คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Prompt Proposal
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ถอดหมวกทรงสูงที่พวกขุนนางชอบออก เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องแต่งองค์ทรงเครื่องขนาดนี้เพียงแค่มาพบเดรโก มัลฟอย...เขาเป็นเอิร์ลแล้ว เอิร์ลแห่งวิลไชร์ เสียงเล็กๆในหัวเขาแย้ง แต่ถึงอย่างไรหมอนั่นก็ยังคงเป็นเดรโก มัลฟอยในหัวเขาอยู่ดี มัลฟอยที่แสนจะเย่อหยิ่ง เห็นแก่ตัว แล้วก็เกลียดเขายิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
ชายหนุ่มถอนหายใจ ถึงเขาจะแต่งตัวดีแค่ไหน แต่ความจริงที่เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลที่มียศถาบรรดาศักดิ์ก็พอแล้วที่จะทำให้เดรโก มัลฟอยมองเขาเหมือนเป็นเศษดิน เขาน่าจะเกลียดมัลฟอยได้เท่ากับที่หมอนั่นเกลียดเขา แฮร์รี่คิดก่อนจะส่ายหน้าไล่ความคิดนั้น ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอะไรแบบนี้ เขามีหน้าที่ต้องจัดการ หนุ่มผมดำจัดเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้งอย่างใจลอย ขณะที่เท้าสับขยับไปมาอย่างกระสับกระส่าย รอให้ประตูเหล็กโค้งที่มีเถาวัลย์เลื้อยเปิดออก เขามองเหล็กที่ถูกดัดอย่างอ่อนช้อยเป็นตราประจำตระกูลมัลฟอย มังกรคู่กับโล่ แล้วก็หอกหลายเล่ม ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่มาสายตาเลื่อนมาที่ข้อความภาษาละตินที่สลักอยู่บนตรานั่น‘Sanctimonia Vincet Semper’ความบริสุทธิ์อยู่เหนือทุกอย่าง
ถูกแล้วตระกูลนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสายเลือดบริสุทธิ์ สายเลือดของผู้สูงศักดิ์ สายเลือดของคนที่มียศ สายเลือดที่อยู่เหนือทุกคน เขาคิดยังไงกันนะถึงได้เชื่อว่าเดรโก มัลฟอย สายเลือดคนสุดท้ายของตระกูลที่บูชาเลือดบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดนี้จะยอมรับข้อเสนอจากคนอย่างเขา
เสียงประตูเปิดออกเกือบจะทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามันสะดุ้งโหยง แต่แฮร์รี่ก็ประคองสติเอาไว้ได้ เขาไม่คิดว่าปราสาทมัลฟอยจะเปิดต้อนรับเขาในคราแรก ที่จริงชายหนุ่มคิดว่าเขาอาจจะต้องเดินทางมาที่วิลไชร์นี่สักสองสามครั้งก่อนที่จะกล่อมให้เจ้าของปราสาทยอมฟังเขา แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดแฮะ
ชายหนุ่มก้าวไปตามทางเดินยาวผ่านสวนที่จัดแต่งอย่างงดงาม แม้จะเป็นช่วงเช้าที่อากาศยังเย็นชื้น แต่ตามทางเดินที่เขาเดินเข้ามากลับไม่มีเลนโคลนที่จะเลอะเปื้อนรองเท้าบู๊ตหนังที่เขาใส่เป็นประจำเลย รอยเปื้อนที่เห็นนั้นต่างมาจากการใช้งานของเขาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น แฮร์รี่ใช้มือขยับปกเสื้อคอตั้งอย่างรำคาญใจ เขาไม่คุ้นชินกับชุดอย่างนี้ ทั้งเสื้อปกตั้ง ทั้งเสื้อกั๊กกระดุมทองแวววับ เขาตั้งใจจะใส่เสื้อโค้ทอีกตัวที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนยันว่านี่คือเครื่องแต่งกายที่สุภาพบุรุษเขาแต่งกัน แต่มันกลับเพียงแค่ดูดีแต่หากไร้สิ้นซึ่งความสามารถที่จะใส่แล้วใช้งานได้จริง เขาไม่สามารถใส่ไม้กายสิทธิ์หรือของจำเป็นอื่นได้ รวมถึงรองเท้าหนังมันแว๊บและถุงเท้ายาวสีขาวด้วย เมอร์ลินเป็นพยาน เขาจะเดินโดยไม่ทำให้มันเลอะได้อย่างไร เธอเป็นพ่อมดนะแฮร์รี่ เสียงเหมือนเฮอร์ไมโอนี่ดุเขาในความคิด
ทางเดินยาวไม่รู้จบนี้เหมือนเป็นเครื่องทดสอบความอดทนเสียเหลือเกิน หรือไม่พวกมัลฟอยก็อยากจะแสดงฐานะให้โลกรู้ว่าปราสาทแห่งนี้กว้างใหญ่ขนาดไหน คิดดูจากนิสัยของคนในตระกูลแล้วดูท่าจะเป็นอย่างหลัง แล้วในที่สุดแฮร์รี่ก็เดินมาถึงคฤหาสถ์หลังมหึมา ตราประจำตระกูลประทับเด่นหราอีกรอบ พวกมัลฟอยนี่ช่างตีตรากับทุกสิ่งจริงๆ เขาคิดแล้วส่ายหน้า และเป็นอีกครั้งที่ประตูเปิดเอง เหมือนเชิญให้เขาเข้าไป แฮร์รี่กลืนน้ำลาย อดไม่ได้ที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าข้างของเสื้อคลุมสีแดงตัวหลวมคู่ใจของเขา มือกำรอบไม้กายสิทธิ์แน่น ก่อนจะก้าวผ่านประตูเข้าไป
ชายหนุ่มขยับศีรษะมองไปรอบตัว พยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด ขณะที่อากาศข้างนอกสดใสตามลักษณะของช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น ข้างในนี้กลับมืดทึม ม่านทึบแสงถูกดึงให้ปิดสนิท มีเพียงตะเกียงหรี่ๆที่นำเขาไปตามทางเดิน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นร่างเล็กคุดคู้ข้างตัว ก่อนจะสบถอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กของเอลฟ์ประจำบ้าน
“แฮร์รี่ พอตเตอร์ขอรับ”
แฮร์รี่มองเอลฟ์ร่างเล็กตาโตที่มองขึ้นมาที่เขาเขม็งนิ่ง “ชะ..ใช่ฉันเอง” แฮร์รี่ไม่คุ้นเคยกับเอลฟ์ประจำบ้าน และไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับพวกมันอย่างไร เขารู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นว่าจะมีใครมาพินอบพิเทาเขาขนาดนี้ เขาควรจะคุ้นชินได้แล้ว การอยู่ในปราสาทของดัมเบิ้ลดอร์ในฐานะอัศวินของกษัตริย์นั้นทำให้เขาเห็นเอลฟ์เป็นร้อยที่ทำงานให้กับปราสาท แต่ยังไงก็เถอะ...
“แฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องตามด๊อบบี้มา เจ้านายรออยู่ที่ห้องอ่านหนังสือ” พูดแล้วร่างเล็กก็หันหลังแล้วเดินนำเร็วๆ หยุดบ้างเพื่อดูว่าเขายังเดินตามมาหรือไม่
“เจ้านายคือเดรโม มัลฟอยหรือ” แฮร์รี่ถามให้แน่ใจ ให้ตายสิเดินเร็วเป็นบ้า เขาต้องใช้ความพยายามไม่ให้หอบออกมา เขาเป็นอัศวินนะ จะมาหอบเพราะไล่ตามเอลฟ์ได้อย่างไร
“ท่านเอิร์ลขอรับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องเรียกเจ้านายว่าท่านเอิร์ล เจ้านายคนเก่ายืนยันอย่างนั้นเสมอ ไม่อย่างนั้นจะถูกตีจนหลังลาย”
แฮร์รี่พ่นลมแรง นั่นฟังดูเหมือนลูเซียส มัลฟอยดี แต่ให้เรียกเดรโก มัลฟอยว่าเอิร์ล กระดากปากชอบกลน่ะสิ เขารู้จักหมอนั่นตั้งแต่ถูกส่งเข้าโรงเรียนฮอกวอร์ตด้วยกันแล้ว ตั้งแต่ที่หมอนั่นเป็นเด็กจอมทโมนน่าจับตีก้น ให้เรียกหมอนั่นอย่าพินอบพิเทาว่าท่านเอิร์ลน่ะเหรอ ให้เขากัดลิ้นตายดีกว่า
“ฉันกับเจ้านายของเธอ เจ้านายคนนี้น่ะ รู้จักกันตั้งแต่ก่อนที่เขา—”
“ด๊อบบี้รู้ครับ เจ้านายเล่าเรื่องคุณ—“ แต่ก่อนที่เอลฟ์ประจำบ้านจะเล่าจบว่าเดรโก มัลฟอยตัวแสบเล่าอะไรเกี่ยวกับเขาให้ที่บ้านฟังบ้าง ด๊อบบี้ก็หยุดแล้วเอาหัวโขกกับกำแพงหินแรงๆ “ด๊อบบี้ เป็นเอลฟ์เลว ด๊อบบี้เล่าความลับของเจ้านายให้คนนอกฟัง ด๊อบบี้—”
“ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” แฮร์รี่รีบขัดขึ้นอย่างตกใจ พร้อมทั้งคุกเข่าพยายามหยุดเอลฟ์ไม่ให้ทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้
“จริงนะขอรับ” ตาสีโตเอ่อน้ำตามองเขา
“เออ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แล้วเอ่อ นี้เราใกล้จะถึงห้องอ่านหนังสือรึยัง”
แล้วเหมือนด๊อบบี้จะระลึกได้ว่างานของเจ้าตัวคืออะไร เอลฟ์ก็รีบเดินนำเขาต่อ แฮร์รี่เดินมาไกลจนเขาคิดว่าเขาน่าจะเดินมาสุดปราสาทแล้ว และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อด๊อบบี้เคาะประตูไม้หนัก (ที่มีสัญลักษณ์มัลฟอยประทับอีกแล้ว!!!) แล้วประตูก็เปิดออก นำเขาไปสู่ห้องเพดานสูง ด้านนึงเป็นกระจกโค้งที่ควรจะเปิดรับแสงธรรมชาติแต่ตอนนี้กลับถูกปิดด้วยม่านผ้าหนักๆ มีแพงแสงเล็กๆที่ลอดเข้ามา แต่อย่างน้อยก็ยังสว่างกว่าโถงทางเดินและห้องอื่นๆที่เขาเดินผ่าน เขาหันหน้าหันหลังกำลังจะถามด๊อบบี้ว่าเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือที่ว่าแล้วใช่ไหม แต่เอลฟ์ประจำบ้านก็กลับหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขาเลย ชายหนุ่มได้แต่กระพริบตาปริบๆ
“จำแทบไม่ได้เลยนะพอตเตอร์” เสียงลากยานคางที่ไม่ว่าจะได้ยินที่ไหนเขาก็จำได้แน่ แฮร์รี่หันหลังเขม้นมองไปที่เก้าอี้ยาวที่พิงอยู่ด้านนึงของห้อง ม้วนกระดาษเก่าหลายม้วนตกอยู่แทบบนพื้นรอบเก้าอี้ยาวที่ตัวเจ้าของเสียงนั่นกึ่งนั่งกึ่งนอน เขากลืนน้ำลายแล้วมองหน้าเจ้าของปราสาทแห่งนี้ชัดๆ แล้วได้แต่คิดว่าคนที่พูดประโยคนั้นควรเป็นเขามากกว่า
มัลฟอยเปลี่ยนไปจากที่เขาจำได้ ผมสีทองยาวประบ่า แต่กลับไม่ได้ถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อยดั่งเช่นที่เขาเคยเห็นทุกที มันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เจ้าของผมนั้นยกนิ้วยาวๆขึ้นมาทัดผมไปหลังหูหลังจากรู้สึกถึงสายตาของเขา แต่ที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่ผมหรอกนะ รอยคล้ำใต้ตาที่ดูโหลลึก ใบหน้าที่ซูบผอมกว่าที่เขาจำได้ แฮร์รี่มองตามนิ้วยาวๆ กระดูกข้อมือปูดโปน แล้วยังเสื้อผ้ายับยู่เหมือนเจ้าตัวอยู่ในชุดนี้มาทั้งสัปดาห์
มัลฟอยตรงหน้าเขาเหมือนเป็นเพียงร่างเงาเพียงครึ่งเดียวของผู้ชายจอมยโสโอหังที่เขารู้จักสมัยเรียน ความรู้สึกแน่นหน้าอกแปลกๆจู่โจมเขา แต่แฮร์รี่ก็สลัดมันออกอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีมัลฟอย” แน่นอนเขาไม่มีวันใช้คำว่าเอิร์ล หรือเรียกมัลฟอยว่ามายลอร์ดอย่างควร และดูเหมือนมัลฟอยเองก็หวังเช่นนั้น เพราะร่างโปร่งยกมุมปากขึ้น เหมือนจะยิ้มก่อนจะหยุด สีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างเช่นจงเรียกเขาว่าเอิร์ลอะไรแบบนั้น
“ธุระอะไรที่ทำให้หมาล่าเนื้อของกษัตริย์อัลบัสมาถึงที่นี่” มัลฟอยยังคงไม่ขยับตัว หรือไม่แม้แต่จะเชื้อเชิญให้เขานั่ง แล้วเขาก็ไม่หวังว่าผู้ชายคนนี้จะเปลี่ยนเป็นมีมารยาทต่อหน้าเขาหรอกนะ
“ฉันเป็นอัศวินของพระราชา” เขาแก้อย่างอดไม่ได้ เขาเป็นอัศวินปกป้องกษัตริย์และทำทุกอย่างแทนกษัตริย์ เพื่อให้ผู้วิเศษในอังกฤษอยู่ได้อย่างสงบสุขที่สุด แล้วเขาก็ไม่ได้ผิดถ้าหน่วยของเขาจะเก่งกาจเป็นเลิศในการค้นหาว่ามีขุนนางตระกูลไหนที่ใช้เวทมนตร์ในทางมิชอบ หรือแอบเก็บเงินของหลวงเอาไว้ แล้วตามล่ากัดไม่ปล่อยจนได้ชื่ออย่างที่หนุ่มผมทองพูด
“ฉันมีข้อเสนอให้นาย”
“ไม่รับ” มัลฟอยพูดโดยไม่แม้แต่จะฟัง นิสัยน่าหงุดหงิดไม่เคยเปลี่ยน
“แต่งงานกับฉันนะ” ทันทีที่แฮร์รี่พูดจบประโยค ทั้งห้องก็เงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะ เงียบจนเขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น เขารู้ว่าเขาควรจะอธิบายต่อ แต่เขาอยากรู้ว่าเดรโก มัลฟอยจะใช้คาถาอะไรสาปเขาก่อนที่เขาจะได้อธิบาย บางทีเขาอาจจะกวนหมอนั่นตั้งแต่สมัยเรียนมาถึงตอนนี้ไม่หย่อนไปกว่าที่มัลฟอยทำ
แต่คาถาที่เขารอกลับไม่ใช่คำแช่งอะไรร้ายๆ
“ไฟไนท์ อินคาทาเท็ม” มัลฟอยพูดเบาๆ แต่ก็ได้ยินชัดในห้องเงียบๆ ไม้ฮาวทอร์นสิบนิ้วที่เขาเห็นจนชินถูกหนีบระหว่างนิ้วยาวของชายหนุ่ม
“ฉันไม่ได้อยู่ใต้คาถาอะไรทั้งนั้นมัลฟอย” แฮร์รี่พูดพร้อมกับบังคับไม่ให้ตัวเองขยับเท้าหลบคาถา เขาไม่มีอะไรต้องซ่อน
“มีคำอธิบายอื่นรึไง”
“มีสิ อยากฟังไหมล่ะครับมายลอร์ด” แฮร์รี่พูดแล้วยิ้มมุมปาก เขาพูดคำว่ามายลอร์ดด้วยเสียงที่แน่ใจว่ามัลฟอยจะไม่คิดว่ามันเป็นคำอื่นนอกจากคำด่า แล้วยังท่ายืนของเขาอีก เขายืนตัวตรงมือสอดไปที่กระเป๋าข้างตัวสบายๆ ไม่มีท่าทางอ่อนน้อมอย่างที่คนทั่วไปควรจะต่อหน้าคนที่ตำแหน่งเอิร์ล
“มะ—” มัลฟอยแยกเขี้ยว
“ควรจะคิดใหม่นะถ้าจะปฎิเสธ อย่างน้อยเจ้าหนี้ของตระกูลมัลฟอยคงอย่างให้นายตกลง”
คราวนี้มัลฟอยไม่ใช้คำพูดแต่เป็นปากกาขนนกแหลมที่พุ่งมาทางเขา แฮร์รี่ยิ้มแล้วขยับตัวหลบง่ายๆ มัลฟอยรู้อยู่แล้วว่าเขาหลบได้ หมอนั่นอ่อนกว่าสมัยเรียนเยอะเลยนะ
“คิดว่าคนอย่างนายจะมีทองมาคืนหนี้แทนฉันเหรอพอตเตอร์ ให้แต่งงานกับตาเฒ่าถังแตกตระกูลก็อนท์ยังดีกว่า อย่างน้อยตานั้นก็มีที่ดิน”
แฮร์รี่ไม่ควรจะเจ็บหรือคันกับคำพูดนั้น ดังนั้นเขาจึงปัดความรำคาญเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจออกไปเสีย มัลฟอยก็คือมัลฟอย ดีแล้วล่ะ ดีแล้วที่หมอนั่นไม่เคยเปลี่ยน “นายกำลังมองทายาทคนเดียวของตระกูลแบล็ค” เขาพูดพร้อมกับโยนคำรับรองของทนายให้กับมัลฟอย
อีกคนรับม้วนกระดาษกลางอากาศ ไม่เสียที่เคยเป็นคู่แข่งเขาในเกมส์ควิชดิช ตาสีอ่อนเลื่อนมองตามอักษรก่อนจะขยำเป็นก้อนแล้วปาไปอีกทาง “ฉันน่าจะรู้ว่าดยุ๊คแห่งแคลร์มอนต์คงยกมรดกทุกอย่างให้คนนอกตระกูล” มัลฟอยพูดชื่อตำแหน่งเต็มๆของซิริอัส พ่อทูนหัวของเขา แฮร์รี่เกือบลืมไปแล้วว่าซิริอัสที่ไม่เคยถือตัวอะไรเลยทั้งสิ้นมีศักดิ์สูงถึงดยุ๊ค
“แล้วยังไง นายไม่มีความจำเป็นต้องแต่งงานกับฉัน ใช้เงินนี้ไปซื้ออาหารดีๆให้พวกตระกูลวีสลีย์กินซะน่าจะเป็นทางของนายมากกว่า”
“ฉันจะไม่พูดอะไรต่อจนกว่านายจะบอกฉันว่านายจะแต่งงานกับฉันไหม ข้อตกลงคือฉันแต่งเข้าตระกูลนายแล้วเหรียญทองทุกกิลเลี่ยนของตระกูลแบล็คจะเป็นของนาย”
มัลฟอยหรี่ตามองเขา ปากเม้มแน่น เขารู้ว่าอีกคนกำลังคิดหนัก เขาไม่ได้มาโดยไม่ได้วางแผนหรอกนะ เขารู้ว่ามัลฟอยถูกเจ้าหนี้กดดันให้ใช้จ่ายหนี้ที่ลูเซียสก่อไว้ หนี้ที่ดูเหมือนว่ายังไงเด็กหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดคงไม่มีหาเงินมาใช้ได้ทัน มัลฟอยไม่ใช่คนโง่ บางทีถ้าเขามีเวลาเขาอาจจะเปลี่ยนหนึ่งในธุรกิจที่ลูเซียสปล่อยปละละเลยให้มีกำไรได้ แต่ไม่มีทางที่จะทำได้เร็วพอกับดอกเบี้ยที่ดูจะเพิ่มขึ้นทุกวัน
“แค่นั้น ที่นายอยากได้คือแค่ฉันต้องแต่งงานกับนาย”
“ใช่”
“นายรู้ใช่ไหมพิธีแต่งงานของพวกเราน่ะประกอบด้วยอะไรบ้าง” มัลฟอยตัวตรงมองหน้าเขานิ่งเหมือนกำลังขอให้เขาถอยกลับ
“คำสาบาน พิธีผูกจิตโดยพ่อมดหรือแม่มดอาวุโสของตระกูล แล้วพวกเราต้อง--” แฮร์รี่รู้สึกลิ้นพันกันเหมือนคนบ้า ให้ตายสิทำไมเขาต้องมารู้สึกอับอายกับคำพูดอะไรแบบนี้ด้วย และดูเหมือนทันทีที่เขาเปิดช่องว่างมัลฟอยก็จ้วงเสียบ อย่างที่เจ้าตัวทำเสมอๆ
“พวกเราต้องเอากัน” หมอนั่นพูดเน้นเสียง
“ไม่มีใครอยากจะนอนกับนายหรอกนะมัลฟอย แต่ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้การแต่งงานสมบูรณ์ฉันก็จะทำ”
“นายได้อะไร”
“ได้ปลดหนี้ให้นาย” เขาเลี่ยงตอบ เขาบอกตรงๆไม่ได้จนกว่ามัลฟอยจะตกลง เสี่ยงเกินไป เขาต้องรู้ว่าหมอนี่หมดหนทางแล้วจริงๆ ตกลงกับข้อตกลงที่เหมือนการทำสัญญากับปีศาจ แฮร์รี่ไม่ใช่พวกเลือดบริสุทธิ์ ไม่ใช่คนมียศดังนั้น เขาจึงไม่เคยสนใจถ้าหากต้องหย่า แต่สำหรับพวกเลือดบริสุทธิ์แล้วมันเหมือนการตัดแขนตัดขาเลยทีเดียว จากที่ได้คุยกับเฮอร์ไมโอนี่นะ
“ฉันไม่เชื่อ แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ พ่อมดหรือแม่มดอาวุโสคนเดียวที่มีสายเลือดเดียวกับฉันคือเบลลาทริกซ์ เลสแตรงก์ ฉันคิดว่าท่านบารอนเนสคงยอมให้เจ้าหนี้ปาดคอฉันให้ตายดีกว่ามีลูกนอกสมรสเป็นญาติ”
แฮร์รี่เม้มปาก เขาข่มเสียงตะโกนที่เกือบจะหลุดออกมาเอาไว้ได้ “แอนโดรเมดา ท๊องส์ เธอเป็นแม่มดอาวุโสสายเลือดของเดียวกับนาย”
ความเงียบหนักอึ้งแผ่คลุมไปทั่วห้อง ก่อนที่มัลฟอยจะขยับตัวอีกครั้ง พ่นลมออกจากจมูก “คิดเอาไว้เบ็ดเสร็จแล้วสินะ ใครเป็นคนวางแผนให้ฮึ ยังเป็นยัยเด็กไม่มีพ่อแม่ผมฟูลูกเลี้ยงของมักกอนนากัลป์รึเปล่า” แฮร์รี่จิกเล็บเข้ากับนิ้ว
“ตกลงไหม” แฮร์รี่กัดฟันถาม แทบจะอยากหันหลังกลับ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของกษัตริย์อัลบัสเขาคงเสกไอ้หน้าแหลมตรงหน้าเขาแล้วเดินไปจากห้องนี้แล้ว
มัลฟอยกลืนน้ำลาย ก่อนจะหลับตา “เมอร์ลินเป็นพยาน” ร่างโปร่งพึมพำ
“ตกลง แต่อย่าคิดว่านี่เป็นอะไรมากไปกว่าข้อตกลงทางธุรกิจ”
“ฉันก็หวังเช่นนั้น” แฮร์รี่ยกมุมปากขึ้น ล้วงม้วนกระดาษอีกแผ่นจากทนาย แล้วส่งให้มัลฟอย “ใบทะเบียนสมรส ส่วนพิธีกรรมเราจะทำพรุ่งนี้ แต่ฉันอยากให้นายลงชื่อตอนนี้”
มัลฟอยมองหน้าเขาก่อนจะวางกระดาษลงบนเข่าแล้วหยิบหนึ่งในปากกาขนนกที่ตกแทบเท้าขึ้นมาจรดลงชื่อ ทันทีที่สำเร็จกระดาษก็เรืองแสงก่อนจะค่อยๆหายไป มันไปอยู่กับทนายความที่ดูแลเรื่องนี้ เอาล่ะอย่างน้อยมันก็จบแล้วทางกฎหมาย แฮร์รี่ถอนหายใจออก
“เหตุผล” มัลฟอยทวงถามทันที
“นายรู้เรื่องซุบซิบของคนในแวดวงนายช่วงนี้ไหม”
คิ้วสีทองขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจคำถาม แฮร์รี่ถอนหายใจ
“เสียงซุบซิบของคนที่เกลียดกษัตริย์อัลบัสน่ะ เสียงกระซิบที่บอกว่าราชาที่คู่ควรกับบัลลังก์กลับมาแล้ว”
มัลฟอยหลบตาเขา แต่ใบหน้าที่อยู่ดีๆก็ไร้สีเลือดนั้นบอกได้ดีเลยว่าเจ้าตัวคงได้ยินอะไรมาบ้าง
“ลอร์ดโวลเดอร์มอร์กลับมาจากความตาย แถมเป็นช่วงที่แย่ที่สุดเสียด้วย” แฮร์รี่ขยับเท้าแล้วอธิบายต่อ “อัลบัสน่ะ—”
“ฉันได้ยินข่าว กษัตริย์ไม่เสด็จออกมาเจอใครเลยเป็นเดือนแล้ว ทุกคนคิดว่าพระราชวังกำลังปิดข่าวที่กษัตริย์อัลบัสตายไปแล้ว” มัลฟอยพูดช้าๆ
“ยังไม่ตาย” แต่ก็ใกล้เต็มที แฮร์รี่พูดต่อในใจ “แต่ท่านก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาไล่ล่ากับข่าวลือนี้ได้”
“การแต่งงานกับนายเป็นทางออกที่ดี ฉันรู้ว่าทุกคนที่แวดล้อมนายสนับสนุนเขาตอนเขาก่อกบฏครั้งแรก ให้ตายสิพ่อของนายเป็นผู้สนับสนุนหลักเลยด้วยซ้ำ ฉันต้องหาทางสืบให้รู้ว่าเขากลับมาจากความตายจริงไหม แล้วทางที่ดีส่งไอ้บ้านั่นลงนรกกลับไปอีกครั้งด้วย แล้วพวกเลือดบริสุทธิ์อย่างพวกนาย ไม่มีวันเปิดปากพูดอะไรกับคนที่ไม่ใช่คนในตระกูล”
มือของมัลฟอยประสานกันอยู่ใต้คาง ดวงตาสีอ่อนทอดมองพื้น ไม่ยอมสบตาเขา แม้แต่ตอนที่พูดออกมา “แล้วถ้าเขา...ถ้านะ...ถ้าเขาฟื้นคืนชีพขึ้นจริงนายจะไม่คิดว่าฉันจะวิ่งไปสวามิภักดิ์กับเขารึไง”
“เขาเป็นนักฆ่า ทุกคนที่ติดตามเขามีบัญชีเลือดยาวเป็นหางว่าว พ่อของนายด้วย แต่นายไม่ใช่ คำตอบคือไม่ ฉันไม่คิดว่านายจะไปเป็นพวกเขา” สิ่งนี้แหละที่ทำให้แฮร์รี่ยอมพนันว่าเขาสามารถเข้าทางมัลฟอยได้ เขารู้จักหนุ่มตรงหน้าดี เจ็ดปีที่เรียนด้วยกัน เขารู้ว่ามัลฟอยไม่ใช่คนอำมหิตขนาดนั้น เขาเคยเห็นกับตา
“ฉันเข้าใจถูกรึเปล่า” เขาถามออกมา
มัลฟอยเงยหน้ามองเขา ไม่ตอบในทันที ก่อนจะเค้นเสียง “ไม่มีวัน” ความรู้สึกเกลียดลึกฝังในดวงตาอีกคนจนแฮร์รี่ประหลาดใจว่ามัลฟอยไปมีความแค้นอะไรกับราชาแห่งความมืด ดูเหมือนสี่ปีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมัลฟอยก็มีอะไรเปลี่ยนนิดหน่อยแฮะ
“นี่แหละเหตุผลของฉัน” แฮร์รี่ตัดสินใจไม่ถามต่อ
“ไม่มีใครจะยอมเปิดปากกับคนที่เป็นอัศวินของพระราชาหรอกนะ นายมีแต่จะเสียทองน่ะสิงานนี้”
“ไม่มีใครรู้จักหน้าฉันซะหน่อย แล้วฉันก็มีวิธีหรอกน่า”
มัลฟอยยังคงขมวดคิ้ว แต่ก็คงเหมือนเขาที่ตัดสินใจเก็บความสงสัยไว้กับตัว หมอนั่นพยักหน้า “กี่โมงฉันจะให้เอลฟ์เตรียมแท่นพิธี”
“เย็น ฉันมีเรื่องต้องจัดการระหว่างวัน” แฮร์รี่ตอบ เรื่องที่ว่าคือการเกลี้ยกล่อมแอนโดรเมดา เขารู้ว่าเธอจะช่วยแต่เธอคงจะเทศน์เขาจนหูชา แล้วบอกเขาว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
มัลฟอยทิ้งตัวกับเก้าอี้ ยกมือขึ้นมาปิดหน้า “แล้วหวังว่าคืนพรุ่งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของนายนะพอตเตอร์”
“รู้ว่าจะต้องทำยังไงหรอกน่า” แฮร์รี่พูด รู้สึกถึงความร้อนที่คอ ไม่ใช่เพราะไอ้เสื้อคอสูงนั่นด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปตามลำคอระหงของคนตรงหน้า แผ่นอกส่วนที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตคอกว้างผ้าไหม แล้วก็ขายาวๆในกางเกงรัดแบบพอดีตัวนั้น
เหมือนเจ้าของร่างจะรู้ตัว “มีอะไรอีกไหมพอตเตอร์”
“ไม่ ธุระของฉันจบแล้ว เจอกันพรุ่งนี้”
ไม่มีคำลาเช่นเดียวกับจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเอิร์ล แน่นอนมารยาทดีของมัลฟอยไม่มีวันเผื่อแผ่มาถึงเขา และแฮร์รี่ก็ชินชาเสียแล้ว เขาเดินออกไปโดยไม่รอคำลา ข้างนอกนั่นด๊อบบี้รอเขาอยู่แล้วเดินนำเงียบ ตาโตเหลือบมามองเขาเป็นระยะเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ทำไม่ได้ เอลฟ์ประจำบ้านประหลาดอย่างนี้เสมอ แฮร์รี่ส่ายหน้า
ในที่สุดเขาก็หลุดจากเขตปราสาทมัลฟอย ชายหนุ่มหันไปดูปราสาทใหญ่โตอีกครั้ง สวย แต่เงียบและวังเวงเหลือเกิน หมอนั่นอยู่ได้ยังไงคนเดียวที่นั่นนะ เขารู้สึกผิด ใช่เขาตามล่าลอร์ดโวลเดอร์มอร์ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด กษัตริย์อัลบัสฉลาด ใจดี แต่ก็เป็นคนช่างวางแผนที่สุดที่เขารู้ และเขาไม่แน่ใจว่าเขากำลังเป็นหมากในเกมส์ของชายชรารึเปล่า แฮร์รี่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อเกือบเดือนก่อน
.
.
.
“อัลบัส” แฮร์รี่ผลักประตูเข้าไป เสียงตะโกนเรียกเจ้าของชื่อ เขาวิ่งมาเร็วที่สุดทันทีที่กลับมาจากสก๊อตแลนด์แล้วได้ข่าวว่ากษัตริย์ทรงประชวรหนัก
“คุณพอตเตอร์ถ้าคุณจะกรุณาลดเสียง” เสียงดุๆตอบกลับจากหมอยาประจำราชสำนัก ที่กำลังนั่งข้างกษัตริย์ชรา
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” แฮร์รี่ข่มความหงุดหงิดใจแล้วรุดตัวไปข้างเตียง อัลบัสดูซูบซีดผิดจากที่เขาจำได้ เล็บมือเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
“แค่โรคคนแก่น่ะแฮร์รี่” ชายชราพูดเสียงแหบ ตาสีฟ้ามองแฮร์รี่ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่มีประกายเหมือนที่เขาจำได้ มันเป็นสีฟ้าหม่นเหมือนท้องฟ้าตอนฝนตก “เซเวอรัสออกไป ผมขอพูดกับแฮร์รี่ตามลำพัง”
“แต่ท่านควรพักผ่อน”
“นี่คือคำสั่งเซเวอรัส” กษัตริย์ชราย้ำอีกครั้ง ทำให้สเนปต้องลุกขึ้นแล้วเดินเงียบๆออกจากห้องไป
“ได้อะไรไหม” อัลบัสถามเสียงเร่งร้อน
แฮร์รี่ส่ายหน้า “มีแต่หมู่บ้านมักเกิ้ลที่โดนทำลายโดยเวทมนตร์ แต่ผมช้าไป จับใครไม่ได้ คุณแน่ใจนะว่าเขากลับมาจริง ๆ”
“จริงสิแฮร์รี่ เรารู้ไหมว่าทำไมไปแถวนั้น”
“มันอยู่ใกล้เขตของตระกูลเอเวอรี่ แต่พอผมไปถามกลับไม่มีใครบอกว่าเห็นอะไรเลย”
กษัตริย์อัลบัสพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาสนับสนุนลอร์ดโวลเดอร์มอร์ในการเถลิงอำนาจเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้ก็คงด้วย—” ชายชราทำหน้าบิดเบี้ยวแล้วจับแขนตัวเองแน่น แฮร์รี่แน่ใจว่าตาเขาไม่ได้ฝาดตอนที่เขาเห็นว่ารอยดำจากเล็บมันแผ่ขยายจนครอบคลุมทั้งนิ้ว แต่ชายชราซ่อนมือจากสายตาเขาก่อนที่แฮร์รี่จะได้มองให้แน่ใจ
“ให้ผมเรียกลอร์ดสเนปไหมครับ” แฮร์รี่ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอก เขาคงเฝ้าอยู่ข้างหน้าแล้วถลาเข้ามาตอนที่เธอออกไปทันทีหล่ะ บางทีฉันก็อยากให้หมอยาของฉันบ้างานน้อยกว่านี้สักหน่อย” กษัตริย์ของเขายังคงมีอารมณ์ขันแม้ในสถานการณ์แบบนี้
“ท่านอยากให้ผมทำอย่างไรต่อ”
“ไม่เหลือร่องรอยอื่นให้ตามแล้วใช่ไหม”
แฮร์รี่พยักหน้า เขาใช้เวลาเดือนกว่าที่ผ่านมาตามรอยลอร์ดโวลเดอร์มอร์ ทุกอย่างคือเหลวเป๋ว ไม่แม้กระทั่งสามารถหาหลักฐานมายืนยันว่าผู้ชายอันตรายคนนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง
กษัตริย์อัลบัสกุมมือแน่นอีกครั้ง ดูเหมือนเจ็บปวดจนอยากกรีดร้อง เหงื่อเม็ดโตผุดมาตามไรผม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอัลบัสเป็นอะไร ดูเหมือนเป็นยาพิษแต่ชายชรากลับไม่บอกอะไรเขาเลย
“เวลาเหลือน้อยลงทุกที” เสียงแผ่วเหมือนคนหายใจไม่ทัน
“ไปหาเดรโก”
“เดรโก มัลฟอยหรือครับ” แฮร์รี่พูดชื่อที่เขาแทบไม่ได้พูดมาตลอดสี่ปีตั้งแต่เรียนจบ
“เดรโกจะช่วยเธอได้” กษัตริย์อัลบัสพูดแล้วปิดตาลง “แล้วเรียกเซเวอรัสให้ที” เป็นอันรู้กันว่าจบบทสนทนาแล้ว แต่แฮร์รี่ไม่มีโอกาสได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เพราะหลังจากนั้นดูเหมือนอาการของกษัตริย์อัลบัสจะยิ่งทรุดหนักจนไม่มีใครเยี่ยมได้
.
.
.
“ไปหาเดรโก” แฮร์รี่พูดทวนกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้า ทีแรกเขาคิดว่าให้ตามสืบเรื่องของเดรโก มัลฟอย เขาเลยจับตาหมอนั่นทุกย่างก้าวเกือบเดือน จนแน่ใจว่ามัลฟอยไม่ได้ติดต่อกับใครเลยทั้งสิ้น หมอนั่นหมกตัวอยู่ในปราสาทตั้งแต่ลูเซียส มัลฟอยกับนาร์ซิสซาร์ มัลฟอยตายเมื่อเกือบครึ่งปีที่แล้ว บางทีกษัตริย์อัลบัสอาจจะหมายถึงว่าเดรโก มัลฟอยจะเป็นสะพานพาเขาไปเจอลอร์ดโวลเดอร์มอร์ได้ แฮร์รี่ถอนหายใจอีกครั้ง หวังว่าเขาจะคิดถูก เพราะเขากำลังพนันครั้งใหญ่ พนันด้วยการแต่งงานกับมัลฟอย สิ่งเดียวที่เขามีคำพูดสั่งของกษัตริย์ชราใกล้ตาย หวังว่าตอนนั้นอัลบัสคงไม่ได้กำลังเพ้อเพราะฤทธิ์ยาหรอกนะ
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง คิดถึงเรื่องเป็นร้อยอย่างที่ต้องทำก่อนจะหายตัวกลับไปที่ลอนดอน
ความคิดเห็น