อนที่จะแต่งงาน

                    พูดถึงงานแต่งแล้ว... แฮร์รี่สังเกตว่าทั้งแอสเทอเรียและมัลฟอยไม่ได้ดูตื่นเต้นกับงานแต่งที่กำลังจะมาถึงเลย แอสเทอเรียยังคงดูซีดเซียว ส่วนมัลฟอยก็...แน่ล่ะเขาเข้าใจว่าทำไมหมอนั้นถึงไม่ตื่นเต้น แต่ท่าทางของทั้งคู่ที่เหมือนคนกำลังเดินเข้าพิธีประหารมากกว่าพิธีสมรสก็ทำให้เขาแน่ใจว่าเหตุผลที่มัลฟอยอ้างมันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ แต่อะไรล่ะที่ใหญ่พอที่จะทำให้คนสองคนทิ้งความสุขแล้วแต่งงานกัน เขาเองก็ไม่กล้าถามอะไรกับเดฟนีเสียด้วย เพราะเขาก็รู้สึกว่าเดฟนีเองก็แปลกๆอยู่เหมือนกัน หญิงสาวคอยไล่ถามเขาเกี่ยวกับการคืนความทรงจำ เธอรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ลบความทรงจำของพ่อแม่ตอนที่ออกตามหาฮอร์ครักซ์กับเขา (เดลีโพรเฟ็ตที่ไปล้วงมาตีพิมพ์ได้ยังไงก็ไม่รู้ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสียหลายสัปดาห์) และเธอก็คืนความทรงจำให้กับพ่อแม่ได้ เดฟนีพยายามขอให้แฮร์รี่ถามเรื่องนี้จากเฮอร์ไมโอนี่ แต่พอเขาถามกลับว่าเธอจะอยากรู้ไปทำไมเธอกลับไม่ตอบเขา แน่นอนว่าเขาสัญญาว่าจะติดต่อกับเฮอร์ไมโอนี่ แต่มันก็ทำให้เขาไม่ไว้ใจในตัวเดฟนี การยุ่งเกี่ยวกับความทรงจำน่ะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ปกติคนที่อยากรู้เรื่องนี้มีแต่อาชญากรเท่านั้นแหละ    

                   

                    “ครับ” แฮร์รี่ยิ้มรับกับคำพูดของคุณกรีนกราสอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบไปมองที่ยอดเนินสีขาวปลอด มัลฟอยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว และเริ่มไถลตัวลงมาทีละน้อย แต่หัวใจเขาก็ต้องตกลงไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นรอยแยกบนเนินหิมะและหิมะสีขาวบนยอดค่อยๆเคลื่อนตัวม้วนลงมา

                    หิมะถล่ม

                    ชายหนุ่มออกวิ่ง ตายังมองตามร่างของมัลฟอยที่พยายามเคลื่อนที่หนีหิมะ เสียงตะโกนจากข้างหลังบอกให้เขารู้ว่าคนอื่นรู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังนอนใจไม่ได้ มัลฟอยไม่สามารถเลื่อนกลับมาทางลงปกติได้ หิมะที่ถล่มลงมาบังคับให้ชายหนุ่มต้องหนีไปอีกทาง และถ้าแฮร์รี่จำไม่ผิด เส้นทางที่มัลฟอยกำลังมุ่งตรงไปนั้นมันเป็นเหว เขาวิ่งไปทางเหวนั้นโดยไม่คิดชีวิตขณะกำไม้กายสิทธิ์แน่น เขาต้องเสกคาถาป้องกันให้โดนมัลฟอยก่อนที่หมอนั้นจะตกหน้าผา และเขาต้องอยู่ใกล้พอด้วย

                    แฮร์รี่หายใจหอบหยุดที่ราวกั้น มัลฟอยกำลังพุ่งมาที่เขาพร้อมกับหิมะหลายร้อยตันไล่หลังร่างโปร่งนั้นมาด้วย เขาไม่มีเวลาคิดแล้ว แฮร์รี่รับร่างมัลฟอยเอาไว้ แล้วร่ายคาถาที่คิดไว้ในใจให้คลุมทั้งร่างเขาและมัลฟอย ก่อนหิมะจะกวาดพวกเขาทั้งคู่ผ่านราวกั้นตกลงไปในหุบเขาเบื้องล่าง

     

    #########

     

                    เดรโกลืมตาขึ้นช้าๆ ...ไม่เจ็บ... นั้นคือความคิดแรกในหัวของเขา ทำไมเขาไม่เจ็บกัน เขาแน่ใจว่าเขาตกลงมาพร้อมกับหิมะ แต่เขากลับไม่เจ็บหรืออะไรเลย มีเพียงหิมะที่ทับตัวเขาเอาไว้เท่านั้น แต่เขาไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกจากการตกเลย เสียงหายใจหอบข้างหูทำให้เดรโกรู้สึกตัว

                    เขาอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน ...คนที่ว่ามีดวงตาสวยที่สุดในโลกอีกด้วย... เขากระพริบตาช้าๆ มองหน้าพอตเตอร์ในยามไร้แว่น   

                    “ไม่เจ็บใช่ไหมมัลฟอย” พอตเตอร์ถามออกมาเบาๆ ขณะพยายามเขม้นมองเขา ท่าทางนั้นดูตลกจนทำให้เขาอยากจะหัวเราะ และเขาคงทำแล้วถ้าเขาไม่อยู่ในสถานการณ์ระหว่างความเป็นกับความตายอย่างนี้

     

                    ชายหนุ่มสั่นหน้า “ไม่ นายล่ะ” เขาถามกลับ ความทรงจำก่อนตกเริ่มกลับมาหาเขาแล้ว ให้ตายสิพอตเตอร์วิ่งไปรับเขาไว้แล้วตกลงมาด้วยกัน หมอนั้นมันบ้ารึไงนะ

     

                    “ฉันคิดว่าขาฉันหัก นายมีไม้กายสิทธิ์ไหม” พอตเตอร์ถามพร้อมกับปัดหิมะออกจากหลังของเดรโก เพราะหมอนั้นเล่นเอาตัวรองเขาไว้แบบนี้เขาถึงตกลงมาแบบไม่เจ็บอะไรเลย พอตเตอร์คงร่ายคาถาป้องกันเอาไว้ด้วยพวกเขาถึงไม่บาดเจ็บมากกว่านี้

                   

                    “ฉันไม่มี” เดรโกพูดเบาๆ ใครจะไปคิดว่าจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ตอนเล่นสกีกันเล่า อีกอย่างเขาจะพกทำไมให้เสี่ยงไม้หักเวลาล้มกลิ้ง “นายล่ะ” เขาถามอย่างมีความหวังเพราะถ้าพอตเตอร์ร่ายคาถาหมอนั้นคงต้องมีไม้กายสิทธิ์แน่ๆ แต่สีหน้าเจ้าตัวบอกให้เขารู้เลยว่าเขาต้องผิดหวัง

     

                    พอตเตอร์ยกมือข้างขวาขึ้นมา มันยังคงกำไม้กายสิทธิ์เอาไว้ หรือถ้าให้ถูกก็คือครึ่งหนึ่งของไม้กายสิทธิ์ “ไม้ฉันหัก..แล้วก็ลุกขึ้นได้แล้วมัลฟอยนายตัวไม่เบานะ”

     

                    เดรโกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีแล้วรีบสะบัดสกีที่เท้าออกแล้วดันตัวขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะนอนทับพอตเตอร์เอาไว้นะ เมื่อยืนขึ้นแล้วเขาก็ยื่นมือไปช่วยคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้น พอตเตอร์ครางออกมาอย่างเจ็บปวดทันทีที่ทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าข้างซ้าย เขาดูออกมาข้อเท้าข้างนั้นมันบิดอย่างผิดรูป เขารีบเข้าไปพยุงพอตเตอร์ก่อนที่ชายหนุ่มจะล้มลงไปอีกครั้ง เดรโกมองฟ้าอย่างเป็นห่วง เขาจะทำยังไงต่อดี ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาไม่มีไม้กายสิทธิ์เอาไว้ป้องกันตัวด้วย และไม่รู้ว่าจะมีคนเจอเขารึเปล่า เดรโกรู้ว่าพวกกรีนกราสต้องออกตามหาเขาแน่ๆ แต่เขาเองก็ถูกซัดมาไกลจากหน้าผาอยู่โข และเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีใครเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

                    ดูเหมือนพอตเตอร์เองก็คิดอย่างเดียวกับเขา

     

                    “เราต้องหาที่หลบ” พอตเตอร์พูดสั้นๆ แล้วลากให้เขาออกเดิน

     

                    “เดี๋ยวสิพอตเตอร์คิดก่อนสิ ถ้าเราออกเดินทีมค้นหาจะยิ่งหาเรายากขึ้นนะ” เดรโกขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมเดินไปพร้อมกับพอตเตอร์

     

                    ชายหนุ่มผมดำถอนหายใจแล้วใช้มือข้างที่วางพาดบนไหล่ดันหน้าเขาให้มองตัวเอง “ถ้านายอยู่กับฉันรับรองว่าอยู่ไหนก็มีคนหาเจอ เพราะมือปราบมารทุกคนมีคาถาติดตามบอกให้รู้ว่าอยู่ที่ไหนตลอดเวลา แล้วฉันเชื่อว่าคุณกรีนกราสต้องรู้เพราะเขาเคยเป็นมือปราบมาร”                 

                   

                    เดรโกกลืนน้ำลาย แล้วพยักหน้าตาม ทางรอดที่ดีที่สุดทางเดียวของเขาตอนนี้คือเกาะติดกับพอตเตอร์

                    “ก็ได้ แต่นายรู้เหรอว่าจะเดินไปทางไหน”

     

                    พอตเตอร์กลอกตาแล้วชี้ไปทางที่ป่าถูกตัดออกจนเหมือนทางเดิน “ตาบอดรึไงครับคุณชายมัลฟอย ขนาดผมไม่ได้ใส่แว่นยังเห็นเลยว่าป่าแหวกเป็นทางแบบนั้นต้องนำไปที่ไหนสักแห่งอยู่แล้ว บางทีเราอาจจะเจอบ้านคนด้วย”

     

                    เออเห็นก็ได้! แล้วก็ไม่เห็นต้องพูดประชดประชันอย่างนั้นเลยนี้ เดรโกคิดอย่างหงุดหงิดแต่ก็ค่อยๆพยุงพอตเตอร์ให้เดินไปช้าๆ พร้อมกับลอบมองข้อเท้าของอีกคนอย่างเป็นห่วง

     

                    หลังจากเดินมาสักพัก พวกเขาก็เห็นกระท่อมเล็กๆที่สุดทางเดิน เดรโกถอนหายใจอย่างโล่งอก หวังว่าจะเป็นผู้วิเศษนะ แต่ถึงเป็นมักเกิ้ลก็ไม่ได้แย่หรอก เจ้าของกระท่อมนั้นคงมีทางพาพวกเขาออกไปจากป่านี้ แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อเดินมาถึง มันปิดสนิทไม่มีแสงไฟหรือความอบอุ่นจากข้างในเลย บ่งบอกว่าไม่มีคนอยู่ข้างใน แถมเมื่อเขาพยายามจะเปิดประตูก็ล๊อคสนิท

                    “เฮ้อ อย่างน้อยๆที่นี่มันคงดีกว่าอยู่ในป่าล่ะนะ” เดรโกหันมาพูดกับคนข้างตัว แต่พอตเตอร์กลับไม่ได้สนใจเขา ชายหนุ่มมองลูกบิดประตูเหมือนชั่งใจ ก่อนจะยื่นมือไปตรงลูกบิดนั้นแล้วสูดหายใจลึกก่อนจะพูดออกมา

     

                    “อะโลโฮโมร่า” เสียงกริ๊กเบาๆ บ่งบอกว่าคาถาของพอตเตอร์ได้ผล

     

                    “นายใช้เวทมนตร์แบบไร้ไม้กายสิทธิ์ได้!!” เดรโกหันไปตะโกนใส่คนข้างตัว แล้วพยายามบอกตัวเองว่าอย่าอิจฉาเด็ดขาด แต่มันก็ยากเต็มที ให้ตายสิ พอตเตอร์ต้องทรงพลังแค่ไหนเนี้ยถึงสามารถใช้คาถาโดยไม่ต้องผ่านไม้กายสิทธิ์ได้นี้

                    “เร็วสิพอตเตอร์ ใช้คาถาขอความช่วยเหลือ”

     

                    พอตเตอร์กลับส่ายหน้าแล้วเดินตรงเข้าไปในกระท่อมมืดๆแทน “ฉันทำได้แต่คาถาง่ายๆเว้ย แล้วถ้ายังไม่อยากแข็งตายก็ตามเข้ามาเร็วเข้า”

     

                    เดรโกถอนหายใจ บางทีอาจจะไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้นก็ได้

                    “นายจุดไฟได้ไหม” เขาถามหลังจากเดินเข้ามาข้างใน ซึ่งเป็นแค่หนึ่งห้องกว้างๆ แม้จะไม่ได้อยู่กลางป่าอีกแล้ว แต่ข้างในก็ไม่ได้อุ่นกว่าข้างนอกซักเท่าไหร่เลย และยิ่งใกล้มืดเท่าไหร่ก็ยิ่งเย็นขึ้นเท่านั้น

     

                    พอตเตอร์ไม่ตอบแต่เลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่เขาไม่เคยเห็น “ได้สิคุณหนูมัลฟอย แต่ฉันต้องมีฟืน”

     

                    เดรโกหันไปมองรอบๆกระท่อมมืดๆนี้ เขาไม่เห็นท่อนฟืนเลย ดูเหมือนที่นี่จะถูกทิ้งร้างเอาไว้นานเสียจนไม่เหลืออะไรแล้ว

     

                    “ไม่ต้องมองหา ฉันเห็นแล้วว่าไม่มี ที่ฉันพูดหมายความว่านายต้องออกไปหาฟืน”

     

                    “จะบ้าเหรอพอตเตอร์ นี้จะมืดอยู่แล้ว ใครจะกล้าออกไปเดินแบบนี้” เดรโกพูดอย่างหงุดหงิด อีกอย่างหิมะตกแบบนี้ไม้ในป่าคงชื้นจนใช้เป็นฟืนไม่ได้หรอก แล้วนี้เขาต้องทนหนาวไปจนกว่าจะมีคนมาเจอเหรอเนี้ย คิดแล้วเดรโกก็ใช้มือลูบแขนของตัวเอง เสื้อกันหนาวของเขาเปียกชุ่มจากหิมะจนทำให้เขาต้องถอดมันทิ้ง และพอตเตอร์ก็ไม่ต่างกัน

                    ...ที่จริงทำไมเขาถึงเดินผ่านป่าโดยไม่มีเสื้อกันหนาวมาตั้งนานโดยไม่หนาวนะ...

                    คิดแล้วเดรโกก็ทำตาโตก่อนจะก้าวยาวๆไปจับตัวพอตเตอร์ และเป็นอย่างที่เขาคิดทันทีที่เขาจับตัวหมอนั้นทั้งร่างเขาก็อุ่นขึ้นมาทันที

                    “นายใช้คาถาเสกให้ตัวเองอุ่นนี้” เดรโกพูดอย่างกล่าวหา แล้วนั่งลงข้างๆพอตเตอร์ปล่อยให้แขนแตะร่างพอตเตอร์ไว้ แต่พอตเตอร์กลับขยับหนีแล้วหันมามองเขาด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก  

     

                    “ใช่มัลฟอย ฉันจะใช้กับนายก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันมีทางเลือกให้นายสามทาง ทางที่หนึ่งนายก็นั่งทนหนาวไป ทางที่สองออกไปหาฟืนซะ” พอตเตอร์หรี่ตามองเขา “หรือว่าทางที่สามฉันจะยอมให้นายจับตัวให้นายแบ่งใช้คาถา ถ้านายตอบคำถามของฉัน หนึ่งคำตอบ ต่อหนึ่งชั่วโมง”

                    “นายจะเลือกอะไรมัลฟอย”     

     

    ########


    Note: ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลยค่ะ กรี๊ดดีใจที่มีคนอ่าน >< ขอบคุณที่อดทนอ่านกันมาตั้งนาน ตอนนี้ก็ปาไปแล้ว 120 หน้า A4 แต่คุณแฮร์รี่และคุณเดรโกของเราก็ยังไม่ได้แม้แต่จะทำอะไรกุ๊กกิ๊กกันเลย คาดว่าคนอ่านคงอึดอัดไม่น้อย ขอโทษนะค้า 

    สารภาพว่าตอนต่อไปเนี้ย ตอนเขียนโครงเนี้ยจะเป็นตอนที่มีเรท แต่หลังจากลองแล้ว เราเขียนฉากแบบนั้นได้แบบเอ่อ...ไม่ได้เรื่องเลยสักนิดเดียว 555 ตอนนี้ก็เลยไม่เอาละแล้วปลอบใจตัวเองว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ ผ่านมา 6 ตอนยังไม่เคยจูบกันเลยแล้วจะมาตอนที่ 7 ทำอะไรกันได้ไงยะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×