ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dear Series - HP/DM

    ลำดับตอนที่ #14 : จดหมายฉบัยที่ 7 - Harry

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 58


    เดรโกไม่ได้เปราะบางอย่างที่แฮร์รี่คิด ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่เขากับเฮอร์ไมโอนี่ตอบโต้กัน เขาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโดยไม่มีปิดบัง ความเกลียดชังและความอยุติธรรมทั้งหลายทั้งแหล่ที่ตามมาหลังสงครามด้วย เขาเขียนมันด้วยโทนเสียงที่เรียบราบ ไม่มีเจ็บปวดหรือโกรธแค้น มีหลายครั้งที่หลังจากอ่านเรื่องราวเหล่านั้นแล้วแฮร์รี่อยากจะเขียนจดหมายไปบอกเดรโกว่ามันไม่เป็นไรแล้ว เขาผ่านมาแล้ว แต่เขาก็ต้องระงับใจเอาไว้

     

    “มีอะไร” แฮร์รี่ถามหญิงสาวที่นั่งทานอาหารเที่ยงตรงหน้าเขา เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูดก่อนจะเปลี่ยนใจ และทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาสักพักแล้ว

     

    หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะเสกคาถาให้บทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ยินโดยบุคคลอื่น

    “นายกับมัลฟอย”

    “นายเป็นอะไรกับเขากันแน่ ฉันว่ามันแปลกๆตั้งแต่นายเอาคอขึ้นเขียงเพื่อช่วยมัลฟอยในตอนแรก แต่คิดว่าคงแค่ครั้งเดียวแล้วนายก็รู้สึกผิดที่นายไม่ได้ช่วยอะไรเขาหลังสงคราม แต่ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้” หญิงสาววางส้อมแล้วยกมือขึ้นกุมหัว

    “นายทำตัวเหมือนเป็นบ้าไปแล้วเรื่องเขา นายถามฉันทุกวันว่าเขาเขียนมาหาฉันรึเปล่า ทุกครั้งที่นายอ่านจดหมายเขานายทำเหมือนกับมีใครควักหัวใจของนายออกมา แล้วยังไม่รวมเรื่องที่ทำไมนายรู้ว่าฉันขอให้มัลฟอยช่วยตั้งแต่แรก”

     

    “มัลฟอยบอกฉัน” แฮร์รี่ตอบกลับ เขาไม่ได้โกหก แต่เขาไม่มีเจตนาที่จะบอกเพื่อนสนิทว่ามันมาพร้อมกับจดหมายที่เขาเขียนแลกเปลี่ยนกับเดรโกเป็นประจำ (และใช่สำหรับเขาหมอนั้นไม่ใช่มัลฟอยอีกแล้วแต่เป็นเดรโก)

     

    “แล้วคำถามอื่นที่ฉันถามนายจะไม่ตอบเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่เร่งเร้าเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ

     

    “ฉันเป็นห่วงเขาไม่ได้เหรอ เขา...เขาก็ช่วยพวกเราตอนสงครามนะ เขาไม่บอกยัยเบลาทริกซ์ว่าคนที่จับได้เป็นฉัน”

     

    หญิงสาวกรอกตา

    “เนวิลล์เป็นคนช่วยให้เราชนะสงคราม นายยังไม่เป็นห่วงเนวิลล์มากเท่ากับที่นายเป็นห่วงมัลฟอยเลย”

     

    “ก็เอ่อ...”

    “ที่จริงฉันว่าฉันก็เป็นห่วงเนวิลล์แล้วล่ะ รีบไปดูดีกว่าว่าหมอนั้นทำอะไรอยู่” พูดจบแฮร์รี่ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีกลับไปสำนักงานมือปราบมารทันที

    ก็เขายังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามพวกนั้น...เพราะเขา...เขาไม่รู้คำตอบเช่นกัน

     

    ###

     

    เอ็กเปลลิอาร์มัส” สิ้นเสียงตะโกนของเนวิลล์ไม้กายสิทธิ์ในมือของแฮร์รี่ก็บินหวือออกไป วันนี้ในคาบต่อสู้ตัวต่อตัวร่างสูงโดนปลดอาวุธเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

     

    เนวิลล์ลดไม้กายสิทธิ์ลง ใบหน้าหล่อเหลาเขม้นมองแฮร์รี่อย่างไม่เข้าใจ “นายเป็นอะไรรึเปล่าแฮร์รี่ วันนี้นายดูไม่มีสมาธิเลย”

     

    แต่ก่อนที่แฮร์รี่จะได้เปิดปากตอบ ผู้ฝึกของเขา มือปราบมารดอว์ลิช ก็ตะโกนเรียกชื่อแฮร์รี่เสียก่อน

    “มือปราบมารฝึกหัดพอตเตอร์ ฉันต้องคุยกับเธอ” เขาถอนหายใจแล้วเดินตามครูฝึกของเขาออกไป

     

    เมื่อพ้นสายตาคนอื่นดอว์ลิชก็หันมามองแฮร์รี่พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “ถ้าอยู่ในสถานการณ์จริงนายตายไปแล้วนะพอตเตอร์”

     

    เด็กหนุ่มก้มหน้าลง เขาไม่มีอะไรจะตอบกลับ

     

    “และคู่หูของนายด้วย ถ้าเป็นเรื่องจริงนายทำให้ทั้งตัวนายและคู่หูเสี่ยง นายไม่มีสมาธิเลย ปล่อยให้ลองบัตท่อมใช้คาถาปลดอาวุธง่ายๆโดยไม่หลบหรือคิดจะใช้คาถาเกราะวิเศษสักนิด”

    และเมื่อเห็นว่าแฮร์รี่ยังไม่ปฎิเสธอะไรก็ยิ่งทำให้มือปราบมารอาวุโสหงุดหงิดมากขึ้น

    “นี้นายไม่คิดว่านายต้องพยายามเลยใช่ไหม คิดว่าสถานะของนายจะทำให้นายผ่านโรงเรียนฝึกมือปราบมารง่ายๆใช่ไหม”

     

    คราวนี้แฮร์รี่รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ตาสีเขียวเป็นประกายโรจน์

    “ไม่ใช่ครับ!”

    “ผมตั้งใจจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อเป็นมือปราบมาร ไม่ใช่สถานะของผม”

     

    “แล้วไอ้เรื่องวันนี้คืออะไร นายเหม่อ ไม่มีสมาธิ ไม่ตั้งใจเลยสักนิด มือปราบมารทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะพวกเราต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา”

     

    “ผมขอโทษ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ชายหนุ่มจ้องหน้าครูฝึกนิ่ง

     

    มือปราบมารดอว์ลิชนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

    “ไปรวบรวมสมาธิซะ แล้วค่อยเข้ามาในห้องฝึกอีกครั้ง” ครูฝึกทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป

     

    ร่างสูงมองอีกคนเดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจแล้วพิงร่างกับกำแพง เขายอมรับว่าวันนี้เขาทำผิดจริง เขามีเรื่องในหัวเยอะซะจนเขาไม่มีสมาธิกับการต่อสู้ตรงหน้า เขามีทั้งเรื่องร่างกฎหมายบ้าของเฮอร์ไมโอนี่ที่แฮร์รี่ต้องพยายามหาทางช่วยลอบบี้ ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วและเขากับจินนี่ก็ยังไม่ได้พูดกันสักครั้ง และที่สำคัญที่สุดเขาห่วงเดรโกแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

    เจ้านั้นไม่ได้เขียนจดหมายหาเขาเป็นเดือนๆแล้ว แม้เขารู้ว่าเดรโกยังมีชีวิตอยู่เพราะเจ้าตัวยังตอบจดหมายกับเฮอร์ไมโอนี่ แต่สิ่งที่เขาเขียนให้เฮอร์ไมโอนี่มันทดแทนกับจดหมายที่เขาส่งให้ ศาสตราจารย์ ไม่ได้

    เดรโกไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้เฮอร์ไมโอนี่ฟัง เขาไม่เคยเปิดอกเล่าความรู้สึก ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้ร่างบางเป็นอย่างไรบ้าง

    เด็กหนุ่มผมดำกำมือแน่นสูดหายใจลึก แต่ตอนนี้เขาต้องตั้งสมาธิ ในหัวเขาห้ามคิดเรื่องอื่นนอกจากการฝึกเป็นมือปราบมาร เขาสงบใจสักครู่ก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำพลาดง่ายๆแบบนี้อีก

     

    ###

     

    “เหวอ” แฮร์รี่ร้องลั่นพร้อมกับกลิ้งหลุนๆตกเตียง

    “ฟาซซี่!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” ชายหนุ่มดุนกฮูกที่จ้องหน้าเขาเงียบๆตอนเขาตื่นทำให้เขาต้องตกใจแบบนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเมื่อเห็นม้วนกระดาษที่เท้าของเจ้าตัวยุ่ง

     

    มือหนารีบคว้าม้วนกระดาษแล้วคลี่อ่านอย่างรวดเร็ว จดหมายที่เดรโกเขียนส่งมาเหมือนเป็นหยาดฝนส่งมาให้กับคนที่กำลังอยู่ในทะเลทราย สองสามสัปดาห์หลังเขาแทบจะบ้าเพราะอยากได้ยินอะไรสักอย่างจากเดรโก แค่โน๊ตสั้นๆหรืออะไรก็ได้ที่บอกว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกแย่กับคำถามที่แสนจะละลาบละล้วงต่างๆของเฮอร์ไมโอนี่ หรืออะไรก็ได้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่าเดรโกเป็นยังไงบ้าง

     

    เขาเป็นห่วงเดรโก ดูเหมือนผลกระทบของสงครามยังคงตามหลอกหลอนเขา ความรู้สึกผิดที่เขาต้องแบกรับยังหนักหนาสาหัส และที่จริงแฮร์รี่เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะไม่ใช่แค่เดรโกที่ยังคงถูกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดสองสามปีหลอกหลอนเหมือนฝันร้าย

    ...จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำเรื่องราวตอนปีสี่ได้...วินาทีที่แสงสีเขียวนั้นกระทบเข้ากับร่างของเซดริก

    แม้ว่าเขาจะชนะโวลเดอร์มอร์แต่ความรู้สึกผิดในใจที่เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องตายไม่ได้ลดลงเลย มีเพียงแค่เวลาและความเข้าใจเท่านั้นที่ช่วยกล่อมให้ความรู้สึกผิดแทบทนไม่ได้ในตอนแรกค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่อาการตื้ออกในบางครั้งที่เขาคิดขึ้นมาเท่านั้น

     

    แต่แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่แฮร์รี่ก็อดภูมิใจในร่างบางไม่ได้ เจ้าตัวยอมที่จะเผชิญหน้ากับความดำมืดในอดีตของตนเพราะเชื่อว่ามันจะช่วยคนอื่นได้ และเขาก็ดีใจที่เดรโกรับรู้ เขาไม่เคยเป็นมิตรกับแพนซี่ พาร์กินสัน ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อน แต่ในวินาทีนี้เขารู้สึกว่าเขาอยากกอดขอบคุณเธอจริงๆ ขอบคุณที่เธอทำให้เดรโกเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเสียสละมันช่วยคนอื่นได้แค่ไหน

    “แล้วนายก็ไม่ได้โง่หรือบ้าเลยสักนิด ถ้ามีคนบอกฉันตอนอายุสิบหกว่าวันนึงฉันจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนายขนาดนี้ฉันก็คงหาว่าคนคนนั้นบ้าไปแล้ว” แฮร์รี่พูดเบาๆพร้อมยิ้มละไม เขานี้แหละคนที่ทั้งโง่และบ้าเพราะเล่นพูดกับจดหมายแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าคนเขียนไม่มีวันได้ยิน

     

    ###

     

    “รอน” แฮร์รี่ทักทายเพื่อนสนิทที่หายตัวมาอยู่ข้างๆเขา ทั้งเขาทั้งร่างสูงใส่ชุดดำสนิท วันนี้เป็นวันครบรอบศึกที่ฮอกวอตส์และเป็นวันที่พวกเขามาเคารพและระลึกถึงบุคคลที่เสียสละชีวิตที่นั้น เขามองดูรอนอย่างเป็นห่วง ถึงแม้เพื่อนของเขาจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม แต่เขาก็เสียพี่ชายไปทั้งคน แม้จะไม่เหมือนจอร์จเหมือนเสียครึ่งนึงของตัวเองก็เถอะ

     

    “ฉันยังไม่สายใช่ไหม” รอนถามเบาๆ ขณะมองไปรอบๆ แฮร์รี่ส่ายหน้าตอบกลับ

     

    “พิธียังไม่เริ่มหรอก แต่ที่บ้านนายมาถึงกันหมดแล้ว ส่วนเฮอร์ไมโอนี่จะมาพร้อมกับท่านรัฐมนตรี นี้ฉันรอแอนโดรเมดาก่อนแล้วจะเดินเข้าไปสมทบ นายรีบไปเถอะ” แฮร์รี่พยักพเยิดไปทางกลุ่มคนผมแดง ทุกคนดูเศร้าสร้อย แต่คราวนี้ไม่มีน้ำตา ไม่เหมือนในวันที่ทำพิธีฝังตอนแรก ...ผ่านมาหนึ่งปี บาดแผลของทุกคนก็ค่อยๆหาย แม้ว่ามันจะยังไม่หมดก็ตามเถอะ

     

    อีกไม่กี่นาทีหญิงสาวร่างสูงผมสีน้ำตาลก็เดินเข้ามา โดยไร้เงาเด็กทารกที่ปกติจะอยู่ไม่ห่างเธอเหมือนเคย

    “แล้วเท็ดดี้ล่ะครับ” แฮร์รี่ถามหลังจากทักทายแอนโดรเมดาแล้ว เวลาเกือบปีทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นจนเขารู้สึกแอนโดรเมดาเป็นครอบครัวที่สองของเขา...ต่อจากครอบครัววีสลีย์

     

    “ซิสซี่จะดูให้จ้ะ ถ้าพามาด้วยเท็ดดี้คงงอแงแน่นอน รอให้หลานโตกว่านี้อีกหน่อย ให้เขาพอเข้าใจอะไรๆได้ก่อน...”

     

    “ผมเข้าใจครับ” ชายหนุ่มกุมมือหล่อนเบาๆ

    “แล้วคุณนายมัลฟอยเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหมครับ”

     

    “รายนั้นไม่ต้องห่วงหรอก สบายดี มีก็แค่เบื่อที่ต้องอยู่ติดบ้านเท่านั้นแหละ แต่พอให้เท็ดดี้ไปเยี่ยมแบบนี้ก็คงอารมณ์ดีแน่ๆ เขาเห่อหลานยังกับอะไรดี”

     

    แฮร์รี่รับฟังอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าแอนโดรเมดาจะคืนดีกับน้องสาวของเธอแล้ว ช่างแปลกจริงหนอที่คนที่ตัดขาดกันเป็นสิบๆปีจะกลับมาคืนดีกันได้เร็วขนาดนี้

    “ผมไม่รู้เลยว่าคุณกับคุณนายมัลฟอยสนิทกันขนาดนี้”

     

    “ฉันไม่เหลือใครแล้วนี้จ้ะแฮร์รี่ ผ่านมาสองสงคราม มีแต่คนตายรอบตัว สิ่งที่เหลือที่ยังทำได้ก็คือให้อภัยคนที่ยังอยู่เท่านั้นแหละ”

    “แล้วถึงยังไงเขาก็เป็นน้องสาว ในเมื่อคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างซิสซี่เป็นคนมาขอโทษฉันก่อนแบบนี้ ฉันคงใจดำไม่ลงหรอก”

     

    เขายิ้มให้เธอ “ผมดีใจนะครับที่คุณจะเป็นคนเลี้ยงเท็ดดี้ เขาจะต้องโตขึ้นมาเป็นคนที่ใจดีและเห็นอกเห็นใจคนอื่นแล้วก็กล้าหาญมากๆด้วย”

     

    “เอ้า มามัวชมคนแก่อยู่นั้นแหละ เธอต้องเป็นคนขึ้นไปพูดบนพิธีนี้ไม่ใช่รึไงเดี๋ยวก็สายหรอก” แอนโดรเมดารีบรุนหลังเขาให้เดินเข้าไปข้างในลานพิธี ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างให้เธออีกครั้งก่อนจะแยกเดินไปที่ลานเวที ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรดีในวันนี้ ความสามารถในการปราศรัยของเขาเป็นศูนย์ แต่หลังจากได้คุยกับแอนโดรเมดาเขาก็รู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร

    ...จดจำความเจ็บปวด แต่จงให้อภัย...

    ...ทั้งตัวคนที่ยังต้องอยู่

    ...และคนที่สร้างความเจ็บนั้น

     

    .

    .

    .

    “พี่พูดได้ดีมากเลยนะคะ” จินนี่เดินเข้ามาทักเขา ใบหน้าเธอยิ้มน้อยๆ

     

    “จินนี่ เป็นยังไงบ้าง” แฮร์รี่กอดทักทายเธอ แต่เพียงแค่แป็บเดียวเพราะเธอดันตัวเขาออกห่างไปก่อน

    “เธอ...โกรธฉันเหรอ”

     

    “ไม่แล้วล่ะค่ะ”

     

    ...แสดงว่าเคยสินะ...เอาวะอย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้โกรธเขาอีกแล้ว

     

    “แต่แม่มองอยู่ แล้วถ้าพี่กอดฉันแบบนี้ แม่ก็จะมีความหวังอยู่เรื่อยว่าพี่จะมาเป็นลูกเขยบ้านวีสลีย์” และเป็นดังที่เธอพูด มอลลี่เหลือบมองมาทางพวกเขาสองคนเป็นระยะๆ

     

    “คุณป้าเขาเป็นยังไงบ้าง”

     

    “แม่เหรอคะ แม่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันว่าแม่เป็นคนแรกในบ้านที่ทำใจได้ด้วยซ้ำ เหลือแต่พี่จอร์จเท่านั้นแหละตอนนี้ที่ยังเศร้าอยู่ เมื่อกี้แองเจลิน่าก็รีบมาพากลับไปก่อน”

     

    ชายหนุ่มก้มหน้าลง เขารู้สึกผิดชะมัดที่เป็นเพื่อนที่ไม่ดี เขาไม่ได้มีโอกาสพูดกับจอร์จเลย เขาคิดว่าจอร์จทำใจได้แล้วซะอีก ชายหนุ่มยิ้มและหัวเราะเหมือนปกติแล้ว... แต่เรื่องแบบนี้เวลาแค่ปีเดียวคงไม่พอหรอกนะ

     

    “นี้พี่กำลังรู้สึกผิดใช่ไหมเนี้ย” จินนี่เอ่ยถามอย่างรู้ทัน คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากัน “พี่เพิ่งพูดเองว่าคนที่อยู่ก็ต้องให้อภัยตัวเองด้วย พี่ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเราเศร้านะ”

     

    “ฉัน...ฉันก็กำลังพยายามอยู่” แฮร์รี่ถอนหายใจ

    “ทำไมเราไม่คบกันนะจินนี่ เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย ทั้งฉลาด เธอรู้ว่าจะพูดอะไรกับฉัน—“  

     

    “หยุดเถอะค่ะ พูดจริงๆแล้วก็ไม่ใช่แค่แม่คนเดียวที่ยังคงมีความหวัง” แววตาของหญิงสาวหม่นลง แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

    “ฉัน...แค่อยากจะคุยกับพี่” ร่างบางสูดหายใจลึกเหมือนรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดต่อ

    “พี่รู้สึกยังไงตอนที่เราห่างกันคะ สี่เดือนที่ผ่านมาฉันตั้งใจไม่ติดต่อพี่ ฉันตั้งใจจะให้เวลาพี่คิดคำตอบที่ฉันถามพี่ค้างไว้ตอนนั้น”

     

    ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่ง เขารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร คำถามของเธอในคืนก่อนคริสมาสต์ ...แบบเพื่อน แบบน้องสาว หรือแบบคนรักคะ... ความรู้สึกที่เขามีให้เธอคือแบบไหนกัน เวลาสี่เดือนที่ห่างกันทำให้หลายอย่างชัดเจนขึ้น เธอไม่ใช่คนแรกที่อยู่ในความคิดเขาอีกแล้ว แน่นอนเขายังคิดถึงและเป็นห่วงเธอเป็นระยะ แต่มันไม่ใช่เหมือนตอนปีหกหรือช่วงแรกๆของสงคราม เขาไม่ได้กระวนกระวายเมื่อไม่ได้เจอเธอ หน้าอกเขาไม่ปวดเมื่อคิดว่าวินาทีนี้เธออาจจะไปอยู่กับคนอื่น เขาไม่ได้คิดอยากจะให้เธอมีส่วนร่วมกับทุกช่วงเวลาในชีวิตเขาอีกแล้ว

    ...อาการคนเลิกรัก...

    “จินนี่ เธอเป็นทั้งน้องสาว...และเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”

     

    หญิงสาวหลับตาเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่าง เขาเดินเข้าไปใกล้จะรั้งตัวเธอเข้ามากอด แต่เธอยกมือขึ้นมากั้นเสียก่อน

    “แต่ไม่ใช่คนรัก” รอยยิ้มเศร้า

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ พี่ก็เป็นพี่ชายและเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเหมือนกัน” ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำลงอีกครั้ง น้ำเอ่อคลอหน่วย เขาอยากรั้งเธอเข้ามากอดเหลือเกิน เขาอยากจะบอกเธอว่าเขาขอโทษและเขาเสียใจแค่ไหน

    “และที่จริงฉันก็ทำใจมานานแล้ว ตั้งแต่ในห้องแห่งความลับในวินาทีที่ความชอบแบบเด็กๆของฉันมันเปลี่ยนเป็นความรัก ฉันก็คิดมาตลอดว่ามันคงเป็นแค่รักข้างเดียว”

     

    “จินนี่...ฉัน...”

     

    “แต่นั้นมันก็ตั้งเจ็ดปีมาแล้ว มันจะมีสักวันที่ฉันจะเจอคนที่ดีกว่าพี่ ฉันมีเวลาอีกเป็นร้อยปี” หญิงสาวยิ้มออกมาให้เขา เธอสูดหายใจแล้วดึงเขาเข้ามากอดลา

    “ลาก่อนค่ะพี่ชาย" 

     

    ###

     

    เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องเสกคาถาเปลี่ยนหน้าเพื่อไปชอปปิ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ เขามองกระจกสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ตาเขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเรียบๆ ผมสีดำก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าเขายังมีเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง แต่มีจมูกที่สั้นและรั้นขึ้น สันกรามชัดเจน และที่สำคัญหน้าผากเรียบเนียนไร้ร่องรอยแผลเป็นที่บอกทุกคนว่าเขาเป็นใคร

    “ถึงเวลาสอบวิชาแปลงกายเพื่อสอดแนมฉันต้องได้คะแนนเต็มแน่ๆ เล่นได้ฝึกบ่อยๆแบบนี้” แฮร์รี่บ่นกับตัวเอง ก่อนจะเสกคาถาใส่แว่นตาทรงกลมให้เปลี่ยนเป็นแว่นดำบดบังใบหน้าเขา

     

    อากาศในเดือนพฤษภาคมเริ่มอุ่นขึ้นมาแล้ว และวันนี้เป็นอีกวันที่โชคดีที่ไม่มีฝนตกเหมือนเคย แสงแดดอ่อนๆยิ่งทำให้คนออกมาเดินซื้อของกันอย่างคึกคัก แฮร์รี่ต้องคอยระแวงว่าคาถาของเขายังคงได้ผลดีอยู่รึเปล่า เขายังไม่อยากเจอม๊อบมารุมเขาในวันหยุดของเขาแบบนี้

    ในที่สุดร่างสูงก็มาหยุดที่ร้านเป้าหมาย ร้านจีเวลลี่เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกตึก ชายหนุ่มมองป้ายบอกชื่อร้านอย่างไม่แน่ใจ

    “นี้ลูน่าบอกให้เรามาที่ไหนเนี้ย” เขาบ่นเบาๆ เขาน่าจะรู้ว่าลูน่าต้องแนะนำร้านแปลกๆให้เขาแน่ๆ ถึงเขาจะย้ำนักย้ำหนาว่าขอเป็นร้านขายเครื่องรางวิเศษแบบปกติแค่ไหนก็ตาม

     

    “ยินดีต้อนรับครับ” เจ้าของร้านเป็นชายแก่ผมขาวไปทั้งหัว ร่างนั้นกำลังยืนค้อมตัวมองแหวนในมืออยู่หลังตู้กระจก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทักทายแฮร์รี่เมื่อได้ยินเสียงเขากระแอมเบาๆ

     

    “เอ่อคือผมอยากได้เครื่องราง” ชายหนุ่มพูดอย่างประหม่า นี้เป็นครั้งแรกที่เขามาซื้ออะไรแบบนี้ ตาทอดมองไปที่ตู้กระจกรอบตัว หินหลากสีวางเรียงรายบางก้อนก็เป็นประกายอย่างประหลาด อีกด้านเป็นแหวนรูปทรงต่างๆ เขารู้สึกถึงเวทมนตร์ลอยอยู่ในอากาศ

     

    “ช่วยเรื่องความรักเหรอพ่อหนุ่ม ดูเธอกำลังกลุ้มใจเรื่องนี้นะ”

     

    แฮร์รี่รีบยกมือขึ้นมาปฏิเสธ “เปล่าครับ ไม่ใช่สำหรับผม เอ่อเครื่องรางคุ้มครอง”

     

    “โอ้คุ้มครองคนรักของเธอเหรอ”

     

    ชายหนุ่มหน้าแดงจัด “ไม่ใช่คนรักครับ เขาเป็น...เอ่อ...เพื่อนครับ”

     

    “อะฮะ ถ้าเธอยืนยันอย่างนั้นนะ”

     

    แล้วแฮร์รี่ก็ใช้เวลาเกือบตลอดเช้าเลือกดูเครื่องรางที่พ่อมดชราเลือกสรรมาให้เขา ในที่สุดหลังจากลังเลมานานแฮร์รี่ก็ตกลงได้ว่าจะเอาอะไร จี้เล็กๆรูปงู ในตอนแรกเขาลังเลว่าจะเลือกมันดีหรือไม่ เดรโกมาจากบ้านสลิธีรินก็จริง แต่งูจะทำให้เจ้านั้นนึกถึงงูของโวลเดอร์มอร์หรือเปล่านะ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเข้าตาเขานอกจากอันนี้

    “สุดท้ายเธอก็ต้องร่ายคาถาคุ้มครอง” เจ้าของร้านอธิบายเพิ่มเติม ทำให้แฮร์รี่ได้แต่งงงวย

     

    “หมายความว่ายังไงนะครับ”

     

    “นี้พ่อหนุ่ม เครื่องรางวิเศษโดยเฉพาะพวกเครื่องรางคุ้มครองเนี้ยใช้คาถาทั้งนั้น ถ้าเป็นการคุ้มครองคนในครอบครัวยังพอใช้พิธีกรรมเลือดได้ แต่สำหรับคุ้มครองเพื่อนเนี้ยใช้คาถากันทั้งนั้น” ว่าแล้วชายชราก็หยิบหนังสือเล่มหนาเตอะเก่าเก็บออกมาเปิด พร้อมกับชี้ไปที่คาถาหนึ่งให้แฮร์รี่ดู

    “เดี๋ยวฉันต้องไปดูของหลังร้านหน่อย ถ้ามีปัญหาอะไรเรียกฉันได้นะ แต่เธอต้องเป็นคนร่ายคาถาคุ้มครองเท่านั้น”

     

    ร่างสูงกวาดตาอ่าน วิธีการไม่ได้ซับซ้อนอะไร แล้วหลักการคือการใช้เวทมนตร์ของเขาส่งพลังในการคุ้มครองผู้ได้รับเครื่องรางนี้ เขาสูดหายใจแล้วร่ายคาถาตามที่อ่าน ทันทีที่พูดจบ จี้เล็กๆนั้นก็เริ่มขยับ พร้อมกับเสียงพูดที่คาดว่าเขาคนเดียวที่เข้าใจ

    เจ้าเรียกข้าเหรอเด็กน้อย

     

    แฮร์รี่กระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะก้มลงหยิบเจ้าจี้ที่ตอนนี้ขยับตัวขึ้นมาวางบนฝ่ามือ ตามองไปรอบๆให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆก่อนจะพูดเบาๆ

    คุณพูดได้ด้วยเหรอ

     

    “นี้เจ้าก็แปลกคน เจ้าเป็นคนปลุกข้าแท้ๆ สั่งให้ข้าคุ้มครองใครสักคนที่ชื่อเดรโก ลูเซียส มัลฟอย”

     

    แฮร์รี่อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าคาถาจะได้ผล

    ใช่ครับ คุณช่วยคุ้มครองเขาได้ไหม

     

    “จะพยายามนะพ่อหนุ่ม นานเหลือเกินที่ข้าไม่เจอคนที่คุยกับข้าได้แบบนี้” จี้รูปงูขยับตัวอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหยุดนิ่งกลายเป็นหินดั่งเดิม

     

    ...ผมไม่ควรคุยกับคุณได้ด้วยซ้ำ...แฮร์รี่คิดในใจ เขาคิดว่าความสามารถในพูดภาษาพาร์เซลของเขาจะหายไปพร้อมกับโวลเดอร์มอร์เสียอีก แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ถาวรแฮะ

     

    เมื่อเขาออกจากร้านก็เกือบจะบ่ายเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบดูนาฬิกาอย่างตื่นๆ ก่อนจะรีบหามุมมืดคลายคาถาเปลี่ยนหน้าแล้วหายตัวไป

     

    “แอนโดรเมดา ครับ” ชายหนุ่มเคาะประตูบ้านของหญิงชราพร้อมเรียกชื่อเจ้าของบ้าน เขาตกลงว่าบ่ายวันนี้เขาจะช่วยดูแลเท็ดดี้และปล่อยให้เธอไปทำธุระ

     

    “แฮร์รี่เหรอจ้ะ” เสียงเจ้าของบ้านถาม ก่อนประตูจะเปิดออก แอนโดรเมดายืนอยู่อีกฝั่งพร้อมกับอุ้มเด็กชายตัวน้อยอยู่ในแขนข้างหนึ่ง แฮร์รี่รีบเข้าไปรับตัวเท็ดดี้มากอดเอาไว้ หลังจากได้ช่วยเลี้ยงลูกทูนหัวของเขามาเกือบปี แฮร์รี่ก็สามารถอุ้มเด็กชายได้อย่างคล่องแคล่ว เขายิ้มให้กับเด็กชายอารมณ์ดีในอ้อมแขน

     

    “ขอโทษนะฮะที่มาสาย” ชายหนุ่มพูดขณะเดินตามแอนโดนเมดาเข้าไปในบ้าน ก่อนจะต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นว่ามีแขกอีกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น

    ...นาร์ซิสซา มัลฟอย...

     

    “ฉันมีนัดกับน้องสาวจ้ะ ซิสซี่ชวนฉันไปดื่มน้ำชาที่คฤหาสน์มัลฟอย ต๊ายนี้ก็จะสายแล้ว เดี๋ยวฉันขึ้นไปหยิบของข้างบนก่อนนะจ้ะ” พูดจบแอนโดรเมดาก็เดินออกไปทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับนาร์ซิสซา มัลฟอยตามลำพัง

     

    อึดอัดชะมัด แฮร์รี่คิดในใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เขาไม่เจอคุณนายมัลฟอยอีกเลยนับจากจบคดีที่เขาไปเป็นพยานต่อหน้าศาลสูงให้การว่าคุณนายมัลฟอยช่วยเหลือเขาในช่วงสงครามจริง ตอนนั้นหญิงสาวดูซีดเซียวกว่านี้มาก แต่นั้นก็ผ่านไปเกือบปีแล้ว

     

    “ฉันยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณเธอเลยที่เธอช่วยพูดเรื่องฉัน” หญิงสาวพูดขึ้นทำลายความเงียบ ใบหน้านั้นสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

     

    “เอ่อ..ผมแค่พูดความจริง ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไป เขาขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ที่จริงมีอีกตั้งหลายอย่างที่เขาอยากจะคุยกับคุณนายมัลฟอย...โดยเฉพาะเรื่องของลูกชายเธอ แต่เขาจะเริ่มได้ยังไง

    “คุณสบายดีไหมครับ”

     

    “ก็ดีเท่าที่จะดีได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในคุก”

     

    แฮร์รี่เงียบ ไม่รู้จะต่ออะไรดี ดูเหมือนว่าความพยายามจะชวนคุณนายมัลฟอยคุยจะไม่ได้ผล งั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน

    ”เอ่อ คุณได้คุยกับเดรโกไหมครับ”

     

    คราวนี้หญิงสาวมองเขาแปลกไป แววตาเธอจ้องมาที่เขาอย่างไม่ไว้ใจ 

    “เธอถามถึงเดรโกทำไม”  

     

    “คือ...คือผมได้ยินจากเจ้าหน้าที่วิลเลี่ยมสันว่าเดรโกเขาเข้าเรียนวิทยาลับปรุงยาขั้นสูง” ชายหนุ่มเหงื่อตก พยายามหาทางโกหกโดยไม่ให้นาร์ซิสซาจับได้

    “แล้วนี้ก็คงผ่านไปเกือบปีแล้ว”

     

    “ฉันไม่ยักกะรู้ว่าเธอสนใจเรื่องของเดรโกด้วย”

     

    แฮร์รี่ถอนหายใจ ก็คงจริง ตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักเดรโกจนปีนี้ไม่มีสักครั้งที่จะทำสนใจทายาทของตระกูลมัลฟอยเลยสักครั้ง

     

    “ถ้าเขารู้คงดีใจไม่น้อย”

     

    ชายหนุ่มหยุดนิ่ง กระพริบตาถี่ๆ เมื่อกี้เขาหูฝาดรึเปล่า เดรโกจะดีใจเหรอที่เขาสนใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็อาจจะจริงก็ได้ คงไม่ใช่แค่เขา แต่คงเป็นใครก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เดรโกเทบจะไม่มีเพื่อนเหลืออยู่เลย คุณนายมัลฟอยคงหมายความในแง่นั้นที่เดรโกคงดีใจที่จะมีเพื่อนเพิ่มอีกคน

    “คงใกล้จะปิดเทอมแล้ว คุณคงดีใจที่จะได้เจอหน้าเขา”

     

    ใบหน้าเธอหม่นลง “เขาไม่กลับมาหรอก ถึงปิดเทอมเดรโกก็ไม่อยากกลับมาที่คฤหาสน์มัลฟอยอีกแล้ว ที่นั้นมีแต่ความทรงจำแย่ๆ”

     

    เขาพยักหน้า รู้สึกชาไปทั้งไปตัว ความทรงจำแย่ๆเหรอ ทั้งเกาะนี้ด้วยรึเปล่า ...เดรโกจะกลับมาอีกไหม... เขาจะได้เห็นใบหน้านั้นอีกรึเปล่า

     

    “เสร็จแล้วจ้า” แอนโดรเมดาเดินลงมาพอดี ขัดจังหวะก่อนที่แฮร์รี่จะมีโอกาสได้ถามต่อ

    “เดี๋ยวเย็นๆฉันจะกลับนะจ้ะ แล้วดูให้เท็ดดี้นอนกลางวันด้วยนะ ไม่งั้นเขาจะโยเย”

     

    “คร้าบ คร้าบ” แฮร์รี่รับคำ พร้อมกับรุนหลังแอนโดรเมดาให้รีบไปได้แล้ว

     

     

     คืนนั้นเขากลับไปที่กริมโมลด์เพลซ ชายหนุ่มก็เอาจี้เครื่องรางที่มาใส่ห่ออย่างดี พร้อมกับดึงกระดาษออกมาตอบจดหมาย เขาบอกเดรโกว่าเขาภูมิใจในตัวอีกคนแค่ไหนที่กล้าเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เขายังเล่าให้เดรโกฟังถึงฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนเขาแม้จะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม บาดแผลพวกนั้นไม่มีวันที่จะหายสนิท แต่ความเจ็บปวดพวกนั้นมันจะค่อยทุเลาลงก็ต่อเมื่อเจ้าของสามารถให้อภัยตัวเองได้

    ...ปล่อยให้ความผิดพลาดในอดีตเป็นเพียงบทเรียน...จงอย่าเศร้า อย่าโทษตัวเอง เธอแก้ไขอดีตไม่ได้ เธอจะไม่มีวันลืมมัน แต่จะมีสักวันที่เธอจะมองว่ามันก็คือบทเรียนชีวิตเท่านั้นหาใช่บาดแผลที่เจ็บปวดไม่

    แล้วสักวันหนึ่งฉันหวังว่านายจะก้าวออกจากเงาของมันและกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง แฮร์รี่คิดต่อในใจ หากเดรโกไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ เขาไม่มีจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว

     

    ป.ล. ฉันส่งเครื่องรางสำหรับช่วงสอบมาให้เธอด้วย มันจะช่วยคุ้มครองเธอเผื่อเธอต้องเข้าไปหาวัตถุดิบปรุงยาในป่าดำอีก ฉันเลือกงูเพราะแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ที่ดูน่ากลัวในตอนแรก แต่ถ้าหากได้รู้จักแล้วเธอจะพบว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่ฉลาดและซื่อสัตย์เป็นที่สุด...มันทำให้ฉันนึกถึงเธอนะ

    ###

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×