ผม พระอาทิตย์และดวงจันทร์
เรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพราะเป็นการบ้าน ควรเข้ามาอ่านถ้าอยากรู้
ผู้เข้าชมรวม
186
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องนี้เป็นการบ้านปิดเทอมอยากให้ช่วยกันอ้าน เผอิญว่าแต่งเล่นแล้วออกมาสำเร็จเป็นเรื่องแรกโดยไม่ตั้งใจฟิคคาอีกเพียบ
ผม พระอาทิตย์และดวงจันทร์
ตั้งแต่ผมจำความได้ ตัวผมนั้นเกิดจากความรักและความเอาใจอย่างดี ผมรู้สึกมีความสุขมาก แต่เพียงไม่นานนัก ตัวของผมก็ต้องจากผู้ที่สร้างผมขึ้นมา ผมถูกนำใส่ไว้ในชั้นวางของในร้านแห่งหนึ่งที่ซ่อมซ่อเพื่อที่จะให้คนที่เดินเข้ามาในร้านได้ยลโฉม ผมรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อหันไปมองในร้าน ผมก็พบว่าทุกๆคนนั้นล้วนแต่ก็ถูกพรากจากผู้ซึ่งเป็นที่รักเหมือนกับผม บางคนก็ได้บอกกับผมว่าคนสำคัญของพวกเขารู้สึกเบื่อ และเห็นว่าพวกเขานั้นไร้ประโยชน์ จึงได้นำพวกเขามาขาย ณ ที่แห่งนี้ แต่ทว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชะตากรรมที่ผมต้องเผชิญ
วันแล้ววันเล่าที่ผมเห็นผู้คนเดินเข้ามาและออกไป พวกเขาบางคนเดิมมาด้อมๆมองๆแล้วก็ออกไป บ้างก็เดินรี่เข้ามาแล้วคว้าเพื่อนผมหมับแล้วพาออกไป เพื่อที่จะซื้อแล้วจากไป บางครั้งเพื่อนผมบางคนก็กลับมาเข้ามาอีกครั้งเพราะพวกเขาเหล่านั้นที่มาซื้อบอกไม่พอใจ หากวันไหนมีใครที่เดิมมาคืนเพื่อนผม กลางคืนวันนั้นพวกเราที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นก็จะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเจ้าของร้าน เขาจะเข้ามาด้วยความเมามาย แล้วส่งเสียงดังปึงปัง จนคนที่อยู่ข้างๆร้านถัดไปต้องตะโกนไล่ แล้วจากนั้นพวกที่ถุกนำมาคืน ก็จะถูกวางไว้ใกล้กันกับป้ายที่เขียนว่าลดราคา ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากสำหรับพวกเรา เพราะถ้าหากใครถูกนำมาคืนถึงสองสามหนก็จะถูกนำไปวางไว้ใกล้ป้ายที่เขียนว่าชำรุดหรือของมีตำหนินั้นเอง
หลังจากที่เวลาผ่านมานานเนิ่นนานมีทั้งเพื่อนใหม่เข้ามาและเพื่อนเก่าออกไป ผมก็ยังไม่มีใครมาซื้อสักที ในที่สุดเจ้าของร้านทนไม่ไหวจึงจับผมไปยืนโชว์หน้าร้านพร้อมแขวนป้ายลดราคา ผมจึงได้เห็นเป็นครั้งแรกผ่านกระจกหน้าร้านซอมซ่อแห่งนี้ว่า ข้างนอกนั้นกว้างใหญ่กว่าที่ผมเคยคิด ทางเดินที่มีคนพลุกพล่านมากมายสองฝากถนน ผู้คนต่างเดินเร่งรีบไปไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องตน และแล้วผมก็ได้เห็นแสงแดดที่สุกสว่าง ผมจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
"ว้าว เพียงแค่โคมไฟเพียงดวงเดียวก็สามารถทำให้เมืองทั้งเมืองสว่างได้ ผิดกับหลอดไฟในร้านนี้เลยแหะ"
" มันแน่อยู่แล้ว หนุ่มน้อย ข้าสามารถส่องให้ซีกหนึ่งของโลกสว่างได้ทีเดียวเชียว เพราะข้าคือดวงอาทิตย์ผู้มีร่างกายเป็นเปลวเพลิงไงหล่ะ"เสียงมาจากโคมที่อยู่บนฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามแต่อบอุ่น
"ว้าว ท่านช่างเก่งเสียจริงผิดกับตัวผมที่ไร้ประโยชน์เสียนี่กระไร"ผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
"เจ้าหนุ่มน้อยเจ้าไม่ต้องเสียใจไป ไม่ว่าใครเกิดมาก็ต้องมีภาระหน้าที่ตนจะพึงกระทำได้"ดวงอาทิตย์ผู้อบอุ่นปลอบใจผมทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก
"ขอบคุณท่านที่ปลอบใจข้าท่านดวงอาทิตย์ที่อบอุ่น"ผมกล่าวขอบคุณ
"ข้ายังไม่ได้ถามนามของเจ้าเลยเจ้าหนุ่มน้อย"ดวงอาทิตย์เอ่ยถามผม
"ตัวกระผมนั้นเป็นคนไร้นามเพียงเพราะยังไม่มีเจ้าของจึงหาได้มีคนตั้งให้"ผมเอ่ยขึ้นด้วยความเศร้าสร้อย
หลังจากนั้นดวงอาทิตย์ก็ได้ขอโทษที่ถามผมและเปลี่ยนเรื่องคุย พวกเรานั้นคุยราวกับเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน พวกเราคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่ตะวันจะลับขอบฟ้า พวกเราเอ่ยลากันและสัญญาว่าจะพบกันอีกยามราตรีผ่านพ้น เมื่อผมนั่งไปสักพัก ผมเริ่มรู้สึกเคลิ้มเหมือนจะหลับ แต่พลัน!!ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงดังกระหึม เป็นเสียงของรถแหกโค้งมายังทางตู้กระจกที่ผมอยู่ แล้วพุ่งเข้าชนด้วยความเร็วสูง ผมรู้ตัวไม่มีทางหนีได้เลย ผมและเพื่อนได้แต่กรีดร้องด้วยความตกใจ
เพล้ง
เมื่อผมรู้สึกอีกทีผมก็ได้ลอยลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าทำให้ผมได้เห็นดวงจันทร์กลมโตที่สวยงาม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พรรณาถึงมัน ผมก็ได้ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกตามที่ใครสักคนว่าไว้
ตุบ
ผมรู้สึกว่าแขนผมหัก มันห้อยตกลงมาผมไม่สามารถขยับมันได้แม้แต่น้อย ผมหันไปมองหาเพื่อนด้วยสัญชาตญาณ ผมรู้สึกเหมือนถูกเอาของแข็งอย่างค้อนมาทุบหัวอย่างแรง ผมได้แต่เบือนหน้าหนี ผมอยากจะหายตัวไปจากที่แห่งนั้นเดียวนี้ เพราะว่าร้านที่ผมอยู่นั้นได้ลุกไหม้และเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ผมอยากร้องไห้ทั้งไที่รู้ว่าไม่มีน้ำตา บางคนที่รอดก็แขนขาหัก ไม่ก็ลูกตาหลุดออกมาจากเบ้าตา บ้างก็เหลือเพียงครึ่งตัว บางคนที่โดนสะเก็ตไฟกระเซ็นมาก็ได้แต่กรีดร้องเนื้อตัวค่อยๆถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงทีละนิดอย่างช้าๆ บ้างก็ตัวแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ
ผมค่อยคลานออกมาจากที่แห่งนั้นอย่างช้า ผมพยายามพยุงร่างอันปวกเปียกของตัวเองให้ยืนขึ้น แล้วค่อยๆเดินเข้าไปในตรอกแคบๆมืดๆ ทุกอย่างนั้นดูมืดไปหมด มืดจนผมกลัว มีเพียงแสงดาวและแสงจันทร์เท่านั้นที่ส่องอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ผมรู้สึกว่าดวงจันทร์กำลังเปร่งแสง แสงแห่งความอ่อนโยน ราวกับว่าเรื่องร้ายๆพวกนั้นเป็นความฝัน แต่ความเจ็บปวดที่ผมได้รับทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นความจริง และแล้วผมก็ได้รู้จักกับแสงจันทร์ผู้ที่เป็นสิ่งที่คู่ขนานและเคียงข้างดวงอาทิตย์ ผู้ที่เป็นสิ่งตรงกันข้ามและก็ได้พบเจอยามที่โชคชะตากำหนดให้
"ท่านผู้งดงามเอย จงบอกกับผมเถิด เพราะเหตุใดผมถึงต้องประสบกับความโหดร้ายเช่นนี้"ผมเอ่ยถาม
"เจ้าตัวน้อยเอย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าจึงเกิด"ดวงจันทร์ไม่ตอบแต่ย้อนคำถามผมแทน
"ผมรู้แค่ว่าเกิดมาตามความปราถนาของคนผู้หนึ่ง"ผมตอบ
"งั้นเจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้ากับดวงอาทิตย์จึงเกิดมา"ท่านถามต่อ
"ดวงอาทิตย์เกิดมาเพื่อส่องแสงยามเช้าส่วนท่านส่องแสงยามราตรี"ผมตอบอย่างที่ผมคิดไปทั้งที่ผมไม่เข้าใจในคำถามเหล่านั้น
"ถ้าเช่นนั้นทำไมดวงอาทิตย์ส่องแสงตลอดเวลาขณะที่ข้าก็มีช่วงเวลาที่เลือนหายไป"ท่านถามต่อ
"เรื่องนั้น ผะ ผม... ผมไม่สามารถตอบได้"ผมตอบพร้อมก้มหน้าลง
"ถูกต้องไม่ใครตอบได้ ดั่งนั้นมุนษย์ถึงเรียกว่าธรรมชาติไงหล่ะ"ท่านตอบ
"ผมไม่เข้าใจ"ผมตอบตามความจริง
"ไม่แปลกหรอก เด็กน้อย เพราะเหตุนั้นถึงเรียกว่าโชคชะตาไงหล่ะ"
"โชคชะตางั้นเหรอ"ผมทวน
"ใช่ เหมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าไงหล่ะ"ท่านเอ่ยด้วยความอ่อนโยน
"งั้นเหรอ"ผมเอ่ยพลางทำใจไปพลางเพื่อยอมรับกับความจริง
"ใช่แล้ว ตอนนี้เจ้าควรจะคิดก่อนซะดีกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไป"
"ทำอย่างไรต่อไปงั้นเหรอ"ผมถาม
"ใช่ ถึงแม้ว่าอดีตจะเจ็บปวดสักเท่าใด แต่การที่เจ้าสามารถก้าวผ่านพ้นความเจ็บปวดนี้ไปได้ ไม่ว่าอนาคตจะเจอสิ่งที่สาหัสกว่านี้เจ้าก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี"ดวงจันทร์เอ่ยบอกผมด้วยความอ่อนโยน
"ผมจะพยายาม"ผมให้คำมั่นกับดวงจันทร์
"งั้นข้าก็จะคอยเฝ้ามองและหวังว่าเจ้าจะโชคดีต่อไปในอนาคต"ดวงจันทร์ได้อวยพรให้ผม
และแล้วผมก็เอ่ยลาดวงจันทร์และได้เดินทางต่อไป เดินทางไปหาอนาคตของตัวผมเอง แม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ท่านบอกผมแต่ผมก็ได้หวังว่าอนาคตที่ผมจะเจอนั้นคงจะมีแต่ความสุข และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหลายครา ผมได้เจอทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ บางครั้งผมก็ไม่ได้เจอเพราะฝนตก แต่ผมก็มีความสุขเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มันทำให้ผมรู้สึกยินดียิ่งนักบางครั้งทั้งสองคนก็จะมาเล่าเรื่องให้ผมฟัง แต่ว่าผมก็ยังไม่อาจเข้าใจสิ่งที่พวกท่านกำลังสอนผม
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก้ผ่านมาได้ปีกว่าแล้ว ผมได้เห็นอะไรต่างมามากมาย วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ที่สวนสาธารณะ จู่ผมก็รู้สึกว่าตัวผมกำลังถูกมือของใครสักคนจับไว้ ผมถูกยกขึ้นมาแสงแดดที่กระทบตาผมทำให้ผมตื่น และแล้วผมก็ได้เห็นมนุษย์ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่สิต้องบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงต่างหาก เธอคนนั้นมีผมดกหยิกดำ ผิวออกคล้ำๆ มีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แววตาซุกซน เธอเอาผมมาดุใกล้อย่างพินิธอย่างละเอียดถี่ถ้วน และแล้วเธอก็ยิ้มก่อนที่จะจับผมถือแล้ววิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เธอวิ่งมาตามถนนที่ไม่ค่อยมีรถวิ่ง จนมาถึงบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านธรรมดาเหมือนหลังอื่นๆมีสองชั้น หลังคาสีแดงหม่นๆ กระเบื้องหลังคาหลุดออกไปบ้าง ตัวบ้านเองก็เริ่มสีซีดจางทำให้รู้ว่าผ่านการใช้มานาน
เธอเปิดประตูบ้านพรวดพลางวิ่งไปในบ้านเข้าไปในห้องๆหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียดีใจราวกับเด็กที่ได้ของมาและอวดตัวผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้คนนั้นทำหน้าดุใส่เธอนิดหน่อยก่อนจะพูดคุยกัน หลังจากนั้นเด็กผู้หญิงก็ทำหน้าดีใจ แล้วเธอก็เดินเข้ามา เธอคนนั้นจับเอาผมที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นมาชำระล้าง หลังจากที่ผมไม่ได้รับการดูแลมากว่าปีกว่าได้ เธอจักการลอบคราบผมและซ่อมแซมตัวผมที่แขนหลุด ก่อนที่จะนำผมไปเช็ดผมให้แห้ง แล้วจัดการเอาเสื้อผ้าผมมาเย็บใหม่ก่อนก่อนที่จะใส่ให้โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั่งจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น เด็กผู้หญิงก็รีบคว้าเขาแล้ววิ่งขึ้นห้องตัวเองไป ภายในห้องของเด็กผู้หญิงเต็มไปด้วยตุ๊กตา เด็กน้อยค่อนบรรจงวางเขาลงบนชั้นตุ๊กตาอย่างทะนุทะหนอมราวกับว่าตัวเขานั้นบอบบาง และแล้วเด็กน้อยก็ตั้งชื่อของผม ผมมีชื่อว่าเควิน เด็กน้อยบอกว่าผมมีสีผมและดวงตาคล้ายดาราที่เขาชื่นชม จึงตั้งชื่อดาราที่เขาชอบให้ ผมก็ได้แต่นั่งงง เพราะผมไม่เข้าใจอะไรคือดารา ผมพยายามถามเด็กน้อยแต่เธอเหมือนไม่รู้ว่าผมมีชีวิต หลังจากที่ผมอยู่มาได้พักหนึงผมจึงได้เข้าใจว่ามนุษย์นั้นจะมองไม่เห็นว่าเราเคลื่อนไหวหรือพูดได้นั่นเอง ผมจึงถามเพื่อนใหม่ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นว่าเพราะอะไร พวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาจากเด็กน้อยเติบใหญ่เป็นสาวสวย เธอไม่ต้องการพวกเราอีกต่อไป เธอเอาพวกเราเก็บใส่ลัง พวกเราได้แต่เบียดแน่นอยู่ในนั้นอย่างอึดอัด พวกเรารู้สึกว่าถูกยกขึ้นแล้วถูกนำไปใส่สิ่งที่มนุษย์เรียกว่ารถอยู่ด้านหลัง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก พวกเรารู้ได้เพราะกล่องกระดาษนั้นเปียกชื้น
รถนั้นวิ่งไปในความเร็วคงที่ ทำให้พวกเราพากันหลับ พวกเราแอบเปิดฝากล่องเพราะไม่มีอากาศหายใจ
มันน่าอึดอัดมาก พวกเราแอบออกมานั่งข้างนอกกัน โดยที่พวกเขาไม่ทันสังเกตุ ทำให้พวกเรารู้ว่าเด้กน้อยที่เป็นเจ้านายของเรากำลังนั่งรถคู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นมีผมสีบรอนซ์ กำลังเอามือจับสิ่งที่เป็นห่วงใหญ่หมุนไปหมุนมา
ผมแยกออกมานั่งผิงฝารถด้านหลัง อยู่ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวกำลังกลิ้ง อาใช่แล้วผมเห็นมีแสงสว่างจ้าส่องมาด้านหน้ารถถูกหักหลบ ตัวรถทั้งหมดหมุนเคว้งคว้างเป็นวงกว้างด้ายความแรกที่พุ่งกระแทกอย่างแรงทำให้ท้ายรถถูกเปิดออก แล้วตัวผมก็ร่วงมากองอยู่กลับพื้น แขนที่เคยหลุดก็หลุดออกมาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้หลุดมาแค่แขน ขาข้างหนึ่งก็รู้สึกว่ามันแหลกไปแล้ว ฝนตกลงมายังไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับจะตอกย้ำฝันร้ายที่กำลังกลับมาอีกครา จู่ๆผมก็เห็นตัวอะไรสักอย่างที่มีขนยุบยับแต็มตัววิ่งมา รู้สึกว่ามนุษย์จะเรียกสิ่งนี้ว่าสุนัข มันคาบผมขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปในซอกมืดๆ แคบๆ จู่มันก็ถูกตัวอะไรสักอย่างกระโจนเข้าใส่อย่างรุนแรง มันปล่อยผมทันที แล้ววิ่งไล่ตามล่าตัวที่คุกคามมันเมื่อกี้ มันค่อยๆวิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ
ผมค่อยๆคลาน แม้ว่าร่างกายจะไม่อำนวยก็ตาม จนกระทั่งผมผิงผนังตึกได้ ผมค่อยๆพยุงตัวขึ้นมานั่ง ฝนยังคงไม่หยุดตก ผมรู้สึกราวกับว่าชีวิตของตนใกล้จะดับเต็มทน โอ้พระเจ้า อย่างน้อยของให้ผมได้บอกนามของผมแก่ท่านผู้มีเมตตาทั้งสองก่อนเถิด ผมเอยกับสายฝนทั้งๆที่รู้ว่าแทบไม่มีโอกาส
แต่ผมก็ยังอยากขอ ผมยังอยากอยู่ต่อไป เพราะว่าผมยังไม่เข้าใจความหมายของตัวผมเลย ว่าผมเกิดมาทำไม ผมเกิดมาเพื่ออะไร และเกิดมาทำอะไรเพื่อใครได้บ้าง ผมรู้สึกได้ ถึงราวร้าวค่อยๆร้าวขึ้นมาเรื่อย
ผมเรื่องมองไม่เห็นรอบข้าง ราวกับว่าความมืดกำลังกลืนกินผมไปทีละนิด
สติผมค่อยๆดับวูบไปทีละน้อย หนทางข้างช่างยาวใกล้ ผมไม่อาจจะเดินต่อไปได้ อย่างน้อยผมก็มาได้ครึ่งทางแล้ว ทั้งที่ผมอยากไปต่อ แม้ว่าทุกอย่างที่ผมเป็นจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม ผมเอื้อมมือไปข้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ฝนได้หยุดตกแล้ว ภาพข้างหน้าที่ผมได้เห็นคือกลางคืน เป็นคืนที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เพราะว่าดวงจันทร์อยู่ซ้อนทับดวงอาทิตย์ ทั้งสองคอยมองผมด้วยความสงสาร ผมรู้สึกดีใจ อย่างน้อยก่อนที่จะชีวิตนี้จะดับ ในที่สุดผมก็เข้าใจ ความหมายของตัวผม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความหมายในตัวมันเอง ไม่ต้องค้นหาแค่มองลึกเข้าไปในใจของตัวเองแล้วคุณจะเข้าใจทุกอย่าง คำๆนี้คือคำที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีที่สุดสำหรับตัวผม และแล้วผมก็รู้สึกดับวูบไป
น่าสงสารตุ๊กตาตัวน้อยที่กว่าตัวมันจะเข้าใจในสิ่งที่มันตามหากลับเป็นวาระสุดท้ายของมัน แต่ก้ยังดีกว่าใครหลายคนที่แม้ว่าจะตามหามาทั้งชีวิต แม้นตายก็ไม่อาจเข้าใจ นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในขณะนี้ ทั้งสองไม่อาจเข้าไปยุ่งในโลกได้ ทำได้แค่คอยเฝ้ามองสิ่งที่โลกกำลังดำเนินไป ตามครรลองที่มันควรจะเป็น และแล้วก็ถึงเวลาที่ทั้งสองจะจากกัน ก่อนที่จะได้พบกันอีกในภายภาคหน้า โชคชะตาอาจกำหนดไม่ได้ แต่อนาคตคนเราสามารถกำหนดได้ถ้าเรามีความมุ่งมั่น และพยายาม แล้วคุณลองหรือยังหล่ะ
********************
เดิมทีมันชื่อเรื่องว่า ตุ๊กตา ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แต่พี่ชายแนะนำว่าควรเปลี่ยน คนอ่านจะได้มีเรื่องคิดแต่ว่าไม่ต้องอ่าแค่ย่อหน้าแรกก้อรู้กานหมดอยู่แล้วและว่าตุ๊กตาอ่ะ
ผลงานอื่นๆ ของ ~*MiTsuNa*~ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ~*MiTsuNa*~
ความคิดเห็น