ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วันรวมญาติ
      “ตลกตายล่ะ เธอกับแวนเนสฝันเรื่องเดียวกันและฝันในคืนเดียวกัน” นุชชี่พูดขึ้นหลังจากยีวอนน่าเล่าว่าเมื่อตอนเช้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอและแวนเนสบ้างที่หลังมหาวิทยาลัย
      “จริงๆนะ มันแปลกมากเลย ฉันลองให้เขาเล่าเรื่องความฝันมันก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ฉันฝันเลยแหละ” ยีวอนน่ายืนยัน นุชชี่ทำหน้าตาว่างเปล่าไร้อารมณ์
      “เอาเถอะ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องออกความเห็นอะไรอีกพวกภูตคงตอบเธอได้” นุชชี่ตอบพลางหยิบคุกกี้ใส่ปากและเคี้ยวคำโต
      แวนเนสกำลังเดินก้าวขายาวๆของเขามาที่ยีวอนน่าและนุชชี่ซึ่งนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเอาเสื้อแจ๊กเก๊ตซึ่งผ่านการซักเรียบร้อยแล้วพาดไว้ที่คอพลางโบกมือให้ยีวอนน่าเมื่อเธอมองเห็นเขา ยีวอนน่ายิ้มและโบกมือตอบนุชชี่ยกถุงคุกกี้โบกไปมาเป็นการทักทาย แวนเนสคว้าถุงคุกกี้มาจากนุชชี่และนั่งลงข้างๆยีวอนน่า
      “ฉันเพิ่งซิ่งรถไปที่ร้านซักรีดของเธอมา นี่ก็เย็นแล้วนะกลับบ้านเถอะ วันนี้ฉันไม่อยู่เล่นกีฬากับเพื่อนๆหรอก ขี้เกียจน่ะ” แวนเนสบอกยีวอนน่าพลางหยิบคุกกี้ของนุชชี่เข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
      “เธอนี่มันรูปหล่อพ่อรวยจริงๆเลยนะมีเวลาขับรถอ้อมไปอ้อมมารอบเมืองทั้งวัน.....ไหนลองเล่าความฝันของเธอให้ฉันฟังหน่อยซิ” นุชชี่บอกแวนเนสและดึงถุงคุกกี้กลับคืนมา
      “ก็ไม่มีอะไร มันคล้ายๆกับนิทานที่มีเจ้าหญิงเจ้าชาย” แวนเนสบอกอย่างย่อๆ นุชชี่ทำท่าพยักหน้าและกินคุกกี้ต่อไปเรื่อยๆ ยีวอนน่ากวาดสายตาไปเห็นรถยนต์สีน้ำเงินคันหนึ่งชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านซึ่งเป็นคนขับโบกมือมาทางยีวอนน่า เธอหันไปสะกิดนุชชี่
      “คริสมารับเธอน่ะ” ยีวอนน่าบอกนุชชี่พลางชี้ไปที่รถยนต์สีน้ำเงินคันนั้น
      “โอ้ จริงด้วย! ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า!” นุชชี่ชะเง้อมองไปที่รถด้วยความตื่นเต้นและโบกมือตอบให้คริส เธอรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว แวนเนสหันไปทางคริสและช่วยนุชชี่โบกมืออีกแรง นุชชี่กล่าวลาเพื่อนทั้งสองและรีบวิ่งเร็วจี๋ไปที่รถของคริสจากนั้นรถก็ขับออกไป ยีวอนน่าและแวนเนสมองตามนุชชี่และคริสทั้งสองหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข จากนั้นแวนเนสก็หันมาหายีวอนน่าและบอกกับเธอว่าถึงเวลาที่เขาและเธอต้องไปแล้วเช่นกัน
      เมื่อรถสปอตสีแดงของแวนเนสเลี้ยวเข้ามาในซอยซึ่งบ้านของยีวอนน่าตั้งอยู่ เขาเบรครถกระทันหันจนหัวของยีวอนน่าเกือบชนเข้ากับหน้าปัดด้านหน้า เธอหันไปตีแวนเนสที่แขนและทำท่าตำหนิว่าแวนเนสขับรถได้แย่มาก แต่แวนเนสโบ้ยหน้าไปทางหน้าประตูบ้านของยีวอนน่า มีรถสองคันจอดอยู่หน้าประตูบ้านเธอ
      “ฉันไม่ทันสังเกตเกือบชนท้ายรถพ่อเธอแล้วไง” แวนเนสบอก เขาจำรถของพ่อยีวอนน่าได้แม่นยำ รถยนต์คันยาวสีดำและขัดเงามันวับ
      “พ่อมาเหรอ? เอ๊ะหรือว่าแม่.....รถนั่น! คุณยายเพนนีก็มาเหรอ?!” ยีวอนน่าตื่นเต้นและชี้ไปที่รถยนต์อีกคันซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นรถคันหนึ่งที่จอดไว้ที่โรงจอดรถของคฤหาสน์พรูเดนที่คุณยายเพนนีอาศัยอยู่ในปัจจุบันกับคุณตาโรเบิร์ตคนรักของคุณยายนั่นเอง แวนเนสหัวเราะร่วน
      “เห็นม๊ะ บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะต้องมีญาติของเธอมาหาอีก” แวนเนสพูดปนหัวเราะ ยีวอนน่ามองหน้าแวนเนสด้วยความสงสัย
      “ฉันชักจะอยากรู้แล้วสิว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เข้าบ้านกันเถอะ” ยีวอนน่าบอก เธอเปิดประตูรถและรีบเดินเข้าบ้านไป
      ภายในบ้านลิซซี่แม่ของยีวอนน่าและเมอซี่ยายของยีวอนน่ากำลังถกเถียงบางสิ่งอยู่ โดยมีคุณยายเพนนีนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยท่าทางเงียบสงบ
      “ก็เพราะแม่นั่นแหละพวกเราถึงต้องถังแตก เกือบจะต้องมีหนี้สินท่วมตัว” ลิซซี่ตัดพ้อ
      “แต่ตอนนี้ลูกก็สบายแล้วนี่ลิซซี่ พี่เพนนีมอบทรัพย์สินให้ลูกตั้งเท่าไหร่แล้ว” คุณยายเมอซี่ตอบ
      “แต่หนูก็ยังไม่พอใจอยู่ดีที่แม่รีบขายหุ้นตัวนั้นและหนีไปพร้อมกับเงินโดยที่ไม่บอกให้พวกเรารู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะตก แล้วเป็นไงคะ...สามีหนูเชื่อแม่แล้วเขาก็ต้องมาแบกรับภาระในภายหลัง” ลิซซี่ยังคงพูดต่อไป เธอรู้สึกเคืองแม่อยู่ลึกๆที่แอบขายหุ้นโดยที่ไม่บอกให้เธอรู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะตก  ซึ่งเธอและสามีก็ซื้อหุ้นตัวเดียวกันเมื่อหุ้นตกพ่อของยีวอนน่าก็แทบหมดตัวตามไปด้วยและนั่นเป็นสาเหตุให้ครอบครัวของยีวอนน่าต้องถังแตกและยีวอนน่าต้องออกไปหารายได้เสริมตามร้านขายของต่างๆในขณะที่เมอซี่หอบเงินก้อนโตหายไปคนเดียวโดยที่ไม่ยอมติดต่อกลับมา
      “ให้ตายเถอะลิซ! แม่ไม่เคยคิดจะทำร้ายลูกและหลานเลยนะบอกตามตรงแม่เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นนั่นมันจะตกหลังจากแม่ขายมันไปและที่แม่ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาลูกก็เพราะว่าแม่ยุ่งอยู่” คุณยายเมอซี่ตอบ เธอรู้สึกโมโหเล็กน้อยที่ลูกสาวกำลังตำหนิตัวเองอยู่อย่างร้ายกาจ
      “ยุ่งเหรอคะแม่? แม่หนีไปเที่ยวนะคะน่าจะมีเวลาว่างมากกว่าหนูซะอีก” ลิซซี่พูด คุณยายเพนนีซึ่งนั่งคนถ้วยชาอยู่ได้แต่ถอนหายใจและยังคงนั่งสงบนิ่งต่อไป
      “ช่าย...แม่ยุ่ง.....ยุ่งเรื่องครอบครัวของเรานี่แหละลิซซี่” คุณยายเมอซี่ตอบลูกสาว ท่านยืนเท้าสะเอว ลิซซี่แม่ของยีวอนน่าดูมีท่าทีสงบลง
      “อะไรนะคะแม่?” ลิซซี่ถามทำหน้าตาฉงน คุณยายเพนนียืนขึ้นและหันไปทางลิซซี่
      “เมอซี่หวังดีกับทุกคนนะลิซซี่ ลองคิดทบทวนดูสิว่าทำไมอยู่ดีๆเธอและครอบครัวถึงได้ไปอยู่อย่างสุขสบายที่บลูรีเวอร์ในเวลาอันรวดเร็วจนเหลือเชื่อ” คุณยายเพนนีบอกลิซซี่ ท่านอมยิ้มเมื่อเหลือบไปเห็นยีวอนน่าและแวนเนสซึ่งแอบฟังอยู่หลังประตู
      “ก็เพราะว่า.............คุณป้าเพนนีส่งจดหมายมาหาพวกเราและจากนั้นพวกเราก็รอฟังข่าวและ..........” ลิซซี่เริ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ เธอทำตาโตและเอามือปิดปากทำท่าราวกับว่ามีใครตรงนั้นล้มลงขาดใจตาย
      “นี่ทุกคนอย่าบอกหนูนะคะว่า หนูถูกล้างสมอง! แม่เสกคาถาล้างสมองหนู สามีและลูกหนูด้วย! โอ้ ไม่” ลิซซี่นั่งลงทำท่าทางโอดครวญ ยีวอนน่าซึ่งแอบดูอยู่รู้สึกเอือมระอากับแม่ของเธอเล็กน้อยที่ทำท่าทางมากเกินไป
      “ก็ไม่เชิงนะลิซซี่ แต่มันก็ให้ผลในทางบวกไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” คุณยายเพนนีตอบ ท่านยิ้มอย่างใจดีไปยังลิซซี่ที่ดึงกระดาษทิชชู่มาซับเหงื่อบนใบหน้า
      “ลิซลูกแม่ ตอนนี้ยีวอนน่าก็อายุครบแล้วนะถึงเวลาที่เธอจะต้องรับรู้บ้างแล้วล่ะ” คุณยายเมอซี่บอก ท่านนั่งลงข้างๆลูกสาวและลูบหัวลิซซี่เหมือนกับลิซซี่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ยีวอนน่าพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อแอบฟังเมื่อได้ยินยายของเธอพูดชื่อของเธอออกมา แวนเนสเองก็พยายามชะเง้อคอเพื่อรับฟังเช่นกัน
      “ทำไมไม่พูดกับหลานให้ง่ายๆว่าพวกเราทั้งหมดเป็น แม่มด และยีวอนน่าก็มีเลือดของพวกเราอยู่เต็มตัวบอกเธอไปเลยว่ายีวอนน่าก็เป็น แม่มด เหมือนกัน” คุณยายเพนนีจงใจพูดออกมาตรงๆเพื่อให้ยีวอนน่าได้ยิน ยีวอนน่ารู้สึกเย็นสันหลังวาบกับสิ่งที่ได้ยินเธอรู้สึกเหมือนหัวเริ่มหมุน เธอสับสนและไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่กำลังพูดอะไรกันบางทีเธออาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ แวนเนสซึ่งก็ได้ยินเต็มสองหูว่าแม่และยายทั้งสองคนของยีวอนน่าเป็นแม่มดก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเหมือนกัน เขาเอื้อมมือไปแตะบ่ายีวอนน่าเธอสะดุ้งและหันมามองเขา ยีวอนน่าทำท่าจะร้องไห้ออกมาแวนเนสพยายามจะปลอบแต่ยีวอนน่าก็รีบเดินพรวดพราดเข้าไปในบ้าน แม่ของยีวอนน่ามีท่าทางตกอกตกใจมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆเมื่อเห็นยีวอนน่าเดินเข้ามา
      “เพ้อเจ้อกันใหญ่แล้ว! แม่มดอะไรกัน! ทุกคนกำลังเล่นตลกอยู่ใช่มั๊ยคะ?” ยีวอนน่าถาม เธอเริ่มมีหยดน้ำตาไหลออกมา
      “เห็นมั๊ยคะแม่!” ลิซซี่พูดขึ้นและรีบเดินเข้าไปกอดยีวอนน่าลูกสาวของเธอ
      “ที่หนูร้องไห้ไม่ใช่เพราะตกใจหรือเสียใจที่ได้ยินว่าหนูเป็นแม่มด แต่ทำไมทุกคนต้องปกปิดและทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายด้วย!” ยีวอนน่าเริ่มต่อว่าและมองไปยังแม่และยายทั้งสองคน
      “ยีวอนน่าที่รักของยาย มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ” คุณยายเพนนีเรียกยีวอนน่า เธอกำลังจะเดินไปหาคุณยายเพนนีแต่แม่ของเธอรั้งเอาไว้ จนคุณยายเมอซี่ต้องมองค้อนเธอจึงยอมปล่อยลูกสาวให้เดินไปได้
      “เราเองก็ไม่คิดว่าหนูจะเป็นแม่มดได้เพราะอันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้มีเชื่อสายแม่มดแบบเต็มตัว บางคนในครอบครัวก็ไม่มีพลังของแม่มดติดตัวมาด้วยซ้ำยิ่งแม่ของหนูตัดสินใจมีชีวิตแบบคนธรรมดาด้วยแล้วพวกเรายิ่งนอนใจว่าหนูเองก็คงไม่มีพลังของแม่มด แต่เหตุการณ์ที่บ้านของยายมันได้พิสูจน์แล้วว่าหนูมีสิ่งที่พิเศษซึ่งคนทั่วไปไม่อาจทำได้” คุณยายเพนนีพยายามเล่าเรื่องราวอย่างช้าๆและใจเย็น ยีวอนน่านั่งเงียบตั้งใจฟังทุกคำพูด
      “แล้วใครในครอบครัวของเราที่ เป็น หรือ ไม่เป็น แม่มดบ้างคะ?” ยีวอนน่าถามขึ้นด้วยความอยากรู้
      “ก็ปนเปกันไป ญาติที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะปกติส่วนผู้หญิงก็จะเป็นเฉพาะบางคนอย่างแม่ของพี่เพนนี ตัวพี่เพนนีเองและยายไงจ๊ะ ส่วนแม่ของลูกน่ะจัดอยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็น” คุณยายเมอซี่พูดบ้างและมองไปยังลิซซี่
      “แล้วพ่อของหนูรู้มั๊ยว่าพวกเราเป็นอะไร?” ยีวอนน่าถามถึงพ่อของเธอ
      “รู้สิแต่เขาก็เป็นคนดีมากคนหนึ่งที่ยอมรับครอบครัวของแม่ได้” ลิซซี่ตอบลูกสาว
      “พ่อก็อีกคน!ปกปิดกันดีนัก!” ยีวอนน่าพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
      “แต่พ่อของหลานน่ะไม่ได้รู้เรื่องอะไรหลังจากที่หลานเปิดกล่องความทรงจำหรอกนะ เขาโดนล้างสมองไปเต็มๆ” คุณยายเมอซี่แกล้งพูดแหย่ลิซซี่ซึ่งทำหน้าตาบึ้งตึง
      แวนเนสเองยังคงนั่งหลบอยู่หลังประตูเขาได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนทั้งหมดและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินแม้ว่าเขาเองจะเชื่อกับเรื่องการผจญภัยต่างมิติในนิรันดร์นครและเรื่องภูตที่มีอยู่จริงแต่การที่ได้รับรู้ว่าคนรักมีเลือดแม่มดอยู่ในตัวทำให้เขารู้สึกแปลกๆ คุณยายเพนนียังคงหันไปมองแวนเนสเป็นระยะโดยที่เขาไม่รู้ตัวในขณะที่แวนเนสนั่งพิงประตูและเสยผมอยู่นั้นคุณยายเพนนีก็ถือโอกาสในขณะที่ยีวอนน่ากำลังคุยกับแม่และยายของเธอออกมาหาแวนเนสเพียงลำพัง ท่านแตะบ่าแวนเนสเบาๆ
      “คุณยาย....เออ.....คือ....ผมเปล่าแอบฟังนะครับ” แวนเนสตอบตะกุกตะกักเมื่อเห็นคุณยายเพนนี
      “กลัวว่าถ้าแอบฟังแล้วจะต้องถูกสาปเป็นกบหรือเปล่าจ๊ะ?” คุณยายเพนนีหยอกเล่น ท่านหัวเราะ
      “ถูกสาปเป็นกบ? คุ้นๆแฮะ” แวนเนสพูดเบาๆกับตัวเอง คุณยายเพนนีกวักมือเรียกแวนเนสให้เดินไปที่เก้าอี้ชิงช้าอย่างแผ่วเบา แวนเนสเดินย่องให้เบาที่สุดตามคุณยายเพนนีไป ที่เก้าอี้ชิงช้าแวนเนสนั่งลงข้างๆคุณยายเพนนีท่านเริ่มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
      “นั่งกับยายซักพักนะ.........ไหนบอกมาซิรักยีวอนน่ามากแค่ไหน?” คุณยายเพนนีถามขึ้น แวนเนสทำท่าตกใจเมื่อถูกถามตรงๆแบบนี้
      “เออ.......” แวนเนสเริ่มเขิน เขาหน้าแดง คุณยายเพนนีหัวเราะชอบใจ
      “เอาล่ะ.....ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ารักมากก็แล้วกัน” คุณยายเพนนีตอบแทนแวนเนส
      “คับ” แวนเนสตอบสั้นๆและยิ้มเขินๆให้คุณยายเพนนี
      “เอาล่ะแค่นี้ก็วัดใจกันแล้วนะ ยายมั่นใจว่าหลานจะเป็นคนที่ยีวอนน่าภูมิใจมากที่สุดคนนึง เธอได้ยินหมดแล้วนี่นะว่ายีวอนน่าเป็นอะไร เธอเองก็พิเศษเหมือนกันไม่ธรรมดาเลยนะ” คุณยายเพนนีพูด แวนเนสทำตาโต
      “ผมเป็นพ่อมดเหรอฮะ?” แวนเนสถามทำหน้าตาไร้เดียงสา ถึงตอนนี้คุณยายเพนนีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
      “โอ้ยตายละเธอนี่มันน่ารักดีจริงๆเลยนะถึงว่ายีวอนน่าถึงได้ชอบเธอนักหนา ที่ยายว่าพิเศษก็คือเธอคือคนหนึ่งที่มีความเชื่อในตัวของยีวอนน่ายังไงล่ะจ๊ะพ่อหนุ่ม เหมือนอย่างที่ร๊อบบี้หรือพ่อของยีวอนน่าเป็นยังไงล่ะ” คุณยายเพนนีอธิบายและมองแวนเนสอย่างเอ็นดู
      “อ๋อเหรอฮะ” แวนเนสเอามือลูบหัวตัวเองแบบเขินๆ เขายิ้มกว้างจนมองไม่เห็นดวงตา ยีวอนน่าเดินออกมาจากในบ้านพอดีเธอชะงักเมื่อเห็นคุณยายเพนนีกับแวนเนสนั่งอยู่ด้วยกัน ยีวอนน่าไม่ยอมสบตาแวนเนสและเดินออกจากบ้านไป แวนเนสพยายามเรียกเธอแต่เธอก็ไม่หันกลับมาหาเขา
      “ยีน่า!” แวนเนสร้องเรียก เขาวิ่งไปที่รถสปอตสีแดงและขับตามยีวอนน่าไปอย่างช้าๆ ลิซซี่และคุณยายเมอซี่เดินออกมานอกบ้านพอดี
      “ตายจริง พ่อหนุ่มนั่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” ลิซซี่ทำท่าทางตกใจอีกแล้ว
      “พอทีเถอะลิซซี่ แม่เบื่อจริงๆเลยนะที่ลูกทำท่าทางแบบนี้ หนุ่มตัวสูงคนนั้นมาทำอะไรกันนะ?” คุณยายเมอซี่มองตามรถสปอตสีแดงที่ค่อยๆเคลื่อนตัวขนาบข้างยีวอนน่าที่เดินอย่างไร้อารมณ์ไปเรื่อยๆ
      “ก็มาพิสูจน์หัวใจของเขายังไงล่ะ ไปเถอะพวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะนะ” คุณยายเพนนีชักชวน
      “จริงๆนะ มันแปลกมากเลย ฉันลองให้เขาเล่าเรื่องความฝันมันก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ฉันฝันเลยแหละ” ยีวอนน่ายืนยัน นุชชี่ทำหน้าตาว่างเปล่าไร้อารมณ์
      “เอาเถอะ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องออกความเห็นอะไรอีกพวกภูตคงตอบเธอได้” นุชชี่ตอบพลางหยิบคุกกี้ใส่ปากและเคี้ยวคำโต
      แวนเนสกำลังเดินก้าวขายาวๆของเขามาที่ยีวอนน่าและนุชชี่ซึ่งนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเอาเสื้อแจ๊กเก๊ตซึ่งผ่านการซักเรียบร้อยแล้วพาดไว้ที่คอพลางโบกมือให้ยีวอนน่าเมื่อเธอมองเห็นเขา ยีวอนน่ายิ้มและโบกมือตอบนุชชี่ยกถุงคุกกี้โบกไปมาเป็นการทักทาย แวนเนสคว้าถุงคุกกี้มาจากนุชชี่และนั่งลงข้างๆยีวอนน่า
      “ฉันเพิ่งซิ่งรถไปที่ร้านซักรีดของเธอมา นี่ก็เย็นแล้วนะกลับบ้านเถอะ วันนี้ฉันไม่อยู่เล่นกีฬากับเพื่อนๆหรอก ขี้เกียจน่ะ” แวนเนสบอกยีวอนน่าพลางหยิบคุกกี้ของนุชชี่เข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
      “เธอนี่มันรูปหล่อพ่อรวยจริงๆเลยนะมีเวลาขับรถอ้อมไปอ้อมมารอบเมืองทั้งวัน.....ไหนลองเล่าความฝันของเธอให้ฉันฟังหน่อยซิ” นุชชี่บอกแวนเนสและดึงถุงคุกกี้กลับคืนมา
      “ก็ไม่มีอะไร มันคล้ายๆกับนิทานที่มีเจ้าหญิงเจ้าชาย” แวนเนสบอกอย่างย่อๆ นุชชี่ทำท่าพยักหน้าและกินคุกกี้ต่อไปเรื่อยๆ ยีวอนน่ากวาดสายตาไปเห็นรถยนต์สีน้ำเงินคันหนึ่งชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านซึ่งเป็นคนขับโบกมือมาทางยีวอนน่า เธอหันไปสะกิดนุชชี่
      “คริสมารับเธอน่ะ” ยีวอนน่าบอกนุชชี่พลางชี้ไปที่รถยนต์สีน้ำเงินคันนั้น
      “โอ้ จริงด้วย! ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า!” นุชชี่ชะเง้อมองไปที่รถด้วยความตื่นเต้นและโบกมือตอบให้คริส เธอรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว แวนเนสหันไปทางคริสและช่วยนุชชี่โบกมืออีกแรง นุชชี่กล่าวลาเพื่อนทั้งสองและรีบวิ่งเร็วจี๋ไปที่รถของคริสจากนั้นรถก็ขับออกไป ยีวอนน่าและแวนเนสมองตามนุชชี่และคริสทั้งสองหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข จากนั้นแวนเนสก็หันมาหายีวอนน่าและบอกกับเธอว่าถึงเวลาที่เขาและเธอต้องไปแล้วเช่นกัน
      เมื่อรถสปอตสีแดงของแวนเนสเลี้ยวเข้ามาในซอยซึ่งบ้านของยีวอนน่าตั้งอยู่ เขาเบรครถกระทันหันจนหัวของยีวอนน่าเกือบชนเข้ากับหน้าปัดด้านหน้า เธอหันไปตีแวนเนสที่แขนและทำท่าตำหนิว่าแวนเนสขับรถได้แย่มาก แต่แวนเนสโบ้ยหน้าไปทางหน้าประตูบ้านของยีวอนน่า มีรถสองคันจอดอยู่หน้าประตูบ้านเธอ
      “ฉันไม่ทันสังเกตเกือบชนท้ายรถพ่อเธอแล้วไง” แวนเนสบอก เขาจำรถของพ่อยีวอนน่าได้แม่นยำ รถยนต์คันยาวสีดำและขัดเงามันวับ
      “พ่อมาเหรอ? เอ๊ะหรือว่าแม่.....รถนั่น! คุณยายเพนนีก็มาเหรอ?!” ยีวอนน่าตื่นเต้นและชี้ไปที่รถยนต์อีกคันซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นรถคันหนึ่งที่จอดไว้ที่โรงจอดรถของคฤหาสน์พรูเดนที่คุณยายเพนนีอาศัยอยู่ในปัจจุบันกับคุณตาโรเบิร์ตคนรักของคุณยายนั่นเอง แวนเนสหัวเราะร่วน
      “เห็นม๊ะ บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะต้องมีญาติของเธอมาหาอีก” แวนเนสพูดปนหัวเราะ ยีวอนน่ามองหน้าแวนเนสด้วยความสงสัย
      “ฉันชักจะอยากรู้แล้วสิว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เข้าบ้านกันเถอะ” ยีวอนน่าบอก เธอเปิดประตูรถและรีบเดินเข้าบ้านไป
      ภายในบ้านลิซซี่แม่ของยีวอนน่าและเมอซี่ยายของยีวอนน่ากำลังถกเถียงบางสิ่งอยู่ โดยมีคุณยายเพนนีนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยท่าทางเงียบสงบ
      “ก็เพราะแม่นั่นแหละพวกเราถึงต้องถังแตก เกือบจะต้องมีหนี้สินท่วมตัว” ลิซซี่ตัดพ้อ
      “แต่ตอนนี้ลูกก็สบายแล้วนี่ลิซซี่ พี่เพนนีมอบทรัพย์สินให้ลูกตั้งเท่าไหร่แล้ว” คุณยายเมอซี่ตอบ
      “แต่หนูก็ยังไม่พอใจอยู่ดีที่แม่รีบขายหุ้นตัวนั้นและหนีไปพร้อมกับเงินโดยที่ไม่บอกให้พวกเรารู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะตก แล้วเป็นไงคะ...สามีหนูเชื่อแม่แล้วเขาก็ต้องมาแบกรับภาระในภายหลัง” ลิซซี่ยังคงพูดต่อไป เธอรู้สึกเคืองแม่อยู่ลึกๆที่แอบขายหุ้นโดยที่ไม่บอกให้เธอรู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะตก  ซึ่งเธอและสามีก็ซื้อหุ้นตัวเดียวกันเมื่อหุ้นตกพ่อของยีวอนน่าก็แทบหมดตัวตามไปด้วยและนั่นเป็นสาเหตุให้ครอบครัวของยีวอนน่าต้องถังแตกและยีวอนน่าต้องออกไปหารายได้เสริมตามร้านขายของต่างๆในขณะที่เมอซี่หอบเงินก้อนโตหายไปคนเดียวโดยที่ไม่ยอมติดต่อกลับมา
      “ให้ตายเถอะลิซ! แม่ไม่เคยคิดจะทำร้ายลูกและหลานเลยนะบอกตามตรงแม่เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นนั่นมันจะตกหลังจากแม่ขายมันไปและที่แม่ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาลูกก็เพราะว่าแม่ยุ่งอยู่” คุณยายเมอซี่ตอบ เธอรู้สึกโมโหเล็กน้อยที่ลูกสาวกำลังตำหนิตัวเองอยู่อย่างร้ายกาจ
      “ยุ่งเหรอคะแม่? แม่หนีไปเที่ยวนะคะน่าจะมีเวลาว่างมากกว่าหนูซะอีก” ลิซซี่พูด คุณยายเพนนีซึ่งนั่งคนถ้วยชาอยู่ได้แต่ถอนหายใจและยังคงนั่งสงบนิ่งต่อไป
      “ช่าย...แม่ยุ่ง.....ยุ่งเรื่องครอบครัวของเรานี่แหละลิซซี่” คุณยายเมอซี่ตอบลูกสาว ท่านยืนเท้าสะเอว ลิซซี่แม่ของยีวอนน่าดูมีท่าทีสงบลง
      “อะไรนะคะแม่?” ลิซซี่ถามทำหน้าตาฉงน คุณยายเพนนียืนขึ้นและหันไปทางลิซซี่
      “เมอซี่หวังดีกับทุกคนนะลิซซี่ ลองคิดทบทวนดูสิว่าทำไมอยู่ดีๆเธอและครอบครัวถึงได้ไปอยู่อย่างสุขสบายที่บลูรีเวอร์ในเวลาอันรวดเร็วจนเหลือเชื่อ” คุณยายเพนนีบอกลิซซี่ ท่านอมยิ้มเมื่อเหลือบไปเห็นยีวอนน่าและแวนเนสซึ่งแอบฟังอยู่หลังประตู
      “ก็เพราะว่า.............คุณป้าเพนนีส่งจดหมายมาหาพวกเราและจากนั้นพวกเราก็รอฟังข่าวและ..........” ลิซซี่เริ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ เธอทำตาโตและเอามือปิดปากทำท่าราวกับว่ามีใครตรงนั้นล้มลงขาดใจตาย
      “นี่ทุกคนอย่าบอกหนูนะคะว่า หนูถูกล้างสมอง! แม่เสกคาถาล้างสมองหนู สามีและลูกหนูด้วย! โอ้ ไม่” ลิซซี่นั่งลงทำท่าทางโอดครวญ ยีวอนน่าซึ่งแอบดูอยู่รู้สึกเอือมระอากับแม่ของเธอเล็กน้อยที่ทำท่าทางมากเกินไป
      “ก็ไม่เชิงนะลิซซี่ แต่มันก็ให้ผลในทางบวกไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” คุณยายเพนนีตอบ ท่านยิ้มอย่างใจดีไปยังลิซซี่ที่ดึงกระดาษทิชชู่มาซับเหงื่อบนใบหน้า
      “ลิซลูกแม่ ตอนนี้ยีวอนน่าก็อายุครบแล้วนะถึงเวลาที่เธอจะต้องรับรู้บ้างแล้วล่ะ” คุณยายเมอซี่บอก ท่านนั่งลงข้างๆลูกสาวและลูบหัวลิซซี่เหมือนกับลิซซี่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ยีวอนน่าพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อแอบฟังเมื่อได้ยินยายของเธอพูดชื่อของเธอออกมา แวนเนสเองก็พยายามชะเง้อคอเพื่อรับฟังเช่นกัน
      “ทำไมไม่พูดกับหลานให้ง่ายๆว่าพวกเราทั้งหมดเป็น แม่มด และยีวอนน่าก็มีเลือดของพวกเราอยู่เต็มตัวบอกเธอไปเลยว่ายีวอนน่าก็เป็น แม่มด เหมือนกัน” คุณยายเพนนีจงใจพูดออกมาตรงๆเพื่อให้ยีวอนน่าได้ยิน ยีวอนน่ารู้สึกเย็นสันหลังวาบกับสิ่งที่ได้ยินเธอรู้สึกเหมือนหัวเริ่มหมุน เธอสับสนและไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่กำลังพูดอะไรกันบางทีเธออาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ แวนเนสซึ่งก็ได้ยินเต็มสองหูว่าแม่และยายทั้งสองคนของยีวอนน่าเป็นแม่มดก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเหมือนกัน เขาเอื้อมมือไปแตะบ่ายีวอนน่าเธอสะดุ้งและหันมามองเขา ยีวอนน่าทำท่าจะร้องไห้ออกมาแวนเนสพยายามจะปลอบแต่ยีวอนน่าก็รีบเดินพรวดพราดเข้าไปในบ้าน แม่ของยีวอนน่ามีท่าทางตกอกตกใจมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆเมื่อเห็นยีวอนน่าเดินเข้ามา
      “เพ้อเจ้อกันใหญ่แล้ว! แม่มดอะไรกัน! ทุกคนกำลังเล่นตลกอยู่ใช่มั๊ยคะ?” ยีวอนน่าถาม เธอเริ่มมีหยดน้ำตาไหลออกมา
      “เห็นมั๊ยคะแม่!” ลิซซี่พูดขึ้นและรีบเดินเข้าไปกอดยีวอนน่าลูกสาวของเธอ
      “ที่หนูร้องไห้ไม่ใช่เพราะตกใจหรือเสียใจที่ได้ยินว่าหนูเป็นแม่มด แต่ทำไมทุกคนต้องปกปิดและทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายด้วย!” ยีวอนน่าเริ่มต่อว่าและมองไปยังแม่และยายทั้งสองคน
      “ยีวอนน่าที่รักของยาย มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ” คุณยายเพนนีเรียกยีวอนน่า เธอกำลังจะเดินไปหาคุณยายเพนนีแต่แม่ของเธอรั้งเอาไว้ จนคุณยายเมอซี่ต้องมองค้อนเธอจึงยอมปล่อยลูกสาวให้เดินไปได้
      “เราเองก็ไม่คิดว่าหนูจะเป็นแม่มดได้เพราะอันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้มีเชื่อสายแม่มดแบบเต็มตัว บางคนในครอบครัวก็ไม่มีพลังของแม่มดติดตัวมาด้วยซ้ำยิ่งแม่ของหนูตัดสินใจมีชีวิตแบบคนธรรมดาด้วยแล้วพวกเรายิ่งนอนใจว่าหนูเองก็คงไม่มีพลังของแม่มด แต่เหตุการณ์ที่บ้านของยายมันได้พิสูจน์แล้วว่าหนูมีสิ่งที่พิเศษซึ่งคนทั่วไปไม่อาจทำได้” คุณยายเพนนีพยายามเล่าเรื่องราวอย่างช้าๆและใจเย็น ยีวอนน่านั่งเงียบตั้งใจฟังทุกคำพูด
      “แล้วใครในครอบครัวของเราที่ เป็น หรือ ไม่เป็น แม่มดบ้างคะ?” ยีวอนน่าถามขึ้นด้วยความอยากรู้
      “ก็ปนเปกันไป ญาติที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะปกติส่วนผู้หญิงก็จะเป็นเฉพาะบางคนอย่างแม่ของพี่เพนนี ตัวพี่เพนนีเองและยายไงจ๊ะ ส่วนแม่ของลูกน่ะจัดอยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็น” คุณยายเมอซี่พูดบ้างและมองไปยังลิซซี่
      “แล้วพ่อของหนูรู้มั๊ยว่าพวกเราเป็นอะไร?” ยีวอนน่าถามถึงพ่อของเธอ
      “รู้สิแต่เขาก็เป็นคนดีมากคนหนึ่งที่ยอมรับครอบครัวของแม่ได้” ลิซซี่ตอบลูกสาว
      “พ่อก็อีกคน!ปกปิดกันดีนัก!” ยีวอนน่าพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
      “แต่พ่อของหลานน่ะไม่ได้รู้เรื่องอะไรหลังจากที่หลานเปิดกล่องความทรงจำหรอกนะ เขาโดนล้างสมองไปเต็มๆ” คุณยายเมอซี่แกล้งพูดแหย่ลิซซี่ซึ่งทำหน้าตาบึ้งตึง
      แวนเนสเองยังคงนั่งหลบอยู่หลังประตูเขาได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนทั้งหมดและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินแม้ว่าเขาเองจะเชื่อกับเรื่องการผจญภัยต่างมิติในนิรันดร์นครและเรื่องภูตที่มีอยู่จริงแต่การที่ได้รับรู้ว่าคนรักมีเลือดแม่มดอยู่ในตัวทำให้เขารู้สึกแปลกๆ คุณยายเพนนียังคงหันไปมองแวนเนสเป็นระยะโดยที่เขาไม่รู้ตัวในขณะที่แวนเนสนั่งพิงประตูและเสยผมอยู่นั้นคุณยายเพนนีก็ถือโอกาสในขณะที่ยีวอนน่ากำลังคุยกับแม่และยายของเธอออกมาหาแวนเนสเพียงลำพัง ท่านแตะบ่าแวนเนสเบาๆ
      “คุณยาย....เออ.....คือ....ผมเปล่าแอบฟังนะครับ” แวนเนสตอบตะกุกตะกักเมื่อเห็นคุณยายเพนนี
      “กลัวว่าถ้าแอบฟังแล้วจะต้องถูกสาปเป็นกบหรือเปล่าจ๊ะ?” คุณยายเพนนีหยอกเล่น ท่านหัวเราะ
      “ถูกสาปเป็นกบ? คุ้นๆแฮะ” แวนเนสพูดเบาๆกับตัวเอง คุณยายเพนนีกวักมือเรียกแวนเนสให้เดินไปที่เก้าอี้ชิงช้าอย่างแผ่วเบา แวนเนสเดินย่องให้เบาที่สุดตามคุณยายเพนนีไป ที่เก้าอี้ชิงช้าแวนเนสนั่งลงข้างๆคุณยายเพนนีท่านเริ่มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
      “นั่งกับยายซักพักนะ.........ไหนบอกมาซิรักยีวอนน่ามากแค่ไหน?” คุณยายเพนนีถามขึ้น แวนเนสทำท่าตกใจเมื่อถูกถามตรงๆแบบนี้
      “เออ.......” แวนเนสเริ่มเขิน เขาหน้าแดง คุณยายเพนนีหัวเราะชอบใจ
      “เอาล่ะ.....ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ารักมากก็แล้วกัน” คุณยายเพนนีตอบแทนแวนเนส
      “คับ” แวนเนสตอบสั้นๆและยิ้มเขินๆให้คุณยายเพนนี
      “เอาล่ะแค่นี้ก็วัดใจกันแล้วนะ ยายมั่นใจว่าหลานจะเป็นคนที่ยีวอนน่าภูมิใจมากที่สุดคนนึง เธอได้ยินหมดแล้วนี่นะว่ายีวอนน่าเป็นอะไร เธอเองก็พิเศษเหมือนกันไม่ธรรมดาเลยนะ” คุณยายเพนนีพูด แวนเนสทำตาโต
      “ผมเป็นพ่อมดเหรอฮะ?” แวนเนสถามทำหน้าตาไร้เดียงสา ถึงตอนนี้คุณยายเพนนีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
      “โอ้ยตายละเธอนี่มันน่ารักดีจริงๆเลยนะถึงว่ายีวอนน่าถึงได้ชอบเธอนักหนา ที่ยายว่าพิเศษก็คือเธอคือคนหนึ่งที่มีความเชื่อในตัวของยีวอนน่ายังไงล่ะจ๊ะพ่อหนุ่ม เหมือนอย่างที่ร๊อบบี้หรือพ่อของยีวอนน่าเป็นยังไงล่ะ” คุณยายเพนนีอธิบายและมองแวนเนสอย่างเอ็นดู
      “อ๋อเหรอฮะ” แวนเนสเอามือลูบหัวตัวเองแบบเขินๆ เขายิ้มกว้างจนมองไม่เห็นดวงตา ยีวอนน่าเดินออกมาจากในบ้านพอดีเธอชะงักเมื่อเห็นคุณยายเพนนีกับแวนเนสนั่งอยู่ด้วยกัน ยีวอนน่าไม่ยอมสบตาแวนเนสและเดินออกจากบ้านไป แวนเนสพยายามเรียกเธอแต่เธอก็ไม่หันกลับมาหาเขา
      “ยีน่า!” แวนเนสร้องเรียก เขาวิ่งไปที่รถสปอตสีแดงและขับตามยีวอนน่าไปอย่างช้าๆ ลิซซี่และคุณยายเมอซี่เดินออกมานอกบ้านพอดี
      “ตายจริง พ่อหนุ่มนั่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” ลิซซี่ทำท่าทางตกใจอีกแล้ว
      “พอทีเถอะลิซซี่ แม่เบื่อจริงๆเลยนะที่ลูกทำท่าทางแบบนี้ หนุ่มตัวสูงคนนั้นมาทำอะไรกันนะ?” คุณยายเมอซี่มองตามรถสปอตสีแดงที่ค่อยๆเคลื่อนตัวขนาบข้างยีวอนน่าที่เดินอย่างไร้อารมณ์ไปเรื่อยๆ
      “ก็มาพิสูจน์หัวใจของเขายังไงล่ะ ไปเถอะพวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะนะ” คุณยายเพนนีชักชวน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น