ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปริศนาบ้านคุณยาย ภาค 3 The Granny\'s House 3

    ลำดับตอนที่ #5 : สิ่งที่คุณยายต้องการจะบอก

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 46


           คอลินลืมตาขึ้นอีกครั้งเขานอนอยู่บนเตียงและหมอกำลังยืนดูเขาอยู่ที่ข้างเตียง เขาพยายามขยับตัวและจำได้ว่าเขาเพิ่งจะตกลงมาจากหลังม้าแต่โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนักนอกจากรอยถลอกที่แขนซ้าย เขาค่อยๆจับแขนตัวเองแต่หมอสั่งห้ามไม่ให้เขาแตะต้องบาดแผลและให้เขานอนพักไปก่อนจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

          “ห้ามลุกจากเตียง ห้ามขยับแขน ห้ามใช้มือที่ยังสกปรกอยู่จับบาดแผลและห้ามออกไปขี่ม้าตามลำพังซักระยะนะคุณชายคอลิน” หมอสั่งห้ามเป็นชุด

          “แต่ว่าผม....” คอลินพยายามจะเถียง

          “ไม่มีแต่ ท่านนายอำเภอสั่งไว้แล้วคุณชายคอลิน ถ้าไม่มีอะไรหมอขอตัวก่อน” หมอบอกและเดินออกจากห้องไป คอลินถอนหายใจยาวและเอามือข้างขวาก่ายหน้าผากแค่แผลถลอกที่แขนเท่านั้นและอาการปวดเมื่อยเล็กน้อยทำไมจะต้องถึงกับสั่งห้ามไม่ให้เขาออกไปขี่ม้าด้วย ยิ่งคิดคอลินก็ยิ่งหงุดหงิดกับคำสั่งของพ่อตัวเอง

          หน้าต่างห้องนอนของคอลินเปิดแง้มไว้อยู่บานหนึ่งผีเสื้อสีขาวตัวหนึ่งบินลอดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนของเขา คอลินมองดูผีเสื้อที่บินเข้ามาใกล้ด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายและแล้วคอลินก็ต้องตกใจเมื่อเกิดประกายระยิบระยับที่ตัวผีเสื้อและแล้วผีเสื้อก็กลายร่างเป็นไคร่าแม่มดสาวที่คอลินหลงรักนั่นเอง ไคร่าเดินมานั่งข้างๆเขาและมองคอลินด้วยความรู้สึกผิด

          “ขอโทษด้วยนะ มันเป็นฝีมือของแม่ฉันเอง แม่เรียกหมาจิ้งจอกพวกนั้นออกมา....แต่....แต่ก็แค่การขู่ให้พวกเธอกลัวเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจให้เธอบาดเจ็บหรอกนะ” ไคร่าบอก

          “ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าหายกันที่ฉันโกหกเธอเรื่องแม่น้ำนั่นก็แล้วกัน” คอลินตอบอย่างใจดีทำให้ไคร่าดูมีสีหน้ามีความสุขมากขึ้น







          ยีวอนน่าตื่นขึ้นก่อนเวลาที่นาฬิกาจะปลุกเธอในทุกเช้า นุชชี่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆเธอจึงยังไม่ปลุกเพื่อนรักให้ตื่นในตอนนี้ ยีวอนน่าลุกขึ้นนั่งชันเข่าอยู่บนเตียงเธอหยิบนาฬิกาปลุกมาดูมันเป็นเวลาตีห้ากว่าๆ เธอไม่รู้สึกอยากจะนอนต่ออีกแล้วจึงลุกจากเตียงและเดินออกนอกห้องนอนไปอย่างเงียบๆ ยีวอนน่ามองเห็นแสงไฟที่ชั้นล่างคุณยายเมอซี่คงจะตื่นแล้ว ยีวอนน่าเดินลงบันไดมาช้าๆเธอมองเห็นแสงไฟจากห้องครัวและเสียงร้องเพลงเบาๆของยาย ยีวอนน่าเดินเข้าไปในครัวเพื่อทักทายยามเช้า

          “ตื่นเช้าจังนะจ๊ะ” คุณยายเมอซี่พูดขึ้น

          “ก็ไม่ง่วงแล้วนี่คะ” ยีวอนน่าตอบ เธอเดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วและเริ่มดื่มน้ำ

          “ฝันร้ายเหรอจ๊ะ?” คุณยายเมอซี่ถามขึ้นในขณะชงชา ยีวอนน่าสำลักน้ำเธอใช้แขนเสื้อปาดน้ำที่ใบหน้า

          “ไม่ใช่ฝันร้ายหรอกค่ะ มันแค่เป็นความฝันทั่วไปเท่านั้น” ยีวอนน่าตอบ

          คุณยายเมอซี่ชงชาเสร็จแล้วท่านเริ่มรินน้ำชาลงในแก้วและถือมันออกไปนั่งที่ห้องรับแขก ยีวอนน่าวางแก้วน้ำไว้ในครัวและเดินตามยายของเธอออกไปที่ห้องรับแขก ยีวอนน่านั่งลงที่โซฟาตัวถัดมาจากที่คุณยายเมอซี่นั่งอยู่และทำท่าเหม่อลอย

          “ยีวอนน่า จำตอนที่หนูยังเด็กๆได้มั๊ย? ยายเคยบอกว่าหนูเป็นคนที่พิเศษสุดของแม่และยาย” คุณยายเมอซี่ถามหลาน

          “จำได้ค่ะ คุณยายชอบพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆแล้วแม่ก็จะเข้ามาขัดจังหวะเวลาที่คุณยายจะพูดต่อทุกที” ยีวอนน่าพูดและขำ คุณยายเมอซี่หัวเราะบ้าง

          “หลานก็โตแล้วยายคิดว่าบางทีหลานควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรซักที ตอนแรกยายคิดว่าพี่เพนนีจะบอกหลานให้รู้เรื่องแต่พี่เพนนีก็ติดแต่ห่วงไปเที่ยวกับคนรัก” คุณยายเมอซี่พูดต่อ

          “คุณยายเพนนีต้องบอกอะไรหนูอีกคะ? นอกจากเรื่องกล่องความทรงจำ ภูตและนิรันดร์นคร? เออ...คือ...คุณยายคงเข้าใจว่าหนูหมายถึงอะไรถ้าไม่เข้าใจก็คิดซะว่าหนูพูดเพ้อเจ้อละกัน” ยีวอนน่าพูด เธอเผลอหลุดปากเรื่องราวต่างๆออกมาโดยลืมนึกไปว่าบางทียายของเธออาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ก็เป็นได้ คุณยายเมอซี่หัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่

          “ถ้ายายไม่รู้อะไรเลย ยายก็คงจะเป็นยายที่แย่มาก พี่เพนนีกับยายก็ติดต่อกันอยู่ตลอด............ยายหมายถึงเราสองคนไม่เคยขาดการติดต่อกันเลยและยายก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูและครอบครัวของเรา” คุณยายเมอซี่บอก ยีวอนน่าอ้าปากค้างด้วยความคิดไม่ถึง

          “แต่ทำไมแม่ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับคุณยายเพนนีเลยจนกระทั่งสองปีที่ผ่านมา แถมยังบอกว่าเป็นแค่ญาติห่างๆ” ยีวอนน่าเริ่มนึกไปถึงแม่ของเธอ

          “นั่นเป็นเพราะแม่ของหลานมันหัวดื้อ ไม่อยากเป็นเหมือนพวกเราแต่ก็อยากได้อะไรๆจากพวกเรา” คุณยายเมอซี่บอก

          “เป็นเหมือนพวกเรา? เป็นอะไรเหรอคะ?” ยีวอนน่าถามด้วยความสงสัย

          “หลานรู้ดีว่าพี่เพนนีเป็นอะไร พี่เพนนีมีพลังพิเศษ จริงอยู่พลังพิเศษที่ว่านี้อาจได้รับมาจากพวกภูตด้วยความบังเอิญแต่จริงๆแล้วครอบครัวของพวกเรามันพิเศษมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าใครในครอบครัวจะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นหรือเปล่าก็เท่านั้น” คุณยายเมอซี่เล่า ยีวอนน่าเริ่มทบทวนในสิ่งที่ยายของเธอพูดมาและลองนึกไปถึงตัวเอง

          “หนูไม่เห็นเข้าใจเลย” ยีวอนน่าตอบ เธอทำหน้าตาฉงนสงสัย คุณยายเมอซี่มองหลานสาวด้วยความเอ็นดู ยีวอนน่าขยับเข้ามานั่งใกล้ๆยายของเธอ

          “ถ้าแม่ของหลานรู้ว่ายายบอกอะไรหลานแบบนี้คงจะร้องกรี๊ดลั่นบ้าน” คุณยายเมอซี่พูดขึ้นและหัวเราะ ยีวอนน่ากอดยายของเธอและเริ่มนึกย้อนไปตอนสมัยที่เธอยังเด็กๆแต่เธอยังคงจดจำความทรงจำบางอย่างได้คร่าวๆ เธอจำได้ลางๆว่าแม่และยายของเธอชอบเถียงกันอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับเรื่องของตัวเธอเองจนพ่อของเธอต้องพาเธอออกไปนอกบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยีวอนน่ารับรู้ว่าแม่และยายกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ บางครั้งที่พ่อไม่ได้อยู่ด้วยยีวอนน่าก็จะรับฟังในสิ่งแปลกๆที่แม่และยายชอบถกเถียงกัน





          “หนูบอกแม่แล้วว่าหนูขอเลือกชีวิตแบบคนปกติและลูกของหนูก็ต้องเป็นคนปกติ” แม่ของยีวอนน่าพูด

          “แม่ไม่ได้บังคับลูกนี่นา ไม่งั้นแม่ไม่ยอมให้ลูกแต่งงานง่ายๆหรอกนะ ลูกก็รู้พวกผู้ชายพวกนี้ตกใจกลัวอะไรได้ง่ายๆยกเว้นพ่อของลูกคนนึงที่ไม่เป็นแบบนั้น” เมอซี่พูดกับลูกสาว

          “แม่อย่าสอนยีวอนน่าให้เป็นแบบนั้นเลยนะคะ” แม่ของยีวอนน่ายังคงพูดต่อไป ยีวอนน่าซึ่งยังเล็กอยู่นั่งมองแม่และยายของเธอพูดคุยกัน

          “แม่ไม่ได้สอน ลิซซี่.....ลูกก็รู้ว่าสิ่งพวกนี้มันติดตัวมาตั้งแต่เกิดเราไม่จำเป็นต้องสอนแต่เราจะรับรู้ได้ด้วยตัวของเราเองว่าเราคือใครและเป็นอย่างไร” เมอซี่บอกลูกสาว ลิซซี่ผู้เป็นแม่ของยีวอนน่าเริ่มอ่อนเสียงลงเธอนั่งลงข้างๆลูกสาวคนเดียวที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต

          “ค่ะหนูเข้าใจ เข้าใจที่แม่บอกทุกอย่างหนูแค่กลัวว่ายีวอนน่าจะถูกคนอื่นรังเกียจ” ลิซซี่พูดกับแม่

          “ซักวันนึงยีวอนน่าก็ต้องเผชิญหน้ากับมันแต่หนูขอร้องนะคะแม่อย่าพูดอะไรกับยีวอนน่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ที่จริงยุคสมัยของพวกเราจบสิ้นที่หนูก็พอแล้ว” ลิซซี่ขอร้องเมอซี่ผู้เป็นแม่ของเธอ เมอซี่พยักหน้าช้าๆ

          “แต่ถ้าวันนึงที่ยีวอนน่ายอมรับมัน ลูกก็คงห้ามเธอไม่ได้” เมอซี่บอกลูกสาวและเดินเข้ามาหายีวอนน่าพร้อมทั้งกอดเธอด้วยความรัก





          ยีวอนน่าจำได้เพียงแค่นั้นและเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเพราะมันผ่านมานานเสียเหลือเกินบางทีเธอน่าจะลองเขียนจดหมายไปหาพวกภูตกลางคืนอย่างที่นุชชี่แนะนำ ยีวอนน่าขอตัวกลับขึ้นไปที่ห้องนอนและอดที่จะขำกับเสียงกรนเบาๆของนุชชี่ไม่ได้ เธอนั่งลงที่โต๊ะทำการบ้านและเริ่มหยิบกระดาษเขียนจดหมายกับปากกาออกมาจากลิ้นชัก ยีวอนน่าบอกเล่าความฝันและเรื่องที่ยายของเธอบอกทั้งหมดลงในจดหมาย เมื่อเขียนเสร็จแล้วยีวอนน่าก็เดินไปที่หน้าต่างห้องนอนเธอเปิดมันออกอย่างเบาเพื่อไม่เป็นการปลุกนุชชี่ให้ตื่น

          “พิราบขาวจ๋ามารับจดหมายที” ยีวอนน่ากระซิบแผ่วเบาไปในอากาศ ทันใดนั้นเสียงนกร้องก็ดังแว่วมาแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนที่ร่างของนกพิราบขาวแสนสวยจะปรากฏอยู่บนบ่าของยีวอนน่า มันจิกลงบนเสื้อของยีวอนน่าราวกับการหยอกล้อกับเธอ ยีวอนน่าลูบตัวมันเบาๆก่อนจะค่อยๆประคองนกพิราบขาวและสอดจดหมายไว้ที่ขาของมันจากนั้นเธอก็ปล่อยให้มันบินออกไปแสงสว่างเกิดขึ้นอีกครั้งและหายวับไป

          “เปิดไฟแต่เช้าเลยเหรอ?” นุชชี่เพิ่งจะตื่น เธอนึกว่ายีวอนน่าเปิดไฟอยู่

          “เปล่าหรอกแค่ส่งจดหมายน่ะ” ยีวอนน่าตอบและปิดหน้าต่างลง

          “อ้อ ยอมส่งแล้วเหรอ” นุชชี่ถามและค่อยๆลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจ เสียงเคาะประตูห้องนอนตามมาด้วยเสียงของคุณยายเมอซี่

          “อาหารเช้าเสร็จแล้วนะจ๊ะ รีบๆแต่งตัวนะเด็กๆ” คุณยายเมอซี่บอก

          “ค่ะ” ยีวอนน่าและนุชชี่ร้องบอกพร้อมกัน ว่าแล้วทั้งสองคนก็มองหน้ากันยีวอนน่ารีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัว นุชชี่ก็เช่นกันแต่นุชชี่ช้ากว่ายีวอนน่าเพียงแค่เสี้ยววินาทียีวอนน่าวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและรีบปิดประตูลงทันที นุชชี่ครางและเริ่มทุบประตู

          “ขี้โกง ออกมานะวันนี้เป็นคิวของฉันที่จะเข้าห้องน้ำก่อนไม่ใช่เหรอ!” นุชชี่ครวญครางอยู่หน้าประตูห้องน้ำ

          “เธอก็ไปเข้าห้องอื่นสิ ห้องคุณยายหรือข้างล่างก็มีห้องน้ำ” ยีวอนน่าตะโกนออกมาจากห้องน้ำ มีเสียงน้ำไหลจากฝักบัว

          “แต่ห้องเธอเป็นห้องเดียวที่มีน้ำอุ่นนี่นา โธ่เอ้ย” นุชชี่ร้องครางอีกครั้ง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×