ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปริศนาบ้านคุณยาย ภาค 3 The Granny\'s House 3

    ลำดับตอนที่ #4 : ที่ริมแม่น้ำ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 46


          หลังจากอยู่คุยกันต่อจนดึกยีวอนน่าและนุชชี่ก็แยกย้ายกับคุณยายเมอซี่เพื่อเข้านอน ยีวอนน่าดับไฟและล้มตัวลงนอนข้างๆเพื่อนสนิท นุชชี่ขยับตัวมาทางยีวอนน่าและเริ่มชวนคุยยามดึก

          “พอเหอะน่านุชชี่ มันดึกมากแล้วนะ” ยีวอนน่าบอก เธอหันหน้าหนีนุชชี่

          “เปล่าหรอก แค่อยากรู้ว่าเธอยังติดต่อกับพวกภูตกลางคืนอยู่หรือเปล่า?” นุชชี่ถาม เธอได้มีโอกาสพบภูตกลางคืนทั้งสี่ตัวซึ่งเป็นเพื่อนที่แสนดีและแสนยุ่งของยีวอนน่าเมื่อปีก่อน พวกภูตกลางคืนในความคิดของยีวอนน่าและนุชชี่ช่างดูเหมือนกับนางฟ้าทิงเกิ้ลเบลล์ในนิทานเรื่องปีเตอร์แพนเสียจริงยกเว้นแต่ว่าพวกภูตกลางคืนเป็นภูตที่ชอบแต่งตัวสวยงามมากกว่า

          “ติดต่อสิ พวกเขาก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกันนะเราติดต่อผ่านจดหมายจากนกพิราบขาว ตอนนี้พวกเขาคงยุ่งๆอยู่กับหน้าที่ในเมืองภูตน่ะ” ยีวอนน่าตอบ เธอยังคงหลับตาอยู่

          “ทำไมไม่เขียนจดหมายเล่าเรื่องฝันของเธอให้พวกภูตฟังล่ะ คราวก่อนเธอก็ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” นุชชี่ถามต่อ คราวนี้ยีวอนน่าลืมตาทันทีเธอหันกลับไปหานุชชี่

          “ไหนว่าเธอไม่อยากให้ฉันใส่ใจกับความฝันนั่นไง” ยีวอนน่าพูดขึ้นและมองหน้านุชชี่ในความมืด

          “ฉันลองมาคิดๆดูนะ บางทีถ้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดฉันคงห้ามเธอไม่ให้ไปหาพวกภูตไม่ได้หรอก” นุชชี่ตอบ ยีวอนน่าขยับผ้าห่มให้นุชชี่และหัวเราะ

          “ขอบใจจ๊ะ ฉันยังไม่อยากบอกพวกภูตในตอนนี้หรอก ช่างมันเถอะน่า นอนได้แล้ว” ยีวอนน่าบอก

          “ก็ได้” นุชชี่ตอบและดึงตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ของยีวอนน่ามากอดและหลับตาลง ยีวอนน่ายังคงมองหน้าเพื่อนรักอยู่เธอนึกไปถึงเรื่องของยายและแม่ของเธอรวมทั้งความฝันเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนและเรื่องของแวนเนส ยีวอนน่าถอนหายใจเธอจะมาคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ทำไมกันนะว่าแล้วเธอก็หลับตาลง



      

          ที่อพ้าทเม้นท์ซึ่งเป็นที่อยู่ของแวนเนสในช่วงเปิดเทอมยังคงเปิดไฟอยู่ แวนเนสออกมานอนนับดาวอยู่ที่ระเบียงริมห้องเขานอนหนุนแขนตัวเองและผิวปากเบาๆเป็นเพลงที่เขาสอนยีวอนน่าเมื่อตอนค่ำและใบหน้าของยีวอนน่าก็ค่อยๆปรากฏอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแวนเนสนอนยิ้มเมื่อนึกถึงยีวอนน่าที่เขารัก เขาไม่ค่อยได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาเองให้ใครได้รับรู้มากนักแม้แต่กับยีวอนน่า เขาไม่เคยบอกเหตุผลดีๆสักข้อกับยีวอนน่าว่าทำไมเขาถึงได้หลงรักเธอมากมายขนาดนี้ ใช่ว่าเขาไม่เคยผิดหวังกับความรักใช่ว่าเขาไม่เคยรักใครมากมายแบบนี้มาก่อนแวนเนสผ่านสิ่งเหล่านั้นมาก่อนที่จะมาพบกับยีวอนน่าเสียอีก เมื่อเขาได้พบกับยีวอนน่าเขาเองก็บอกกับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมยีวอนน่าถึงเป็นคนที่พิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นมันช่างเป็นความรู้สึกที่หาคำอธิบายไม่ได้ ดวงตาอันสดใสของยีวอนน่า รอยยิ้มอันอ่อนโยน เส้นผมที่นุ่มยาวน่าสัมผัสและทุกๆครั้งที่ยีวอนน่าสัมผัสเขานั่นคือคำตอบของหัวใจว่าเขาได้พบกับนางฟ้าเข้าแล้ว นางฟ้าที่สามารถหยุดเวลาและโลกของเขาไว้ไม่ให้หมุนต่อไปและเขาก็ยินยอมที่จะหยุดอยู่ตรงนี้หากแต่ว่าต้องมียีวอนน่าอยู่กับเขาต่อไป

          “ฉันคิดว่าฉันเจอคนที่ใช่แล้ว ใครน่ะเหรอ?ก็เธอไงยีน่า” แวนเนสนอนพูดกับดวงดาวบนท้องฟ้า

          “คนก่อนๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉันก็สวย ก็น่ารัก แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเหล่านั้นไม่มีแต่เธอมีก็คือเธอสามารถเข้าไปในหัวใจของฉันได้ยังไงล่ะ” แวนเนสยังคงพูดต่อไป ว่าแล้วเขาก็คิดได้ว่าคำพูดเหล่านี้แม้จะฟังดูว่าน้ำเน่าแต่มันก็เข้าท่าดี เขาจึงลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานและเริ่มเขียนคำพูดเหล่านี้ลงบนกระดาษเผื่อว่าเขาอาจจะใช้มันเขียนลงบนการ์ดสวยๆสักใบในโอกาสพิเศษเพื่อมอบให้ยีวอนน่า แวนเนสเริ่มง่วงนอนจริงๆเสียแล้ว เขาวางปากกาลงและปิดโคมไฟที่โต๊ะทำงานจากนั้นก็เดินไปยังเตียงนอนของตัวเองและล้มตัวลงนอนหลับไป









          ที่ริมแม่น้ำในป่ากรีนวู๊ด ไคร่าหญิงสาวร่างบางกำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ขนาดใหญ่และหย่อยขาทั้งสองข้างของเธอจุ่มลงในน้ำเธอแกว่งขาไปมาให้น้ำกระจายและมองดูเงาของตัวเองจากเงาที่สะท้อนอยู่ในแม่น้ำ ความเงียบสงบถูกทำลายด้วยเสียงตะโกนจากใครบางคนที่อีกฟากของแม่น้ำไคร่าเงยหน้าขึ้นมองเสียงนั้นมาจากชายหนุ่มที่ชื่อว่าคอลิน เขาเป็นลูกชายนายอำเภอของเมืองกรีนวู๊ดรูปหล่อร่างสูงโปร่ง ผมยาวประบ่าและกำลังส่งเสียงทักทายไคร่าจากอีกฟากแม่น้ำ ไคร่ารีบชักเท้าขึ้นจากแม่น้ำเธอสวมรองเท้าและกำลังจะเดินจากไปอย่างเร็วอันที่จริงมันอาจดูเหมือนว่าเธอหยิ่งและไม่มีมารยาทสักเท่าไรที่จะเดินจากไปเฉยๆโดยไม่ยอมทักทายตอบแต่แม่ของเธอสั่งไว้อย่างเด็ดขาดในการห้ามให้เธอพูดคุยกับใครๆก็ตามที่เป็นคนแปลกหน้า คอลินไม่ยอมแพ้ที่จะทำให้ไคร่าพูดกับเขาให้ได้

          “ผู้หญิงอะไรใจดำ จะทักตอบซักนิดก็ไม่ได้!” คอลินตะโกนจากอีกฟากแม่น้ำ ไคร่ารู้สึกร้อนไปทั้งตัวเธอไม่ชอบที่ถูกกล่าวหาว่าใจดำ เธอหันกลับไปทางคอลินและมองค้อนเขาด้วยความโกรธ

          “อย่าพูดคำว่าใจดำ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น!” ไคร่าตะโกนกลับ

          “ทำไมล่ะถ้าฉันพูดอีกเธอจะร่ายคาถาสาปให้ฉันเป็นกบหรือเปล่า” คอลินยังคงตะโกนแหย่ไคร่าต่อไป ไคร่ารู้สึกหงุดหงิดที่คอลินนั้นชอบสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของครอบครัวเธอ เขารู้ว่าพวกเธอเป็นแม่มดสืบทอดกันมานานแต่ทว่าเขาเองก็หลงรักแม่มดแบบไคร่าด้วยเช่นกัน เสียงเห่าของสุนัขล่าสัตว์จากนายพรานดังขึ้นที่ด้านหลังของไคร่าเธอไม่ชอบพบปะผู้คนสักเท่าไรและไม่ชอบพวกสุนัขล่าสัตว์พวกนี้ด้วยเพราะพวกมันไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครนอกจากนายของมัน ไคร่าพยายามจะเดินกลับไปยังอีกฟากของแม่น้ำซึ่งคอลินยืนอยู่เธอพยายามเดินไปตามโขดหินที่วางเรียงรายคล้ายทางเดินเล็กๆเพื่อข้ามแม่น้ำแห่งนี้ไปโดยมีคอลินยืนมองอยู่

          “แค่เดินยังไม่มีแรงเลย” คอลินแหย่

          “เงียบ!” ไคร่าตวาด คอลินยักไหล่และมองดูไคร่าที่ค่อยๆก้าวจากโขดหินอีกก้อนไปยังอีกก้อนอย่างช้าๆ

          “เดินแบบนี้เย็นนี้ก็ไม่ถึงบ้าน มาฉันช่วยเอง” ว่าแล้วคอลินก็เดินไปยังโขดหินเพื่อไปให้ถึงตัวของไคร่าแต่ไคร่าร้องห้ามไม่ให้เขาเข้ามาใกล้

          “ไม่ต้องเข้ามา” ไคร่าบอกแต่คอลินไม่ฟังเขายังคงขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ

          “ส่งมือมาถ้าไม่อยากตกน้ำ เธอว่ายน้ำไม่เป็นหรอกฉันพนันได้เลย น้ำแถวนี้ลึกซะด้วยสิ” คอลินยื่นมือไปหาไคร่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไคร่าได้เห็นคอลินใกล้ๆเขาเป็นชายหนุ่มที่น่ารักไม่น้อย ไคร่าค่อยๆลดทิฐิลงและยอมยื่นมือของเธอไปหาคอลินและเป็นครั้งแรกที่คอลินได้สัมผัสมือนุ่มๆของไคร่า

          “ว้าว เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้จับมือกับแม่มด ตื่นเต้นจัง” คอลินพูดขึ้น ไคร่ายอมหัวเราะออกมาจนได้รอยยิ้มอันสดใสของไคร่าทำให้หัวใจของคอลินพองโต คอลินพยายามประคองไคร่าข้ามโขดหินมาเรื่อยๆโขดหินเหล่านี้ค่อนข้างลื่นและชัน

          “ตอนแรกที่ฉันข้ามไปฝั่งนั้นฉันไม่ได้ข้ามไปเองหรอก ฉันใช้....เออ....ฉันใช้วิธีของฉันน่ะ” ไคร่าพูดกับคอลิน

          “พูดมาเถอะว่าเธอใช้เวทย์มนตร์ฉันไม่ถือหรอก ฉันไม่ใช่พวกที่ได้ยินคำว่าเวทย์มนตร์แล้วต้องตกใจวิ่งหนีไปหรอกนะ” คอลินบอกไคร่า เธอรู้สึกดีไม่น้อยที่คอลินไม่ได้รังเกียจที่เธอเป็นแม่มดแต่อย่างไร ทั้งสองค่อยๆประคองกันไปเรื่อยๆบนโขดหินและแล้วไคร่าก็สะดุดเธอลื่นถลาและกำลังจะตกลงไปในน้ำ

          “ระวัง!” คอลินร้องและจับตัวไคร่าไว้แต่ด้วยความตกใจไคร่ากลับดึงคอลินให้ตกลงไปในน้ำด้วยกัน

          ไคร่าพยายามตะเกียดตะกายแต่ในที่สุดเธอก็รู้ว่าคอลินหลอกเธอเพราะน้ำไม่ได้ลึกอย่างที่คิดมันตื้นแค่ระดับเอวของเธอเท่านั้นและเธอก็สามารถเดินขึ้นฝั่งได้อย่างสบาย ไคร่าหันไปค้อนคอลินที่โกหกเธอเขาทำท่าสำนึกผิด

          “ก็แค่อยากช่วยเธอ หวังว่าคงไม่สาปฉันนะ” คอลินบอก

          “เธอมันบ้า” ไคร่าว่าและเดินขึ้นฝั่งไป

          ลอเรนและลาล่าซึ่งเป็นพี่สาวของไคร่ามาพบเธอและคอลินในสภาพเปียกปอน พวกพี่สาวทำท่าตกใจเมื่อเห็นน้องสาวตัวเปียกไปหมดและมองดูคอลินด้วยท่าทางหวาดระแวงจากนั้นทั้งสองก็พาไคร่าให้ออกห่างจากคอลินและพากันเดินจากไป เสียงของสุนัขล่าสัตว์ดังมาเรื่อยๆและชาวบ้านสองสามคนก็เดินออกมาจากป่าฝั่งตรงข้ามพวกเขามองเห็นคอลินที่ยังคงยืนอยู่ในน้ำและโบกมือทักทาย คอลินทักทายตอบอย่างเป็นมิตร

          “ได้เวลากลับบ้านแล้วครับคุณชาย ท่านนายอำเภอให้พวกเรามาตาม” ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวคล้ายพวกนายพรานบอกคอลิน

          “พ่อมาหรือเปล่า?” คอลินถาม

          “พ่ออยู่นี่” เสียงนายอำเภอดังมาจากด้านหลังของชาวบ้าน เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงเหมือนคอลิน ดวงตาจับจ้องทุกสิ่งราวกับนกอินทรีย์และไว้คราว เขาอยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่ง

          “พ่อเพิ่งกลับมาจากกระตระเวนป่าแถวนี้และแวะมารับลูกกลับบ้าน เล่นสนุกพอแล้วนะวันนี้” นายอำเภอบอกลูกชาย คอลินหันไปมองไคร่าและพี่สาวที่เดินจากไปลิบๆด้วยความอาลัยอาวรณ์ นายอำเภอมองตามลูกชายด้วยสายตามีเลศนัย

          “พวกปีศาจร้ายจะต้องถูกกำจัด” นายอำเภอพูดขึ้นมาลอยๆสายตามองไกลไปยังไคร่าและพี่สาวที่เดินอย่างไม่อยากจะเหลียวหลังกลับมามองใครทั้งนั้น คอลินหันกลับมามองพ่อด้วยความกังวลเพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าพ่อของเขานั้นมีความเชื่อว่าแม่มดคือตัวนำโชคร้ายมาสู่ทุกคนและต้องการกำจัดแม่มดให้หมดไปจากเมืองนี้ ใครก็ตามที่ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดจะมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว คอลินนึกแล้วก็อดสงสารไคร่าไม่ได้เขาจะทำอย่างไรได้ในเมื่อคนที่เขาหลงรักคือแม่มดและเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าไคร่าเป็นแม่มดจริงๆ  คอลินกระโดดขึ้นหลังม้าสีขาวของเขาและควบม้าข้ามแม่น้ำตามพ่อและคนติดตามกลับเข้าเมืองกรีนวู๊ดตามเดิม

          เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วแต่ทั้งนายอำเภอและคอลินยังคงเดินทางไปไม่ถึงตัวเมือง พวกเขาพยายามควบม้าให้เร็วขึ้นโดยมีพวกชาวบ้านและสุนัขล่าสัตว์เดินตามหลังมา ในป่าละแวกนี้มักจะมีสุนัขจิ้งจอกออกมาหากินในช่วงพลบค่ำเสียงสุนัขล่าเนื้อเริ่มเห่าอย่างน่าหวาดหวั่น นายอำเภอสั่งให้พวกคนติดตามเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม สุนัขจิ้งจอกฝูงหนึ่งวิ่งหลังไวๆอยู่แถวพุ่มไม้นายพรานปล่อยสุนัขล่าสัตว์ของเขาให้ออกไปไล่สุนัขจิ้งจอกฝูงนั้น ม้าสีขาวของคอลินเกิดตื่นตกใจขึ้นมาและเริ่มพยศ คอลินซึ่งไม่ทันระวังตัวจึงเสียหลักตกจากหลังม้าลงมา



          ตุ๊บ!



          แวนเนสตกเตียงลงมาที่พื้นดังตุ๊บ เขาทำหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บและค่อยๆลืมตาโชคยังดีที่เตียงของแวนเนสไม่ได้สูงมากนักเขาจึงไม่ต้องบาดเจ็บแต่อย่างใด แวนเนสค่อยๆลุกขึ้นนั่งเขาเกาหัวและมองไปรอบๆห้องเขายกมือจับที่แขนข้างซ้ายซึ่งยังคงเจ็บนิดหน่อยจากการตกเตียง ท้องฟ้าข้างนอกยังคงมืดอยู่แต่ก็สามารถมองเห็นแสงสีแดงเรื่อๆของดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้า เป็นเวลาใกล้สว่างแล้วนั่นเองแวนเนสนั่งพิงกับเตียงและมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้า

          “โอ้ยเจ็บแขน ตกเตียงลงมาได้” แวนเนสบ่นอุบอิบและพยายามสะบัดแขนซ้ายไปมา

          “แถมยังฝันเป็นละครน้ำเน่าอีกต่างหาก” แวนเนสยังคงพูดต่อไป เขาส่ายหน้าและหัวเราะจากนั้นก็ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×