คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : จดหมายฉบัยที่ 7 - Harry
เดรโกไม่ได้เปราะบางอย่างที่แฮร์รี่คิด
ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่เขากับเฮอร์ไมโอนี่ตอบโต้กัน เขาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโดยไม่มีปิดบัง
ความเกลียดชังและความอยุติธรรมทั้งหลายทั้งแหล่ที่ตามมาหลังสงครามด้วย
เขาเขียนมันด้วยโทนเสียงที่เรียบราบ ไม่มีเจ็บปวดหรือโกรธแค้น
มีหลายครั้งที่หลังจากอ่านเรื่องราวเหล่านั้นแล้วแฮร์รี่อยากจะเขียนจดหมายไปบอกเดรโกว่ามันไม่เป็นไรแล้ว
เขาผ่านมาแล้ว แต่เขาก็ต้องระงับใจเอาไว้
“มีอะไร” แฮร์รี่ถามหญิงสาวที่นั่งทานอาหารเที่ยงตรงหน้าเขา เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูดก่อนจะเปลี่ยนใจ
และทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาสักพักแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจ
ก่อนจะเสกคาถาให้บทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ยินโดยบุคคลอื่น
“นายกับมัลฟอย”
“นายเป็นอะไรกับเขากันแน่
ฉันว่ามันแปลกๆตั้งแต่นายเอาคอขึ้นเขียงเพื่อช่วยมัลฟอยในตอนแรก
แต่คิดว่าคงแค่ครั้งเดียวแล้วนายก็รู้สึกผิดที่นายไม่ได้ช่วยอะไรเขาหลังสงคราม
แต่ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้” หญิงสาววางส้อมแล้วยกมือขึ้นกุมหัว
“นายทำตัวเหมือนเป็นบ้าไปแล้วเรื่องเขา
นายถามฉันทุกวันว่าเขาเขียนมาหาฉันรึเปล่า ทุกครั้งที่นายอ่านจดหมายเขานายทำเหมือนกับมีใครควักหัวใจของนายออกมา
แล้วยังไม่รวมเรื่องที่ทำไมนายรู้ว่าฉันขอให้มัลฟอยช่วยตั้งแต่แรก”
“มัลฟอยบอกฉัน” แฮร์รี่ตอบกลับ เขาไม่ได้โกหก
แต่เขาไม่มีเจตนาที่จะบอกเพื่อนสนิทว่ามันมาพร้อมกับจดหมายที่เขาเขียนแลกเปลี่ยนกับเดรโกเป็นประจำ
(และใช่สำหรับเขาหมอนั้นไม่ใช่มัลฟอยอีกแล้วแต่เป็นเดรโก)
“แล้วคำถามอื่นที่ฉันถามนายจะไม่ตอบเหรอ”
เฮอร์ไมโอนี่เร่งเร้าเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ
“ฉันเป็นห่วงเขาไม่ได้เหรอ เขา...เขาก็ช่วยพวกเราตอนสงครามนะ
เขาไม่บอกยัยเบลาทริกซ์ว่าคนที่จับได้เป็นฉัน”
หญิงสาวกรอกตา
“เนวิลล์เป็นคนช่วยให้เราชนะสงคราม
นายยังไม่เป็นห่วงเนวิลล์มากเท่ากับที่นายเป็นห่วงมัลฟอยเลย”
“ก็เอ่อ...”
“ที่จริงฉันว่าฉันก็เป็นห่วงเนวิลล์แล้วล่ะ
รีบไปดูดีกว่าว่าหมอนั้นทำอะไรอยู่”
พูดจบแฮร์รี่ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีกลับไปสำนักงานมือปราบมารทันที
ก็เขายังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามพวกนั้น...เพราะเขา...เขาไม่รู้คำตอบเช่นกัน
###
“เอ็กเปลลิอาร์มัส”
สิ้นเสียงตะโกนของเนวิลล์ไม้กายสิทธิ์ในมือของแฮร์รี่ก็บินหวือออกไป
วันนี้ในคาบต่อสู้ตัวต่อตัวร่างสูงโดนปลดอาวุธเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
เนวิลล์ลดไม้กายสิทธิ์ลง ใบหน้าหล่อเหลาเขม้นมองแฮร์รี่อย่างไม่เข้าใจ
“นายเป็นอะไรรึเปล่าแฮร์รี่ วันนี้นายดูไม่มีสมาธิเลย”
แต่ก่อนที่แฮร์รี่จะได้เปิดปากตอบ ผู้ฝึกของเขา
มือปราบมารดอว์ลิช ก็ตะโกนเรียกชื่อแฮร์รี่เสียก่อน
“มือปราบมารฝึกหัดพอตเตอร์ ฉันต้องคุยกับเธอ”
เขาถอนหายใจแล้วเดินตามครูฝึกของเขาออกไป
เมื่อพ้นสายตาคนอื่นดอว์ลิชก็หันมามองแฮร์รี่พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าอยู่ในสถานการณ์จริงนายตายไปแล้วนะพอตเตอร์”
เด็กหนุ่มก้มหน้าลง เขาไม่มีอะไรจะตอบกลับ
“และคู่หูของนายด้วย
ถ้าเป็นเรื่องจริงนายทำให้ทั้งตัวนายและคู่หูเสี่ยง นายไม่มีสมาธิเลย ปล่อยให้ลองบัตท่อมใช้คาถาปลดอาวุธง่ายๆโดยไม่หลบหรือคิดจะใช้คาถาเกราะวิเศษสักนิด”
และเมื่อเห็นว่าแฮร์รี่ยังไม่ปฎิเสธอะไรก็ยิ่งทำให้มือปราบมารอาวุโสหงุดหงิดมากขึ้น
“นี้นายไม่คิดว่านายต้องพยายามเลยใช่ไหม
คิดว่าสถานะของนายจะทำให้นายผ่านโรงเรียนฝึกมือปราบมารง่ายๆใช่ไหม”
คราวนี้แฮร์รี่รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
ตาสีเขียวเป็นประกายโรจน์
“ไม่ใช่ครับ!”
“ผมตั้งใจจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อเป็นมือปราบมาร
ไม่ใช่สถานะของผม”
“แล้วไอ้เรื่องวันนี้คืออะไร นายเหม่อ
ไม่มีสมาธิ ไม่ตั้งใจเลยสักนิด
มือปราบมารทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะพวกเราต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา”
“ผมขอโทษ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ชายหนุ่มจ้องหน้าครูฝึกนิ่ง
มือปราบมารดอว์ลิชนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
“ไปรวบรวมสมาธิซะ แล้วค่อยเข้ามาในห้องฝึกอีกครั้ง”
ครูฝึกทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
ร่างสูงมองอีกคนเดินจากไป
ก่อนจะถอนหายใจแล้วพิงร่างกับกำแพง เขายอมรับว่าวันนี้เขาทำผิดจริง
เขามีเรื่องในหัวเยอะซะจนเขาไม่มีสมาธิกับการต่อสู้ตรงหน้า
เขามีทั้งเรื่องร่างกฎหมายบ้าของเฮอร์ไมโอนี่ที่แฮร์รี่ต้องพยายามหาทางช่วยลอบบี้
ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วและเขากับจินนี่ก็ยังไม่ได้พูดกันสักครั้ง
และที่สำคัญที่สุดเขาห่วงเดรโกแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว
เจ้านั้นไม่ได้เขียนจดหมายหาเขาเป็นเดือนๆแล้ว
แม้เขารู้ว่าเดรโกยังมีชีวิตอยู่เพราะเจ้าตัวยังตอบจดหมายกับเฮอร์ไมโอนี่
แต่สิ่งที่เขาเขียนให้เฮอร์ไมโอนี่มันทดแทนกับจดหมายที่เขาส่งให้ ศาสตราจารย์
ไม่ได้
เดรโกไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้เฮอร์ไมโอนี่ฟัง
เขาไม่เคยเปิดอกเล่าความรู้สึก ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจ
เขาอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้ร่างบางเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กหนุ่มผมดำกำมือแน่นสูดหายใจลึก
แต่ตอนนี้เขาต้องตั้งสมาธิ ในหัวเขาห้ามคิดเรื่องอื่นนอกจากการฝึกเป็นมือปราบมาร
เขาสงบใจสักครู่ก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำพลาดง่ายๆแบบนี้อีก
###
“เหวอ” แฮร์รี่ร้องลั่นพร้อมกับกลิ้งหลุนๆตกเตียง
“ฟาซซี่!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
ชายหนุ่มดุนกฮูกที่จ้องหน้าเขาเงียบๆตอนเขาตื่นทำให้เขาต้องตกใจแบบนั้น
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเมื่อเห็นม้วนกระดาษที่เท้าของเจ้าตัวยุ่ง
มือหนารีบคว้าม้วนกระดาษแล้วคลี่อ่านอย่างรวดเร็ว
จดหมายที่เดรโกเขียนส่งมาเหมือนเป็นหยาดฝนส่งมาให้กับคนที่กำลังอยู่ในทะเลทราย
สองสามสัปดาห์หลังเขาแทบจะบ้าเพราะอยากได้ยินอะไรสักอย่างจากเดรโก
แค่โน๊ตสั้นๆหรืออะไรก็ได้ที่บอกว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกแย่กับคำถามที่แสนจะละลาบละล้วงต่างๆของเฮอร์ไมโอนี่
หรืออะไรก็ได้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่าเดรโกเป็นยังไงบ้าง
เขาเป็นห่วงเดรโก
ดูเหมือนผลกระทบของสงครามยังคงตามหลอกหลอนเขา ความรู้สึกผิดที่เขาต้องแบกรับยังหนักหนาสาหัส
และที่จริงแฮร์รี่เข้าใจเป็นอย่างดี
เพราะไม่ใช่แค่เดรโกที่ยังคงถูกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดสองสามปีหลอกหลอนเหมือนฝันร้าย
...จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำเรื่องราวตอนปีสี่ได้...วินาทีที่แสงสีเขียวนั้นกระทบเข้ากับร่างของเซดริก
แม้ว่าเขาจะชนะโวลเดอร์มอร์แต่ความรู้สึกผิดในใจที่เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องตายไม่ได้ลดลงเลย
มีเพียงแค่เวลาและความเข้าใจเท่านั้นที่ช่วยกล่อมให้ความรู้สึกผิดแทบทนไม่ได้ในตอนแรกค่อยๆ
ลดลงจนเหลือแค่อาการตื้ออกในบางครั้งที่เขาคิดขึ้นมาเท่านั้น
แต่แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่แฮร์รี่ก็อดภูมิใจในร่างบางไม่ได้
เจ้าตัวยอมที่จะเผชิญหน้ากับความดำมืดในอดีตของตนเพราะเชื่อว่ามันจะช่วยคนอื่นได้
และเขาก็ดีใจที่เดรโกรับรู้ เขาไม่เคยเป็นมิตรกับแพนซี่ พาร์กินสัน
ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อน แต่ในวินาทีนี้เขารู้สึกว่าเขาอยากกอดขอบคุณเธอจริงๆ
ขอบคุณที่เธอทำให้เดรโกเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเสียสละมันช่วยคนอื่นได้แค่ไหน
“แล้วนายก็ไม่ได้โง่หรือบ้าเลยสักนิด
ถ้ามีคนบอกฉันตอนอายุสิบหกว่าวันนึงฉันจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนายขนาดนี้ฉันก็คงหาว่าคนคนนั้นบ้าไปแล้ว”
แฮร์รี่พูดเบาๆพร้อมยิ้มละไม
เขานี้แหละคนที่ทั้งโง่และบ้าเพราะเล่นพูดกับจดหมายแบบนี้
รู้ทั้งรู้ว่าคนเขียนไม่มีวันได้ยิน
###
“รอน”
แฮร์รี่ทักทายเพื่อนสนิทที่หายตัวมาอยู่ข้างๆเขา ทั้งเขาทั้งร่างสูงใส่ชุดดำสนิท
วันนี้เป็นวันครบรอบศึกที่ฮอกวอตส์และเป็นวันที่พวกเขามาเคารพและระลึกถึงบุคคลที่เสียสละชีวิตที่นั้น
เขามองดูรอนอย่างเป็นห่วง ถึงแม้เพื่อนของเขาจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม
แต่เขาก็เสียพี่ชายไปทั้งคน แม้จะไม่เหมือนจอร์จเหมือนเสียครึ่งนึงของตัวเองก็เถอะ
“ฉันยังไม่สายใช่ไหม” รอนถามเบาๆ ขณะมองไปรอบๆ แฮร์รี่ส่ายหน้าตอบกลับ
“พิธียังไม่เริ่มหรอก แต่ที่บ้านนายมาถึงกันหมดแล้ว
ส่วนเฮอร์ไมโอนี่จะมาพร้อมกับท่านรัฐมนตรี นี้ฉันรอแอนโดรเมดาก่อนแล้วจะเดินเข้าไปสมทบ
นายรีบไปเถอะ” แฮร์รี่พยักพเยิดไปทางกลุ่มคนผมแดง ทุกคนดูเศร้าสร้อย
แต่คราวนี้ไม่มีน้ำตา ไม่เหมือนในวันที่ทำพิธีฝังตอนแรก ...ผ่านมาหนึ่งปี
บาดแผลของทุกคนก็ค่อยๆหาย แม้ว่ามันจะยังไม่หมดก็ตามเถอะ
อีกไม่กี่นาทีหญิงสาวร่างสูงผมสีน้ำตาลก็เดินเข้ามา
โดยไร้เงาเด็กทารกที่ปกติจะอยู่ไม่ห่างเธอเหมือนเคย
“แล้วเท็ดดี้ล่ะครับ”
แฮร์รี่ถามหลังจากทักทายแอนโดรเมดาแล้ว
เวลาเกือบปีทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นจนเขารู้สึกแอนโดรเมดาเป็นครอบครัวที่สองของเขา...ต่อจากครอบครัววีสลีย์
“ซิสซี่จะดูให้จ้ะ
ถ้าพามาด้วยเท็ดดี้คงงอแงแน่นอน รอให้หลานโตกว่านี้อีกหน่อย ให้เขาพอเข้าใจอะไรๆได้ก่อน...”
“ผมเข้าใจครับ” ชายหนุ่มกุมมือหล่อนเบาๆ
“แล้วคุณนายมัลฟอยเป็นยังไงบ้างครับ
สบายดีไหมครับ”
“รายนั้นไม่ต้องห่วงหรอก สบายดี
มีก็แค่เบื่อที่ต้องอยู่ติดบ้านเท่านั้นแหละ
แต่พอให้เท็ดดี้ไปเยี่ยมแบบนี้ก็คงอารมณ์ดีแน่ๆ เขาเห่อหลานยังกับอะไรดี”
แฮร์รี่รับฟังอย่างประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าแอนโดรเมดาจะคืนดีกับน้องสาวของเธอแล้ว
ช่างแปลกจริงหนอที่คนที่ตัดขาดกันเป็นสิบๆปีจะกลับมาคืนดีกันได้เร็วขนาดนี้
“ผมไม่รู้เลยว่าคุณกับคุณนายมัลฟอยสนิทกันขนาดนี้”
“ฉันไม่เหลือใครแล้วนี้จ้ะแฮร์รี่ ผ่านมาสองสงคราม
มีแต่คนตายรอบตัว สิ่งที่เหลือที่ยังทำได้ก็คือให้อภัยคนที่ยังอยู่เท่านั้นแหละ”
“แล้วถึงยังไงเขาก็เป็นน้องสาว
ในเมื่อคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างซิสซี่เป็นคนมาขอโทษฉันก่อนแบบนี้
ฉันคงใจดำไม่ลงหรอก”
เขายิ้มให้เธอ “ผมดีใจนะครับที่คุณจะเป็นคนเลี้ยงเท็ดดี้
เขาจะต้องโตขึ้นมาเป็นคนที่ใจดีและเห็นอกเห็นใจคนอื่นแล้วก็กล้าหาญมากๆด้วย”
“เอ้า มามัวชมคนแก่อยู่นั้นแหละ
เธอต้องเป็นคนขึ้นไปพูดบนพิธีนี้ไม่ใช่รึไงเดี๋ยวก็สายหรอก”
แอนโดรเมดารีบรุนหลังเขาให้เดินเข้าไปข้างในลานพิธี ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างให้เธออีกครั้งก่อนจะแยกเดินไปที่ลานเวที
ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรดีในวันนี้ ความสามารถในการปราศรัยของเขาเป็นศูนย์
แต่หลังจากได้คุยกับแอนโดรเมดาเขาก็รู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร
...จดจำความเจ็บปวด แต่จงให้อภัย...
...ทั้งตัวคนที่ยังต้องอยู่
...และคนที่สร้างความเจ็บนั้น
.
.
.
“พี่พูดได้ดีมากเลยนะคะ” จินนี่เดินเข้ามาทักเขา
ใบหน้าเธอยิ้มน้อยๆ
“จินนี่ เป็นยังไงบ้าง” แฮร์รี่กอดทักทายเธอ
แต่เพียงแค่แป็บเดียวเพราะเธอดันตัวเขาออกห่างไปก่อน
“เธอ...โกรธฉันเหรอ”
“ไม่แล้วล่ะค่ะ”
...แสดงว่าเคยสินะ...เอาวะอย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้โกรธเขาอีกแล้ว
“แต่แม่มองอยู่ แล้วถ้าพี่กอดฉันแบบนี้
แม่ก็จะมีความหวังอยู่เรื่อยว่าพี่จะมาเป็นลูกเขยบ้านวีสลีย์” และเป็นดังที่เธอพูด
มอลลี่เหลือบมองมาทางพวกเขาสองคนเป็นระยะๆ
“คุณป้าเขาเป็นยังไงบ้าง”
“แม่เหรอคะ แม่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ฉันว่าแม่เป็นคนแรกในบ้านที่ทำใจได้ด้วยซ้ำ
เหลือแต่พี่จอร์จเท่านั้นแหละตอนนี้ที่ยังเศร้าอยู่
เมื่อกี้แองเจลิน่าก็รีบมาพากลับไปก่อน”
ชายหนุ่มก้มหน้าลง
เขารู้สึกผิดชะมัดที่เป็นเพื่อนที่ไม่ดี เขาไม่ได้มีโอกาสพูดกับจอร์จเลย เขาคิดว่าจอร์จทำใจได้แล้วซะอีก
ชายหนุ่มยิ้มและหัวเราะเหมือนปกติแล้ว...
แต่เรื่องแบบนี้เวลาแค่ปีเดียวคงไม่พอหรอกนะ
“นี้พี่กำลังรู้สึกผิดใช่ไหมเนี้ย”
จินนี่เอ่ยถามอย่างรู้ทัน คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากัน
“พี่เพิ่งพูดเองว่าคนที่อยู่ก็ต้องให้อภัยตัวเองด้วย พี่ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเราเศร้านะ”
“ฉัน...ฉันก็กำลังพยายามอยู่” แฮร์รี่ถอนหายใจ
“ทำไมเราไม่คบกันนะจินนี่
เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย ทั้งฉลาด เธอรู้ว่าจะพูดอะไรกับฉัน—“
“หยุดเถอะค่ะ
พูดจริงๆแล้วก็ไม่ใช่แค่แม่คนเดียวที่ยังคงมีความหวัง” แววตาของหญิงสาวหม่นลง แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“ฉัน...แค่อยากจะคุยกับพี่”
ร่างบางสูดหายใจลึกเหมือนรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดต่อ
“พี่รู้สึกยังไงตอนที่เราห่างกันคะ
สี่เดือนที่ผ่านมาฉันตั้งใจไม่ติดต่อพี่
ฉันตั้งใจจะให้เวลาพี่คิดคำตอบที่ฉันถามพี่ค้างไว้ตอนนั้น”
ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่ง เขารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร คำถามของเธอในคืนก่อนคริสมาสต์
...แบบเพื่อน แบบน้องสาว หรือแบบคนรักคะ... ความรู้สึกที่เขามีให้เธอคือแบบไหนกัน
เวลาสี่เดือนที่ห่างกันทำให้หลายอย่างชัดเจนขึ้น
เธอไม่ใช่คนแรกที่อยู่ในความคิดเขาอีกแล้ว แน่นอนเขายังคิดถึงและเป็นห่วงเธอเป็นระยะ
แต่มันไม่ใช่เหมือนตอนปีหกหรือช่วงแรกๆของสงคราม
เขาไม่ได้กระวนกระวายเมื่อไม่ได้เจอเธอ
หน้าอกเขาไม่ปวดเมื่อคิดว่าวินาทีนี้เธออาจจะไปอยู่กับคนอื่น
เขาไม่ได้คิดอยากจะให้เธอมีส่วนร่วมกับทุกช่วงเวลาในชีวิตเขาอีกแล้ว
...อาการคนเลิกรัก...
“จินนี่
เธอเป็นทั้งน้องสาว...และเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
หญิงสาวหลับตาเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่าง
เขาเดินเข้าไปใกล้จะรั้งตัวเธอเข้ามากอด แต่เธอยกมือขึ้นมากั้นเสียก่อน
“แต่ไม่ใช่คนรัก” รอยยิ้มเศร้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ พี่ก็เป็นพี่ชายและเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเหมือนกัน”
ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำลงอีกครั้ง น้ำเอ่อคลอหน่วย เขาอยากรั้งเธอเข้ามากอดเหลือเกิน
เขาอยากจะบอกเธอว่าเขาขอโทษและเขาเสียใจแค่ไหน
“และที่จริงฉันก็ทำใจมานานแล้ว
ตั้งแต่ในห้องแห่งความลับในวินาทีที่ความชอบแบบเด็กๆของฉันมันเปลี่ยนเป็นความรัก
ฉันก็คิดมาตลอดว่ามันคงเป็นแค่รักข้างเดียว”
“จินนี่...ฉัน...”
“แต่นั้นมันก็ตั้งเจ็ดปีมาแล้ว
มันจะมีสักวันที่ฉันจะเจอคนที่ดีกว่าพี่ ฉันมีเวลาอีกเป็นร้อยปี”
หญิงสาวยิ้มออกมาให้เขา เธอสูดหายใจแล้วดึงเขาเข้ามากอดลา
“ลาก่อนค่ะพี่ชาย"
###
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องเสกคาถาเปลี่ยนหน้าเพื่อไปชอปปิ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้
เขามองกระจกสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ตาเขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเรียบๆ
ผมสีดำก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าเขายังมีเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง
แต่มีจมูกที่สั้นและรั้นขึ้น สันกรามชัดเจน
และที่สำคัญหน้าผากเรียบเนียนไร้ร่องรอยแผลเป็นที่บอกทุกคนว่าเขาเป็นใคร
“ถึงเวลาสอบวิชาแปลงกายเพื่อสอดแนมฉันต้องได้คะแนนเต็มแน่ๆ
เล่นได้ฝึกบ่อยๆแบบนี้” แฮร์รี่บ่นกับตัวเอง
ก่อนจะเสกคาถาใส่แว่นตาทรงกลมให้เปลี่ยนเป็นแว่นดำบดบังใบหน้าเขา
อากาศในเดือนพฤษภาคมเริ่มอุ่นขึ้นมาแล้ว
และวันนี้เป็นอีกวันที่โชคดีที่ไม่มีฝนตกเหมือนเคย
แสงแดดอ่อนๆยิ่งทำให้คนออกมาเดินซื้อของกันอย่างคึกคัก
แฮร์รี่ต้องคอยระแวงว่าคาถาของเขายังคงได้ผลดีอยู่รึเปล่า
เขายังไม่อยากเจอม๊อบมารุมเขาในวันหยุดของเขาแบบนี้
ในที่สุดร่างสูงก็มาหยุดที่ร้านเป้าหมาย
ร้านจีเวลลี่เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกตึก ชายหนุ่มมองป้ายบอกชื่อร้านอย่างไม่แน่ใจ
“นี้ลูน่าบอกให้เรามาที่ไหนเนี้ย” เขาบ่นเบาๆ
เขาน่าจะรู้ว่าลูน่าต้องแนะนำร้านแปลกๆให้เขาแน่ๆ
ถึงเขาจะย้ำนักย้ำหนาว่าขอเป็นร้านขายเครื่องรางวิเศษแบบปกติแค่ไหนก็ตาม
“ยินดีต้อนรับครับ”
เจ้าของร้านเป็นชายแก่ผมขาวไปทั้งหัว
ร่างนั้นกำลังยืนค้อมตัวมองแหวนในมืออยู่หลังตู้กระจก
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทักทายแฮร์รี่เมื่อได้ยินเสียงเขากระแอมเบาๆ
“เอ่อคือผมอยากได้เครื่องราง”
ชายหนุ่มพูดอย่างประหม่า นี้เป็นครั้งแรกที่เขามาซื้ออะไรแบบนี้
ตาทอดมองไปที่ตู้กระจกรอบตัว หินหลากสีวางเรียงรายบางก้อนก็เป็นประกายอย่างประหลาด
อีกด้านเป็นแหวนรูปทรงต่างๆ เขารู้สึกถึงเวทมนตร์ลอยอยู่ในอากาศ
“ช่วยเรื่องความรักเหรอพ่อหนุ่ม
ดูเธอกำลังกลุ้มใจเรื่องนี้นะ”
แฮร์รี่รีบยกมือขึ้นมาปฏิเสธ “เปล่าครับ
ไม่ใช่สำหรับผม เอ่อเครื่องรางคุ้มครอง”
“โอ้คุ้มครองคนรักของเธอเหรอ”
ชายหนุ่มหน้าแดงจัด “ไม่ใช่คนรักครับ
เขาเป็น...เอ่อ...เพื่อนครับ”
“อะฮะ ถ้าเธอยืนยันอย่างนั้นนะ”
แล้วแฮร์รี่ก็ใช้เวลาเกือบตลอดเช้าเลือกดูเครื่องรางที่พ่อมดชราเลือกสรรมาให้เขา
ในที่สุดหลังจากลังเลมานานแฮร์รี่ก็ตกลงได้ว่าจะเอาอะไร จี้เล็กๆรูปงู
ในตอนแรกเขาลังเลว่าจะเลือกมันดีหรือไม่ เดรโกมาจากบ้านสลิธีรินก็จริง
แต่งูจะทำให้เจ้านั้นนึกถึงงูของโวลเดอร์มอร์หรือเปล่านะ
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเข้าตาเขานอกจากอันนี้
“สุดท้ายเธอก็ต้องร่ายคาถาคุ้มครอง”
เจ้าของร้านอธิบายเพิ่มเติม ทำให้แฮร์รี่ได้แต่งงงวย
“หมายความว่ายังไงนะครับ”
“นี้พ่อหนุ่ม
เครื่องรางวิเศษโดยเฉพาะพวกเครื่องรางคุ้มครองเนี้ยใช้คาถาทั้งนั้น
ถ้าเป็นการคุ้มครองคนในครอบครัวยังพอใช้พิธีกรรมเลือดได้
แต่สำหรับคุ้มครองเพื่อนเนี้ยใช้คาถากันทั้งนั้น”
ว่าแล้วชายชราก็หยิบหนังสือเล่มหนาเตอะเก่าเก็บออกมาเปิด
พร้อมกับชี้ไปที่คาถาหนึ่งให้แฮร์รี่ดู
“เดี๋ยวฉันต้องไปดูของหลังร้านหน่อย
ถ้ามีปัญหาอะไรเรียกฉันได้นะ แต่เธอต้องเป็นคนร่ายคาถาคุ้มครองเท่านั้น”
ร่างสูงกวาดตาอ่าน วิธีการไม่ได้ซับซ้อนอะไร
แล้วหลักการคือการใช้เวทมนตร์ของเขาส่งพลังในการคุ้มครองผู้ได้รับเครื่องรางนี้
เขาสูดหายใจแล้วร่ายคาถาตามที่อ่าน ทันทีที่พูดจบ จี้เล็กๆนั้นก็เริ่มขยับ
พร้อมกับเสียงพูดที่คาดว่าเขาคนเดียวที่เข้าใจ
“เจ้าเรียกข้าเหรอเด็กน้อย”
แฮร์รี่กระพริบตาถี่ๆ
ก่อนจะก้มลงหยิบเจ้าจี้ที่ตอนนี้ขยับตัวขึ้นมาวางบนฝ่ามือ
ตามองไปรอบๆให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆก่อนจะพูดเบาๆ
“คุณพูดได้ด้วยเหรอ”
“นี้เจ้าก็แปลกคน เจ้าเป็นคนปลุกข้าแท้ๆ
สั่งให้ข้าคุ้มครองใครสักคนที่ชื่อเดรโก ลูเซียส มัลฟอย”
แฮร์รี่อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าคาถาจะได้ผล
“ใช่ครับ คุณช่วยคุ้มครองเขาได้ไหม”
“จะพยายามนะพ่อหนุ่ม
นานเหลือเกินที่ข้าไม่เจอคนที่คุยกับข้าได้แบบนี้” จี้รูปงูขยับตัวอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหยุดนิ่งกลายเป็นหินดั่งเดิม
...ผมไม่ควรคุยกับคุณได้ด้วยซ้ำ...แฮร์รี่คิดในใจ
เขาคิดว่าความสามารถในพูดภาษาพาร์เซลของเขาจะหายไปพร้อมกับโวลเดอร์มอร์เสียอีก
แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ถาวรแฮะ
เมื่อเขาออกจากร้านก็เกือบจะบ่ายเสียแล้ว
ชายหนุ่มรีบดูนาฬิกาอย่างตื่นๆ ก่อนจะรีบหามุมมืดคลายคาถาเปลี่ยนหน้าแล้วหายตัวไป
“แอนโดรเมดา ครับ”
ชายหนุ่มเคาะประตูบ้านของหญิงชราพร้อมเรียกชื่อเจ้าของบ้าน
เขาตกลงว่าบ่ายวันนี้เขาจะช่วยดูแลเท็ดดี้และปล่อยให้เธอไปทำธุระ
“แฮร์รี่เหรอจ้ะ” เสียงเจ้าของบ้านถาม ก่อนประตูจะเปิดออก
แอนโดรเมดายืนอยู่อีกฝั่งพร้อมกับอุ้มเด็กชายตัวน้อยอยู่ในแขนข้างหนึ่ง
แฮร์รี่รีบเข้าไปรับตัวเท็ดดี้มากอดเอาไว้
หลังจากได้ช่วยเลี้ยงลูกทูนหัวของเขามาเกือบปี
แฮร์รี่ก็สามารถอุ้มเด็กชายได้อย่างคล่องแคล่ว
เขายิ้มให้กับเด็กชายอารมณ์ดีในอ้อมแขน
“ขอโทษนะฮะที่มาสาย” ชายหนุ่มพูดขณะเดินตามแอนโดนเมดาเข้าไปในบ้าน
ก่อนจะต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นว่ามีแขกอีกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น
...นาร์ซิสซา มัลฟอย...
“ฉันมีนัดกับน้องสาวจ้ะ ซิสซี่ชวนฉันไปดื่มน้ำชาที่คฤหาสน์มัลฟอย
ต๊ายนี้ก็จะสายแล้ว เดี๋ยวฉันขึ้นไปหยิบของข้างบนก่อนนะจ้ะ”
พูดจบแอนโดรเมดาก็เดินออกไปทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับนาร์ซิสซา มัลฟอยตามลำพัง
อึดอัดชะมัด แฮร์รี่คิดในใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
เขาไม่เจอคุณนายมัลฟอยอีกเลยนับจากจบคดีที่เขาไปเป็นพยานต่อหน้าศาลสูงให้การว่าคุณนายมัลฟอยช่วยเหลือเขาในช่วงสงครามจริง
ตอนนั้นหญิงสาวดูซีดเซียวกว่านี้มาก แต่นั้นก็ผ่านไปเกือบปีแล้ว
“ฉันยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณเธอเลยที่เธอช่วยพูดเรื่องฉัน”
หญิงสาวพูดขึ้นทำลายความเงียบ ใบหน้านั้นสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
“เอ่อ..ผมแค่พูดความจริง ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไป
เขาขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
ที่จริงมีอีกตั้งหลายอย่างที่เขาอยากจะคุยกับคุณนายมัลฟอย...โดยเฉพาะเรื่องของลูกชายเธอ
แต่เขาจะเริ่มได้ยังไง
“คุณสบายดีไหมครับ”
“ก็ดีเท่าที่จะดีได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในคุก”
แฮร์รี่เงียบ ไม่รู้จะต่ออะไรดี ดูเหมือนว่าความพยายามจะชวนคุณนายมัลฟอยคุยจะไม่ได้ผล
งั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน
”เอ่อ คุณได้คุยกับเดรโกไหมครับ”
คราวนี้หญิงสาวมองเขาแปลกไป แววตาเธอจ้องมาที่เขาอย่างไม่ไว้ใจ
“เธอถามถึงเดรโกทำไม”
“คือ...คือผมได้ยินจากเจ้าหน้าที่วิลเลี่ยมสันว่าเดรโกเขาเข้าเรียนวิทยาลับปรุงยาขั้นสูง”
ชายหนุ่มเหงื่อตก พยายามหาทางโกหกโดยไม่ให้นาร์ซิสซาจับได้
“แล้วนี้ก็คงผ่านไปเกือบปีแล้ว”
“ฉันไม่ยักกะรู้ว่าเธอสนใจเรื่องของเดรโกด้วย”
แฮร์รี่ถอนหายใจ ก็คงจริง
ตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักเดรโกจนปีนี้ไม่มีสักครั้งที่จะทำสนใจทายาทของตระกูลมัลฟอยเลยสักครั้ง
“ถ้าเขารู้คงดีใจไม่น้อย”
ชายหนุ่มหยุดนิ่ง กระพริบตาถี่ๆ เมื่อกี้เขาหูฝาดรึเปล่า
เดรโกจะดีใจเหรอที่เขาสนใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็อาจจะจริงก็ได้ คงไม่ใช่แค่เขา
แต่คงเป็นใครก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เดรโกเทบจะไม่มีเพื่อนเหลืออยู่เลย
คุณนายมัลฟอยคงหมายความในแง่นั้นที่เดรโกคงดีใจที่จะมีเพื่อนเพิ่มอีกคน
“คงใกล้จะปิดเทอมแล้ว คุณคงดีใจที่จะได้เจอหน้าเขา”
ใบหน้าเธอหม่นลง “เขาไม่กลับมาหรอก
ถึงปิดเทอมเดรโกก็ไม่อยากกลับมาที่คฤหาสน์มัลฟอยอีกแล้ว
ที่นั้นมีแต่ความทรงจำแย่ๆ”
เขาพยักหน้า รู้สึกชาไปทั้งไปตัว ความทรงจำแย่ๆเหรอ
ทั้งเกาะนี้ด้วยรึเปล่า ...เดรโกจะกลับมาอีกไหม...
เขาจะได้เห็นใบหน้านั้นอีกรึเปล่า
“เสร็จแล้วจ้า” แอนโดรเมดาเดินลงมาพอดี
ขัดจังหวะก่อนที่แฮร์รี่จะมีโอกาสได้ถามต่อ
“เดี๋ยวเย็นๆฉันจะกลับนะจ้ะ แล้วดูให้เท็ดดี้นอนกลางวันด้วยนะ
ไม่งั้นเขาจะโยเย”
“คร้าบ คร้าบ” แฮร์รี่รับคำ พร้อมกับรุนหลังแอนโดรเมดาให้รีบไปได้แล้ว
คืนนั้นเขากลับไปที่กริมโมลด์เพลซ
ชายหนุ่มก็เอาจี้เครื่องรางที่มาใส่ห่ออย่างดี พร้อมกับดึงกระดาษออกมาตอบจดหมาย
เขาบอกเดรโกว่าเขาภูมิใจในตัวอีกคนแค่ไหนที่กล้าเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
เขายังเล่าให้เดรโกฟังถึงฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนเขาแม้จะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม
บาดแผลพวกนั้นไม่มีวันที่จะหายสนิท
แต่ความเจ็บปวดพวกนั้นมันจะค่อยทุเลาลงก็ต่อเมื่อเจ้าของสามารถให้อภัยตัวเองได้
...ปล่อยให้ความผิดพลาดในอดีตเป็นเพียงบทเรียน...จงอย่าเศร้า
อย่าโทษตัวเอง เธอแก้ไขอดีตไม่ได้ เธอจะไม่มีวันลืมมัน แต่จะมีสักวันที่เธอจะมองว่ามันก็คือบทเรียนชีวิตเท่านั้นหาใช่บาดแผลที่เจ็บปวดไม่
แล้วสักวันหนึ่งฉันหวังว่านายจะก้าวออกจากเงาของมันและกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง
แฮร์รี่คิดต่อในใจ หากเดรโกไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้
เขาไม่มีจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว
ป.ล. ฉันส่งเครื่องรางสำหรับช่วงสอบมาให้เธอด้วย
มันจะช่วยคุ้มครองเธอเผื่อเธอต้องเข้าไปหาวัตถุดิบปรุงยาในป่าดำอีก
ฉันเลือกงูเพราะแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ที่ดูน่ากลัวในตอนแรก แต่ถ้าหากได้รู้จักแล้วเธอจะพบว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่ฉลาดและซื่อสัตย์เป็นที่สุด...มันทำให้ฉันนึกถึงเธอนะ
###
ความคิดเห็น