ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ฝันและแม่มด
      นานมาแล้วนับหลายศตวรรษที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแม่มด แม้จะถูกมองว่าแม่มดคือความชั่วร้ายและตัวแทนของปีศาจแต่ในความเป็นจริงนั้นพวกแม่มดต่างดิ้นรนที่จะพิสูจน์ตัวเองแต่น้อยคนนักที่จะยอมรับว่าพวกเธอนั้นไม่ได้ชั่วร้ายไปเสียหมดทุกคน แม่มดเคยรุ่งเรืองในราวศตวรรษที่ 15 จนถึงศตวรรษที่ 18 ที่การไล่ล่าแม่มดเริ่มแพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง แม่มดต้องหลบหนีและมีชีวิตที่หลบซ่อนบางส่วนก็ละทิ้งโลกมนุษย์มุ่งสู่ดินแดนอันห่างไกลเพื่อความอยู่รอด
      คืนหนึ่งที่เมืองกรีนวู๊ดซึ่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งพวกชาวบ้านพากันมารวมตัวที่บ้านของนายอำเภอ ชาวบ้านทุกคนถือคบเพลิงและส่งเสียงอื้ออึงไปทั่ว ทุกคนมารวมตัวกันด้วยจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือ ขับไล่แม่มด และกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในป่ากรีนวู๊ด
      ครอบครัวบาวเวอร์ประกอบไปด้วยหญิงวัยกลางคนและหญิงสาวและบ้านของพวกหล่อนเป็นคฤหาสน์ที่อยู่ในป่ากรีนวู๊ด ครอบครัวบาวเวอร์ตกเป็นเป้าหมายสำคัญของพวกชาวบ้านด้วยพฤติกรรมความเป็นอยู่ที่แปลกประหลาดของพวกหล่อนทำให้ครอบครัวบาวเวอร์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกแม่มดอย่างแน่นอน และพวกหล่อนก็เป็นอย่างที่ชาวบ้านสงสัยเสียด้วย
      “พวกเขากำลังมา” หญิงวัยกลางคนร่างผอมผมดำยาวแต่ดูน่าเกรงขามแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับมีราคากระซิบกับลูกสาวทั้งสามคนในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ลูกสาวผิวขาวร่างบางและผมดำยาวทั้งสามคนเริ่มดับเทียนทีละดวงภายในห้องนั่งเล่นจนในที่สุดทั้งห้องก็ปกคลุมไปด้วยความมืด
      “ไคร่า ดับไฟหมดทั้งบ้านแล้วใช่มั๊ย?” หญิงวัยกลางคนหันมาถามไคร่า ลูกสาวคนเล็ก
      “ค่ะ หนูดับหมดแล้ว...ห้องนี้เป็นห้องสุดท้าย” ไคร่าพยักหน้าและตอบ
      “ฉันได้ยินเสียง.............คำสาปแช่ง..............พวกเขาใกล้เข้ามาทุกที..........ไปกันเถอะลอเรน ลาล่า ไคร่า” หญิงวัยกลางคนบอกลูกสาว ทั้งสี่คนสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าและเสื้อผ้าต่างพากันเดินออกจากห้องนั่งเล่นและมุ่งไปยังทางเดินลับที่อยู่หลังคฤหาสน์พวกหล่อนกำลังจะหนีตายจากการถูกจับเผาทั้งเป็นไปยังดินแดนอันแสนสุขแต่ทว่าพวกหล่อนจะต้องเดินทางออกจากกรีนวู๊ดให้ได้เสียก่อน คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดไม่มีแสงจากดวงจันทร์จึงสะดวกในการหลบหนี
      “เดี๋ยวก่อน! ตายจริง! ฉันลืมของ” ลอเรน ลูกสาวคนโตพูดขึ้นในขณะที่หลบหนีออกมาได้ไกลพอสมควรและวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์
      “ลอเรนอย่ากลับไป!” หญิงวัยกลางคนร้องเรียกลูกสาวแต่ลอเรนไม่ฟัง
     
      เสียงฝีเท้าและเสียงโห่ร้องของกลุ่มชาวบ้านใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์บาวเวอร์ พวกชาวบ้านพยายามพังประตูคฤหาสน์เข้าไปภายใน
      “คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของพวกปีศาจในร่างหญิงสาว!” นายอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มล่าแม่มดตะโกนก้อง พวกชาวบ้านส่งเสียงร้องสนับสนุน
      “พังเข้าไป!” พวกชาวบ้านต่างพากันโห่ร้องไปพร้อมๆกับการพังประตูคฤหาสน์
      ลอเรนกลับเข้ามาหยิบของใช้จำเป็นอย่างหนึ่งเธอตกใจกับเสียงอึกทึกที่ด้านหน้าคฤหาสน์และพยายามวิ่งอย่างเร็วที่สุดไปยังสวนหลังคฤหาสน์เพื่อไปสมทบกับแม่และน้องสาวที่รออยู่ระหว่างทางในป่าแต่ลอเรนช้าไปพวกชาวบ้านพังเข้ามาภายในคฤหาสน์ได้แล้ว ลอเรนอยู่ในภาวะตกใจและทำอะไรไม่ถูกเธอพยายามรวบรวมสติและเริ่มท่องภาษาแปลกๆออกมาและพวกชาวบ้านก็ถูกพลังอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นผลักออกไปนอกคฤหาสน์ ลอเรนได้เรียกคาถาปกป้องตัวเธอและคฤหาสน์เอาไว้พวกชาวบ้านไม่สามารถเข้ามาในคฤหาสน์ได้อีก
      “ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ลาล่าวิ่งกลับมาตามพี่สาวอย่างกระหืดกระหอบ
    เพล้ง!
     
    เสียงกระจกแตกดังขึ้นพวกชาวบ้านได้โยนคบเพลิงเข้ามาในคฤหาสน์ คบเพลิงตกลงบนพื้นพรมและเริ่มติดไฟอย่างรวดเร็วและยังมีคบเพลิงอีกมากมายที่ถูกโยนเข้ามาภายในคฤหาสน์ ไฟเริ่มลุกลามและไหม้ไปทั่วทุกแห่งลอเรนและลาล่ากำลังสำลักควัน ประกายไฟที่ลุกสว่างไสวมาจากคฤหาสน์ทำให้แม่และน้องสาวของทั้งสองตื่นตระหนก
      “ไคร่า ฟังแม่นะ.....ลูกจะต้องมีชีวิตรอด ลูกจะต้องไปให้ถึง จงวิ่งไปและอย่าหันหลังกลับมา” แม่สั่งไคร่าที่เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งสองกอดกันด้วยความเศร้าและแม่ก็ผลักไคร่าให้หันหลังวิ่งออกไป
      “แม่!” ไคร่าตะโกนเรียกแม่ที่กำลังวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์บาวเวอร์ที่กลายเป็นเพลิงไฟอยู่ลิบๆ เธอพยายามจะวิ่งตามไปอีกคน
      ไคร่าฝืนคำสั่งแม่และวิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์เพื่อช่วยแม่และพี่สาวในเวลาต่อมาหากแต่คงช้าเกินไปคฤหาสน์บาวเวอร์กำลังลุกไหม้อย่างน่ากลัว เธอตะโกนเรียกหาแม่และพี่สาวทั้งสองแต่ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากเสียงตะโกนขับไล่ของพวกชาวบ้านจากด้านหน้าของคฤหาสน์
      “ระวัง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาดึงตัวของไคร่าเอาไว้ทันก่อนที่ท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟท่อนหนึ่งจะตกมาทับตัวเธอ
      “คอลิน ช่วยแม่กับพี่ฉันด้วย!” ไคร่าร้องไห้และบอกกับชายหนุ่มแต่เขาสั่นหัว
      “ฉันคิดว่าพวกเขาคง.........อย่าเสียเวลาเลยฉันจะพาเธอไปจากที่นี่ เร็วเข้าไคร่าลุกขึ้นก่อนที่พวกชาวบ้านจะพบเธอ” คอลินตอบอย่างเศร้าสร้อยและพยุงไคร่าให้ลุกขึ้น ไคร่ากุมสร้อยคอของเธอไว้แน่นก่อนจะค่อยๆหลบหนีไปกับคอลิน
      เจ็ดโมงเช้าที่บ้านหลังสีขาว ยีวอนน่าสาวร่างบางผิวขาวและผมดำยาวสลวยลืมตาขึ้นบนเตียงนอน เธอหยิบนาฬิกาปลุกมาดูและอยากจะหยุดเวลาไว้แค่เจ็ดโมงเช้าเพื่อที่เธอจะได้นอนหลับต่อไปอีกสองหรือสามชั่วโมงแต่วันนี้เธอต้องไปเรียนนั่นคือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
      “ปีสอง.......ฉันเป็นนักศึกษาปีสองแล้วเหรอ? เร็วจัง” ยีวอนน่าบ่นพึมพำกับตัวเองบนเตียงนอน ใช่แล้วตอนนี้ยีวอนน่าเป็นนักศึกษามัณฑนศิลป์ปีสองแล้วและดูเหมือนว่าผลการเรียนของปีแรกก็ยังออกมาเป็นที่น่าพอใจของเธอและพ่อแม่เสียด้วยสิ ยีวอนน่าสะดุ้งตกใจกับเสียงโทรศัพท์จนทำนาฬิกาปลุกหลุดมือตกลงบนหน้าของตัวเองเต็มเปา เธอจับหน้าด้วยความเจ็บและค่อยๆขยับตัวไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียง
      “ยัยขี้เซา ฮ่าๆๆ ในที่สุดเธอก็แพ้” นุชชี่ เพื่อนสนิทของยีวอนน่าโทรมาก่อกวนแต่เช้า นุชชี่เป็นเพื่อนหญิงที่ยีวอนน่ารักและสนิทด้วยมากที่สุด เธอเป็นหญิงสาวร่างบอบบางแบบยีวอนน่าแต่ไว้ผมสั้นกระฉับกระเฉง
      “แพ้?” ยีวอนน่าถามด้วยความงง
      “โธ่เอ้ย ก็เมื่อคืนเธอท้าฉันไงว่าถ้าใครโทรมาปลุกอีกฝ่ายหนึ่งได้ก่อนก็จะได้กินข้าวกลางวันฟรีไงล่ะยะ” นุชชี่ทวนความจำให้ยีวอนน่า
      “อ้อ..........ฮ่าๆๆ......เสียใจจ๊ะฉันตื่นแล้วตอนที่เธอโทรมา” ยีวอนน่านึกขึ้นได้และเยาะเย้ยนุชชี่อย่างอารมณ์ดี
      “หา??? โกหก!” นุชชี่ร้องด้วยความผิดหวัง
      “ไม่มีทาง” ยีวอนน่าหัวเราะชอบใจ
      “ไม่รู้ล่ะฉันโทรหาเธอก่อน ให้ฉันชนะละกันน่า” นุชชี่ต่อรอง
      “เออนี่...นุชชี่........ฉันฝันแหละ...ฝันเห็นคนกลุ่มนึงขับไล่แม่มดออกจากเมือง” ยีวอนน่าไม่ได้ใส่ใจกับคำต่อรองของนุชชี่เธอนึกย้อนไปถึงความฝันของเธอเมื่อเช้านี้
      “โอ้พระเจ้า! แม่มดอีกแล้วเหรอ........เฮ้ออ” นุชชี่ครางด้วยความเบื่อหน่าย
      ยีวอนน่ามักจะชอบฝันเห็นอะไรแปลกๆและเมื่อใดที่เธอฝันก็มักจะมีเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นจริงๆเสียทุกครั้ง ดังนั้นยีวอนน่าจึงพยายามไม่ใส่ใจกับความฝันของเธอในคราวนี้ เธอจัดแจงลุกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไปมหาวิทยาลัย
      ยีวอนน่าเดินไปตามทางเดินวันนี้อากาศในตอนเช้าช่างสดชื่นแจ่มใส เธอกำลังจะสูดหายใจลึกๆเพื่อรับอ็อกซิเจนยามเช้าแต่แล้วก็รีบถอนหายใจทันทีเมื่อมีรถเมล์คันหนึ่งวิ่งสวนมาตามถนนพร้อมกับกลิ่นควันจากท่อไอเสีย
      “แหวะ กลิ่นนั่นทำลายบรรยากาศดีๆตอนเช้าของฉันหมดเลย” ยีวอนน่าพูดขึ้นและทำจมูกฟุดฟิด
      ยีวอนน่ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนในที่สุดเธอก็มาถึงมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา เธอหันไปมองป้ายชื่อขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่เขียนไว้ว่า “แม็คเคล่า มหาวิทยาลัยแห่งปราชญ์” จากนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เธอเป็นปราชญ์คนหนึ่งในมหาวิทยาลัย (เราเพิ่งจะรู้ชื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในคราวนี้เอง ทำไมยีวอนน่าไม่มองป้ายนี้แต่แรกนะ) ในขณะที่ยีวอนน่าหยุดยืนมองป้ายของมหาวิทยาลัยอย่างชื่นชมเธอก็รู้สึกถึงม้วนกระดาษที่กำลังเคาะเบาๆอยู่บนหัวของเธอ ยีวอนน่าหันหลังกลับไปยังเจ้าของม้วนกระดาษ
      “ว่าไงคนสวย แค่ฉันไม่ไปรับที่หน้าบ้านถึงกับมายืนเหม่อหน้าประตูมหาลัยเลยเหรอ หือ?” แวนเนส หนุ่มหล่อผิวขาวร่างสูงโปร่งหน้าตาเจ้าเล่ห์เอ่ยปากทักทายยีวอนน่าด้วยการแซวเล็กน้อยอย่างร่าเริง เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆยีวอนน่าและปอยเส้นผมด้านหน้าของเขาก็ตกลงมาปรกดวงตา ยีวอนน่าปัดผมออกจากดวงตาของแวนเนสและแวนเนสก็ยังคงใช้ม้วนกระดาษเขียนแบบเคาะหัวยีวอนน่าอยู่
      “เลิกหลงตัวเองซักที คนบ้า” ยีวอนน่ากอดอกและแลบลิ้นให้แวนเนส
      แวนเนสหัวเราะชอบใจก่อนจะขอเป็นฝ่ายที่ค่อยๆใช้มือของเขาปัดเส้นผมของยีวอนน่า(บ้าง)ที่กำลังปลิวไปมาเพราะลมพัดให้เข้าทรงอย่างอ่อนโยน
      “เห็นผมยาวสวยของเธอแล้วฉันชักอยากจะกลับไปไว้ผมยาวตามเดิมแล้วสิ” แวนเนสพูดกับยีวอนน่า เขาม้วนผมของยีวอนน่าเล่นและนึกไปถึงตอนที่ตัวเองเคยไว้ผมยาว
      “อันที่จริงเธอไปตัดผมสั้นแบบนี้ก็เท่ห์ดีนะและที่สำคัญ.........” ยีวอนน่ามองแวนเนสอย่างหวานชื่น
      “ที่สำคัญคือ.......?” แวนเนสถาม เขามองเข้าไปในดวงตาอันอ่อนโยนของยีวอนน่า
      “ที่สำคัญคือกรุณาอย่ายืนจีบกันหน้ามหาลัยเพราะคนที่เดินผ่านไปมาอาจอ้วกได้” นุชชี่เดินมาสมทบนานแล้วแต่ทั้งยีวอนน่าและแวนเนสหาได้สนใจเธอไม่ เธอจึงต้องขอขัดจังหวะด้วยการแซวเสียหน่อย แวนเนสหันไปทำหน้าทะเล้นใส่นุชชี่ก่อนขอตัวไปเรียน
      “ยีน่า.....เจอกันที่เดิมตอนเที่ยง” แวนเนสหันกลับมานัดกับยีวอนน่าพร้อมกับใช้นิ้วมือส่งจูบให้ยีวอนน่าก่อนเดินแยกจากไป เขายังคงชอบเรียกยีวอนน่าแบบสั้นๆว่า “ยีน่า” อยู่เช่นเคย
      “ยีวอนน่า.....ตกลงเธอยังไม่ได้บอกเลยว่า ที่สำคัญคือ......ที่สำคัญคืออะไรน่ะ?” นุชชี่ถามขึ้นและทำท่าเลียนแบบยีวอนน่าตอนคุยกับแวนเนส  ยีวอนน่าหัวเราะร่าเริงก่อนจะตอบว่า
      “ที่สำคัญคือแม้แวนเนสจะตัดผมสั้นแล้วแต่ก็ยังตาตี่เหมือนเดิม” ยีวอนน่าตอบ ว่าแล้วทั้งเธอและนุชชี่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกันเมื่อนึกถึงหน้าของแวนเนสและดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขา เสียงกริ่งดังขึ้นบอกเวลาเข้าเรียนในคาบเช้าพอดี
      “ตายจริงวันนี้เรามีเรียนตอนเช้าคาบแรกเลยนี่!” นุชชี่นึกขึ้นได้
      “เรากำลังจะสาย!ไปเร็วเข้า!” ยีวอนน่าคว้ามือเพื่อนรักและวิ่งไปยังห้องเรียนเร็วจี๋ เธอทั้งสองวิ่งผ่านหน้าแวนเนสที่กำลังจะเดินเข้าเรียนในห้องข้างๆราวกับนักวิ่งลมกรด แวนเนสไม่วายจะหันไปแหย่ว่า
      “ยัยเด็กไม่ดีสองคนนั้นน่ะ เธอสายแล้ว โดนคาบไม้บรรทัดหน้าห้องแน่ๆ” แวนเนสตะโกนแหย่ไล่หลัง
      “ป่าเถื่อน!” นุชชี่ตะโกนว่ากลับ
      “ตั้งใจเรียนนะ เลิกเรียนเจอกัน” ยีวอนน่าตะโกนบอกแวนเนส ทั้งสองยังคงมองซึ่งกันและกันก่อนเดินเข้าห้องเรียนไป
      เที่ยงวันมาถึงอย่างรวดเร็ว นุชชี่แยกย้ายกับยีวอนน่าเพราะมีนัดกินไอศครีมกับคริสแฟนหนุ่มนักบินมาดเท่ห์ คริสเพิ่งจะชวนนุชชี่ไปเที่ยวสนามบินฝึกหัดนักบินในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ยีวอนน่ามายืนรอแวนเนสที่หน้าตึกกลางของมหาวิทยาลัย เธอมองออกไปยังสวนดอกไม้ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินจากนั้นก็เริ่มมองซ้ายมองขวาเพื่อมองหาแวนเนส และแล้วเธอก็มองเห็นเขาชายหนุ่มร่างสูง เขามักสวมกางเกงยีนส์ขาดๆและเสื้อแจ๊กเก๊ตยีนส์สีเทาอยู่เสมอ ยีวอนน่ายังคงจำได้เสมอถึงชายหนุ่มผมยาวคนนี้แม้ว่าเขาจะตัดผมสั้นแล้วก็ตาม แวนเนสยังคงติดนิสัยชอบใช้มือเสยผมขึ้นไปแม้ในตอนไว้ผมสั้นแบบนี้ เขาเดินมาตามทางเดินเลียบตึกกลางพลางหยุดส่องดูหน้าตาตัวเองจากบานกระจกหน้าต่างทุกบานของตึกกลางและกว่าเขาจะเดินมาถึงยีวอนน่าได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร เขายิ้มให้ยีวอนน่าอย่างอารมณ์ดี
      “ส่องกระจกอยู่นั่นแหละ เธอเป็นตุ๊ดหรือไงนะ” ยีวอนน่าถามแกมหยอกเย้า
      “ตุ๊ดน่ะคงไม่ได้เบอร์มือถือและอีเมลล์จากสาวๆในวันเปิดเทอมเยอะแบบนี้หรอก” แวนเนสขำและหยิบเอาแผ่นกระดาษลายการ์ตูนต่างๆมากมายหลายแผ่นออกมาจากเสื้อแจ๊กเก๊ตและโชว์ให้ยีวอนน่าดู เธอค้อนและหยิบเอากระดาษเหล่านั้นมาอ่านดูทีละแผ่น แผ่นกระดาษเหล่านี้มาจากสาวๆจากหลายคณะและส่วนมากมักเป็นเด็กสาวปีหนึ่ง เมื่ออ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งยีวอนน่าก็เกิดอาการงอนและสะบัดหน้าหนีแวนเนสและเดินไปทางอื่น
      “แล้วกัน........เธอมาหาว่าฉันเป็นตุ๊ดพอฉันจะพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้เป็นก็มาทำหน้างอใส่อีก” แวนเนสเดินตามยีวอนน่าไป
      ยีวอนน่าไม่ได้พูดอะไรแต่อยู่ดีๆความฝันเมื่อเช้านี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ มันช่างไม่เกี่ยวกันเลยกับเวลาที่เธอกำลังรู้สึกงอนแวนเนสแบบนี้ ยีวอนน่าหยุดเดินและกำลังจะหันไปเล่าความฝันแปลกๆของเธอให้แวนเนสฟังเธอหันกลับไปชนแวนเนสที่กำลังเดินตามมาอย่างจัง แวนเนสหยุดเดินและมองยีวอนน่าพลางอมยิ้ม
      “แวนเนส....ฉัน........” ยีวอนน่ากำลังจะเล่าว่าเมื่อเช้าก่อนเธอจะตื่นนั้นเธอฝันอะไรไว้บ้างแต่แวนเนสก็เริ่มทำลายบรรยากาศด้วยการพูดว่า
      “ยีน่า.......ฉันรักเธอ” แวนเนสพูดขึ้นและเขาก็ดูจริงจังทุกครั้งเวลาพูดคำแบบนี้กับยีวอนน่า คำพูดนี้ทำให้ยีวอนน่าพูดไม่ออกและเร็วกว่าที่ยีวอนน่าจะพูดอะไรออกมาแวนเนสก็เริ่มวิ่งไปรอบๆสวนดอกไม้และตะโกนไปตามทางเดินในสวนดอกไม้ว่า
      “ฉันรักเธอออออ!” แวนเนสตะโกนไปรอบๆสวนดอกไม้ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาระหว่างตึกกลางเหลียวหลังกลับมามองแวนเนสแบบแปลกๆ ยีวอนน่าถอนหายใจในพฤติกรรมบ้าๆบอๆของคนรักแต่ก็อดที่จะปลึ้มอยู่ลึกๆไม่ได้จากนั้นเธอก็ตัดสินใจเดินไปหาแวนเนสที่ตอนนี้นั่งหมดแรงอยู่ในสวนดอกไม้
      “เมื่อคืนฉันฝันว่า......” ยีวอนน่าก้มตัวลงเพื่อจะพูดกับแวนเนสแต่เขาไม่สนใจและดึงยีวอนน่าให้นั่งลงข้างๆเขา แวนเนสเริ่มขยำกระดาษลายการ์ตูนทีละใบและเล็งเป้าหมายไปยังถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านตรงข้ามก่อนจะโยนกระดาษที่ขยำแล้วลงถังอย่างแม่นยำราวกับการโยนลูกลงห่วงของนักบาสเก็ตบอล
      “ฉันรักเธอ” แวนเนสหันมาพูดกับยีวอนน่าอีกครั้งหลังจากกระดาษลายการ์ตูนทั้งหมดถูกโยนลงถังขยะ
      “พอทีเถอะน่า ไปกินข้าวกันเถอะ” ยีวอนน่าบอกแวนเนส เธอใช้มือทั้งสองโอบคอแวนเนสเอาไว้และมองไปที่เขาด้วยความรักที่มีให้ไม่น้อยไปกว่าที่แวนเนสมีให้เธอ แวนเนสลุกขึ้นยืนและส่งมือมาให้ยีวอนน่า
      “เชิญคร้าบบบเจ้าหญิง” แวนเนสกล่าว ยีวอนน่าหัวเราะและจับมือของแวนเนส ทั้งสองเดินจูงมือกันไปยังโรงอาหาร ยีวอนน่าหันไปมองแวนเนสเป็นระยะเธออดที่จะขำไม่ได้เวลาที่แวนเนสทำอะไรบ้าๆบอๆแบบนี้ในที่สาธารณะและเขาก็ทำให้เธอลืมเล่าเรื่องความฝันเสียสนิท
      คืนหนึ่งที่เมืองกรีนวู๊ดซึ่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งพวกชาวบ้านพากันมารวมตัวที่บ้านของนายอำเภอ ชาวบ้านทุกคนถือคบเพลิงและส่งเสียงอื้ออึงไปทั่ว ทุกคนมารวมตัวกันด้วยจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือ ขับไล่แม่มด และกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในป่ากรีนวู๊ด
      ครอบครัวบาวเวอร์ประกอบไปด้วยหญิงวัยกลางคนและหญิงสาวและบ้านของพวกหล่อนเป็นคฤหาสน์ที่อยู่ในป่ากรีนวู๊ด ครอบครัวบาวเวอร์ตกเป็นเป้าหมายสำคัญของพวกชาวบ้านด้วยพฤติกรรมความเป็นอยู่ที่แปลกประหลาดของพวกหล่อนทำให้ครอบครัวบาวเวอร์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกแม่มดอย่างแน่นอน และพวกหล่อนก็เป็นอย่างที่ชาวบ้านสงสัยเสียด้วย
      “พวกเขากำลังมา” หญิงวัยกลางคนร่างผอมผมดำยาวแต่ดูน่าเกรงขามแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับมีราคากระซิบกับลูกสาวทั้งสามคนในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ลูกสาวผิวขาวร่างบางและผมดำยาวทั้งสามคนเริ่มดับเทียนทีละดวงภายในห้องนั่งเล่นจนในที่สุดทั้งห้องก็ปกคลุมไปด้วยความมืด
      “ไคร่า ดับไฟหมดทั้งบ้านแล้วใช่มั๊ย?” หญิงวัยกลางคนหันมาถามไคร่า ลูกสาวคนเล็ก
      “ค่ะ หนูดับหมดแล้ว...ห้องนี้เป็นห้องสุดท้าย” ไคร่าพยักหน้าและตอบ
      “ฉันได้ยินเสียง.............คำสาปแช่ง..............พวกเขาใกล้เข้ามาทุกที..........ไปกันเถอะลอเรน ลาล่า ไคร่า” หญิงวัยกลางคนบอกลูกสาว ทั้งสี่คนสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าและเสื้อผ้าต่างพากันเดินออกจากห้องนั่งเล่นและมุ่งไปยังทางเดินลับที่อยู่หลังคฤหาสน์พวกหล่อนกำลังจะหนีตายจากการถูกจับเผาทั้งเป็นไปยังดินแดนอันแสนสุขแต่ทว่าพวกหล่อนจะต้องเดินทางออกจากกรีนวู๊ดให้ได้เสียก่อน คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดไม่มีแสงจากดวงจันทร์จึงสะดวกในการหลบหนี
      “เดี๋ยวก่อน! ตายจริง! ฉันลืมของ” ลอเรน ลูกสาวคนโตพูดขึ้นในขณะที่หลบหนีออกมาได้ไกลพอสมควรและวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์
      “ลอเรนอย่ากลับไป!” หญิงวัยกลางคนร้องเรียกลูกสาวแต่ลอเรนไม่ฟัง
     
      เสียงฝีเท้าและเสียงโห่ร้องของกลุ่มชาวบ้านใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์บาวเวอร์ พวกชาวบ้านพยายามพังประตูคฤหาสน์เข้าไปภายใน
      “คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของพวกปีศาจในร่างหญิงสาว!” นายอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มล่าแม่มดตะโกนก้อง พวกชาวบ้านส่งเสียงร้องสนับสนุน
      “พังเข้าไป!” พวกชาวบ้านต่างพากันโห่ร้องไปพร้อมๆกับการพังประตูคฤหาสน์
      ลอเรนกลับเข้ามาหยิบของใช้จำเป็นอย่างหนึ่งเธอตกใจกับเสียงอึกทึกที่ด้านหน้าคฤหาสน์และพยายามวิ่งอย่างเร็วที่สุดไปยังสวนหลังคฤหาสน์เพื่อไปสมทบกับแม่และน้องสาวที่รออยู่ระหว่างทางในป่าแต่ลอเรนช้าไปพวกชาวบ้านพังเข้ามาภายในคฤหาสน์ได้แล้ว ลอเรนอยู่ในภาวะตกใจและทำอะไรไม่ถูกเธอพยายามรวบรวมสติและเริ่มท่องภาษาแปลกๆออกมาและพวกชาวบ้านก็ถูกพลังอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นผลักออกไปนอกคฤหาสน์ ลอเรนได้เรียกคาถาปกป้องตัวเธอและคฤหาสน์เอาไว้พวกชาวบ้านไม่สามารถเข้ามาในคฤหาสน์ได้อีก
      “ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ลาล่าวิ่งกลับมาตามพี่สาวอย่างกระหืดกระหอบ
    เพล้ง!
     
    เสียงกระจกแตกดังขึ้นพวกชาวบ้านได้โยนคบเพลิงเข้ามาในคฤหาสน์ คบเพลิงตกลงบนพื้นพรมและเริ่มติดไฟอย่างรวดเร็วและยังมีคบเพลิงอีกมากมายที่ถูกโยนเข้ามาภายในคฤหาสน์ ไฟเริ่มลุกลามและไหม้ไปทั่วทุกแห่งลอเรนและลาล่ากำลังสำลักควัน ประกายไฟที่ลุกสว่างไสวมาจากคฤหาสน์ทำให้แม่และน้องสาวของทั้งสองตื่นตระหนก
      “ไคร่า ฟังแม่นะ.....ลูกจะต้องมีชีวิตรอด ลูกจะต้องไปให้ถึง จงวิ่งไปและอย่าหันหลังกลับมา” แม่สั่งไคร่าที่เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งสองกอดกันด้วยความเศร้าและแม่ก็ผลักไคร่าให้หันหลังวิ่งออกไป
      “แม่!” ไคร่าตะโกนเรียกแม่ที่กำลังวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์บาวเวอร์ที่กลายเป็นเพลิงไฟอยู่ลิบๆ เธอพยายามจะวิ่งตามไปอีกคน
      ไคร่าฝืนคำสั่งแม่และวิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์เพื่อช่วยแม่และพี่สาวในเวลาต่อมาหากแต่คงช้าเกินไปคฤหาสน์บาวเวอร์กำลังลุกไหม้อย่างน่ากลัว เธอตะโกนเรียกหาแม่และพี่สาวทั้งสองแต่ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากเสียงตะโกนขับไล่ของพวกชาวบ้านจากด้านหน้าของคฤหาสน์
      “ระวัง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาดึงตัวของไคร่าเอาไว้ทันก่อนที่ท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟท่อนหนึ่งจะตกมาทับตัวเธอ
      “คอลิน ช่วยแม่กับพี่ฉันด้วย!” ไคร่าร้องไห้และบอกกับชายหนุ่มแต่เขาสั่นหัว
      “ฉันคิดว่าพวกเขาคง.........อย่าเสียเวลาเลยฉันจะพาเธอไปจากที่นี่ เร็วเข้าไคร่าลุกขึ้นก่อนที่พวกชาวบ้านจะพบเธอ” คอลินตอบอย่างเศร้าสร้อยและพยุงไคร่าให้ลุกขึ้น ไคร่ากุมสร้อยคอของเธอไว้แน่นก่อนจะค่อยๆหลบหนีไปกับคอลิน
      เจ็ดโมงเช้าที่บ้านหลังสีขาว ยีวอนน่าสาวร่างบางผิวขาวและผมดำยาวสลวยลืมตาขึ้นบนเตียงนอน เธอหยิบนาฬิกาปลุกมาดูและอยากจะหยุดเวลาไว้แค่เจ็ดโมงเช้าเพื่อที่เธอจะได้นอนหลับต่อไปอีกสองหรือสามชั่วโมงแต่วันนี้เธอต้องไปเรียนนั่นคือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
      “ปีสอง.......ฉันเป็นนักศึกษาปีสองแล้วเหรอ? เร็วจัง” ยีวอนน่าบ่นพึมพำกับตัวเองบนเตียงนอน ใช่แล้วตอนนี้ยีวอนน่าเป็นนักศึกษามัณฑนศิลป์ปีสองแล้วและดูเหมือนว่าผลการเรียนของปีแรกก็ยังออกมาเป็นที่น่าพอใจของเธอและพ่อแม่เสียด้วยสิ ยีวอนน่าสะดุ้งตกใจกับเสียงโทรศัพท์จนทำนาฬิกาปลุกหลุดมือตกลงบนหน้าของตัวเองเต็มเปา เธอจับหน้าด้วยความเจ็บและค่อยๆขยับตัวไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียง
      “ยัยขี้เซา ฮ่าๆๆ ในที่สุดเธอก็แพ้” นุชชี่ เพื่อนสนิทของยีวอนน่าโทรมาก่อกวนแต่เช้า นุชชี่เป็นเพื่อนหญิงที่ยีวอนน่ารักและสนิทด้วยมากที่สุด เธอเป็นหญิงสาวร่างบอบบางแบบยีวอนน่าแต่ไว้ผมสั้นกระฉับกระเฉง
      “แพ้?” ยีวอนน่าถามด้วยความงง
      “โธ่เอ้ย ก็เมื่อคืนเธอท้าฉันไงว่าถ้าใครโทรมาปลุกอีกฝ่ายหนึ่งได้ก่อนก็จะได้กินข้าวกลางวันฟรีไงล่ะยะ” นุชชี่ทวนความจำให้ยีวอนน่า
      “อ้อ..........ฮ่าๆๆ......เสียใจจ๊ะฉันตื่นแล้วตอนที่เธอโทรมา” ยีวอนน่านึกขึ้นได้และเยาะเย้ยนุชชี่อย่างอารมณ์ดี
      “หา??? โกหก!” นุชชี่ร้องด้วยความผิดหวัง
      “ไม่มีทาง” ยีวอนน่าหัวเราะชอบใจ
      “ไม่รู้ล่ะฉันโทรหาเธอก่อน ให้ฉันชนะละกันน่า” นุชชี่ต่อรอง
      “เออนี่...นุชชี่........ฉันฝันแหละ...ฝันเห็นคนกลุ่มนึงขับไล่แม่มดออกจากเมือง” ยีวอนน่าไม่ได้ใส่ใจกับคำต่อรองของนุชชี่เธอนึกย้อนไปถึงความฝันของเธอเมื่อเช้านี้
      “โอ้พระเจ้า! แม่มดอีกแล้วเหรอ........เฮ้ออ” นุชชี่ครางด้วยความเบื่อหน่าย
      ยีวอนน่ามักจะชอบฝันเห็นอะไรแปลกๆและเมื่อใดที่เธอฝันก็มักจะมีเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นจริงๆเสียทุกครั้ง ดังนั้นยีวอนน่าจึงพยายามไม่ใส่ใจกับความฝันของเธอในคราวนี้ เธอจัดแจงลุกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไปมหาวิทยาลัย
      ยีวอนน่าเดินไปตามทางเดินวันนี้อากาศในตอนเช้าช่างสดชื่นแจ่มใส เธอกำลังจะสูดหายใจลึกๆเพื่อรับอ็อกซิเจนยามเช้าแต่แล้วก็รีบถอนหายใจทันทีเมื่อมีรถเมล์คันหนึ่งวิ่งสวนมาตามถนนพร้อมกับกลิ่นควันจากท่อไอเสีย
      “แหวะ กลิ่นนั่นทำลายบรรยากาศดีๆตอนเช้าของฉันหมดเลย” ยีวอนน่าพูดขึ้นและทำจมูกฟุดฟิด
      ยีวอนน่ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนในที่สุดเธอก็มาถึงมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา เธอหันไปมองป้ายชื่อขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่เขียนไว้ว่า “แม็คเคล่า มหาวิทยาลัยแห่งปราชญ์” จากนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เธอเป็นปราชญ์คนหนึ่งในมหาวิทยาลัย (เราเพิ่งจะรู้ชื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในคราวนี้เอง ทำไมยีวอนน่าไม่มองป้ายนี้แต่แรกนะ) ในขณะที่ยีวอนน่าหยุดยืนมองป้ายของมหาวิทยาลัยอย่างชื่นชมเธอก็รู้สึกถึงม้วนกระดาษที่กำลังเคาะเบาๆอยู่บนหัวของเธอ ยีวอนน่าหันหลังกลับไปยังเจ้าของม้วนกระดาษ
      “ว่าไงคนสวย แค่ฉันไม่ไปรับที่หน้าบ้านถึงกับมายืนเหม่อหน้าประตูมหาลัยเลยเหรอ หือ?” แวนเนส หนุ่มหล่อผิวขาวร่างสูงโปร่งหน้าตาเจ้าเล่ห์เอ่ยปากทักทายยีวอนน่าด้วยการแซวเล็กน้อยอย่างร่าเริง เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆยีวอนน่าและปอยเส้นผมด้านหน้าของเขาก็ตกลงมาปรกดวงตา ยีวอนน่าปัดผมออกจากดวงตาของแวนเนสและแวนเนสก็ยังคงใช้ม้วนกระดาษเขียนแบบเคาะหัวยีวอนน่าอยู่
      “เลิกหลงตัวเองซักที คนบ้า” ยีวอนน่ากอดอกและแลบลิ้นให้แวนเนส
      แวนเนสหัวเราะชอบใจก่อนจะขอเป็นฝ่ายที่ค่อยๆใช้มือของเขาปัดเส้นผมของยีวอนน่า(บ้าง)ที่กำลังปลิวไปมาเพราะลมพัดให้เข้าทรงอย่างอ่อนโยน
      “เห็นผมยาวสวยของเธอแล้วฉันชักอยากจะกลับไปไว้ผมยาวตามเดิมแล้วสิ” แวนเนสพูดกับยีวอนน่า เขาม้วนผมของยีวอนน่าเล่นและนึกไปถึงตอนที่ตัวเองเคยไว้ผมยาว
      “อันที่จริงเธอไปตัดผมสั้นแบบนี้ก็เท่ห์ดีนะและที่สำคัญ.........” ยีวอนน่ามองแวนเนสอย่างหวานชื่น
      “ที่สำคัญคือ.......?” แวนเนสถาม เขามองเข้าไปในดวงตาอันอ่อนโยนของยีวอนน่า
      “ที่สำคัญคือกรุณาอย่ายืนจีบกันหน้ามหาลัยเพราะคนที่เดินผ่านไปมาอาจอ้วกได้” นุชชี่เดินมาสมทบนานแล้วแต่ทั้งยีวอนน่าและแวนเนสหาได้สนใจเธอไม่ เธอจึงต้องขอขัดจังหวะด้วยการแซวเสียหน่อย แวนเนสหันไปทำหน้าทะเล้นใส่นุชชี่ก่อนขอตัวไปเรียน
      “ยีน่า.....เจอกันที่เดิมตอนเที่ยง” แวนเนสหันกลับมานัดกับยีวอนน่าพร้อมกับใช้นิ้วมือส่งจูบให้ยีวอนน่าก่อนเดินแยกจากไป เขายังคงชอบเรียกยีวอนน่าแบบสั้นๆว่า “ยีน่า” อยู่เช่นเคย
      “ยีวอนน่า.....ตกลงเธอยังไม่ได้บอกเลยว่า ที่สำคัญคือ......ที่สำคัญคืออะไรน่ะ?” นุชชี่ถามขึ้นและทำท่าเลียนแบบยีวอนน่าตอนคุยกับแวนเนส  ยีวอนน่าหัวเราะร่าเริงก่อนจะตอบว่า
      “ที่สำคัญคือแม้แวนเนสจะตัดผมสั้นแล้วแต่ก็ยังตาตี่เหมือนเดิม” ยีวอนน่าตอบ ว่าแล้วทั้งเธอและนุชชี่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกันเมื่อนึกถึงหน้าของแวนเนสและดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขา เสียงกริ่งดังขึ้นบอกเวลาเข้าเรียนในคาบเช้าพอดี
      “ตายจริงวันนี้เรามีเรียนตอนเช้าคาบแรกเลยนี่!” นุชชี่นึกขึ้นได้
      “เรากำลังจะสาย!ไปเร็วเข้า!” ยีวอนน่าคว้ามือเพื่อนรักและวิ่งไปยังห้องเรียนเร็วจี๋ เธอทั้งสองวิ่งผ่านหน้าแวนเนสที่กำลังจะเดินเข้าเรียนในห้องข้างๆราวกับนักวิ่งลมกรด แวนเนสไม่วายจะหันไปแหย่ว่า
      “ยัยเด็กไม่ดีสองคนนั้นน่ะ เธอสายแล้ว โดนคาบไม้บรรทัดหน้าห้องแน่ๆ” แวนเนสตะโกนแหย่ไล่หลัง
      “ป่าเถื่อน!” นุชชี่ตะโกนว่ากลับ
      “ตั้งใจเรียนนะ เลิกเรียนเจอกัน” ยีวอนน่าตะโกนบอกแวนเนส ทั้งสองยังคงมองซึ่งกันและกันก่อนเดินเข้าห้องเรียนไป
      เที่ยงวันมาถึงอย่างรวดเร็ว นุชชี่แยกย้ายกับยีวอนน่าเพราะมีนัดกินไอศครีมกับคริสแฟนหนุ่มนักบินมาดเท่ห์ คริสเพิ่งจะชวนนุชชี่ไปเที่ยวสนามบินฝึกหัดนักบินในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ยีวอนน่ามายืนรอแวนเนสที่หน้าตึกกลางของมหาวิทยาลัย เธอมองออกไปยังสวนดอกไม้ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินจากนั้นก็เริ่มมองซ้ายมองขวาเพื่อมองหาแวนเนส และแล้วเธอก็มองเห็นเขาชายหนุ่มร่างสูง เขามักสวมกางเกงยีนส์ขาดๆและเสื้อแจ๊กเก๊ตยีนส์สีเทาอยู่เสมอ ยีวอนน่ายังคงจำได้เสมอถึงชายหนุ่มผมยาวคนนี้แม้ว่าเขาจะตัดผมสั้นแล้วก็ตาม แวนเนสยังคงติดนิสัยชอบใช้มือเสยผมขึ้นไปแม้ในตอนไว้ผมสั้นแบบนี้ เขาเดินมาตามทางเดินเลียบตึกกลางพลางหยุดส่องดูหน้าตาตัวเองจากบานกระจกหน้าต่างทุกบานของตึกกลางและกว่าเขาจะเดินมาถึงยีวอนน่าได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร เขายิ้มให้ยีวอนน่าอย่างอารมณ์ดี
      “ส่องกระจกอยู่นั่นแหละ เธอเป็นตุ๊ดหรือไงนะ” ยีวอนน่าถามแกมหยอกเย้า
      “ตุ๊ดน่ะคงไม่ได้เบอร์มือถือและอีเมลล์จากสาวๆในวันเปิดเทอมเยอะแบบนี้หรอก” แวนเนสขำและหยิบเอาแผ่นกระดาษลายการ์ตูนต่างๆมากมายหลายแผ่นออกมาจากเสื้อแจ๊กเก๊ตและโชว์ให้ยีวอนน่าดู เธอค้อนและหยิบเอากระดาษเหล่านั้นมาอ่านดูทีละแผ่น แผ่นกระดาษเหล่านี้มาจากสาวๆจากหลายคณะและส่วนมากมักเป็นเด็กสาวปีหนึ่ง เมื่ออ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งยีวอนน่าก็เกิดอาการงอนและสะบัดหน้าหนีแวนเนสและเดินไปทางอื่น
      “แล้วกัน........เธอมาหาว่าฉันเป็นตุ๊ดพอฉันจะพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้เป็นก็มาทำหน้างอใส่อีก” แวนเนสเดินตามยีวอนน่าไป
      ยีวอนน่าไม่ได้พูดอะไรแต่อยู่ดีๆความฝันเมื่อเช้านี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ มันช่างไม่เกี่ยวกันเลยกับเวลาที่เธอกำลังรู้สึกงอนแวนเนสแบบนี้ ยีวอนน่าหยุดเดินและกำลังจะหันไปเล่าความฝันแปลกๆของเธอให้แวนเนสฟังเธอหันกลับไปชนแวนเนสที่กำลังเดินตามมาอย่างจัง แวนเนสหยุดเดินและมองยีวอนน่าพลางอมยิ้ม
      “แวนเนส....ฉัน........” ยีวอนน่ากำลังจะเล่าว่าเมื่อเช้าก่อนเธอจะตื่นนั้นเธอฝันอะไรไว้บ้างแต่แวนเนสก็เริ่มทำลายบรรยากาศด้วยการพูดว่า
      “ยีน่า.......ฉันรักเธอ” แวนเนสพูดขึ้นและเขาก็ดูจริงจังทุกครั้งเวลาพูดคำแบบนี้กับยีวอนน่า คำพูดนี้ทำให้ยีวอนน่าพูดไม่ออกและเร็วกว่าที่ยีวอนน่าจะพูดอะไรออกมาแวนเนสก็เริ่มวิ่งไปรอบๆสวนดอกไม้และตะโกนไปตามทางเดินในสวนดอกไม้ว่า
      “ฉันรักเธอออออ!” แวนเนสตะโกนไปรอบๆสวนดอกไม้ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาระหว่างตึกกลางเหลียวหลังกลับมามองแวนเนสแบบแปลกๆ ยีวอนน่าถอนหายใจในพฤติกรรมบ้าๆบอๆของคนรักแต่ก็อดที่จะปลึ้มอยู่ลึกๆไม่ได้จากนั้นเธอก็ตัดสินใจเดินไปหาแวนเนสที่ตอนนี้นั่งหมดแรงอยู่ในสวนดอกไม้
      “เมื่อคืนฉันฝันว่า......” ยีวอนน่าก้มตัวลงเพื่อจะพูดกับแวนเนสแต่เขาไม่สนใจและดึงยีวอนน่าให้นั่งลงข้างๆเขา แวนเนสเริ่มขยำกระดาษลายการ์ตูนทีละใบและเล็งเป้าหมายไปยังถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านตรงข้ามก่อนจะโยนกระดาษที่ขยำแล้วลงถังอย่างแม่นยำราวกับการโยนลูกลงห่วงของนักบาสเก็ตบอล
      “ฉันรักเธอ” แวนเนสหันมาพูดกับยีวอนน่าอีกครั้งหลังจากกระดาษลายการ์ตูนทั้งหมดถูกโยนลงถังขยะ
      “พอทีเถอะน่า ไปกินข้าวกันเถอะ” ยีวอนน่าบอกแวนเนส เธอใช้มือทั้งสองโอบคอแวนเนสเอาไว้และมองไปที่เขาด้วยความรักที่มีให้ไม่น้อยไปกว่าที่แวนเนสมีให้เธอ แวนเนสลุกขึ้นยืนและส่งมือมาให้ยีวอนน่า
      “เชิญคร้าบบบเจ้าหญิง” แวนเนสกล่าว ยีวอนน่าหัวเราะและจับมือของแวนเนส ทั้งสองเดินจูงมือกันไปยังโรงอาหาร ยีวอนน่าหันไปมองแวนเนสเป็นระยะเธออดที่จะขำไม่ได้เวลาที่แวนเนสทำอะไรบ้าๆบอๆแบบนี้ในที่สาธารณะและเขาก็ทำให้เธอลืมเล่าเรื่องความฝันเสียสนิท
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น