ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Money Honey ...จูบกี่ครั้ง ขอให้เป็นเงิน....

    ลำดับตอนที่ #5 : บาทที่ 4 พรหมลิขิตรังแก (แง แง...อยากร้องไห้เป็นภาษาสเปน)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 48


                                                                                         - 4 -







    “เพียวเอ๋ย ตื่นได้แล้ว”



    ฉันสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงอันทรงพลังของแม่ ไม่ได้ฟังเสียงนาฬิกาปลุกเคลื่อนที่ได้มานานแล้ว เฮ้ย...กลิ่นตุ ๆ อะไรลอยมาหว่า? อ้อ! เมื่อวานเรายังไม่ได้อาบน้ำนี่หว่า ซกมกจริง ๆ เรา รีบไปอาบน้ำก่อนดีกว่า



    พออาบน้ำเสร็จ ลงมาข้างล่าง เห็นทุกคนในบ้านกำลังสนุกอยู่กับโฮมเธียเตอร์กันอยู่....



    สำราญจริง ๆ...เฮ้อ!



    “ไม่ไปเรียนหรือไง? ไอ้พอล”



    “ไม่มีค่าเทอม ฉันจะเรียนได้ไงล่ะ?”



    ก็แกเล่นเอาค่าเทอมไปซื้อมือถือหมดนะสิ...คิดแล้วต่อมโมโหเริ่มหลั่ง...



    “หิวจังเลย เช้านี้มีอะไรกินบ้างเนี่ย?”



    “ลูกก็ออกไปซื้อสิลูก”



    ตามเคย...บ้านเราไม่นิยมทำอาหารเอง เพราะว่าฝีมือแม่นั้น...โฮะ ๆ กินยากไปนิดนึง เอาเถอะ...ก็คงต้องเป็นเราเองที่ต้องไปซื้อ



    “อ้อ! นี่ เพียว ช่วยจ่ายแทนแม่หน่อยนะ”



    แม่ส่งใบแจ้งหนี้ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนเฟอร์นิเจอร์ และก็ค่าอะไรอีกสารพัด....



    ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่สิ....อยากจะอ๊วกมากกว่า หมื่นกว่า...บ้านเล็กนิดเดียว ใช้ไฟมโหฬารอย่างกับโรงงานแน่ะ แล้วไหนจะค่าน้ำค่างวดอีก....



    ฉันออกจากบ้านไปขุดดิน หยิบเงินมาสองสามปึก โธ่เอ๊ย! ชีวิตฉันจะใช้เงินล้านทั้งที ต้องมานั่งขุดดิน...บ้าไหมเรา?



    พอขึ้นรถเมล์ได้ฉันก็รีบวิ่งขึ้นไปนั่งเบาะหลังสุด คนงี้....เบียดอย่างกับปลากระป๋องสามแม่ครัวปุ้มปุ้ย แล้วยังจะนั่งหลังสุด ก็ต้องมาทนดมก้นคนที่ยืนโหนรถเมล์อยู่นี่ เซ็งชะมัด...แหวะ....อยากจะอ๊วก



    อ้าว! ถึงตลาดแล้วนี่นา ลงรถก่อน จอดด้วย......



    ฉันแหวกฝูงชน สูดกลิ่นเต่าใครต่อใครเข้าเต็มปอด ต้องรีบลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก....แฮก ๆ เกือบจะตายเพราะแก๊ซพิษเสียแล้ว



    ฉันซื้อโจ๊กสี่ถุง ผัดผักรวมและไข่เจียวสำหรับมื้อเที่ยง (เผื่อจะโดนใช้ให้ออกมาซื้ออีก) พอซื้อเสร็จ ฉันก็รีบวิ่งขาขวิดไปรอรถเมล์ รถแต่ละคันแน่น ๆ ทั้งนั้น อย่างนี้เราจะได้กลับเมื่อไหร่เนี่ย?



    “เพียว”



    เอ๊ะ! ใครเรียกเราหว่า? หรือว่ามีคนบังเอิญชื่อซ้ำกับเรา?



    “เพียว....เพียว”



    คงไม่ใช่คนอื่นแล้วมั้ง ก็แถว ๆ นี้ไม่มีใครนอกจากเราแล้วนี่นา



    “เพียว....เพียว”



    ฉันหันไปมองอย่างงง ๆ ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาสวย แต่งตัวดีดูมีสกุล ผมทาเจล เวลาโดนแทบจะไม่กระดิก นี่ถ้าไม่รู้คงคิดว่าเป็นพรีเซนเตอร์เจลแต่งผมแล้วนะเนี่ย



    “จำพี่ไม่ได้หรอ?”



    ฉันส่ายหน้า...ถ้าจำได้ก็คงไม่ยืนเอ๋ออย่างนี้หรอกนะ



    “พี่ไง พี่รตี ที่อยู่ชมรมวิ่ง ตอนอยู่มัธยมปลายไงล่ะ”



    ไอ้ชมรมวิ่งนี่จำได้อยู่หรอก แต่ชื่อ ระตง รตี อะไรทำนองนี้....ก็ยังมึน ๆ อยู่ ใครจะจำได้ล่ะ? ในชมรมมีเป็นร้อยคนนะ



    “ขอโทษค่ะ เพียวจำไม่ได้จริง ๆ”



    “ถ้าอย่างนั้น ก็ช่างเถอะจ้ะ”



    พี่แกทำหน้าจ๋อย...ทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมา ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันมีเรื่องให้คิดให้จำตั้งเยอะ (โดยเฉพาะเรื่องเงิน) แล้วนั่นทำอะไรล่ะ? ก้ม ๆ เงย ๆ มองหาอะไรอยู่



    “เอ่อ...หาอะไรอยู่หรือคะ?”



    “อ้อ....หาแบงค์ร้อยน่ะ เมื่อตะกี้ทำหล่น ไม่รู้ว่าหายไปไหน?”



    โอ้! แบงค์ร้อย... ใช่แบงค์สีแดง ๆ หรือเปล่า? อะฮ่า...หวานหมูเรา ต่อมกระหายเงินทำงานตะหงิด ๆ



    “พี่ทำหายตรงไหนล่ะคะ?”



    “ก็แถว ๆ นี้แหละจ้ะ เพียวช่วยพี่หาหน่อยได้ไหมจ้ะ?”



    “ด้วยความยินดีค่ะ”



    ฉันเปล่งเรดาร์หาพิกัดตำแหน่งเงินที่ตก....ถ้าเจอแล้วก็ทำเป็นเนียน....ไม่รู้ซะ พอยายพี่รตีนี่ไปทางอื่น เราก็ค่อยฮุบมาเป็นของเรา โฮะ โฮะ ....แผนยอดเยี่ยมกระเทียมดองเค็มจริง ๆ



    ฉันกับรตีใช้เวลาอยู่หน้าป้ายรถเมล์นาน จนยายรตีเริ่มท้อและยอมแพ้ในที่สุด



    “บางทีมันอาจจะไม่ได้ตกอยู่แถวนี้ก็ได้ ยังไงก็ขอบใจเพียวมากนะที่ช่วยพี่”



    “ไม่เป็นไรค่ะ” (แอบทำเสียงเศร้า เพราะชวดเงิน)



    รตีเดินจากไป ฉันจึงถอนหายใจ อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน แต่สุดท้าย....ก็คว้าน้ำเหลวซะงั้น



    แต่เอ๊ะ....เดี๋ยวก่อน เมื่อตะกี้นี้ อะไรแว้บ ๆ นะ



    ฉันยกเท้าข้างขวาขึ้น ฮั่นแน่....แบงค์ร้อยเอ๋ย แกหลบอยู่ใต้เท้าฉันนี้เอง อุตส่าห์หาแทบพลิกแผ่นดิน ไง? แกคงอยากอยู่กับฉันมากกว่าใช่ไหม? ดีเลย....มามะ มาหาแม่เพียวมา



    “เพียว เจอแล้วหรอจ้ะ?”



    ฉันสะดุ้งเฮือก ยายคุณพี่รตีวิ่งมาแย่งแบงค์ร้อยไปจากฉัน ไม่นะ...ฉันเจอมันก่อนนะ แบงค์ร้อยกระซิบบอกฉันแล้วว่าอยากอยู่กับฉัน ไม่ใช่กับเจ๊เสียหน่อย



    “ขอบใจมากนะเพียว ที่ช่วยหาให้พี่จนเจอ ถ้าไม่เจอ พี่ต้องไม่มีเงินกลับบ้านแน่ ๆ”



    อ้าว! มีอยู่ร้อยเดียว....แสดงว่า ถ้าเราไม่ให้เขา เขาก็ต้องลำบากใช่ไหม? (เริ่มเห็นใจนิด ๆ  นิดเดียวเท่านั้นนะ เราไม่ได้หมายความว่าจะให้)

    แต่ก็เอาเถอะ....เราเองก็เป็นหญิงสาวผู้มีจิตใจงดงามบริสุทธิ์ (ใครกล้าแหวะ? เดี๋ยวเถอะ) ย่อมเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เราเองก็เคยประสบเคราะห์กรรมของการไร้เงินติดตัว ก็ได้ ยอมให้ก็ได้....เราเองก็ไม่คิดจะทวงบุญคุณสักนิดแหละ แต่ว่า...เลี้ยงข้าวสักมื้อนึงก็ไม่เลวนะ



    “เพียว ให้พี่เลี้ยงข้าวตอบแทนเธอสักมื้อได้ไหมจ้ะ?”



    ฮั่นแน่....รู้ใจจังเลย เหอ ๆ เราก็ไปตามมารยาทเถอะนะ....เกรงใจเขา เขาอุตส่าห์ชวน(หิวว่างั้นเถอะ)



    ฉันเดินตามรตีไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่รถ BMX เอ้ย! BMW สีดำสุดเท่ห์ โอ้! มีรถคันละเป็นล้าน แต่พกเงินร้อยเดียว ค่าน้ำมันยังไม่พอเลย....แต่ช่างเถอะ ได้มีโอกาสนั่งรถแพง ๆ สักครั้งก็ไม่เลวนะ แถมไม่ต้องเปลืองเงินค่ารถเมล์อีก....



    รตีขับรถมาถึงร้านอาหารหรู ๆ เข้าไปข้างในเย็นเจี๊ยบ ลูกค้ายัวะเยียะ (แมลงสาบหรือคนกันแน่?) ไม่นึกว่า เจ๊แกจะทุ่มทุนเหมือนกันแฮะ



    “ร้านนี้ชื่อว่า Angelo เป็นร้านของพี่เองจ้ะ”



    ว้าว! เป็นเจ้าของเองด้วย อุ้ย! ทำไมตาเรามันร้อนผ่าว ๆ อย่างนี้นะ....



    “เพียวอยากกินอะไรล่ะ? เดี๋ยวพี่สั่งเชฟให้”



    กินอะไรดีหว่า?....เราไม่เคยกินร้านอาหารหรู ๆ ซะด้วย เคยกินแต่ส้มตำปลาร้า น้ำตก ซกเล็ก แล้วเราจะสั่งอะไรดีหนอ? อ้อ! นึกได้แล้ว...เคยได้ยินในโทรทัศน์



    “เอาลากินหญ้าค่ะ”



    เจ๊รตีทำหน้างง ก่อนจะพูดว่า



    “ลาซานญ่าหรือจ้ะ?”



    เออ....นั่นแหละ รู้ว่าเราพูดถึงอะไรก็เงียบ ๆ ไปสิ จะมาย้ำเพื่ออะไร คนยิ่งพูดผิดอยู่ ปากนะปาก....พูดซะเสียงดัง โต๊ะอื่นเลยมองเราเป็นตาเดียวเลย ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหนแล้วนะเนี่ย



    ฉันนั่งรออยู่นาน สักพัก เจ๊รตีก็กลับมาพร้อมกับ ลา....ซาน....ญ่า หนึ่งจาน แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ?



    “นี่คือ จีจี้ เพียวจำได้ไหม? ที่เคยอยู่ชมรมวิ่งด้วยกันไง จีจี้เรียนอยู่รุ่นเดียวกับเธอด้วยนะ”



    อีกละ...ต้องมานั่งไล่เรียงความทรงจำอีกรอบ บอกแล้วไงว่าสมองฉันไม่มีที่หว่างสำหรับเรื่องสมัยมัธยม มีแต่เงินเท่านั้น



    “จำไม่ได้ค่ะ”



    “เพียว นี่เธอ แกล้งความจำเสื่อมหรือเปล่า? จำฉันไม่ได้เลยหรือไง? ที่เป็นคนพาเธอล้างรองเท้า เพราะเธอเผลอเหยียบขี้หมาตอนซ้อมวิ่งน่ะ”



    งืด....จำได้ละ จำได้พร้อมกับรูปรสกลิ่นเสียงของไอ้กองขี้หมานั่น เหม็นตลบอบอวลเลย แหวะ....มาพูดตอนนี้ทำไม? คนกำลังจะกินอาหารนะยะ



    “อ้อ เธอเอง”



    “เห็นไหม? พี่รตี จีจี้บอกแล้ว ถ้าขุดเรื่องนี้มาพูด รับรองยายเพียวต้องจำได้”



    “แล้วเธอมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ? จีจี้”



    “ฉันนะหรอ? ฉันก็ทำงานอยู่ที่นี่น่ะสิ เป็นเด็กเสิร์ฟไง”



    อ้อ...จริงสิ ยายนี่แต่งชุดเหมือนเด็กเสิร์ฟ ผูกหูกระต่ายด้วย



    “แล้วเธอล่ะ? ตอนนี้ทำอะไรอยู่?”



    ยายจีจี้มานั่งตรงข้ามกับฉัน ทำหน้าเหมือนกับอยากรู้ชีวประวัติของฉันเสียเหลือเกิน เอ....เราจะบอกว่าไงดี? ทำงานล้วงกระเป๋าอยู่หรอ? ไม่ได้...เราจะเปิดเผยฐานะในองค์กรล้วงกระเป๋าแห่งประเทศไม่ได้เด็ดขาด



    “กำลังหางานทำอยู่น่ะ”



    “ถ้ายังหางานทำไม่ได้ ก็มาทำงานกับพี่สิจ้ะ”



    ทำงาน.... ตำแหน่งอะไร? หวังว่าคงไม่ให้เราเป็นสายลับอะไรอีกนะ (แบบว่าเข็ดแล้ว)



    “ตอนนี้ร้านของเราก็กำลังขาดเด็กเสิร์ฟอยู่ ถ้าเพียวสนใจก็มาทำงานกับเราก็ได้นะ”



    ไม่เลวนี่...ได้เงินใช้ ไม่เสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง แถมยังเป็นการอำพรางตัวไปด้วย พ่อแม่เราจะได้ไม่สงสัยว่าเราเองเงินจากไหนมาใช้



    “ก็ดีค่ะ แล้วพี่รตีจะให้เพียวเริ่มงานวันไหนล่ะคะ?”



    “อืม....เอาเป็นพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”



    “ก็ดีค่ะ”



    ฉันยิ้มให้กับทุกคน พวกนี้ดูจะไว้ใจเราเสียเหลือเกิน ถ้าพวกเขารู้ว่าเราเป็น.....ขึ้นมา จะทำหน้ายังไงนะ แต่ช่างเถอะ....สำคัญตอนนี้ก็คือ ในที่สุด...เราก็ได้ประกอบอาชีพสุจริตกับเขาเสียที เย้!



    ***********************************************/



    ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น รีบอาบน้ำแต่งชุดพนักงานเสิร์ฟที่พี่รตีจัดให้ (เรียกเพราะ ๆ หน่อย ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายเราแล้วนะ)

    ฉันรีบออกจากบ้าน ไม่วายโดนพ่อถาม



    “นั่นแกจะไปไหนน่ะ? เพียว”



    “เอ่อ....ไปทำงานจ้ะ เป็นเด็กเสิร์ฟน่ะ”



    “ทำงานสุจริตก็ดี จะได้ไม่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน”



    งืด....โดนเทศนาแต่เช้า แต่ก็ดี...คำด่าของบุพการีคือพรสำหรับเรา (ทำหน้าซาบซึ้ง น้ำตาคลอ)



    ฉันขึ้นรถเมล์ที่แสนจะอัดแน่นเช่นเคย ไปถึงร้าน Angelo ตอนเก้าโมงเช้าพอดี ก่อนเวลาเปิดร้านหนึ่งชั่วโมง



    ตึกตัก...ตึกตัก....ตึกตัก ตื่นเต้นอย่าบอกใครเลย เราจะทำจานแตกกี่ใบนะ? แล้วจะมีลูกค้าเฒ่าหัวงูไหมหนอ? เอ....แล้วถ้ามีอาหารเหลือที่ยังพอกินได้ เราจะขอเก็บกลับบ้านได้ไหมนะ? (โฮะ โฮะ....แบบว่าเสียดายง่ะ ของแพง ๆ ทั้งนั้นเลยนี่นา)



    “อ้าว! มาแล้วหรอ? เพียว”



    เสียงแจ๋น ๆ ของยายจีจี้แสบแก้วหูชะมัด ก็มาแล้วน่ะสิยะ....ไม่งั้นไอ้ผู้หญิงที่ยืนหัวโด่อยู่นี่ใครล่ะ?



    “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”



    “ไปเปิดร้านสิ เอากุญแจนี่ไปไขประตู”



    “โอเค”



    ฉันเดินไปเปิดประตู พลิกป้าย open หน้าร้าน ผิวปากไป กวาดพื้นไป เห็นรถบีเอ็มดับบลิวเอ๊กซ์  (ผสมกันไปได้นะเรา) ก็ต้องรถพี่รตีชัวร์ชัวร์....



    “มาทำงานแล้วหรอ? เพียว”



    อีกละ...คำถามนี้อีกละ คงมาเดินเล่นมั้ง....



    “ค่ะ”



    “ดี เดี๋ยวเธอช่วยเขียนป้ายรับสมัครเด็กเสิร์ฟมาติดหน้าร้านหน่อยนะ ช่วงนี้ที่ร้านกำลังขาดคนอีกเยอะเลย”



    “ได้ค่ะ”



    ฉันกลับเข้าไปหยิบปากกาเมจิคกับกระดานไวท์บอร์ดจากเคาน์เตอร์มาเขียน



    “รับสมัครเด็กเสิร์ฟจำนวนมาก สนใจติดต่อด้านใน”



    แหม! ลายมือใครเนี่ย? สวยไม่เกรงใจใครเลย (เก่งจริง ๆ เรื่องชมตัวเองเนี่ย) ฉันเดินออกไปติดหน้าร้าน รีบกลับมาช่วยจีจี้จัดโต๊ะ พอสิบโมงปั๊บ...ลูกค้าหนึ่งคนก็เข้ามาปุ๊บ....



    “กี่ที่คะ?”



    “เปล่าครับ ผมมาสมัครงาน”



    ฉันจ้องหน้าผู้ชายคนนั้น และนั่นก็ทำให้ฉัน.....



    อึ้ง....ทึ่ง....เสียว แอนด์ ผวาด้วย....



    “เธอ”



    “นาวิน ....นายอีกแล้ว”



    ตาประสานตา ใจประสานใจ ....ปิ๊ง ปิ๊ง เฮ้ย! ไม่ใช่



    แย่แล้วต่างหาก....



    ทำไมพระเจ้าถึงได้กลั่นแกล้งหญิงสาวผู้อาภัพเช่นเรา อุตส่าห์หนีกลับมานครปฐม นึกว่าจะไม่เจอใคร แต่สุดท้าย แง....อีตาบ้านาวินก็ตามมาอีก ที่สำคัญ....เราขโมยเงินเขาไปต่อหน้าต่อตา หมอนี่ต้องอาฆาตเรา กะมาเล่นงานเราแน่ ๆ



    “มาสมัครงานใช่ไหมคะ?”



    พี่รตีเดินเข้ามากลางวง อย่านะ....นาวิน นายอย่าพูดอะไรเด็ดขาดนะ



    “ใช่ครับ ผมมาสมัครงาน”



    หา? แปลกแต่จริง....นายนั่นทำไมไม่ตีโพยตีพายล่ะ? เป็นงงเด่ะ



    นายนาวินเดินตามพี่รตีเข้าไปในห้อง เอาไงดี?....ยายเพียว จะทำยังไงกับหมอนี่ดี? ก่อนอื่นสงบสติอารมณ์ไว้ อย่าเป็นกระต่ายตื่นไฟ เอ้ย!…เจ๊กตื่นตูมเด็ดขาด เอ้ย! สับสนไปหมดแล้ว ยายเพียวเอ๋ย



    ฉันเข้าไปด้อม ๆ มอง ๆ นายนั่นคุยกับพี่รตีในห้องทำงาน...คุยอะไรกัน? ต้องแอบฟังหน่อย



    “เธอล้างจานเป็นหรือเปล่า?”



    “ไม่เป็นครับ”



    โฮะ โฮะ....ล้างจานไม่เป็น ไฮโซไฮไซส์ก็งี้แหละ โฮะ โฮะ



    “แล้วถูบ้านล่ะ? หน้าที่นี้เด็กเสิร์ฟทุกคนต้องทำก่อนเปิดร้าน ไม่เหมือนล้างจาน เรามีคนล้างจานเฉพาะอยู่แล้ว”



    “ไม่เป็นครับ แต่ผมคิดว่าผมสามารถฝึกได้”



    “กวาดพื้นล่ะ?”



    “ผมคิดว่า ผมฝึกได้เหมือนกันครับ”



    “สรุปว่า เธอทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”



    “ให้โอกาสผมสักครับเถอะครับ  คุณรตี ถ้าผมไม่ได้ทำงานที่นี่ ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำงานที่ไหนแล้ว”



    พี่รตีทำหน้าหนักใจ ....ไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด เราจะปล่อยให้หมอนี่มาเจ๋อที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด มีหวังโฉมหน้าก๊อดซิล่าในคราบนางฟ้าของเรา ต้องถูกเปิดเผยแน่ ๆ (ทำไมต้องก๊อดซิล่าหว่า? คนเขียนเองก็งงเหมือนกัน)  เห็นที....ฉันต้องทำ...ทำอะไรสักอย่างแล้ว (เพลงพี่ป้างเลยแฮะ)



    “อย่าให้เขาทำงานที่นี่นะคะ พี่รตี”



    ฉันเดินเข้าไปในห้อง นายนั่นเห็นฉันทำหน้าตกตะลึงสุด ๆ   โฮะ ๆ  มาดยายวายร้ายของฉัน เป็นไง? กลัวจนขนหัวลุกล่ะสิ เฮ้ย...นั่นมันผีแล้ว

    อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิ เก๊กหน้าก่อน ยายเพียว....



    “นี่เธอ” หมอนั่นลุกขึ้น ยกนิ้วชี้มาที่ฉัน



    “ทำไมล่ะ? เพียว ทำไมเธอถึงคิดว่าเขาไม่ควรทำงานที่นี่?”



    “เพียวคิดว่า เขาทำงานอะไรไม่เป็นเลย เรารับคนเพิ่มเพื่อมาช่วยงาน ไม่ได้ให้มาทำให้อะไร ๆ วุ่นขึ้นนะคะ พี่รตี พี่ลืมไปแล้วหรือคะ?”



    “แต่ว่า เราก็ควรให้โอกาสเขานะ คนเราถ้าไม่ได้รับโอกาส ก็ไม่มีวันที่จะเรียนรู้”



    ทำตัวมาคำคม....อย่าเพิ่งแย้งฉันได้ไหม? พี่รตีสุดเลิฟ...



    “ขนาดคนที่เคยขโมยเงินเป็นล้าน ยังมีคนให้โอกาสได้มีงานทำ แล้วทำไมเธอถึงไม่ให้โอกาสฉันบ้างล่ะ?”



    กรี๊ด....ดูนายนั่นพูดเข้าสิ ว่ากระทบฉันหรอ? แสบมาก นายนาวินคิดจะเอาเรื่องนั้นมาต้อนให้ฉันจนมุมหรือยะ? ฉันจ้องหน้านายนั่น อ้าปากค้างจนแมลงหวี่แมลงวันเข้าไปหลายตัว ขาก...ถุย ปากฉันไม่ใช่สิ่งปฏิกูลนะยะ (เอ..หรือว่ามันเข้าใจผิด?) อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิยายเพียว ตอนนี้เธอเป็นรองนะยะ คิดสิ....ว่าจะทำยังไงต่อ?



    “เอาอย่างนี้ละกัน” พี่รตีพูดขึ้น “ฉันจะให้เธอทดลองงานหนึ่งอาทิตย์ ให้เธอสะสมแต้ม ถ้าเธอทำงานพลาดครบเจ็ดครั้ง ฉันก็คงจะให้เธอทำงานที่นี่ไม่ได้”



    นายนาวินทำหน้าดีใจ แต่ฉันกลับเหมือนตกนรกขุมที่สองร้อยเก้า หมายความว่า เจ็ดวันต่อไปนี้ ฉันจะต้องทนเผชิญหน้ากับเขาหรอ?....เป็นฝันที่เลวร้ายที่สุดในรอบปีเลยนะเนี่ย



    “ขอบคุณมากครับ คุณรตี”



    “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ เธอเริ่มงานเลยแล้วกัน มาที่นี่ตอนเก้าโมงเช้านะ”



    “ครับ”



    พี่รตีเดินออกไป ในห้องก็เลยเหลืออยู่แค่ฉันกับนายนาวิน สถานการณ์ไม่สู้ดี เผ่นดีกว่า...



    ฉันแกล้งมองเพดานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจนายนั่นแล้วค่อย ๆ ย่องออกไป  แต่เขากลับเอาแขนพาดไว้หน้าประตู



    “จะไปไหน?”



    เสียงนายนั่นเหมือนยมฑูตกลับชาติจริง ๆ ดูทำหน้าเข้าสิ...นายนี่บทจะหน้าโหดก็ยิ่งกว่านักเลงซะอีก อย่านะ นาวิน อย่าฆ่าฉันเลย เห็นแก่เด็กน้อยตาดำ ๆ เต๊อะ....



    ฉันห่อแขนก้มหน้านิ่ง....ไม่ได้ ยายน้ำค้าง เราจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนายนั่นได้ใจ กำแหงข่มขู่เรานะ



    “ฉันจะไปทำงานน่ะสิ”



    “หน้าซีดเป็นไก่ต้มอย่างนี้ จะมีสมาธิทำงานหรอ?”



    กรี๊ด(ยกกำลังสอง) ขนาดข่มเสียงให้เข้มเหมือนอาฉีเสียงหล่อ แต่นายยังดูออกอีกรึ? ทำไงดี? ทำไงดี?



    “นายต้องการอะไรกันแน่?”



    “ฉันไม่ต้องการอะไรหรอก แค่อยากทำงานที่นี่อย่างสงบสุข”



    “คิดว่าฉันจะยอมให้นายทำงานที่นี่อย่างมีความสุขหรอ? ฉันจะบอกพ่อนาย ว่านายอยู่ที่นี่ นายจะได้ไสหัวไปจากที่นี่ซะ”



    “ก็ลองดูสิ ฉันจะได้แฉเรื่องของเธอ เรื่องที่เธอขโมยเงินฉันไป”



    กรี๊ด (จนเสียงแหบแล้ว แค็ก ๆ โอย....เจ็บคอ) อีตาบ้า...นี่นายคิดจะเป็น ชูวับ กะละมังวิเศษหรือยะ? ทำไมนะ ทำไมฉันจะต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ กับคนบ้า ๆ อย่างนายด้วย?



    เขายักคิ้วก่อนจะเดินออกไป ....เพียวเอ๋ย แกจะยอมให้นายนั่นลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด เห็นทีเราต้องปฏิบัติการณ์ด้วยแผนการอันแยบยลแล้ว...



    *****************************/

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×