ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คืนปรารถนา

    ลำดับตอนที่ #2 : คืนปรารถนา บทที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.02K
      9
      21 ก.พ. 52

    หวัดดีค่ะ 

    มาเพิ่มบทที่ 2 ให้ จะได้อ่านทันเหมือนในบล็อกแก๊ง และบอร์ดอื่นๆ นะคะ
    และยังเหมือนเดิมค่ะ ใครอยากอ่านเวอร์ชั่นเรื่องสั้น ลองเข้าไปอ่านในบล็อกได้ค่ะ อย่าลืมเมลมาขอพาสเวิร์ดเหมือนเดิม

    ใครชอบนิยายแนวนี้ ดราม่านิดๆ โรมานซ์หน่อยๆ มีแนะนำนิยายในบล็อกอีกสองเรื่องค่ะ อยู่ในส่วน "เรื่องสั้นและนิยายตอนพิเศษ by มิถุนา" ชื่อเรื่องว่า My Lady-killer กับ Charm and Seduction ค่ะ เป็นนิยายที่เอาไปรวมเป็นเรื่อง ลวงรัก ลวงเสน่หา (Sweet Temptation) ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อนานแล้วนะคะ อาจจะต่างกับเวอร์ชั่นที่พิมพ์ในหลายส่วน เลยเอามาลงให้เพื่อนๆ ที่ซื้อเล่มจริงได้อ่านกันดูค่ะ เป็นสมนาคุณจากมิถุนา



    แล้วเจอกันบทต่อไปค่ะ
    มิถุนา
    busaba401(a)hotmail.com
    http://mithuna.bloggang.com


    คืนปรารถนา บทที่ 2
     
    มิลินท์ฝืนยิ้มให้เพื่อนพนักงานขณะเดินผ่านเข้าไปในบริษัท เธอพยายามไม่แสดงออกถึงอาการเหนื่อยล้าทั้งจากร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกอชิระเหยียบย่ำ กล่าวหา และทำร้ายน้ำใจเมื่ออาทิตย์ก่อน นี่เป็นวันแรกนับจากคืนนั้น ที่เธอจะได้เผชิญหน้ากับอชิระอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะวันนี้มีนัดประชุมสำคัญ มิลินท์คงจะขอลาป่วยแล้ว...ไม่สิ ถ้าไม่เป็นการผิดสัญญาว่าจ้างงาน เธอคงจะขอลาออกและไม่มาทำงานเลยมากกว่า
     
    เธอไม่อยากจะเจออชิระอีก มันน่าอับอายเกินไป และน่ารังเกียจเกินไป เธอเกลียดตัวเองที่ยอมปล่อยตัวให้เขา ทั้งที่ตอนแรกก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่ได้คิดดีกับเธอเลย เขาทำร้ายเธอ หลอกให้เธอเคลิบเคลิ้ม ทำให้เธอมีความสุข ก่อนจะกระชากเธอลงมาจากหอคอยงาช้าง ปล่อยให้เธอเผชิญกับความจริงอันแสนเจ็บปวด ความจริงที่ว่าเขาแกล้งทำเป็นอ่อนหวานแก้ตัวหลังจากที่เขาบังคับกะเกณฑ์เธอ เพื่อที่เขาจะได้ทำร้ายเธอในตอนหลังด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ
     
    ...ขอบใจนะ...
     
    คำพูดนั้นของอชิระผ่านล่วงเข้ามาในความคิดของมิลินท์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เธอไม่อาจจะสลัดมันออกไปได้ มันเป็นคำกล่าวขอบใจที่กรีดลึกเข้าไปในใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ ที่มอบตัวและหัวใจให้เขา แล้วเขาก็เหยียบย่ำเธอจนจมมิดดิน
     
    พระเจ้า เธอบอกเขาไปเสียด้วยซ้ำว่าเธอรักเขา!
     
    และที่ร้ายไปกว่านั้น เธอรักเขาจริงๆ ไม่ได้ชอบ หรือหลง แต่เธอรักเขา
     
    แต่เขาเห็นความรักของเธอเป็นเครื่องมือแก้แค้น เขาโกรธและกล่าวหาเธอ เธอไม่ได้เป็นคนผิด เธอไม่ได้เป็นคนเอาเรื่องของเขาไปเปิดเผยให้ใครทราบ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ทำไมเขาจึงไม่เข้าใจเธอ ทำไมเขาจึงไม่เชื่อใจเธอ ทั้งที่เธอซื่อสัตย์กับเขามาโดยตลอด แต่เขากลับตอบแทนเธอเช่นนี้
     
    มิลินท์เดินมาถึงห้องทำงานของเธอ...และของเขาแล้ว เธอไม่อยากจะเข้าไปข้างในเลย เธอกลัวที่จะเจอเขา
     
    หากแม้จะคิดอย่างนั้น แต่มือที่แตะอยู่บนลูกบิดก็หมุนเปิดบานประตู เธอผลักสวิตช์ไฟขึ้น ห้องที่เกือบมืดสว่างโดยพลัน เธอมองโต๊ะของเธอ สภาพของมันเหมือนเมื่อวันก่อนไม่มีผิด...ยุ่งเหยิง และไม่ได้รับการเก็บจัดให้เรียบร้อย คืนนั้น หลังจากอชิระกลับไป และทิ้งให้เธอร้องไห้หัวใจสลายอยู่คนเดียว เธอก็รวบรวมหัวใจที่กระจัดกระจายให้กลับคืนมา ก่อนจะกลับหอพัก โดยที่ไม่ทำอะไรกับข้าวของบนโต๊ะ...ที่ปรกติเธอจะจัดให้เรี่ยมก่อนกลับบ้าน...ยกเว้นปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
     
    สายตาของเธอมองเลยไปยังห้องทำงานของอชิระ ม่านมูลี่สีขาวปิดบังทัศนะข้างใน แต่มิลินท์กลับจำภาพข้างในได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ภาพห้องทำงานของเขา แต่เป็นภาพที่เขาร่วมรักกับเธอบนโซฟา
     
    โอ เพียงแค่นึก เธอก็อับอายเสียแล้ว นี่ถ้าเธอต้องเข้าไปในห้องนั้น ต้องเข้าไปเห็นสถานที่เดิมๆ ที่ชวนให้คิดถึงเรื่องคืนก่อน เธอจะต้อง...จะต้องตายเพราะความอับอายแน่ๆ
     
    อชิระยังคงมาไม่ถึง ทั้งที่วันนี้เธอเข้าทำงานสายกว่าเดิมมาก ปรกติเขากับเธอมักจะแข่งกันมาทำงาน ผลัดกันมาก่อนบ้าง หลังบ้าง เขายังเคยเย้าเธอเลยว่าถ้าเธอมาก่อนเขาได้ทุกวันครบหนึ่งเดือน เขาจะให้รางวัลพนักงานดีเด่นกับเธอ แต่เธอก็ไม่เคยทำได้ตามที่เขาบอก เขาเป็นเจ้านายที่ขยัน ไม่เหมือนเจ้านายบางคนที่มักจะเข้าทำงานสายกว่าลูกน้อง เนื่องจากเห็นว่าตัวเองเป็นเจ้านายนั่นเอง
     
    น้ำตาซึมที่หางตา เธอจำคำพูดดีๆ ที่เขาพูดกับเธอได้แทบทั้งหมด และเธอก็จำคำพูดร้ายๆ ที่เขาพูดกับเธอเมื่อคืนนั้นได้ด้วยเช่นกัน แถมยังจำได้ดีกว่ามาก มันบาดตัวเธอ เฉือนเธอเป็นริ้วๆ อย่างไร้ความปราณี
     
    แล้วมิลินท์ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงประตูเปิดออกก่อนจะปิดปังใหญ่ เธอรีบเช็ดน้ำตาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมอง
     
    อชิระสวมหน้ากากเย็นชาและเดินผ่านหน้าเธอไป โดยไม่มีแม้กระทั่งคำทักทายเหมือนปรกติ เธอรู้สึกหนาวเยือกกับท่าทีของเขา เขาไม่ใช่อชิระที่เธอรู้จัก แม้อชิระจะเป็นเจ้านายที่เข้มงวดและเคร่งครัดกับงาน แต่เขาก็มีน้ำใจกับเธอ เขาเป็นเจ้านายที่ใจดีในแบบของเขา แต่ชายผู้เป็นเจ้าชายน้ำแข็งคนนี้ไม่ใช่อชิระของเธอ...
     
    อชิระของเธองั้นเรอะ
     
    บ้า บ้าที่สุด คิดอย่างนั้นได้ยังไงมิลินท์ อชิระไม่ใช่ของเธอ เขาไม่เคยเป็นของเธอ เธอฝันเฟื่องเกินไป และจินตนาการมากเกินไป แม้ในคืนปรารถนานั้น ท้ายที่สุด เขาก็ยังฉีกกระชากความจริงออกมาให้เธอได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เธอกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
     
    “มิลินท์!”
     
    เจ้าของชื่อสะดุ้งอีกครั้งราวคนขวัญอ่อน
     
    “เข้ามานี่”
     
    เขาเรียกให้เธอเข้าไปหา มิลินท์ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไร เขาคง...คงจะไม่ได้พูดเรื่องคืนนั้นใช่ไหม
     
    “มิลินท์!” เขาเรียกซ้ำเมื่อยังไม่เห็นเธอในสายตา เสียงของเขาดังกว่าเดิม เธอรีบวางกระเป๋าลงข้างคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเดินเข้าสู่ประตูนรกด้วยความลังเล
     
    สิ่งแรกที่เธอเห็นเบื้องหลังบานประตูนั้นคืออชิระผู้เฉยชา เขาไม่แสดงความโกรธ ไม่แสดงความเสียใจ ไม่แสดงความดีใจ เขาเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลย และมันทำให้เธอกลัว
     
    “เอานี่ไปถ่ายเอกสารสำหรับทุกคนในห้องประชุมด้วย” เขายื่นกระดาษแผ่นนึงให้เธอ มันเป็นฟลอร์แปลนของห้างสรรพสินค้าที่พวกเขากำลังปรับปรุงพื้นที่ แม้เขาจะไม่ได้แจ้งว่าเขาเพิ่งจะได้มันมา แต่เธอก็พอจะคาดเดาได้ เพราะเธอไม่เคยเห็นมันมาก่อน
     
    “ค่ะ” มิลินท์ขานรับเบาๆ เธอกำลังจะเดินออกไปจากห้อง ทว่าอชิระกลับเรียกเธอไว้
     
    “อ้อ มิลินท์”
     
    หญิงสาวหันกลับไป เขาเหยียดยิ้มให้เธอ ยิ้มวาววามที่มีความหมาย แล้วเขาก็กล่าวว่า
     
    “ขอบใจนะ”
     
    ความหมายที่ว่าเธอเป็นเพียงเครื่องมือบำบัดความโกรธของเขา
     
    มิลินท์สูดลมหายใจแรง ดวงตากลมเบิกกว้าง เธอไม่ได้พูดอะไรตอบเขา แต่ดวงตาของเธอบ่งบอกว่าเธอช็อกกับสิ่งที่เขาพูดออกมา เธอไม่รู้ว่าเธอเดินออกมาจากห้องของเขา และเดินไปที่ห้องถ่ายเอกสารได้อย่างไร เธอรู้สึกด้านชาไปหมด เขาเหยียบย่ำเธอซ้ำอีกครั้ง...และอีกครั้ง จนหัวใจของเธอแหลกลาญคาเท้าที่สูงส่งของเขา
     
    ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจจับจ้องกระดาษที่ทยอยออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร เธอไม่กะพริบตาแม้น้ำตาจะเริ่มเอ่อท่วมดวงตาสีน้ำตาลของเธอ
     
    เธอจะต้องยื่นใบลาออกโดยเร็วที่สุด เธอคงจะทนให้เขาเหยียดหยามเธอเพราะความเข้าใจผิดของเขา หรือเพราะสิ่งที่เธอมอบให้เขามีค่ากระจ้อยร่อยหริบเท่าเศษธุลีต่อไปไม่ได้ เธอรู้สึกด้อยค่า ไร้ความหมาย และมันกำลังกัดกร่อนทำลายข้างในใจเธอทีละน้อย เธอจะต้องไปก่อนที่เธอจะตายทั้งเป็น!
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
    มิลินท์เพิ่งจะเดินออกไปจากห้องของเขาด้วยใบหน้าที่ขาวซีดราวกับซากศพ อชิระเม้มปากแน่น รู้สึกหงุดหงิดใจกับท่าทางของเธอ
     
    ให้ตาย ทำไมเธอจะต้องทำราวกับหัวใจแหลกสลายด้วย เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรเธอเลย เขาก็แค่เดินหน้าแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเท่านั้น ถ้าเธอไม่อยากจะต้องเจ็บปวด เธอก็ไม่ควรจะมาทำร้ายเขาก่อน เธอไม่ควรจะเอาเรื่องของเขาไปขาย หรือไปบอกกล่าวเล่าต่อ เพราะเขาเองก็เจ็บปวดเพราะสิ่งที่เธอทำเช่นกัน เขายังคงกลายเป็นตัวตลกของทุกคน และเขาก็ถูกเพิกเฉยจากครอบครัวของเขายิ่งกว่าเดิม ราวกับว่ามันเป็นความผิดของเขาที่ข่าวนั้นแพร่ออกไป
     
    มิลินท์ เธอทำตัวเธอเองทั้งนั้น ถ้าเธอไม่เอาเรื่องของเขาไปเปิดเผย ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า เขาก็คงจะไม่ทำกับเธอแบบนี้ เขาไม่ผิด เขาไม่ใช่คนผิด
     
    หากแม้จะคิดเช่นนั้น อชิระกลับรู้สึกไม่สบายใจเลย และเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องมาห่วงเธอ เขาไม่ควรจะเป็นห่วงคนที่ทำร้ายเขา
     
    แล้วความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างสงสารกับโกรธเคืองก็ถูกเบนไปในทางเดียวกัน คือความโกรธ เมื่ออชิระเปิดอีเมลส่วนตัวของเขา แล้วพบกับข่าวคาวของเขาอีกครา
     
    ‘ไฮโซหนุ่มรักร้าว สาวเจ้าประกาศเลิก หลังทราบเป็นเพียงลูกลับ’
     
    มือของเขาแข็งเกร็งอยู่คีย์บอร์ด เขากำลังระงับอารมณ์อย่างหนักที่จะไม่อาละวาดปัดข้าวของลงจากโต๊ะ สองวันที่ผ่านมา เขาอยู่ห่างจากการสื่อสารทั้งหลาย เขาหลบไปต่างจังหวัด พักเงียบๆ คนเดียวที่คอนโดฯ ของครอบครัว ทำให้ใจร้อนรุ่มของเขาสงบลงไปได้บ้าง แต่เมื่อเขากลับมาสู่ชีวิตปรกติของเขา เขาก็ต้องชนโครมเข้ากับเรื่องที่เขาไม่อยากจะได้เห็นหรือได้ยิน
     
    ระหว่างเดินเข้ามาในบริษัท เขาพบว่าพนักงานร่วมบริษัทต่างรู้เรื่องอัปยศนี้ ทว่าไม่มีใครกล้ามองหน้าเขา หรือทำให้เขาระคายใจโดยตรง กระนั้น เขาก็เห็นสายตาของพวกเขา ที่แสดงออกในความรู้สึกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมเพชเวทนา เยาะหยันหัวร่อ เฉยเฉื่อยเย็นชา ซึ่งเขาไม่ต้องการสักนิด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกใดๆ เขาก็ไม่ต้องการ เขาต้องการให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ให้ทุกคนมองเขาด้วยความเคารพยำเกรง เป็นเจ้านาย ไม่ใช่ชายผู้น่าสงสารหรือน่าสมเพชในข่าว นี่ยังไม่นับไอ้พวกสื่อบ้าๆ นี่อีก มันกัดเขาไม่ปล่อย เขียนข่าวเขาอย่างสนุกสนานเมามัน และมันทำให้ความอดทนของเขาใกล้ถึงจุดที่จะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ
     
    อชิระกดลบอีเมลข่าวรักร้าวของตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้เปิดอ่านด้วยอาการกระแทกกระทั้น
     
    “แม่มเอ๊ย!” เขาสบถ ไม่ต้องอ่านลึกลงไปในเนื้อข่าว เขาก็รู้ว่ามันเขียนว่าอะไร
     
    หลังจากข่าวเรื่องแม่ที่แท้จริงของเขาหลุดออกไป รินลดาก็บอกเลิกเขา ด้วยสาเหตุอะไร เธอไม่ได้บอกให้ชัด แต่เขาพอจะรู้ว่าเธอไม่พอใจกับข่าวนั่น คล้ายกับว่าเขามาย้อมแมวขาย...ประกาศตัวว่าเป็นลูกชายทายาทเจ้าของกิจการยักษ์ใหญ่ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงลูกชู้...อะไรทำนองนั้น เขาปล่อยเธอไป เขาไม่ได้ห้ามอะไร เขาไม่มีอารมณ์จะห้ามเธอ และถึงเขาจะมีอารมณ์อยากห้าม เขาก็ไม่คิดจะรั้งเธอไว้ เขาไม่ได้รักเธอมากมายขนาดนั้น เขาแค่เห็นเธอเหมาะสมกับเขาเท่านั้น และเห็นได้ชัดว่าเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เพราะเธอทิ้งเขาไปอย่างง่ายดายและไร้ความอาวรณ์
     
    อารมณ์ของเขาสะดุดเมื่อเสียงโทรศัพท์ข้างตัวกรีดร้อง มิลินท์ไม่อยู่ที่โต๊ะ สายก็เลยถูกโอนเข้ามาที่เครื่องของเขาโดยอัตโนมัติ เขารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะมันอาจเป็นเรื่องงานสำคัญในวันนี้
     
    “ฮัลโหล...” เขายังไม่ได้พูดชื่อตัวเอง ปลายสายก็เรียกเขาขึ้นมาก่อน
     
    “ต้น”
     
    เขาจำเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานนั้นได้ทันที เขาไม่มีวันลืม
     
    “คุณมีธุระอะไร” เขาถามเสียงแข็ง
     
    “แม่...แม่แค่อยากจะคุยด้วย” สรียากล่าวตะกุกตะกัก ตั้งแต่วันที่เธอได้มีโอกาสเจอลูกชายเป็นครั้งแรก และเขาโมโหกับความจริงที่ได้รู้ ก่อนจะหนีหน้าเธอไป เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย เธออยากจะมาหาเขาถึงที่ทำงานเหมือนอย่างคราวก่อนเช่นกัน ทว่าข่าวของพวกเขา...ที่รั่วออกไปได้ยังไงก็ไม่รู้...กำลังเดือดได้ที่ เธอจึงยังไม่อยากจะเพิ่มเชื้อเพลิงและทำให้มันเดือดพล่านไปมากกว่านี้ แต่พอวันนี้ได้อ่านข่าวของเขากับคนรักในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอก็เป็นห่วงจนทนไม่ได้ต้องโทรฯ มาถามทุกข์สุขจากเขา แม้ว่าเธอจะเป็นแม่ที่ไม่เอาไหน ทิ้งเขาตั้งแต่เขาเกิด แต่ลึกลงไปแล้ว เธอยังคิดถึงเขาเสมอ เธอแค่ติดต่อเขา หรือพบหน้าเขาตรงๆ ไม่ได้ เพราะเธอมีสัญญากับณัฐดนัย สามีของเธอ สัญญาที่ว่าจะห้ามติดต่อกับอชิระ โชคยังดีเขาตายก่อนข่าวนี้จะแพร่ออกไป ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเจ็บปวดแน่ๆ เพราะถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่เขาก็ถือว่าเธอเป็นสมบัติของเขา ซึ่งควรจะให้ความเคารพเขา ไม่ใช่ทำความเสื่อมเสียแก่เขาแบบนี้
     
    เธอกับณัฐดนัยแต่งงานกันด้วยเงินต่อเงินล้วนๆ แรกๆ เธอก็ไม่อินังขังขอบกับมัน เพราะเธอเห็นว่ามันสะดวกดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความว่างเปล่าก็แทรกเข้ามาในใจ และยิ่งเขาสนใจงานมากกว่าเธอ เธอก็ยิ่งเหมือนถูกผลักออกไป ในขณะนั้นวีระก็เข้ามาในวงจรชีวิตของเธอ เขาป้อเธอ เอาอกเอาใจเธอ ทำให้เธอรู้สึกเป็นผู้หญิงอีกครั้ง เขาทำให้เธอเผลอไผล ทำให้เธอหลงรัก และสุดท้าย เธอก็พลาดพลั้งด้วยการมีลูกกับเขา
     
    ณัฐดนัยรู้เรื่อง เพราะเธอบอก เธอจำเป็นต้องบอก เธอปกปิดไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เธอบอกชู้รักของเธอ สามีเธอโกรธมาก เขาแน่ใจว่าเด็กไม่ใช่ลูกเขา เพราะเขาไม่ได้มีอะไรกับเธอมานาน ส่วนชู้รักของเธอตกใจ วีระไม่ได้ยอมรับทีเดียวว่าอชิระเป็นลูกของเขา เขาบอกว่าทั้งเขาและณัฐดนัยก็มีสิทธิ์จะเป็นพ่อของเด็กได้ทั้งนั้น แม้เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับสามีมานานแล้ว แต่วีระก็ไม่เชื่อ
     
    ดังนั้นหลังจากที่เธอหลบไปคลอดลูกอย่างลับๆ อชิระจึงได้รับการตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งยืนยันว่าอชิระเป็นลูกของเขา สามีเธอไม่ยอมรับเลี้ยงอชิระ เขาบอกให้เธอยกเด็กให้วีระ และสั่งห้ามเธอติดต่อกับวีระหรือเด็กอีก ไม่อย่างนั้นเขาจะตัดขาดเธอจากลูกของพวกเขา ซึ่งในตอนนั้นพวกเขามีเพียงณัฐทินีเป็นลูกคนเดียว เธอจำต้องยอม เพราะเธอจะทิ้งลูกเล็กไปไม่ได้ เธอได้แต่หวังว่าณัฐดนัยจะตายไวๆ ข้อสัญญาจะได้ถูกล้มล้าง
     
    เธอรอมากว่ายี่สิบแปดปี และวันของเธอก็มาถึง เธออุตส่าห์รอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ไปก่อนจึงจะมาพบอชิระ เพื่อมาบอกว่าเธอไม่ได้ทิ้งเขา แต่เรื่องก็กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เธอเสียใจเหลือเกิน แต่เธอจะทำอะไรได้นอกจากสู้ทนต่อไป เธอทนมาแล้วกว่ายี่สิบปี ดังนั้น ทนอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
     
    “แม่...แม่แค่โทรฯ มาถามข่าวคราวของลูก” เสียงดุขรึมของอชิระเกือบทำให้เธอพูดไม่ออก
     
    “คุณไม่ควรจะโทรฯ มา เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” อชิระปฏิเสธอย่างเย็นชา...จะมาขอการให้อภัยจากเขาในตอนนี้รึ มันออกจะเร็วไปหน่อยกระมัง เขายังทำใจไม่ได้ เขายังผ่านมันไปไม่ได้ หัวใจของเขายังอยู่ในนรกานต์แห่งความแค้น
     
    “มะ...แม่...” สรียาเสียใจ เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำทำร้ายจิตใจเขา แต่เธอก็อยากให้เขาฟังเธอ เข้าใจเธอ ให้อภัยเธอ
     
    “แค่นี้นะครับ ผมต้องไปประชุมแล้ว และโปรดอย่าโทรฯ มาอีก ผมไม่อยากจะฟังเรื่องไร้สาระ” เขาตัดบทด้วยคำพูดร้ายกาจ ก่อนจะวางสายลงโครม ทิ้งให้หญิงม่ายจมลึกอยู่ในความเจ็บปวดตามลำพัง
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
    หลังจากอชิระตัดสายไป สรียาก็นั่งเหม่อมองโทรศัพท์ในมือพลางหวนคิดถึงเรื่องผิดพลาดในอดีต เธอนั่งอยู่คนเดียวนานเท่าไหร่ไม่รู้ เธอมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มือของใครบางคนวางแปะบนไหล่ของเธอเบาๆ
     
    “มานั่งทำอะไรตรงนี้คะแม่” ณัฐทินี ผู้เป็นลูกสาวคนโตถามเสียงอ่อน เธอเห็นแม่กำลังนั่งใจลอย เธอจึงเป็นห่วง เนื่องจากช่วงนี้แม่ของเธอต้องพบเจอกับเรื่องน่าปวดหัวเกินจะรับได้
     
    “ยายณัฐ” สรียาเงยหน้าขึ้น ณัฐทินีเพิ่งลงมาจากข้างบน และอยู่ในชุดเตรียมพร้อมจะไปทำงานที่บริษัท ซึ่งเป็นกิจการของบ้าน ดนัยภัทร ลูกชายคนเล็ก ที่อายุน้อยกว่าณัฐทินีสี่ปียืนอยู่ห่างๆ และไม่ได้หันมามองเธอ ไม่แม้จะปรายตามองเธอสักนิด ด้วยเหตุเพราะเขากำลังโกรธที่เธอปกปิดเรื่องลูกลับๆ ไม่ให้เขารู้นั่นเอง
     
    ดนัยภัทรผู้เอาแต่ใจ คิดเล็กคิดน้อย และรักบิดา ผู้เป็นต้นแบบของเขามากกว่ามารดา ไม่พอใจที่มารดาทรยศบิดาตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผิดกับณัฐทินี ที่เข้าใจเหตุผลของมารดา ว่าท่านปล่าวเปลี่ยวเพียงไรกับการขาดการเอาใจใส่ และการได้รับเงินถมแทนความรักของบิดา เพราะเธอเองก็ถูกเลี้ยงขึ้นมาจากน้ำเงินจากบิดาเช่นกัน มีเพียงความรักจากมารดาเท่านั้นที่ทำให้เธอชุ่มชื่นหัวใจ เธอจึงเห็นใจแม่ ผิดกับน้องชายของเธอ
     
    “แม่...แม่...” สรียาพูดไม่ออก เธอไม่รู้จะตอบลูกสาวว่าอย่างไร ให้ตอบไปงั้นหรือว่าเธอเพิ่งจะถูกลูกอีกคนปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย
     
    “แม่เข้าบริษัทกับณัฐไหมคะ อยู่บ้านคนเดียว น่าเบื่อเปล่าๆ” ณัฐทินีชวน เธอไม่อยากจะให้แม่ฟุ้งซ่าน ปรกติแม่ของเธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ซึ่งแม่บ้านในตระกูลปักษาสวรรค์ก็คือ ไม่ต้องทำอะไร วันๆ ก็นั่งชี้นิ้วออกคำสั่งเป็นเจ้านาย มันอาจจะดูสบายที่ไม่ต้องทำอะไร แต่บางครั้ง การปล่อยให้คนอื่นทำแทนหมดทุกอย่างมันก็น่าเบื่อเหมือนกัน เธอยังโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานกิจการที่บ้าน เธอจึงไม่เบื่อเหงาเหมือนแม่
     
    “แม่...” สรียายังพูดไม่จบ ดนัยภัทรก็แทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท
     
    “พี่ณัฐ วันนี้ภัทรมีสอบนะ” ดนัยภัทรกำลังเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาจะเรียนจบในเทอมหน้า ความจริงวันนี้เขาไม่มีสอบหรอก แต่เขาทนนั่งรถร่วมกับแม่ไม่ได้ เรื่องยังสดใหม่เกินไป เขายังโกรธเธอเกินไป และเขาไม่อยากจะนั่งหน้าบูดอารมณ์เสียไปตลอดทาง
     
    ณัฐทินีหันไปมองน้องชายตาเขียว เธอเอ็ดเขาโดยใช้เพียงแค่ชื่อเล่นของเขาและน้ำเสียงแข็งๆ ของเธอ “ภัทร”
     
    ดนัยภัทรไม่ตอบหากสะบัดหน้าไปอีกทาง ไม่ต่างจากผู้หญิงแสนงอน
     
    ณัฐทินีหันกลับมาหามารดาและถามซ้ำ “แม่คะ เข้าบริษัทกับณัฐไหมคะ”
     
    สรียาส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ว่าเดี๋ยวแม่จะออกไปซื้อของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เกตน่ะจ้ะ” เธอต้องขึ้นไปแต่งตัวใหม่ก่อน ถึงจะออกจากบ้านได้ ดังนั้นเธอจึงตอบปฎิเสธ เพราะเธอไม่อยากจะทำให้ลูกๆ เสียเวลา เดี๋ยวลูกชายจะไปสอบไม่ทัน นอกจากนี้ เธอคิดว่าดนัยภัทรคงจะโกรธเธออยู่ และคงไม่อยากจะให้เธอไปด้วย เธอได้แต่หวังว่าสักวัน...ในเร็วๆ นี้ เขา...และอชิระจะให้อภัยเธอ
     
    “โอเคค่ะแม่” ณัฐทินีเอื้อมมือไปบีบไหล่บอบบางของมารดาเบาๆ และกระซิบว่า “แม่อย่าคิดมากนะคะ”
     
    ดนัยภัทรเดินออกไปรอด้านนอกแล้ว ขณะที่ณัฐทินียังคงอยู่
     
    สรียาฝืนยิ้มบางๆ ให้ “จ้ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะณัฐ รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวตาภัทรจะไปสอบไม่ทัน”
     
    “ค่ะแม่ แล้วเจอกันตอนเย็นนะคะ” ณัฐทินีโบกมือให้ และเดินออกไปจากห้องรับแขก แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองมารดาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เธอเห็นแม่ของเธอกลับไปนั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองเหมือนเดิม
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
    บรรยากาศในที่ประชุมค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับงบประมาณสูงสุดที่แผนกการเงินจะสามารถมอบให้แผนกปฏิบัติการได้สำหรับการปรังปรุงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยที่ทั้งสองแผนกต่างประนีประนอมซึ่งกันและกัน แผนกปฏิบัติการยอมรับงบประมาณตามที่ได้รับมาเพิ่มจากที่ต่อรองจากแผนกการเงินอีกนิดหน่อย
     
    แม้การประชุมจะจบไปได้สักพักแล้ว หากยังคงมีคนหลงเหลืออยู่ภายในห้อง และยังคงดำรงอยู่ในความเครียดอย่างต่อเนื่อง
     
    วีระ ผู้เป็นประธานบริษัท ซึ่งยังคงเข้ามาทำงานอยู่เป็นนิจนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ เขามีผมสีดำเข้มข้นโดดเด่น แม้ตอนนี้จะเป็นสีผมที่เกิดจากการย้อมด้วยความปราณีต แต่มันก็เป็นสีผมเดียวกับสีผมก่อนที่มันจะเริ่มแซมไปด้วยสีเทาและสีเงินตามเงื่อนอายุ ดวงตาของเขาก็เป็นสีดำเฉกเช่นเดียวกัน มันเป็นสีดำลุ่มลึกเหมือนนิล และดูมีเสน่ห์อย่างลึกลับ แม้จะมีคนบางคนบอกว่าดวงตาสีดำแบบนี้ทำให้ใบหน้าดูดุ หากว่ามันก็น่าดึงดูดด้วยเช่นกัน
     
    อชิระนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของบิดา ส่วนวชิระ พี่ชายของเขานั่งอยู่ทางด้านขวา พวกเขามีเค้าของใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายวีระในตอนหนุ่ม ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน หากคิ้วที่บางกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้องชายและบิดาทำให้วชิระดูอ่อนโยนและใจดี ผิดกับอชิระที่มีคิ้วสีดำเข้มเป็นรูปปีกกาหนา รองรับกับดวงตาสีดำมืด ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมของอชิระดูคมเข้มและดุขรึมมากกว่า
     
    “ข่าวออกมาอีกแล้วนะ ต้น” วีระเอ่ยขึ้นมาเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้าค่อนไปทางไม่พอใจ คล้ายว่ามันเป็นความผิดของอชิระที่ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ไม่ใช่เขาที่เป็นคนให้กำเนิดอชิระ “เมื่อไหร่มันจะหยุดสักที” เขาเริ่มจะเบื่อที่นามสกุลของเขาต้องไปเอี่ยวกับเรื่องคาวๆ แบบนี้แล้ว
     
    “ครับ” อชิระได้แต่พยักหน้ารับรู้ เขารู้ว่าข่าวออกมาแล้ว เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อเช้าก่อนเข้าห้องประชุมสดๆ ร้อนๆ แต่จะให้เขาแก้ไขได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นต้นเหตุของมัน เขาไม่ได้เป็นคนเปิดเผยเรื่องแม่ที่แท้จริง และเขาก็ไม่ได้เป็นคนบอกเลิกกับรินรดาด้วย
     
    “คราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไรอีกล่ะ” วชิระแขวะขึ้นมา สีหน้าของเขาดูเย้ยหยัน ไม่ปราณี แม้จะเป็นคนในสายเลือดเดียวกัน แต่เขาก็ถือว่าอชิระเป็นแค่น้องร่วมพ่อ ไม่ใช่น้องแท้ๆ
     
    “พี่ตั้ม ผมก็ไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้เป็นประกาศข่าว และผมก็ไม่ได้เป็นคนบอกเลิกรินด้วย และถ้ามันจะผิดจริงๆ มันก็คงจะเป็นความผิดแรกของผู้ใหญ่สองคนที่ร่วมกันทำผิดศีลธรรมจนทำให้เกิดผมขึ้นมามากกว่า” อชิระพูดใส่กับพี่ชาย แต่กล่าวยอกย้อนล่วงเลยไปถึงบิดาและมารดา
     
    “ต้น!” วีระเอ่ยเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำ
     
    แต่อชิระยังคงไม่หยุด
     
    “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นลูกนอกคอก ไม่รู้เลยจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมาเปิดหูเปิดตาผม” ผู้หญิงคนนั้นที่เขาพูดถึงคือสรียา เขาไม่กล้าอาจเอื้อมเรียกผู้หญิงที่ทิ้งเขาไปว่าแม่ “น่าแปลกนะครับที่ทุกคนในบ้านรู้เรื่องนี้หมด” สายตาของเขากราดไปยังวชิระ เขาไม่รู้ว่าวชิระรู้เรื่องของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าแม้แต่วชิระก็ยังรู้ “ยกเว้นผม” ก่อนจะหยุดประสานตากร้าวกับบิดา
     
    “เผลอๆ คนในบ้านนี่แหละที่เป็นคนเอาเรื่องผมไปบอกสื่อ” เขากล่าวหาออกไป แต่เขาก็รู้ว่าคนในบ้านของเขาไม่มีใครพูดเป็นแน่ ทุกคนรักหน้าตาของตัวเอง แต่เขาอดที่จะพูดออกไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอาวุธเดียวที่เขามีอยู่ในมือ ตอนนี้เขาหันหลังชนฝาแล้ว
     
    เขาหันกลับไปมองวชิระ “พี่ตั้มไม่เคยชอบผมอยู่แล้วนี่ พี่อาจจะอยากทำลายผมผ่านสาธารณะชน ทำให้ผมสูญเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเกียรติของผม ชื่อเสียงของผม หรือผู้หญิงของผมก็ได้ ใครจะไปรู้” เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมวชิระจึงไม่เคยชอบเขา หรือไม่เคยรักเขาเหมือนน้องชาย มันเป็นเพราะวชิระไม่เคยคิดว่าเขาเป็นน้องชายแท้ๆ นั่นเอง...ฮึ อย่าว่าแต่วชิระเลย พ่อแท้ๆ ของเขายังไม่สนใจเขาเท่าไหร่ ดีแต่เย็นชาใส่เขา จนเขาน้อยใจ เขาพยายามทำดีทุกอย่าง แต่พ่อก็ไม่เคยเห็นความดีของเขา...อ้อ ไม่สิ พ่อก็มีเห็นความดีของเขาเหมือนกัน พ่อเห็นว่าเขาเก่งเรื่องการงาน เห็นว่าเขามีพรสวรรค์กับการก่อสร้าง ก็เลยดึงมาทำงานที่บริษัทด้วย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่มีค่าอะไรสำหรับพ่อ เป็นแค่หมาหัวเน่าตัวหนึ่งเท่านั้น
     
    “ต้น หยุด พอได้แล้ว!” วีระพูดเสียงดัง แต่วชิระกลับไม่หยุดแทน
     
    “บ้าสิ ฉันจะไปยุ่งกับเรื่องเน่าๆ ของแกทำไม คิดเหรอว่าฉันอยากจะให้ใครรู้ว่าพ่อมีชู้กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจนมีลูกออกมาเป็นมารหัวขน”
     
    “ตั้ม!” คราวนี้วีระตบโต๊ะดังปัง สายตาเดือดปุดจับจ้องลูกชายคนโตที่พูดจาลามปามมาถึงเขาแบบโต้งๆ
     
    วชิระหุบปากและทำหน้านิ่ง เขาหยุดทันทีไม่เหมือนกับน้องชาย
     
    “พยายามอย่าให้มีข่าวออกมาให้เห็นอีกก็แล้วกัน ต้น” วีระไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรอีก เขาผุดลุกขึ้นและผลุนผลันออกไปจากห้องประชุมด้วยความหงุดหงิด เสียงประตูที่ปิดตามมาโครมใหญ่เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดี
     
    เมื่อบิดาคล้อยหลังไปได้ไม่กี่นาที วชิระก็ลุกขึ้นยืนบ้าง
     
    “คราวหน้าแกจะมีข่าวอะไรให้สื่อได้เขียนเล่นอีกล่ะ แต่หวังว่าจะไม่มีอีกแล้วนะ เพราะแกทำชื่อเสียงของพวกเรามัวหมองไปหมดแล้ว” วชิระซึ่งไม่เคยชอบใจน้องชาย เนื่องจากมารดาคอยเป่าหูว่าเป็นจะมาแย่งความรักของบิดาไป โพล่งใส่ด้วยใจอันไม่เป็นธรรม เขาไม่คิดเลยว่าคนที่ทำให้ชื่อเสียงมัวหมองจริงๆ คือวีระและสรียา
     
    เมื่อพูดด้วยความสะใจจบ วชิระก็เดินตามบิดาออกไป ทิ้งให้ชายผู้ถูกทรยศจากคนรอบข้างเจ็บปวดระคนโกรธแค้นในใจคนเดียว
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
    หลังจากยื่นใบลาออกกับแผนกทรัพยากรบุคคลแล้ว ใบลาออกของเธอก็ถูกอชิระเซ็นอนุมัติให้ผ่านอย่างง่ายดาย ทั้งที่รู้ว่าเขาเห็นเธอเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง ที่ใช้สนองตอบความต้องการของตัวเองจนพอใจแล้วทิ้ง มิลินท์ก็ยังอดเสียใจไม่ได้ เธออุตส่าห์คิดว่าเขาจะยื้อเธอไว้อีกสักหน่อย แต่ไม่เลย เขาไม่ได้สนใจเธอเลย...แน่ล่ะ เขาจะมาสนใจเธอทำไม ในเมื่อเขาเข้าใจว่าเธอเป็นคนทำลายชื่อเสียงของเขา
     
    เธอรักเขา ยังคงรักเขาอยู่ และเธอก็เจ็บปวดเพราะความรักของเธอ
     
    เธอผ่อนลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องพักของเธอซึ่งอยู่สูงถึงชั้นห้า มันเป็นห้องพักที่เธออาศัยอยู่คนเดียว เธอไม่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ครอบครัวของเธอ ซึ่งมีแค่พ่อและแม่อยู่ที่ต่างจังหวัด เธอมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และหลังจากเรียนจบและได้งานทำที่กรุงเทพฯ เธอก็อยู่ที่นี่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดกลับบ้านเกิดของเธอ แต่เธอก็ส่งเงินไปให้พ่อแม่ทุกเดือนตามประสาลูกกตัญญู และพ่อแม่ของเธอก็ไม่ว่ากระไร ดีเสียอีกเพราะเงินที่เธอส่งไปก็มากพอสำหรับคนเฒ่าคนแก่สองคนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในต่างจังหวัด ทำไร่ปลูกผักขายผลไม้เล็กๆ น้อยๆ
     
    มิลินท์ไขประตูห้อง เธอเพิ่งจะกลับมาจากการสัมภาษณ์งานบริษัทแห่งหนึ่ง นี่เป็นบริษัทแรกที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์งาน หลังจากที่เธอหย่อนใบสมัครผ่านทางจดหมายอิเล็กโทรนิกส์ไปหลายฉบับ ช่วงนี้งานหายากเหลือเกิน เธอส่งจดหมายสมัครงานไปหลายฉบับแล้ว และส่วนใหญ่ก็เงียบหายไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ส่ง มันเป็นแบบนี้หลายครั้งจนเธอเริ่มท้อ เธอรู้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยจะดี คนตกงานมากมาย เธอไม่ควรจะลาออกเพียงเพราะเธอทนอชิระไม่ได้...
     
    ไม่หรอก ถึงเศรษฐกิจจะไม่ดี และมีคนตกงานเยอะ แต่ถ้าเธอไม่พาตัวออกห่างจากอชิระโดยไว เธอจะต้องแย่แน่ๆ ขนาดเธอลาออกมาแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าเขาแล้ว เธอยังคงหวนคิดถึงเขาเลย...ให้ตาย! เธอคิดถึงคนที่ทำร้ายเธอขนาดนั้นได้ยังไง
     
    พอ...พอกันที เธอจะต้องไม่คิดถึงเขา มิลินท์สะบัดศีรษะก่อนจะปั้นสีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ เธอควรจะจำใส่สมองน้อยๆ ของเธอไว้ด้วยว่าเขาเป็นคนที่ทำให้เธอต้องมาหางานงกๆ แบบนี้ โชคยังดีที่เธอเป็นคนไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย เธอจึงพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นป่านนี้เธอคงจะต้องกลับไปขอพ่อแม่ทำไร่ที่บ้านแล้วกระมัง
     
    นี่เธอตกงานมาเท่าไหร่แล้วนะ
     
    สองเดือน ใช่ สองเดือน
     
    เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอยังคงรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดและท่าทางที่อชิระแสดงต่อเธอ เธอเจ็บราวกับว่ามีลิ่มไม้ถูกตอกตายไว้ที่กลางใจเธอ. มันจะมีวันหายไหมนะ เธอจะหยุดทำร้ายตัวเองแบบนี้เมื่อไหร่
     
    มิลินท์ปิดประตูตามหลัง ก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าของเธอนิ่วน้อยๆ เมื่อนึกได้ว่านี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วถ้านับจากคืนนั้น
     
    สองเดือนงั้นรึ คิ้วสองข้างของเธอขยับชนกัน
     
    สองเดือนแล้วใช่ไหมที่ประจำเดือนของเธอไม่มา ความเครียดของเรื่องงานผสมปนเปกับเรื่องของอชิระทำให้เธอเพิ่งจะสังเกตว่าประจำเดือนของเธอขาด...เพราะอะไร ประจำเดือนของเธอไม่เคยขาด ประจำเดือนของเธอมาตรงเวลาทุกเดือน
     
    แล้วมิลินท์ก็ต้องหน้าซีดด้วยความตกใจ
     
    คงไม่ใช่เป็นเพราะเธอท้องหรอกนะ
     
    พระเจ้า ไม่มีทาง จะเป็นไปได้อย่างไร ความตื่นตะลึงทำให้เธอทรุดนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างหมดแรง ไม่มีทางจะเป็นไปได้ เธอต้องไม่ท้อง ไม่มีทาง เพราะคุณต้น...คุณต้นก็ป้องกันแล้วนี่
     
    ใช่ เขาใส่ถุงยาง  เธอจำได้รางๆ  
     
    มิลินท์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมศีรษะอย่างมึนงง คงเป็นเพราะเครียดมั้ง เธอเครียดที่ต้องออกจากงานเพราะเรื่องที่ไม่ควร เธอถูกผู้ชายที่เธอรักทำร้ายจิตใจและกล่าวหาผิดๆ แถมเธอยังต้องมาหาตะลีตะลานงานงกๆ ซึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้งานใหม่สักที
     
    ต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ เธอไม่เคยเครียดมาก่อน เธอเป็นคน ง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เข็มของมาตรวัดความเครียดของเธอวัดระดับได้ที่เลขสิบ ซึ่งนับว่าเป็นความเครียดขั้นสูงสุดในชีวิตของเธอเลย...ใช่ เธอไม่เคยเครียดขนาดนี้ ชีวิตของเธอเรียบง่ายและไร้สีสันมาโดยตลอด เธอไม่เคยต้องคิดมากมายมาก่อนในชีวิต
     
    ไม่ท้อง เธอต้องไม่ท้อง มิลินท์เตือนตัวเองซ้ำๆ หากลางสังหรณ์ที่วาบขึ้นมาในหัวใจกลับทำให้เธอคิดอีกอย่าง
     
    แต่ถ้าเธอท้องล่ะ...ถ้าเธอท้อง เธอจะทำอย่างไรดี
     
    จบคืนปรารถนา บทที่ 2
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×