ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Story in Reverse (HP/DM)

    ลำดับตอนที่ #2 : Exquisite Incident

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 59



    ตอนที่ 2 – Exquisite Incident

    I love how she makes me feel, like anything is possible, or like life is worth it – 500 Days of Summer (2009)

     

                    เดรโกเกลียดการใช้เครือข่ายฟลูเป็นที่สุด ชายหนุ่มคิดขณะเขี่ยเตาผิงแล้วยื่นหน้าเข้าไปในเปลวไฟสีเขียวนั้น มันทั้งร้อนแล้วก็ยังมีขี้เถ้าที่ทำให้เขาคันตาอีก แต่เพราะเขาจะเสี่ยงหายตัวไปหาเดฟนีไม่ได้การใช้ฟลูจึงเป็นทางเดียวที่จะติดต่อเธอโดยไม่ทำให้ใครสงสัย

                    “อะแฮ่ม” เดรโกกระแอมเรียก คนที่เขาต้องการพูดด้วย เขาเห็นเดฟนีแวบๆ ชายหนุ่มพยายามเอียงคอมองแต่เพราะเตาผิงมันบังทำให้เขามองอะไรไม่ได้เลยนอกจากส่วนตรงหน้าเขา

                    “เดฟนีฉันเจ็บเข่านะมาเร็วๆสิ” เดรโกพูดเสียงสูงอย่างเริ่มหงุดหงิด

     

                    “มาแล้วๆ” สิ้นเสียง ใบหน้าหญิงสาวก็มาหยุดหน้าเตาผิง เธออยู่ในชุดนอนแล้วไม่ต่างจากเขา

     

                    “เจ็บเข่าเพราะกำลังคุกเข่า หรือเพราะใช้เข่าไปกระแทกของสำคัญของใครหึ” เดฟนีพูดต่อโดยไม่หยุดให้เขาพูด

     

                    “เอ่อ เขามาเจอฉันตอนกำลังจะเปลี่ยนร่างกลับพอดี แล้วฉันก็จะดื่มน้ำยาหรือเปลี่ยนร่างต่อหน้าเขาก็ไม่ได้” คนถูกถามพยายามอธิบาย

     

                    “นายก็เลยทำให้เขามีลูกไม่ได้ ดีนะฉันเป็นคนไปเจอเขานอนตัวงอเป็นกุ้งหน้าเขียวอยู่หน้าห้องแอสเทอเรีย แล้วก็โกหกไปบอกว่าแอสเทอเรียคงตกใจที่มีผู้ชายมาจับเนื้อจับตัว เอาเป็นว่าอย่างน้อยเขาคงไม่กล้าเข้าใกล้นายอีกสักพักล่ะ”

     

                    “ฉันไม่ได้แค่ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ ฉันอยากให้หมอนั้นหายไปเลย เดฟนีเธอต้องจัดการอะไรสักอย่างนะ พอตเตอร์ถูกส่งมาดูเธอเพราะเรื่องของเรนฮาร์ท บอกคุณกรีนกราสว่าเธอจะไปพักผ่อน หรือไปที่ไหนก็ได้ แล้วพาเขาไปให้พ้นหน้าฉันเลย” เดรโกพูดเสียงสูงยาวเป็นชุด

     

                    “ได้ไงเล่า แล้วนายจะอยู่ที่บ้านกับพ่อสองคนเหรอ ความแตกในไม่เกินสองวันแน่ ฉันอยู่ด้วยยังทำให้พ่อคิดว่าแอสเทอเรียเงียบเป็นปกติ แต่ถ้าฉันไม่อยู่คนเดียวที่พ่อจะสนใจก็คือนาย ไม่ได้ๆ ทนๆไปเถอะน่า” เดฟนีพูด

     

                    ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจ เขารู้ดีว่าที่เดฟนีพูดนั้นก็ถูก หากไม่มีเธอเขาไม่มีทางแกล้งทำตัวเป็นแอสเทอเรียได้อย่างแนบเนียนต่อหน้าบิดาของเธอแน่ๆ เดรโกถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “ความซวยนี้คืออะไรนะ” ชายหนุ่มบ่นอุบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเป็นคุยเกี่ยวกับแอสเทอเรีย เขาอยากรู้ว่าคู่หมั้นของเขาได้ติดต่อกับเดฟนีบ้างรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าทางนั้นก็จะไม่ได้รับข้อความอะไรเหมือนกัน เมื่อไม่มีอะไรแล้วเดรโกก็ปิดเครือข่ายฟลูแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง เขาชักไม่อยากให้ตอนเช้ามาถึงเลยสักนิดเดียว

     

    #########

                   

    แฮร์รี่มองนาฬิกาตรงหน้า เวลานี้เขาควรจะเข้าไปที่บ้านกรีนกราสได้แล้ว แต่เขาก็ยังเตร็ดเตร่มาเก็บข้าวเก็บของบนโต๊ะทำงานที่สำนักงานมือปราบมาร โถ่ก็เขาจะไม่ได้เห็นโต๊ะที่รักนี้เป็นเวลาอีกตั้งนาน ชายหนุ่มแอบหวังว่ามือปราบมารโรบาดส์จะเห็นใจแล้วส่งเขาไปทำอย่างอื่นแทน แต่ดูท่ายังไงเขาก็ต้องไปที่ปราสาทกลางป่านั้นอยู่ดี

                    แค่ไปวันแรกเขาก็โดนดีซะแล้ว คิดแล้วแฮร์รี่ก็ก้มลงมองเป้ากางเกงตัวเองอย่างสะทกสะท้อนใจ โถ่แฮร์รี่น้อยลูกพ่อ เมื่อวานโดนเข่าเข้าไปเต็มๆ ถึงเดฟนีจะยืนยันเพราะว่าแอสเทอเรียไม่คุ้นกับผู้ชาย ทำให้ตกใจทำอะไรอย่างนั้นออกไปแต่แฮร์รี่ก็แน่ใจว่าเธอต้องการประทุษร้ายเขาแน่ๆ

                    ...และที่สำคัญ...ทำไมหญิงสาวที่ดูเหมือนหนอนหนังสือแบบนั้นถึงได้สามารถเล็งได้อย่างถูกจุด ตรงเป้า แถมยังแรงจนเขาจุกอีกด้วย!!!

     

                    แต่เมื่อเขาไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกแล้ว (ก็กาเวน โรบาดส์เล่นเดินมากระแอมใส่หน้าเขาตั้งสามหน!) แฮร์รี่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บกระเป๋าแล้วเดินไปที่เวิร์ทวูดแมนชั่น คิดแล้วแค้นชะมัดที่โรบาดส์ทำหน้าดีใจที่เห็นเขาต้องทุกข์ทนขนาดนี้ แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ทำให้หัวหน้าต้องเจอเรื่องมาเยอะเหมือนกัน บางทีมันอาจจะเหมาะกันแล้วก็ได้

                   

                    “สวัสดีค่ะคุณพอตเตอร์” เอลซี่ เอลฟ์ประจำบ้านของครอบครัวกรีนกราสหายตัวมาทักเขาทันทีที่เท้าของแฮร์รี่แตะเข้าเขตบ้าน เขาแน่ใจว่าเฮอร์ไมโอนี่เคยอ่านอะไรสักอย่างให้เขาฟังเกี่ยวกับเวทย์มนต์เฉพาะของเอลฟ์ แต่คิดหรือว่าคนอย่างเขาจะจำได้

                    “เดินตามเอลซี่มาที่ห้องคุณพอตเตอร์เลยค่ะ” เธอพูดจบก็ออกเดินนำเขาไป เขาแน่ใจว่าเขาใช้เวลาอย่างสิบห้านาทีในการเดินจากประตูหน้ามาจนถึงห้องของเขา ซึ่งอยู่คนปีกกับห้องนอนของทายาททั้งสองของตระกูลกรีนกราส แฮร์รี่ส่ายหน้าให้กับความระแวงของคนเป็นพ่อ ยังกับเขาจะพิศวาสพี่น้องคู่นั้นอย่างนั้นแหละ ถามว่าสวยไหมก็คงต้องบอกตามตรงว่าสวย แต่ถ้าต้องมาจีบแล้วงัดข้อกับท่านเดมิทริสจะให้สวยแค่ไหนก็คงไม่ใช่ อีกอย่างเขายังไม่คิดจะสนผู้หญิงคนไหนตอนนี้ หรือนั้นก็เป็นข้ออ้างที่เขาบอกเฮอร์ไมโอนี่ทุกครั้งที่เธอพยายามลากเขาไปนัดบอดกับสาวๆที่เธอรู้จัก

                    เมื่อจัดการเก็บของทุกอย่างเข้าในห้องนอนแล้ว แฮร์รี่ก็เริ่มงานทันที งานคุ้มกันเป็นหนึ่งในงานที่แฮร์รี่ไม่ชอบที่สุดเพราะมันแทบจะไม่มีอะไรเลย เขาแค่ร่ายคาถาป้องกันแบบมาตรฐานแล้วก็รอ ถ้าโชคดีก็คงมีใครโผล่มาแล้วเขาก็จะได้ทำงาน แต่ 90% ของงานที่เขาเจอมักจบลงด้วยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นการใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์ที่สุด นี้มักเป็นงานที่ส่งให้มือปราบมารที่เพิ่งจบหรือพวกมือปราบมารฝึกหัดทำ ไม่ใช่เขาซึ่งทำงานนี้มาแล้วห้าปี แต่แน่ล่ะนี้เป็นบทลงโทษของเขา ชายหนุ่มคิดอย่างเซ็งๆ

                    เมื่อดูว่าโดยรอบปลอดภัยแล้วแฮร์รี่ก็เริ่มเดินตรวจตราภายในตึก เวิร์ทวูดแมนชั่นมีสองปีกใหญ่ที่หักเป็นมุมฉากโดยมีสวนเล็กอยู่ตรงกลาง ตระกูลกรีนกราสทั้งหมดจะอยู่ในปีกขวา ส่วนปีกซ้ายจะเป็นเขตให้แขกพัก แม้ว่าดูท่าทางที่นี่จะไม่ได้มีแขกมานานแต่ทุกห้องก็ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ที่แฮร์รี่ต้องทำก็คือทำความคุ้นเคยกับแผนผังของที่นี่ ดูว่ามีทางไหนที่เป็นจุดอ่อนให้มีคนเข้าออกหรือไม่ เนื่องจากคนที่ปองร้ายเป็นมักเกิ้ลที่อาจจะคุ้นเคยกับผู้วิเศษ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีเวทมนตร์อยู่ดี ทางเดียวที่ดูแล้วเป็นภัยก็คือเครือข่ายฟลู ชายหนุ่มเสนอให้ปิดเครือข่ายฟลูของเวิร์ทวูดซะระหว่างนี้ แต่สองสาวยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้เด็ดขาด จนทำให้บิดาต้องยอมตามใจ สิ่งที่แฮร์รี่ทำได้ก็คือร่ายคาถาที่หากมีใครเข้าออกผ่านทางฟลูโดยไม่ได้รับอนุญาตมันจะเตือนเขาทันที

     

                    ห้องสุดท้ายที่เขาต้องเข้าไปดูก็คือห้องสมุดที่ชั้นล่างของแมนชั่น ทันทีที่เขาเดินเข้าไปเสียงพูดคุยของคนที่อยู่ในห้องก็เงียบลงทันที สายตาทั้งสองคู่หันมามองเขาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น                

     

                    “สวัสดีค่ะมือปราบมารพอตเตอร์” เดฟนีพูดขึ้นมาก่อน หญิงสาวส่งยิ้มฝืนๆให้เขา

     

                    ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับแล้วเดินไปอธิบายว่าเขาเข้ามาในห้องนี้ทำไม ทันทีที่พูดถึงคาถาเตือนที่แฮร์รี่ร่ายบนเครือข่ายฟลู เดฟนีกับแอสเทอเรียก็สบตากันนิ่งอย่างมีลับลมคมใน อะไรกันน้าสองพี่น้องนี้

     

                    “คุณไม่ได้เข้าไปในห้องฉันใช่ไหมคะ” แอสเทอเรียถามออกมา

     

                    แฮร์รี่รีบถอยห่างออกจากตัวเด็กสาว เขายังไม่อยากเจอกับอะไรแบบเมื่อวานอีก โดยเฉพาะหลังเขาต้องบอกเธอไปว่าเขาแอบเข้าไปในห้องพวกเธอสองคนเรียบร้อยแล้ว...ก็นี้มันหน้าที่ของเขานะ อีกอย่างคนที่พาเข้าไปก็คือเอลฟ์ประจำบ้าน ที่คอยยืนคุมดูว่าเขาไม่ได้แอบทำอะไรนอกจากตรวจเชคความปลอดภัย

                    “เอ่อ ผมเข้าไปแล้วครับ แต่เอลซี่อยู่กับผมตลอดเวลานะครับ” แฮร์รี่อธิบายเร็วๆ พร้อมสังเกตว่าเธอมีสีหน้ายังไงบ้าง

     

                    และเป็นอีกครั้งที่แอสเทอเรียกับเดฟนีสบตาแล้วเหมือนคุยกันทางกระแสจิต ให้ตายสิพวกพี่น้องเป็นอย่างนี้ทุกคู่เลยเหรอ ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด รู้สึกเหมือนกำลังโดนปิดบังอะไรอยู่ และสัญชาตญาณมือปราบมารของเขาก็ไม่ชอบเรื่องตรงหน้าเอามากๆเสียด้วย

                     แอสเทอเรียหันมายิ้มให้เขา ตาสีน้ำตาลมองตรงมาที่เขานิ่ง “งั้นก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวคุณต้องมาร่ายคาถากับในห้องนี้อีกใช่ไหมคะ ขอฉันดูด้วยได้ไหมคะ”

     

                    เขาไม่แน่ใจว่าทำไมรอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นแบบนี้ และเขาก็พยักหน้าก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ

     

                    “เยี่ยมเลยค่ะ” หญิงสาวพูดแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมวางหนังสือเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุลงบนโต๊ะเตี้ยๆข้างตัว

     

                      ระหว่างเดินผ่านชั้นหนังสือสูงเขาก็รู้สึกถึงสายตาของเธอตลอดเวลา มันไม่ใช่สายตาแห่งความมาดร้าย แต่มันเต็มไปด้วยความสงสัย หรือว่าเธอจะรู้สึกผิดที่ทำอย่างนั้นกับเขาเมื่อคืนนะ...ก็ควรอยู่หรอก ที่จริงเขายังไม่ได้รับคำขอโทษจากปากเธอเลย 

     

                    “เอ่อ ถามอะไรหน่อยได้ไหมคะคุณพอตเตอร์” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาในที่สุด

     

                    “ครับ” แฮร์รี่พูดแล้วหันไปมองเธอ

     

                    “คุณมาทำภารกิจคุ้มกันได้ยังไงคะ ปกติเขาจะไม่ส่งเอ่อ...เอ่อ” หญิงสาวกัดริมฝีปากเหมือนพยายามหาคำมาอธิบายตัวเขา “เอ่อ..คนอย่างคุณมา” เธอพูดต่อเสียงอ่อย

     

                    ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่คำถามที่เขาคิดเลย แต่ก็เข้าใจได้หากเธอจะสงสัย

                    “นี้เป็นบทลงโทษของผมที่บุกไปจับวอลเตอร์ เรนฮาร์ทต่อหน้างานเลี้ยงดินเนอร์ในปราสาทเขา” เขาไม่เห็นเหตุผลที่ต้องโกหก อีกอย่างเขาเชื่อว่าเธอจะต้องดูออกหากเขาพูดเท็จออกไป

     

                    เสียงหัวเราะเบาๆของเธอทำให้เขาประหลาดใจ “ไม่แปลกใจสักนิดเลยคุณพอตเตอร์ คุณยังเป็นพวกบุ่มบ่ามไม่เปลี่ยนไปเลยสินะ กาเวน โรบาดส์คงหนักใจเรื่องคุณน่าดู”

     

                    คนที่ประหลาดใจคราวนี้กลับเป็นแฮร์รี่ เธอพูดเหมือนรู้จักเขาอย่างนั้นแหละ แต่มันก็จริงทุกอย่าง เขายังเลือดร้อนไม่ผิดไปจากวัยรุ่น และเขาคงเป็นเหตุผลที่ทำให้โรบาดส์มีอาการไมเกรนขึ้นบ่อยๆ

     

                    ก่อนจะตอบเธอกลับพวกเขาก็เดินมาถึงเตาผิง เขาหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาแล้วร่ายคาถา แสงสว่างสีเหลืองอ่อนครอบคลุมไปทั่วเตาผิงนั้นก่อนจะค่อยๆจางลง คาถาที่เขาใช้เป็นแบบมาตรฐานของมือปราบมารทั่วไป เขาตั้งใจว่าคราวนี้จะทำตามกฎให้มากที่สุด และบางทีเขาอาจจะคิดไปเองแต่เขาเห็นหญิงสาวลอบถอนใจเหมือนโล่งอกที่เห็นเขาใช้คาถานั้น  

     

                    “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องประนีประนอมกับไอ้คนอย่างเรนฮาร์ท” แฮร์รี่หันไปมองหน้าเธอตรงๆ “ผมไม่สนว่าไซมอน เรนฮาร์ทจะยิ่งใหญ่มาจากไหน คนที่ผมต้องการก็คือลูกชายเขา วอลเตอร์ และถ้าหากผมจะเลือกวิธีที่มันออกจะดูทำร้ายหน้าบางๆของท่านเรนฮาร์ทไปเสียหน่อย มันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องผิดไม่ใช่เหรอ”

     

                    หญิงสาวเลิกคิ้วพร้อมกอดอก “เพราะคิดอย่างนี้แหละพอตเตอร์ คุณถึงไม่ได้ไปไหนซะที” และเหมือนเธอเองก็ตกใจที่พูดอะไรอย่างนั้นออกไป แก้มของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย แอสเทอเรียรีบก้มหน้าแล้วขอโทษเขายกใหญ่ แต่เขาไม่อยากได้ยินคำขอโทษ เขาอยากได้คำอธิบายว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น

     

                    “เดี๋ยวๆ แอสเทอเรียคุณหมายความว่ายังไง” เขารั้งข้อมือเธอไว้ก่อนเธอจะเดินหนีไปได้ ก่อนจะรีบปล่อยมือออกเมื่อจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เขาจับเธอแบบนี้เกิดอะไรขึ้น และเหมือนเธอเองก็จำได้เช่นกัน แก้มเธอแดงซ่านขณะที่เธอพูดขอโทษเขาเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานก่อนจะนิ่งไปเหมือนคิดว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ แต่ในที่สุดริมฝีปากอิ่มนั้นก็เปิดออก

     

                    “ทุกโลกที่คุณอยู่มันมีกฎของมันทั้งนั้น โลกเวทมนตร์ก็เช่นกัน ที่จริงถ้าเทียบกับพวกมักเกิ้ลแล้วด้านการกระจายอำนาจพวกเราล้าหลังกว่าเยอะ คุณเป็นผู้ถูกเลือก เป็นวีรบุรุษสงคราม เป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่คุณไม่มีวันจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้หากคุณไม่ทำตามกฎพวกนั้น”

     

                    แฮร์รี่หัวเราะอย่างขื่นๆ “กฎที่ว่าก็คือก้มหัวให้กับพวกตระกูลสูงๆเหรอ ให้กับคนมีอำนาจอย่างนั้นหรือแอสเทอเรีย แล้วคุณเข้าใจผิดแล้วผมไม่เคยอยากจะขึ้นสู่จุดสูงสุดอะไรอย่างที่คุณว่า ผมแค่อยากทำงานของผม”

     

                    “โอ๊ยนี้ฉันคุยกับอิฐอยู่รึไงพอตเตอร์ ทำไมนายมันงั่งไม่เปลี่ยนอย่างนี้” แฮร์รี่แอบสะอึกไปเล็กๆที่เห็นท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ แต่ดูเธอจะไม่ได้รู้สึกตัวว่าทั้งคำพูดทั้งท่าทางของเธอเปลี่ยนไป

                    “ฉันรู้ว่าชีวิตนี้ของนายจะอุทิศเพื่อขจัดพ่อมดแม่มดฝ่ายมืด แต่ช่วยใช้สมองหน่อยว่านายทำคนเดียวได้ไหม แล้วนายอยู่ในตำแหน่งไหนมันถึงจะมีประโยชน์ที่สุด ถึงนายบุกเดี่ยวไปตลอดชาติก็ยังเก็บพวกฝ่ายมืดได้ไม่หมดหรอก ทางเดียวก็คือนายต้องขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักงานมือปราบมาร วางรากฐานซะใหม่ แล้วทำไมคนที่ต้องบอกนายเกี่ยวกับเรื่องเบสิคๆพวกนี้ถึงต้องเป็นฉันด้วยน้า เบื่อจริงๆพวกกริฟฟินดอร์คิดอะไรตื้นๆ” เธอร่ายยาวเป็นชุดโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เถียงกลับ

                    “แล้วอีกอย่างถ้านายยังคิดจะทำอย่างที่นายทำมาตลอดชีวิตก็เตรียมตัวถูกเฉดหัวส่งได้เลย บางทีนายน่าจะไปเป็นนักกีฬาควิดดิชนะ นายจะได้อยู่ในโลกที่มีแต่อีโก้ของนาย ไม่ต้องก้มหัวให้ใครซะให้พอ” หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ซึ่งแฮร์รี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องไม่พอใจด้วย คนที่ควรจะไม่พอใจควรเป็นเขาสิ เขาเพิ่งถูกเด็กผู้หญิงอายุแค่ยี่สิบด่าใส่เป็นชุด และเขาชักไม่แน่ใจว่าคนที่เขาคุยอยู่ด้วยเนี้ยเป็นเรเวนคลอหรือสลิธีรินกันแน่ ไม่มีใครทำเสียงคำว่ากริฟฟินดอร์เหมือนกำลังพูดถึงสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกได้เหมือนพวกสลิธีรินอีกแล้ว...และเป็นสลิธีรินที่เป็นคู่หมั้นของหญิงสาวเสียด้วย...ชักสงสัยแล้วสิว่าเธอกับคู่หมั้นสนิทกันขนาดไหนเนี้ย

     

                    “แล้วคุณแนะนำว่าผมควรทำยังไง” แฮร์รี่ชักอยากรู้ซะแล้วว่าแอสเทอเรีย กรีนกราสมีแผนดันให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้ามือปราบมารได้ยังไง

                    “เลื่อยขาเก้าอี้โรบาดส์เหรอ อย่าลืมนะครับว่าผมไม่ใช่สลิธีรินเหมือนคู่หมั้นคุณ”

     

                    ตาสีน้ำตาลเข้มมีประกายขึ้นมาเหมือนคนกำลังโกรธ แต่แทนที่จะด่าเขาเธอกลับตอบคำถามเขาแทน

                    “กาเวน โรบาดส์อายุเท่าไหร่แล้ว ยังไงเขาก็ต้องเกษียณในเวลาไม่กี่ปี คุณมีเวลาอย่างมากก็อีกห้าปีที่จะให้เขาเห็นว่าคุณจะเป็นตัวแทนเขาได้ แล้วที่ฉันแนะนำก็คืออย่างแรกเลยนะพอตเตอร์ หัดเรียนรู้มารยาทสังคมซะบ้าง”

     

                    “เฮ้ นี้คุณ คนไม่มีมารยาทน่ะผมหรือคุณกันแน่ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนเดียวนะที่โดนด่า ตั้งแต่หาว่าผมไม่มีสมอง จนถึงไม่มีมารยาท” แฮร์รี่อดตอกกลับไม่ได้

     

                    หญิงสาวกลอกตาเหมือนรำคาญที่ต้องมาพูดให้เขาฟัง “ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น เจ็บหน่อยก็ทนเอา แต่ฉันหมายถึงมารยาทให้การเข้าสังคมกับผู้วิเศษคนอื่น อย่างแรกเลยไม่มีใครเคยสอนนายรึไงเวลาเจอผู้หญิงครั้งแรกแล้วเขายื่นมือให้น่ะ ไม่ได้ให้นายจับมือย่ะ แต่ต้องทำแบบนี้” พูดจบหญิงสาวก็คว้ามือเขาไป แล้วย่อเข่าลงเหมือนถอนสายบัวก่อนจะพรมจูบเบาๆที่หลังมือเขา ชายหนุ่มรีบชักมือออกอย่างตกใจ ท่าทางของเขาก็เหมือนทำให้เธอรู้สึกตัวด้วยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ หญิงสาวกระแอมแล้วยืดตัวขึ้น หน้าเธอแดงอีกแล้ว

                    ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำลายความเงียบขึ้นมา

     

                    “ถ้าอย่างนั้นคุณมาเป็นครูสอนมารยาทให้ผมได้ไหม”

     

    ######

     

                    เดรโกอยากจะตบหูตัวเองให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ยินผิด เขาคิดว่าจะโดนพอตเตอร์ชกกลับหรืออะไรแบบนั้นซะอีก แต่หมอนั้นกลับขอให้เขาเป็นครูเนี้ยนะ

                    “อะไรนะ”

     

                    ชายหนุ่มตรงหน้าเขายักไหล่ “ก็มันคงไม่มีโรงเรียนไหนสอนใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นหัวหน้าโรบาดส์คงส่งผมไปอบรมนานแล้ว อีกอย่างผมก็อยู่กับพวกคุณอีกตั้งเป็นเดือน คุณเองก็ดูอยากจะสอนผมซะด้วย”

     

                    เดรโกอยากจะตะโกนออกไปว่าไม่ใช่เว้ย!!! ตอนแรกเขาแค่หงุดหงิดที่พอตเตอร์ไม่รู้จักจัดการกับหน้าที่การงานของตัวเองเอาซะเลย ทั้งๆมีต้นทุนดีแบบนั้น พอตเตอร์กลับไม่แยแสที่จะเรียนรู้เรื่องในกระทรวงเวทมนตร์แล้วขึ้นเป็นใหญ่ เขาสิที่ต้องเริ่มจากศูนย์ ต้องกอบกู้กิจการของตระกูลมัลฟอยตลอดห้าปี ทำให้ทุกคนกล้ากลับมาลงทุนกับพวกเขาได้อีก หมอนั้นไม่ได้รู้เอาซะเลยว่าตัวเองอยู่ในจุดที่น่าอิจฉาขนาดไหน

                    แต่ถ้าเขาตอบตกลงเขาจะได้อะไรกลับมาบ้างล่ะ เดรโกคิดต่อในใจ แน่นอนว่าคำตอบแรกคือความปวดหัว แถมยังไม่มีผลอะไรชัดๆอีกเพราะเขาดันอยู่ในร่างของแอสเทอเรีย คนที่พอตเตอร์คงรู้สึกเป็นบุญคุณคือแอสเทอเรียแต่ไม่ใช่เขา...แต่เดี๋ยวสิอีกไม่นานเขากับแอสเทอเรียก็ต้องแต่งงานกัน ถ้าพอตเตอร์ติดค้างภรรยาของเขา มันคงเป็นผลดีเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย แต่จะคุ้มหรือเปล่าหนอกับการต้องระวังตัวแจ

                    ...หมอนั้นไม่เคยรู้จักแอสเทอเรียตัวจริงเสียหน่อย...เสียงในหัวเดรโกพูดต่อ ซึ่งก็คงจริง เพราะถ้าเขาพูดอย่างที่เขาเพิ่งพูดต่อหน้าคนที่เคยเจอแอสเทอเรียทุกคนคงต้องหัวใจวายตายที่หญิงสาวแสนสุภาพอย่างแอสเทอเรียด่าได้เป็นไฟแบบเขา

                    เอาวะถ้าไม่เวิร์คเราก็ค่อยรีบถอนตัวก็ได้ หาข้ออ้างว่าไม่ว่างหรืออะไรก็ว่าไป

                    “ได้สิคะคุณพอตเตอร์ ฉันจะช่วยให้คุณเรียนรู้มารยาทสังคมของผู้วิเศษเอง” เดรโกตอบกลับออกมาพร้อมยิ้มมุมปาก

     

                    แค่บทเรียนแรกก็ทำให้เขาอยากจะตบหัวพอตเตอร์แล้ว หลังจากที่เขาตกลงเขาก็ลากพอตเตอร์กลับมาที่กลางห้องสมุด หันไปปรึกษาเดฟนีซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดอะไร แถมยังดูสนุกที่จะได้เปลี่ยนหนุ่มมักเกิ้ลให้กลายเป็นหนุ่มจากตระกูลเลือดบริสุทธิ์อีก เขาต้องรีบแย้งว่าตระกูลพอตเตอร์ก็เป็นเลือดบริสุทธิ์มาตลอด จนกระทั่งหมอนี่แหละที่ผ่าแหวกแนวออกมา

    แล้วบทเรียนแรกที่ว่าก็คือเบื้องหลังของยี่สิบแปดสกุลศักดิ์สิทธิ์      

    หมอนั้นไม่รู้จักยี่สิบแปดสกุลศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ เขาอยากจะลากคอหนุ่มกริฟฟินดอร์กลับไปให้ศาสตราจารย์บินน์เทศน์เสียให้เข็ด เพราะกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นคนเล่าที่มาที่ไปว่าทำไมผู้วิเศษถึงต้องรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วพวกสกุลศักดิ์สิทธิ์มีไปทำไมกัน รวมถึงความสำคัญของบทบัญญัตินานาชาติเกี่ยวกับความลับพ่อมดแม่มดด้วย

     

    “ตกลงว่าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมนายถึงต้องให้ความสำคัญกับพวกตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์”

     

    “ซึ่งจริงๆก็ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์จริง เพราะก่อนบทบัญญัตินานาชาติเกี่ยวกับความลับพ่อมดแม่มดตระกูลพวกนี้ก็แต่งงานกับมักเกิ้ลเป็นปกติ” พอตเตอร์พูด

     

    โว้ย!! ทำไมมันเป็นคนน่าหงุดหงิดแบบนี้วะ เออ เขาก็รู้ว่ามัลฟอยน่ะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์แท้ ที่จริงพวกเขาเริ่มตั้งตัวได้จากการแต่งงานกับขุนนางมักเกิ้ลนั้นแหละ แต่มันต้องพูดย้ำด้วยรึไง อีกอย่างนั้นไม่ใช่ประเด็นซะหน่อย

    “ผิดประเด็นแล้ว ฉันหมายถึงว่าเพราะตระกูลพวกนั้นมีการส่งผ่านสกุลต่อเนื่องอยู่ในโลกผู้วิเศษเป็นเวลานาน พวกเขาเลยมีอิทธิพลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ดูจากกิจการของพ่อมดแม่มดทั้งหลายนายจะเห็นได้เลยว่าเจ้าของเป็นตระกูลพวกนี้ทั้งนั้น”

     

    “นั้นแหละที่ฉันไม่เข้าใจแอสเทอเรีย” พอตเตอร์ยืนขึ้นแล้วกอดอก ท่าทางยังกับเด็กที่ถูกขัดใจ ทำให้เดรโกอยากจะพูดร่ำๆว่าหักคะแนนกริฟฟินดอร์ซะจริงๆ

    “ทำไมพวกนั้นถึงมีอิทธิพล ทั้งๆที่พวกเขาทั้งบ้าแล้วก็อ่อนแอ แถมยังอายุสั้นอีกด้วย ในอนาคตต้องมีสายเลือดอื่นขึ้นมามีอำนาจแทนสิ กฎของธรรมชาตินะ”

     

    เส้นเลือดบนหัวของเดรโกเต้นตุบๆ บ้าแล้วก็อ่อนแอเหรอ ฟังแล้วแค้นชะมัดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะการแต่งงานในวงจำกัดทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลที่ยืนยันจะรักษาสายเลือดไว้ค่อยๆตกต่ำลงเรื่อยๆ

    “คุณพูดก็มีประเด็นค่ะ แต่คุณต้องอย่าลืมว่าสำหรับพวกที่เกิดจากมักเกิ้ลเขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับโลกนี้เท่ากับคนที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด สำหรับพวกเราแล้วโลกผู้วิเศษเป็นโลกเดียวของเรา เราไม่มีห้างอื่นให้ไปเที่ยวนอกจากตรอกไดแอกอน เราไม่มีรถแต่ต้องเรียนการหายตัว พวกที่เกิดจากมักเกิ้ลอาจจะฉลาดกว่าแต่พวกเขาไม่ได้มีแรงขับดันอย่างเดียวกับพวกเราที่จะครอบครองหรือมีอำนาจ” เดรโกมองคนตรงหน้าดูเหมือนแฮร์รี่กำลังคิดตาม ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วพยักหน้ากับสิ่งที่เดรโกพูด เขาก็ทำตัวมีเหตุผลได้นะเวลาที่อยากทำ “อีกอย่างหลังจากสงครามครั้งที่สอง หลายตระกูลก็เริ่มที่จะเห็นแล้วว่าไม่จำเป็นต้องรักษาสายเลือดเอาไว้ หรือถึงพยายามก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อมดและแม่มดสายเลือดบริสุทธิ์จำนวนมากไม่ตายก็อยู่ในอัซคาบัน ฉันคิดว่าหลังจากนี้สำหรับยี่สิบแปดสกุลศักดิ์สิทธิ์พวกเขาคงไม่มีใครมีชื่อเหลือว่าเป็นสายเลือดบริสุทธิ์อีกแล้ว แต่ยังไงอำนาจและเงินของพวกเขาก็ยังคงมีอยู่ พวกเราก็ปรับตัวเข้ากับกฎธรรมชาตินะคะ”

     

    ชายหนุ่มผมดำเงียบก่อนจะเลิกคิ้ว “แต่คุณจะแต่งงานกับมัลฟอย เขาก็เป็นสายเลือดบริสุทธิ์นี้ ดูเหมือนเขาจะยังคงตั้งใจรักษาตระกูลมัลฟอยให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นะ”

     

    เดรโกอยากจะกระทืบเท้ากับพื้นดังๆระบายอารมณ์ เรื่องแต่งงานมันใช่ความคิดเขาซะที่ไหนเล่า เขาทำตามใจลูเซียสต่างหาก อีกอย่างจะมีผู้วิเศษที่เกิดจากมักเกิ้ลคนไหนกล้ามาแต่งเข้าตระกูลมัลฟอยหา?!

    “เดรโก เขา...เขาไม่ใช่คนที่คุณรู้จักสมัยนั้นอีกแล้ว และฉันยืนยันได้เลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเราไม่เกี่ยวกับสถานะเลือดเลยแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็น

    เดรโกไม่ได้โกหก เขาไม่ใช่คนเดิมที่พอตเตอร์รู้จัก และเขาเลือกแต่งงานกับแอสเทอเรียไม่ใช่เพราะเธอเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ แต่เพราะเธอเข้าใจเขา อย่างน้อยเขาก็จะได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก ถึงจะไม่ใช่คนรักแต่นั้นก็คงดีที่สุดแล้วสำหรับเขา

     

    แฮร์รี่อ้าปากเหมือนจะถามอะไรแต่กลับปิดลงก่อนจะมีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ชายหนุ่มเปลี่ยนใจแค่พยักหน้าให้เขาแทน “เข้าใจแล้วครับคุณหนูแอสเทอเรีย แล้วมัลฟอยก็โชคดีมากที่มีคู่หมั้นที่รักเขาซะขนาดนี้ ผมนึกว่าคุณจะคว้าไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาสาบผมซะแล้วตอนที่ผมพูดแบบนั้นเกี่ยวกับมัลฟอยออกไป”

     

    “วันหลังก็คิดก่อนพูดสิคะคุณพอตเตอร์” เดรโกยังอดเสียงแข็งต่อไม่ได้ แต่ก็ต้องบังคับให้ตัวเองใจเย็นๆ แอสเทอเรียคงไม่มีทางอารมณ์ขึ้นเพราะเรื่องแบบนี้

    “แต่สรุปว่าคุณเข้าใจแล้วใช่ไหมคะ”

     

    แฮร์รี่พยักหน้าตอบรับ พร้อมกับหมุนคอขับไล่ความเมื่อยขบ “ผมว่าวันนี้พอแค่นี้ดีไหมครับ ขนาดคุณเดฟนียังหลับไปแล้วเลย” ชายหนุ่มพยักเพยิดไปทางโซฟาตัวใหญ่ที่ลูกสาวคนโตของตระกูลกรีนกราสหลับอยู่

    เดรโกต้องรีบเดินไปปลุกเพื่อนตัวดีที่ควรจะช่วยเขาอธิบายพอตเตอร์แต่กลับเล่นมาหลับซะกลางคันแบบนี้ ฮึ้ยเขาไม่ใช่ศาสตราจารย์บินน์นะ มันจะน่าเบื่ออะไรขนาดนั้น!!!

     

    “เวลาน้ำชาแล้วค่ะ เราไปที่สวนดีกว่า” เดรโกพูดขณะช่วยให้เดฟนียืนขึ้น

                    “แล้วนี้เอาไปอ่านค่ะ เป็นประวัติของตระกูลสำคัญรวมถึงรัฐมนตรีของกระทรวงเวทมนตร์ทุกคน” เดรโกยื่นหนังสือเล่มโตให้แฮร์รี่

     

                    ชายหนุ่มรับหนังสือหนาไปพร้อมกับทำตาโต “ผมต้องอ่านหมดนี้เลยเหรอครับ”

     

                    เดรโกยกมุมปากขึ้น โอเคจริงๆก็ไม่ต้องทั้งหมดหรอก แค่พอตเตอร์อ่านช่วงหลังๆก็พอแล้ว เรื่องตั้งแต่สมัยโบราณใครจะไปอยากรู้ แต่เรื่องอะไรจะบอกง่ายๆล่ะ อยากจะรู้ว่าถ้าเขาแกล้งสั่งไปชายหนุ่มจะทำจริงหรือเปล่าหนอ

                    “ก็คุณว่างนี้ค่ะตอนกลางคืน” พูดจบก็เดินควงแขนกับเดฟนีออกไปจากห้องสมุด อาการปวดหัวหายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่ได้แกล้งคนหัวยุ่ง

     

    ######

     

    ...ดูๆแล้วก็ไม่มีพิษมีภัยทั้งคู่...แฮร์รี่คิดขณะจิบชา แล้วมองที่สองสาว แล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องที่แอสเทอเรียเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของตระกูลต่างๆมันน่าสนใจไม่น้อย สำหรับเขาที่โตขึ้นมาในโลกธรรมดา และช่วงเจ็ดปีที่เรียนในฮอกวอตส์ก็ดันหมดไปกับการต้องต่อสู้กับโวลเดอร์มอร์ เรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในสิ่งที่เขาสนใจเลย แต่มันกลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งถึงทุกอย่างในโลกเวทมนตร์

    เขาอาจจะไม่ได้ถึงขนาดอยากเป็นหัวหน้าสำนักงานมือปราบมารอย่างที่หญิงสาวคิด แต่การได้รู้เรื่องพวกนี้ก็เป็นความรู้ที่ดี แถมแทนที่จะเสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆช่วงที่โดนลงโทษแบบนี้ เอาเวลามาใช้รู้และสอดแนมเกี่ยวกับพวกพ่อมดแม่มดสายเลือดบริสุทธิ์ไม่ดีกว่าเหรอ

    และที่ดึงความสนใจของเขามากที่สุดก็คือตัวคนที่เป็นอาจารย์ของเขานั้นแหละ แอสเทอเรียเวลาอยู่ต่อหน้าเขาต่างไปอย่างสิ้นเชิงเวลาเธออยู่ต่อหน้าบิดา แทนที่จะเป็นคนเงียบๆและคอยเอาแต่ยิ้ม เธอกลับกล้าพูดสิ่งที่คิด แถมยังไม่กลัวว่าเขาจะโกรธอีกด้วย จนบางทีเขาคิดว่าเธอจงใจพูดจาร้ายๆใส่เขาด้วยซ้ำ ...แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะไม่ชอบหน้าเขาซะหน่อย... อาจจะแค่คิดว่าเขาไม่ได้เรื่อง แล้วก็ละเลยเกี่ยวกับเรื่องมารยาทของผู้วิเศษ แต่นอกจากนั้นเธอก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างปกติ ซึ่งแฮร์รี่ต้องยอมรับกับตัวเองว่าหาได้ยากมากที่คนที่ไม่เคยรู้จักเขาจะกล้ามาด่าเขาฉอดๆต่อหน้าเหมือนเธอคนนี้ แค่ได้ยินคำว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ คนส่วนใหญ่ก็ปากสั่นพูดอะไรไม่ออกกันแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วลอบมองหญิงสาวผมเข้มอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมา

     

    แล้วหลังจากวันนั้นพวกเขาก็เหมือนมีนัดกันทุกสายที่ห้องสมุด แอสเทอเรียจะเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้านต่างๆของโลกเวทมนตร์ บางทีก็เป็นโครงสร้างการควบคุมของกระทรวงเวทมนตร์เช่นใครคุมกรมไหนบ้าง หรือว่าใครที่ดูมีท่าทางจะขึ้นเป็นใหญ่ เขาได้แต่เก็บความประหลาดใจที่นักวิชาการสาขามักเกิ้ลศึกษาจะรู้เรื่องพวกนี้ดีอย่างกับต้องติดต่อเรื่องพวกนี้เป็นประจำ ถ้าเธอเป็นเดรโก มัลฟอยเขาคงไม่ประหลาดใจเลย เพราะหมอนั้นต้องรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว ต้องวิ่งเต้นเพื่อธุรกิจของตระกูลมัลฟอยอยู่บ่อยๆ แต่เธอจะรู้เรื่องพวกนี้ดีเท่าคู่หมั้นเลยหรือ...บางทีคงเตรียมตัวเพื่อเป็นสะใภ้ตระกูลมัลฟอย

    เรื่องพวกนั้นแม้จะเป็นสิ่งใหม่แต่แฮร์รี่ก็เรียนรู้อย่างสนุก เรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวและต้องครางออกมาทุกครั้งที่แอสเทอเรียยืนยันว่าเขาต้องเรียนด้วยก็คือมารยาทในการเข้าสังคม อย่างวันก่อนสองพี่น้องจัดการพาเขาไปแต่งเนื้อแต่งตัวตามแบบแผนของพ่อมดที่ควรเป็น ขอบอกเลยว่าเหนื่อยสุดๆ ต้องมีชุดตั้งกี่ชั้นก็ไม่รู้ แล้วชุดของพ่อมดยังมีจำนวนกระดุมที่เยอะกว่าของคนธรรมดาเยอะอีกด้วย เมื่อเขาบ่นหญิงสาวก็ได้แต่กลอกตาแล้วด่าว่าเขาเป็นพ่อมดหรือเปล่า ใครเขาติดกระดุมด้วยมือกันเล่า ก่อนจะสอนคาถาแต่งตัวที่ทำให้เขาใส่ชุดที่มีกระดุมเรียงเป็นร้อยเสร็จแค่พริบตาเดียว

    และวันนี้มารยาทที่แอสเทอเรียและเดฟนีตั้งใจจะสอนเขาก็คือ การเต้นรำ พระเจ้ามันทำให้เขานึกถึงตอนปีสี่ที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลมาสอนพวกเขาเพื่องานเลี้ยงฤดูหนาวนั้น และอาจารย์ในวันนี้ของเขาก็ไม่ได้ดูโหดน้อยกว่าอาจารย์ประจำบ้านสลิธีรินเลย แถมเจ้าตัวยังดูสนุกเป็นพิเศษเมื่อได้เห็นสีหน้าของแฮร์รี่อีกด้วย

    “คุณตั้งใจแกล้งผมใช่ไหมเนี้ย” แฮร์รี่พูดรอดไรฟันขณะที่เขาเหยียบเท้าเดฟนีเป็นรอบที่สิบ

     

    “โอ๊ย แกล้งฉันมากกว่าน่ะสิ” หญิงสาวผมทองบ่นโอดครวญ ขณะที่แอสเทอเรียยังยืนยิ้มขณะโบกไม้กายสิทธิ์ให้เพลงหยุดลง

     

    “เปล่านะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจแกล้งทั้งพี่หรือคุณพอตเตอร์เลย” เพราะไอ้ท่าทีที่แกล้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์นั้นแหละที่ทำให้แฮร์รี่แน่ใจว่าหญิงสาวผมเข้มตั้งใจแน่ๆ ถ้าเป็นเขาตอนแรกๆที่เจออาจจะเชื่อว่าเธอคงพูดจริง แต่รู้จักกันมากว่าสัปดาห์เขาแน่ใจว่านิสัยเวลาอยู่กับเขานี้แหละที่เป็นตัวจริงของแอสเทอเรีย กรีนกราส ไม่มีเสียหรอกเด็กหญิงแสนซื่อเวลาอยู่ต่อหน้าท่านเดมิทริส ยกออสการ์ให้เลย

     

    “งั้นมาเป็นคู่เต้นแทนฉันเลย เท้าระบมไปหมดแล้ว” เดฟนีบ่นพร้อมกับปล่อยมือแฮร์รี่

     

    แต่แอสเทอเรียกลับส่งสายตาดุใส่เดฟนี ทำให้สองสาวเงียบไปอึดใจ เขาเริ่มชินซะแล้วกับการที่สองคนนั้นสื่อสารกันเงียบๆทางสายตาโดยที่เขาแปลไม่ออก มันน่ารำคาญก็จริงแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ

    “เอาล่ะ พอตเตอร์ ฉันจะเต้นกับพี่เดฟนีให้คุณดูละกัน ดูแล้วจำเอาไว้ด้วย ฟอร์มการเต้นที่สมบูรณ์แบบอย่างฉันน่ะไม่ได้หาได้ง่ายๆ” เธอยักคิ้วให้เขา ก่อนจะค้อมตัวขอมือของเดฟนี ท่าทางสมบูรณ์แบบอย่างกับสุภาพบุรุษจริงๆด้วย ติดแค่คนทำเป็นผู้หญิงเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นเธอก็โบกไม้กายสิทธิ์ให้เพลงบัลลาดดังขึ้นอีกครั้งแล้วพาเดฟนีเคลื่อนที่ไปรอบๆห้องบอลรูม...ไม่ใช่สิไม่ใช่แค่เคลื่อนที่แต่เป็นเหมือนการบินไปต่างหาก...มันเงียบเชียบ สง่างาม แล้วก็ไหลลื่น ต่างจากเขาหน้ามือเป็นหลังมือ

    “อย่าเหม่อสิพอตเตอร์” เสียงตะโกนของหญิงสาวดังขึ้นทันทีที่เขาไม่ได้มองตามเธอ “มองตามเท้าฉันแล้วนับ หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม ไม่ยากเลยเห็นไหม ขี่ไม้กวาดยังยากกว่าซะอีก”

     

    แฮร์รี่อยากจะเถียงจริงๆ แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำแล้วนับตามที่เธอสั่ง พร้อมกับสงสัยในใจว่าแอสเทอเรีย กรีนกราสไปเรียนวิธีการเต้นรำแบบผู้ชายมาจากไหนกัน

     

    ######

     

                    “พรุ่งนี้เราจะออกไปข้างนอกกัน” เดฟนีประกาศขณะพวกเขากำลังรับประทานอาหารเย็น เดมิทริส กรีนกราสเลิกคิ้วก่อนถามลูกสาว

     

                    “ลูกจะไปไหนหรือ เห็นบอกพ่อว่ายังไม่อยากเจอใครหลังเกิดเรื่องกับวอลเตอร์ไม่ใช่รึไง”

     

                    “หนูกับแอสเทอเรียจะไปบ้านตระกูลแครบค่ะ” หญิงสาวร่างสูงตอบสั้นๆแค่นั้น แต่ก็พอให้พ่อเธอพยักหน้าไม่ซักต่อในทันที คนที่ยังสงสัยกลับเหลือแค่แฮร์รี่น่ะสิ

     

                    “เอ่อ คุณรู้ใช่ไหมครับว่าผมต้องตามพวกคุณออกไปด้วย แล้วขอรายละเอียดด้วยครับว่าไปงานอะไร สถานที่จัดงานเป็นที่ไหน” แฮร์รี่วางช้อนส้อมแล้วพูดอย่างจริงจัง ถึงมันจะเป็นงานคุ้มกันง่อยๆ แต่เขาก็ไม่ทำแบบครึ่งๆกลางๆหรอก

     

                    “ไม่มีงานอะไรทั้งนั้นแหละค่ะคุณมือปราบมาร” แอสเทอเรียเป็นคนตอบแทน ตาสีเข้มของเธอเป็นประกายเหมือนทุกครั้งที่เธอไม่พอใจเขาอีกแล้ว ทั้งๆที่แฮร์รี่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาทำอะไรให้หญิงสาวโกรธ

                    “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของวินเซนต์ แครบ คงจำเขาได้นะคะ เขาเรียนที่ฮอกวอตส์ปีเดียวกับคุณ กับฉะ...พี่เดฟนี แล้วทุกปีหลังสงครามเราจะมาระลึกถึงเขาในวันเกิดของเขาแทนที่จะเป็นที่เขาตายเพราะวันนั้นดูเหมือนทุกคนในโลกผู้วิเศษจะไม่มีใครอยากจะจดจำคนตายแต่อยากจะฉลองให้กับชัยชนะของคุณมากกว่า”

     

                    “ดระ..แอสเทอเรีย” เดฟนีรีบหันมาจับแขนน้องสาว เหมือนจะปลอบใจ ซึ่งก็ยิ่งทำให้แฮร์รี่สับสนไปใหญ่ว่าทำไมแอสเทอเรียต้องหงุดหงิดขนาดนั้นด้วย แน่นอนอยู่แล้วเขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดแครบ เธอพูดอย่างกับเรื่องที่แครบตายในวันที่ทุกคนฉลองมันคือความผิดของเขาอย่างนั้นแหละ

                   

                    “เอาล่ะ แอสเทอเรียลูกจะไปโกรธคุณพอตเตอร์เขาได้ยังไง แล้วคุณพอตเตอร์เดี๋ยวผมจะส่งแผนผังของบ้านตระกูลแครบกับหลุมฝังศพให้นะครับ หลังทานอาหารเย็นที่ห้องสมุดนะครับ” หัวหน้าตระกูลกรีนกราสเป็นคนไกล่เกลี่ยก่อนที่จะมีอะไรลุกลามไปมากกว่านี้

    .

    .

    .

                    หลังจากทานอาหารเย็น แอสเทอเรียและดาฟนีก็ขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องเหมือนทุกที ทั้งคู่เข้านอนเร็วเสมอ ส่วนเขาก็เดินตามเดมิทริส กรีนกราสไปถึงห้องสมุด แล้วรับเอาแผนผังที่ชายสูงวัยสัญญาไว้ แต่ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับออกไปเดมิทริสก็รั้งเขาไว้ก่อน

                    “เอ่อ...คุณพอตเตอร์ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

     

                    “ครับ?

     

                    “คุณคิดว่าแอสเทอเรียแปลกๆไปรึเปล่า ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าลูกอารมณ์ขึ้นๆลงๆจัง ผมไม่ค่อยเห็นเธอแสดงอารมณ์เยอะขนาดนี้เลย” ร่างสูงผมสีดอกเลาพูดพร้อมถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย

     

                    “คือ...คือ...ผมไม่เคยรู้จักแอสเทอเรียก่อนหน้านี้นะครับ แต่สำหรับผม ผมไม่ได้คิดว่าเธอแปลกสักเท่าไหร่ บางทีเธออาจจะฉุนเฉียวง่ายกับบางเรื่อง แต่ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเธอ เธอก็ดู...เป็นปกติดี ส่วนใหญ่เธอจะมีเหตุมีผลนะครับ ผมยังชอบคุยกับเธอเลย” แฮร์รี่พูดอย่างสัตย์จริง แอสเทอเรียอาจจะกัดเขาเป็นประจำ แต่เธอก็ไม่เคยถึงขนาดด่าทอโดยไม่มีเหตุผล และในบางครั้งที่เขาไม่เห็นด้วยกับเธอ หญิงสาวก็จะทำหน้ารำคาญแต่ก็จะงัดหาเหตุผลมาเพื่อเขาชนะเขาให้ได้ เธอออกจะเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยของเธอเสียอีก เธอดูเข้าใจโลกไม่เหมือนเด็กผู้หญิงที่อยู่ในปราสาทและได้รับการปกป้องมาตลอดชีวิตอย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย

     

                    เดมิทริสพยักหน้าตอบรับ “บางทีลูกอาจจะโตขึ้นแล้วก็ได้ เมื่อก่อนแกจะชอบเก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจ คิดยังไงก็ไม่ค่อยจะกล้าพูดออกมา ผมยังกลัวเลยว่าแต่งงานไปลูกจะไปอยู่กับตระกูลมัลฟอยได้รึเปล่า”

     

                    คำพูดของท่านเดมิทริสทำให้แฮร์รี่ต้องหัวเราะพรืดออกมา เพราะเขาแน่ใจว่าแอสเทอเรียกับเดรโก มัลฟอยน่ะต้องเข้ากันได้ดีอยู่แล้ว เธอทำให้เขานึกถึงคู่หมั้นของเธอเป็นประจำ ผิดแต่เสียที่แอสเทอเรียเป็นเดรโกเวอร์ชันที่มีเหตุมีผลกว่า ไม่ใช้กำลังตัดสิน และไม่ได้คิดว่าตัวเองดีเหนือทุกคน แต่บางอย่างเรื่องที่ออกจากปากเธอก็ทำให้เขาต้องคิดว่านี้เขากำลังคุยกับเดรโก มัลฟอยอยู่หรือเปล่าหนอ

                    “ผมว่าคุณกรีนกราสอย่ากังวลไปเลยครับ”

     

    ######

     

                    เดรโกยกชายประโปรงให้พ้นจากพื้นดิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชุดพิธีการของแม่มดถึงต้องได้ยาวรุ่มร่ามขนาดนี้นะ ชายหนุ่มก่นด่าฟ้าดินไปเรื่อยๆขณะเดินผ่านพงหญ้าเพื่อไปให้ถึงบ้านตระกูลแครบ ที่จริงเขาอยากจะสลัดพอตเตอร์ให้หลุดแล้วมาในร่างของเขา แต่ในเมื่อมือปราบมารหนุ่มเล่นตามแจอย่างนี้เขาก็ไม่มีโอกาสแวบไปเปลี่ยนเป็นชุดเดรโก ไม่รู้ว่าเมื่อคืนพอตเตอร์กับท่านเดมิทริสคุยอะไรกันเพราะตั้งแต่เช้าพอตเตอร์ก็เอาแต่จับตาดูเขา จนเดรโกอยากจะตะโกนถามว่าเป็นบ้าอะไรพอตเตอร์ นายกลับมาบ้าเหมือนปีหกอีกแล้วรึไง คิดถึงปีหกแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย เดฟนีเองก็คงเข้าใจว่าวันนี้เดรโกอารมณ์ไม่ดี หญิงสาวก็เอาแต่ส่งสายตาขอโทษมาให้เขา

                    ...เฮ้อ...เอาเถอะ ยังไงเขาก็ได้มาเจอหน้าคุณและคุณนายแครบล่ะ แม้จะในร่างของแอสเทอเรียก็ตาม

     

                    “ถึงแล้ว” เดฟนีเป็นคนแรกที่พูด ก่อนจะยกมือโบกให้กับกลุ่มคนที่ยืนรออยู่แล้วที่สนามหญ้า ข้างๆตัวเดรโกได้ยินเสียงพอตเตอร์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าหมอนั้นคงกำลังคิดว่าซวยแล้วที่ต้องมาเยี่ยมถ้ำงูแบบนี้ แล้วถ้าคิดว่าเขาเป็นเรเวนคลอที่พอพึ่งพาได้ละก็ พอตเตอร์ก็คิดผิดสุดๆ

     

                    “กลัวเหรอพอตเตอร์” เดรโกอดไม่ได้ที่จะแหย่อีกคน

                    “ไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณท่านมือปราบมารหรอกน่า อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ต่อหน้า แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะระวังว่าจะมีใครใส่ยาถ่ายหรืออะไรแบบนี้ลงในน้ำให้รึเปล่านะ หรือว่า--

     

                    “นี้คุณอย่าขู่กันสิ ยิ่งกลัวๆอยู่” คำตอบของพอตเตอร์ทำให้เดรโกอดหัวเราะไม่ได้ หมอนั้นยอมรับด้วยเหรอว่ากลัว ชายหนุ่มมองตามสายตาของพอตเตอร์แล้วยิ้มกว้าง พวกสลิธีรินปีเขาอยู่กันครบ ตั้งแต่เกรก เบลส ทีโอดอร์ มิลลิเซนต์ และแพนซี่    

     

                    “อ้าวเดฟนี ไหนว่าเดรโกจะมาด้วยไง” เบลสเป็นคนแรกที่เดินมาทักพวกเขาสามคน สายตาของหนุ่มผิวเข้มมองแฮร์รี่เขม็ง “แล้วเขามาทำอะไรด้วยน่ะ”

                   

                    “เดรโกติดธุระด่วนจริงๆ มาไม่ได้ แอสเทอเรียเลยมาแทนไง ส่วนพอตเตอร์ก็เป็นรปภ.จำเป็นเพราะเรื่องของวอลเตอร์น่ะ” เดฟนีพูดแล้วกลอกตาเมื่อเอ่ยชื่ออดีตคู่หมั้น ดูท่าทางเธอจะไม่ได้ใยดีลูกชายตระกูลเรนฮาร์ทสักเท่าไหร่

     

                    “แล้วอย่าไปสนใจเขาเลยค่ะ คิดว่าเขาเป็นเสาหินหรืออะไรก็ได้” เดรโกเสริมต่อ พร้อมกับยิ้มมุมปากเมื่อเห็นแฮร์รี่มองเขาตาเขียว

     

                    เบลสพยักหน้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็เงียบและพาพวกเขาทั้งหมดเดินไปสมทบกับพวกสลิธีรินที่เหลือ เดรโกปล่อยให้เดฟนีเป็นคนคุยกับทุกคน เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าถ้าให้เขาเริ่มเปิดปากแผนจะแตกหรือไม่ เพราะทุกคนในที่นี่รู้จักเขาดีเป็นที่สุด และเพราะเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่เดินเงียบๆ พอตเตอร์คงเข้าใจว่าเขาก็รู้สึกแปลกแยกออกไปเหมือนกันตัวเอง เพราะอย่างนั้นแหงๆหมอนั้นถึงได้มาชวนเขาคุยแบบนี้

     

                    “คุณสนิทกับพวกเขาไหม”

     

                    เดรโกเลิกคิ้ว “ใคร เด็กสลิธีรินหรือตระกูลแครบ”

     

                    “เอ่อ ทั้งคู่นั้นแหละ”

     

                    ชายหนุ่มกลอกตา “นี้ฉันต้องควิซคุณไหมกับความเกี่ยวข้องของตระกูลผู้วิเศษ แน่นอนฉันต้องสนิทกับพวกเขาอยู่แล้ว รุ่นพ่อรุ่นแม่พวกเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวพันกันตลอด ตระกูลซาบินี่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก ต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากตระกูลกรีนกราสอยู่เนืองๆ ตระกูลแครบก็เป็นเจ้าของเหมืองแร่ทั่วประเทศ ฉันถูกแนะนำให้รู้จักกับพวกเขาตั้งแต่เด็ก”

     

                    “อ้อ ก็ผมไม่รู้ว่าคุณจะสนิทกับเพื่อนของพี่สาวคุณด้วย ผมไม่เคยเห็นกลุ่มนี้เขาคุยกับใครนอกกลุ่มเลย”

     

                    เออ ที่พอตเตอร์พูดมาก็ตรงเผง เดรโกคิดในใจ ตอนอยู่โรงเรียนหากไม่สังเกตก็คงไม่เห็นพวกเขาสุงสิงกับใครนอกเหนือจากนักเรียนสลิธีรินด้วยกัน ซึ่งมันก็สองสาเหตุนะ หนึ่งเพราะพวกเขาสนิทกันดีอยู่แล้วในบ้าน ไม่จำเป็นต้องไปคุยกับคนอื่น และสอง...อันนี้ยอมรับยากหน่อยแต่ก็จริงที่ว่าตอนเขาเป็นนักเรียนเดรโกรู้ว่าเขาไม่ใช่ประเภทนางงามมิตรภาพสักเท่าไหร่ ต้องเรียกว่าตรงข้ามเลยต่างหาก เขากลั่นแกล้งและหาเรื่องทุกคนไปเสียหมด โดยเฉพาะพวกบ้านกริฟฟินดอร์กับฮัฟเฟิลพัฟ

     

                    “สวัสดีจ้ะทุกคน” คนที่เดินออกมาทักพวกเขาทันทีที่เปิดเข้าไปในบ้านตระกูลแครบก็คือคุณนายแครบ ตอนนี้เธออยู่คนเดียวที่นี่ พวกเขามาที่นี่ทุกปีก็เพื่อเธอ เธอเสียลูกชาย และสามีก็อยู่ในอัซคาบัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันนี้หรอก หากมีเวลาเดรโกก็จะแวะเวียนมาเยี่ยมเธอเสมอๆ

                    “แฮร์รี่ พอตเตอร์เหรอ” คุณนายแครบพูดอย่างตกใจเมื่อสายตาหยุดลงบนร่างสูงที่ยืนอยู่หลังสุด ดูเหมือนพอตเตอร์จะพยายามแอบอยู่ข้างหลังเขาแต่ก็ไร้ผล บางทีถ้าเขาในร่างเดรโกอาจจะพอบังได้ แต่นี้เขาดันเป็นแอสเทอเรียที่เตี้ยกว่าพอตเตอร์เกือบครึ่งฟุต ก็ไม่มีทางที่จะหลบพ้นอยู่แล้ว

     

                    “เอ่อ สวัสดีครับคุณนายแครบ” พอตเตอร์พูดอย่างประหม่า ก่อนจะเดินเข้าไปย่อเข่าลงแล้วจับมือหญิงสาวร่างท้วมขึ้นมาจูบเบาๆ ภาพตรงหน้าทำให้เดรโกอดยิ้มออกมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่เสียทีที่สอน พาออกงานได้ไม่ต้องอายคนแล้วทีนี้

     

                    “สวัสดีจ้ะ” หญิงสาวพูดแบบงงๆ แล้วเปิดประตูกว้างให้ทุกคนเดินผ่านเข้าไป ในห้องโถงใหญ่ประดับประดาสวยงามตามเคย และก็มีเค้กก้อนใหญ่วางอยู่กลางโต๊ะหินอ่อน ไม่ต้องเดาเดรโกก็รู้ว่านี้คือเค้กชอคโกแลตราดฟัดจ์สูตรพิเศษที่แครบชอบเป็นนักหนา เขาเหลือบตามองเกรก ชายหนุ่มร่างยักษ์มีน้ำตารื้อนิดๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สำหรับเขาการที่แครบตายไปมันอาจจะเจ็บเหมือนเสียเพื่อนไปสักคน แต่สำหรับเกรกมันคงเจ็บกว่านั้น ทั้งสองคนเป็นเหมือนฝาแฝด พวกเขาเป็นคู่หูที่ดีที่สุด คิดอย่างนั้นแล้วร่างบางก็เดินเข้าไปใกล้ๆ จนมือแตะที่ไหล่ของชายร่างยักษ์ได้

     

                    “เราต้องกินเค้กเผื่อเขากันด้วยนะคะ” เขาไม่มีคำปลอบใจดีๆให้กับเกรกเพราะทุกคำมันคงน้อยไป เขาแค่อยากให้อีกคนได้รับรู้ว่ายังมีคนเศร้าไปพร้อมกับเขาด้วย และยังไม่มีใครลืมวินเซนต์ได้

     

                    พวกเขาคุยกันเงียบๆเป็นชั่วโมง พอตเตอร์ต้องทำให้เขาประหลาดใจเสียจริงๆที่หมอนั้นเข้ากับเพื่อนสลิธีรินของเขาได้ หมอนั้นทำให้เกรกหายเศร้าด้วยการชวนคุยเรื่องควิดดิชและชมว่าเกรกและวินเซนต์เป็นคู่หูบีตเตอร์ที่ดีขนาดไหน เขาแน่ใจว่าเกรกน้ำตาซึมขณะกอดพอตเตอร์แล้วขอบคุณ พอตเตอร์ยังคุยเรื่องการเมืองกับทีโอดอร์ได้โดยไม่เคอะเขิน บางทีคนเดียวที่พอตเตอร์ไม่กล้าคุยด้วยก็คือแพนซี่ จนกระทั่งหญิงสาวกลอกตาใส่เขาแล้วพูดว่าขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมานั้นแหละ เขาถึงหายเกร็งแล้วหัวเราะกับเรื่องตลกของเธอได้ เขาเคยคิดว่าพอตเตอร์คงรังเกียจพวกเขา แต่นี้กลับเปล่าเลย

     

                    “นายว่าฉันแต่งงานกับพอตเตอร์ดีไหม” เดฟนีพูดหลังจากทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาพร้อมกับยื่นเค้กก้อนที่สามให้

     

                    “เดฟนี” เดรโกพูดอย่างตกใจก่อนจะกวาดตามองรอบๆ ว่ามีใครได้ยินรึเปล่า

                    “เธอประสาทกลับแล้วเหรอ นั้นพอตเตอร์นะ”

     

                    “ก็ใช่ แต่เขาก็โสด ฉันก็โสด อีกอย่างเขาฮอตจะตาย นายไม่ได้จับไหล่นั้นเต้นรำนี้ โอ๊ยมีแต่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อยากเป็นลมใส่ซะจริงๆ”

     

                    เดฟนีต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เดรโกสรุปในใจ “ตอนนั้นเธอด่าเขาว่าเป็นโทรลที่เต้นรำไม่เป็นไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มรีบพูดต่อก่อนที่เพื่อนจะได้เถียง “อีกอย่างถึงเขาโสดก็แล้วไง หมอนั้นเดทใครซะที่ไหน ได้ข่าวว่าแต่งกับงานนะ ขนาดสาวๆสวยๆในกระทรวงมาเดินขายขนมจีบให้เขาเป็นเข่งหมอนั้นยังไม่ชายตาแลใครเลย เธอ..คนที่เขาไม่เคยชอบหน้าตั้งแต่ต้น..จะมีสิทธิเร้อ”

     

                    “หมายความว่าพอตเตอร์ยังไม่เจอคนที่ชอบจริงๆต่างหากล่ะ แหมแล้วคนที่เขาไม่ชอบหน้าในสลิธีรินไม่ใช่ฉันซะหน่อยแต่เป็นนายต่างหาก” เดฟนีพูดแล้วแลบลิ้นใส่เขา

     

                    เดรโกส่ายหน้า “เชิญเธอลองอ่อยเขาได้เลย แต่ฉันรับประกันว่าหมอนั้นตายด้านยิ่งกว่าโทรลภูเขา ฉันเคยไปงานกาล่าการกุศลเดียวกับเขานะ สาวๆเดินมาอ่อยเขาทั้งงาน หมอนั้นก็ยังบื้อยืนคุยกับเกรนเจอร์อยู่นั้นแหละ เห็นแล้วโคตรสงสารผู้หญิงเลย”

     

                    เดฟนีขมวดคิ้วคิดตาม “หรือว่าเขาเป็นเกย์”

     

                    ชายหนุ่มได้ยินก็แทบจะสำลักเค้กที่กลืนอยู่ “หมอนั้นชอบผู้หญิงพันเปอร์เซ็นต์ แฟนเก่าเขาก็เชสเตอร์ของทีมฮาร์ปี้คนนั้นไง วีสลีย์น่ะ เธอไม่ได้ตามข่าวบ้างรึไง”

     

                    “โอ๊ยฉันจะไปตามข่าวพอตเตอร์ทำไมฉันไม่ได้ชื่อเดรโก มัลฟอยซะหน่อย” เดฟนีพูดแล้วหันมายักคิ้วให้เขา เพื่อนตัวแสบ

                    “แล้วนายพูดซะฉันดูหมดความหวังเลย ไม่พูดกับนายแล้ว” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นไป ทิ้งให้เดรโกนั่งอยู่คนเดียว แล้วเผลอมองพอตเตอร์พลางคิดตามที่เดฟนีพูด ...โสดและฮอต... ก่อนจะรีบส่ายหน้า แล้วบอกตัวเองว่าบ้าไปแล้วเหรอ เขาไม่มีทางคิดว่าพอตเตอร์ฮอตเด็ดขาด

     

                    เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงใกล้เลิก เดรโกก็เดินเข้าไปหาคุณนายแครบ เขาเสียใจชะมัดที่ไม่สามารถบอกเธอได้ว่านี่เป็นเขา ที่เดรโกทำได้ก็คือแค่บอกเธอว่าวินเซนต์เป็นเพื่อนที่ดีแค่ไหน และขอบคุณสำหรับงานเลี้ยง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของเธอ ตาสีเขียวจัดของใครบางคนก็มองตรงมาที่เขาจากอีกฝั่งของห้อง

    .

    .

    .

                    “วินซ์ ฉันขอโทษนะ” มือเขาแตะที่หลุมศพของเพื่อนสนิทอีกครั้ง เขาหลบออกมาจากงานเพื่อมาลาเพื่อนอีกครั้ง เขารู้ว่าข้างใต้หลุมศพนี้ว่างเปล่า เพราะหลังจากจบศึกในห้องต้องประสงค์ก็ไม่เหลือสิ่งใดนอกจากขี้เถ้าที่ลอยฟุ้ง และเขาก็ยังรู้สึกผิดทุกครั้งที่มาเยี่ยมที่นี่ เขาเป็นคนที่ชวนแครบไปที่นั้น เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กชายต้องตาย ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนร่ายคาถาเพลิงพิโรธก็เถอะ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ช่วยเพื่อนเอาไว้

     

                    “แอสเทอเรีย” เสียงทุ้มพร้อมกับมืออุ่นๆแตะที่ไหล่ของเขา ทำให้เดรโกสะดุ้งแล้วหันกลับไป พอตเตอร์นั้นเอง หมอนั้นดูไม่มีความสุขเลยสักนิด มือปราบมารหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้เขาแล้วนั่งลงข้างๆเดรโก

                   

                    “นายตามฉันมาทำไม” เดรโกพยายามป้ายน้ำตาออก ให้ตายสิทำไมเขาถึงต้องร้องไห้ด้วยนะ

     

                    “เดฟนีให้ผมมาตามคุณ” ดวงตาหลังแว่นนั้นมองเขาอย่างเป็นห่วง ก่อนพอตเตอร์จะทำอะไรที่ทำให้เขาช๊อคเป็นที่สุด โดยการรั้งร่างเขาเข้ามากอด

                    “ผมเสียใจด้วยนะที่คุณเสียเพื่อนไป ผมเสียใจด้วยจริงๆ” พอตเตอร์พูดพร้อมกับลูบผมของเขาเบาๆ

     

                    และเพราะอะไรบางอย่างมันเหมือนทำให้กำแพงในใจของเดรโกทลายลง น้ำตาที่พยายามจะกลั้นกลับเอ่อไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ไม่เคยมีใครกอดเขาไว้อย่างนี้แล้วบอกเขาอย่างนี้

                    “ฉะ...ฉันช่วยเขาไว้ไม่ได้” เดรโกพูดออกมาท่ามกลางเสียงสะอื้นเขาไม่แน่ใจว่าพอตเตอร์จะได้ยินไหม แต่เขาก็ไม่แคร์อีกแล้ว

                   

                    พอตเตอร์ไม่ได้พูดอะไรกลับแค่ปล่อยให้เขาร้องไห้และกอดเขาเอาไว้แน่น และที่น่าประหลาดใจคือเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจอ้อมกอดนั้นเลยสักนิดเดียว

     

    ######

    Note: ถามคนอ่านหน่อยค่ะว่าอ่านยากไหม เพราะเราเขียนเรื่องนี้โดยสลับ มุมมองระหว่างแฮร์รี่กับเดรโก ปกติเราไม่เคยทำอย่างนี้เลย ถ้าจะสลับเราจะแยกเป็นบทๆเลย หรือไม่ก็เขียนทั้งเรื่องจากมุมมองของคนใดคนหนึ่ง มาลองเขียนแบบนี้ดูมันอ่านยากไหมคะ สับสนรึเปล่าว่าคนที่เล่าเรื่องเป็นแฮร์รี่หรือเดรโก

    แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ เราจะพยายามอัพให้ได้ทุกวันค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×