ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Effect 1st : นายเย็นชากับนายหน้าเลือด
                                                                                                - 1 -
“ค่าปรับทั้งหมด ยี่สิบบาทขาดตัว จ่ายมา”
ยี่สิบบาทเชียวเหรอ?...อูย~~ อย่างนี้ก็หมดตัวสิ....
ฉันแหวกช่องใส่ธนบัตรในกระเป๋าเงินอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดใจหยิบแบงค์ยี่สิบออกมา เฮ้อ! ไม่น่าเลย ฉันไม่น่ายืมนิยายเรื่องนี้มาอ่านเลย อ่านแล้วก็ไม่เห็นจะสนุกอย่างที่คำนิยมบนปกหลังบอกเลย แต่สุดท้ายฉันก็อ่านจนจบเล่ม (ขนาดไม่สนุกนะเนี่ย) เสร็จแล้วก็ดองไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือจนลืมเอามาคืน ดูซิ...ไม่สนุกแถมยังต้องมาเสียเงินอีก แย่จัง...
“ทีหลังก็อย่าคืนเลทอีกล่ะ ซิมมิ”
อาจารย์บรรณารักษ์พูดแล้วก็เอาเงินไป ฉันยืนจดบันทึกอยู่แป๊บนึงก็หอบหนังสือสามเล่มหนา ๆ ออกมาจากห้องสมุด...นี่แหละคือชีวิตของซิมมิ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปโรงเรียน เลิกเรียนเสร็จก็แวะเข้าห้องสมุด พอห้าโมงเย็นปั๊บก็อยู่ช่วยจัดหนังสือแล้วก็ค่อยกลับบ้าน
น่าเบื่อมั้ยล่ะ? ชีวิตฉัน... จะว่าไปแล้วฉันก็แอบเซ็งเหมือนกัน แต่ทำไงได้ล่ะ...ก็ฉันไม่เหมือนคนอื่นนี่....เฮ้อ!~~
เออ...แล้วงงมั้ยล่ะ? ว่าไม่เหมือนคนอื่นยังไง?...เดี๋ยวก็รู้....
ฉันรีบออกมาจากโรงเรียน ว้า! ขนมโตเกียว น้ำปั่น บาร์บีคิวกลับกันไปหมดแล้วเหรอ? แล้วฉันจะกินอะไรล่ะ? หิวนะเนี่ย....ฮือ ๆ
ระหว่างที่กำลังเอามือลูบท้องตัวเอง หนังสือเล่มหนาที่หอบไว้ก็สามัคคีกันร่วงลงพื้น...ฉันก้มลงเก็บก่อนจะ....
ปั๊ก! วืด...................
“นี่เธอ เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ?”
ฉันลืมตาขึ้น มองหน้าผู้ชายที่ก้มมองฉัน...โอ้ว! หล่อมาก ๆ หล่อเหมือนพระเอกซีรี่ส์ไต้หวัน...Make a wish Make a wish กรี๊ด! พี่วิคมาอรุณสวัสดิ์แต่เช้าเลยนะคะ...
เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน...ดูจากท้องฟ้ามันก็ไม่น่าจะตอนเช้านะ แล้วนี่ฉันก็มานอนอยู่กับพื้นถนน.. แล้วนี่หนังสืออะไรเนี่ย?...ฉันหอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่?...หรือว่า....อาการกำเริบอีกแล้ว?.....
ต้องใช่แน่ ๆ เลย...ฉันจะต้องไม่ระวังโดนตัวผู้ชาย หรือไม่ฉันก็ระวังแล้วแต่ผู้ชายมาโดนตัวฉันเอง...อย่ามัวแต่เดาเลย...เปิดสมุดบันทึกเดี๋ยวก็รู้...
ฉันลุกขึ้นหยิบสมุดบันทึกหน้าปกลายส้มมาพลิกไปพลิกมา...อ๋อ! วันนี้ฉันไปเรียนหนังสือ อาจารย์สั่งรายงานมาพรึ่บ...คืนนิยายญี่ปุ่นรักสามเส้าซ้อนสามเส้าซ้อนสามเส้าแล้วโดนปรับเงินยี่สิบบาท แล้วก็ค่อยยืมตำราฟิสิกส์สองเล่มกับปริ๊นเซส ไดอารี่อีกหนึ่งเล่ม ตอนนี้ห้าโมงเย็น เป็นเวลาที่ฉันควรจะกลับบ้าน..ใช่...เป็นอย่างนี้นี่เอง
“นี่เธอ ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
ฉันหันไปมองหน้าพี่วิคอีกรอบ ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นเด็กเอกบุรุษศึกษา โรงเรียนชายล้วนที่อยู่ข้าง ๆ โรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่...ฮึ! เพราะตาหน้าหล่อนี่แหละที่ทำให้ฉันต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำอย่างนี้เนี่ย...
“ไม่เป็นไรหรอก”
ฉันพูดไปลุกขึ้นเอามือปัดกระโปรงไป...ตานั่นทำหน้านิ่งแล้วก็เดินหนี...ตาบ้า ถามเสร็จแล้วก็เดินหนีเลยรึ? ไม่คิดจะขอโทษสักคำเลยหรือไง? หน้าตาหล่อซะเปล่า...แต่นิสัยแย่ที่สุด...
ฉันแลบลิ้นไล่หลังตานั่นแล้วก็ก้มลงเก็บหนังสือขึ้นมา...ตาบ๊องเอ๊ย! อย่าให้เจออีกนะ เจอแล้วจะ...วิ่งหนีให้ดู (เพราะกลัวอาการกำเริบ)
และนี่แหละ คือสิ่งที่ฉันบอกว่า...ฉันมันไม่เหมือนคนอื่น มีอย่างที่ไหน โดนตัวผู้ชายแล้วสลบแถมจำอะไรไม่ได้ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันก็เป็นอย่างนี้แล้ว...ตอนเรียนอนุบาล ฉันก็เลยถูกจับแยกจากเด็กผู้ชาย พอโตหน่อยก็เรียนโรงเรียนหญิงล้วน ฉันก็เลยไม่เคยมีแฟน(ทั้งที่อยากมีใจจะขาด) ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนผู้ชาย...
แม่เคยพาฉันไปรักษาหลายสำนัก ไสยศาสตร์ก็เคยมาแล้ว พบจิตแพทย์ก็เคยเหมือนกัน...รู้มั้ย? จิตแพทย์เขาหาว่าฉันเป็นอะไร...หาว่าฉันมีปม... มีความหลัง... อยู่ในกลุ่มอุปทาน...แล้วก็บ่นเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ต้องเปิดดิกกันจนมือหัก...บ้าไปแล้ว หมอโรคจิตต้องป่วยซะเองแน่ ๆ ฉันไม่ได้บ้า...ฉันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วต่างหากย่ะ
เฮ้อ! ถึงจะรู้ว่าวันนี้ฉันทำอะไรบ้าง แต่ก็จำไม่ได้ว่าตอนที่ฉันหมดสติไปเกิดอะไรขึ้น ฉันเดินประสาอะไรถึงปล่อยให้เขาเข้ามาชน เอ....หรือว่าฉันมองไม่เห็นเขา? โอ๊ย! อย่าไปนึกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว...ก็ให้มันแล้ว ๆ ไปละกัน
พอเดินออกมาจากซอย ฉันก็ขึ้นสะพานลอยข้ามไปอีกฝั่ง...เฮ้อ! ฟ้ามืดแล้วเหรอ?...ฟ้าจ๋า...จุ๊บ ๆ อย่าเพิ่งมืดสิ ฉันยังไม่ถึงบ้านเลยนะ กลับกลางค่ำกลางคืนมันน่ากลัวออกจะตายไป....เกิดฉันเจอโจรบ้ากามล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายจะทำยังไงเนี่ย?...โอย! ยิ่งคิดยิ่งหวาดระแวง...
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้หน้าป้ายรถเมล์...แถวนี้ก็ไม่มีใครเลย ตึกแถวนี้ก็พร้อมใจกันปิด...โอย! บรรยากาศเหมาะทำหนังฆาตกรรมมาก ๆ...โอมเพี้ยง! รถเมล์มาเร็ว ๆ ทีเถอะ....
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
หือ....เสียงใคร? เสียงผู้ชาย...มาจากไหน?...แถว ๆนี้แหละ...ว่าแต่...แถวนี้ที่ว่ามันแถวไหนล่ะ?
ฉันหันไปมองรอบตัว ไม่มีนี่หว่า...แล้วเสียงมันมาจากไหน?...บรื๋อ! อย่าบอกนะว่า...ผะ...ผะ...ผะ...ผีหลอก...
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้...ช่วยที”
อ๊าก....ก...ก! ยังไม่เลิกครวญครางอีก...กลัวแล้ว  อย่ามาหลอกหลอนกันเลย ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิด...ฉันกอดหนังสือกับกระเป๋า...หลับตาแน่น...รถเมล์ก็ยังไม่มาซะที อะไรเนี่ย?....กลัวนะ...
“เธอก็ได้ ช่วยฉันหน่อย เธอที่ถักเปียสองข้าง ใส่กระโปรงยาวเลยเข่า ยืนตัวสั่นดิ๊ก ๆ อยู่น่ะ”
แนะ...มีมาพรรณาโวหารถึงตัวฉันอีก...ผีอะไรอ่ะ? หรือว่า...ไม่ใช่ผี?
โอเค...ตั้งสติก่อน ซิมมิ...ลองมองดูอีกรอบซิ...ไม่แน่เสียงที่ว่าอาจะไม่ใช่เสียงผีก็ได้...
ฉันหันไปมองรอบ ๆ มองตามพื้นเพื่อความแน่ใจ...เอ๊ะ! นั่นมัน...ขาคนนี่นา ฉันเดินถอยหลังแล้วขยับไปทางซ้าย ด้านหลังกองขยะข้าง ๆ ป้ายรถเมล์มีผู้ชายนอนอยู่ โอ้ว! นอนกับพื้น หน้างี้เต็มไปด้วยเลือดเกรอะเชียว...น่ากลัวชะมัด ไปโดนใครทำร้ายมาเนี่ย?
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ฉันหันหน้าหนีทันที...ไม่ใช่เพราะกลัวเลือดหรอก แต่ว่า...ก็อย่างที่บอกแหละ ฉันมันไม่เหมือนคนอื่น ถ้าช่วยเขาก็ต้องโดนตัวเขา...แล้วฉันก็ต้องสลบอีกรอบ...เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงจริงมั้ยล่ะ?
“ช่วยด้วย...โอย....”
ได้ยินเสียงร้องก็ยิ่งหนักใจ...อยากจะช่วยแต่ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ให้คนอื่นมาช่วยแล้วกันนะนายหน้าเลือด
“ช่วยด้วย...”
โอ๊ย! หยุดร้องซะทีได้มั้ย?....ทนไม่ไหวแล้วนะ...
ฉันเดินเข้าไปที่ผู้ชายคนนั้น...มนุษยธรรมนำชาติเจริญ...เห็นคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ นี่สิ...ลูกผู้หญิงกระทิงเดือดเลือดพล่าน...ช่วยเขาแบบไม่แตะตัวเขาก็ได้นี่...เราก็ระวังซะหน่อย ก็คงไม่โดนหรอก....
“นี่คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉันย่อตัวหยิบไม้เสียบลูกชิ้นจากกองขยะมาสะกิดตัวเขา...ตานั่นก็ร้องโอดโอยแต่ไม่ยอมตอบอะไร เออ...ก็เขาช้ำซะขนาดนี้ จะมามีอารมณ์ตอบเหรอ? เอาไงดี?...วิชาสุขศึกษาบอกว่าก่อนพาไปที่โรงพยาบาลควรจะปฐมพยาบาลเบื้องต้น...แต่ฉันไม่มีเครื่องมือเลยนี่นา เอางี้ดีกว่า...ไปเรียกคนมาช่วยดีกว่า...
กำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ ๆ..ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกจับข้อมือไว้ พอหันมา จ๊าก! ตานั่น...จับข้อมือฉัน....
วืด................
เอ๊ะ! ทำไมฉันไม่สลบ? ทุกอย่างเป็นปกติ...งงอย่างแรง หรือว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย? แต่ดูการแต่งตัวน่าจะใช่นะ...
“นั่งหน้าเอ๋ออยู่ทำไม? ประคองฉันไปหาหมอสิ”
อะไร?...สะบักสะบอมขนาดนี้แล้วยังจะมาว่าฉันอีก อย่างนี้มันน่าช่วยมั้ยเนี่ย?...แต่เอาวะ ช่างมันเถอะ...ที่ว่าฉันจะยอมให้อภัย นี่ฉันเห็นแก่มนุษยธรรมนะเนี่ย...
ฉันบ่นอุบอิบแล้วเอื้อมมือไปแตะตัวเขาเพื่อความแน่ใจ ไม่เป็นไรจริง ๆ ด้วยแฮะ...แล้วก็ค่อยประคองเขาลุกขึ้นไปเรียกรถแท็กซี่...
A  N  T  I    M  A  L  E    E  F  F  E  C  T
จริงอ่ะ? ไม่มั้ง... >.< เป็นไปไม่ได้...นั่นน่ะสิ ...ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด แต่ก็เป็นไปแล้ว...นั่นสินะ...เออแฮะ..แต่ยังไงก็ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อเด็ดขาด...
ฉันลุกขึ้นจากเตียง...มองตัวเองในชุดนอนสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์...ฉันเองก็นอนหลับสบายดี ไม่เป็นไข้...ไม่ได้ละเมอ...เรื่องเมื่อตอนค่ำก็ไม่ใช่ฝัน เลือดตาคนนั่นก็ยังเปื้อนเสื้อนักเรียนฉันเลย...ซักก็ซักไม่ออกอีก...
แสดงว่ามันเป็นความจริง...แต่ทำไมล่ะ? ทำไมฉันโดนตัวเขาถึงไม่เป็นไร?...
“น้องซิม ตื่นรึยัง? หกโมงครึ่งแล้วนะลูก”
อ๋อ! นั่นเสียงแม่ฉันเองล่ะ...เป็นไง เสียงสาวมั้ย?...(ไม่ได้ยินก็จินตนาการเอาเองแล้วกัน)  แม่ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกบัญชีของโรงงานปลากระป๋อง กลับมาบ้านก็ต้องมาจ้องจอคอมพิวเตอร์ กดเครื่องคิดเลขยิก ๆ วันหยุดแท้ ๆ ยังเครียดจนหัวฟูเหมือนไอน์สไตน์...ดูแล้วไม่เห็นเหมือนหัวหน้าเลยแฮะ...
เอ้อ! แอบนินทาซะนาน รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า...เดี๋ยวมาดามหัวฟูมาโวยวายอีก...
พอแต่งตัวเรียบร้อย (เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนคไทสีดำ ทับด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีกรมท่า กระโปรงจีบรอบตัวสีขาว นี่แหละ เครื่องแบบของโรงเรียนสตรีละอองนวล ...ใครออกแบบชุดฟะ? คิดว่าตัวเองอยู่ปารีสหรือไงยะ? ร้อนจะตายชัก แฮก ๆ >O<” )ฉันก็รีบไปประจำตำแหน่งที่โต๊ะอาหาร... ส่วนแม่ก็กำลังทาเนยใส่ขนมปัง...นี่...เป็นไงล่ะ? กินขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้า...
“การบ้านทำเสร็จรึยัง? น้องซิม”
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ดีมาก”
แล้วแม่ก็กัดขนมปังต่อ เอาซอสแม็กกี้เหยาะใส่ไข่ดาวแล้วเอาส้อมจิ้มเข้าปาก...เออ...จริงสิ ตั้งแต่เมื่อคืน ฉันยังไม่ได้เล่าประสบการณ์สยอง
หน้าป้ายรถเมล์ >.< ..เอ้ย! เล่าเรื่องตาหน้าเลือดนั่นเลยนี่นา...จะได้ลองถามแม่ด้วยว่าคิดยังไง?
“แม่คะ”
“อะไรจ้ะ? น้องซิม”
“คือเมื่อคืน...ซิมไปเจอผู้ชายคนนึง...เขาบาดเจ็บแต่ซิมไม่กล้าช่วย...”
“ดีแล้ว...เดี๋ยวอาการกำเริบจะยุ่งนะ”
แป่ว! .ยังเล่าไม่จบเลย  -__-  แม่สรุปซะอย่างนั้น แล้วถ้าแม่รู้ว่าฉันช่วยเขา...แม่จะว่ายังไงน้า?....
“คิดอะไรอยู่? น้องซิม”
“เอ่อ...คือซิม...ซิมสงสารเขา ก็เลยช่วยเขาไปแล้วอ่ะค่ะ”
แม่จ้องหน้าฉัน...เดาไม่ถูกว่าแม่กำลังคิดอะไร? อย่าบอกนะ....ว่าแม่อยากกระโดดกัดหูฉันเป็นการลงโทษน่ะ...
“แล้วไง?”
“แล้ว...เอ้อ! แต่ว่า...ซิมไม่เป็นไรเลยนะคะ  ซิมไม่สลบ ยังพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลเลย...แปลกจังค่ะ ทำไมกับเขาซิมถึงไม่เป็นอะไร...หรือว่า...เขาจะสามารถช่วยให้ซิมหายได้คะแม่?”
ฉันพูดจบ แม่ก็ส่ายหน้าจิ้มไส้กรอกเข้าปาก
“อย่ามาเหลวไหลหน่อยเลย...เป็นไปไม่ได้หรอก”
“แต่เป็นไปแล้ว...ซิมจำได้ทุกอย่างเลยนะคะแม่...จริง ๆนะ”
“สายแล้ว รีบ ๆ กินแล้วตามแม่ไปที่รถนะ”
แล้วแม่ก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้าน...ฉันนั่งมองป้าคนรับใช้มาเก็บจานอย่างเซ็ง ๆ อะไรกันเนี่ย?...เหลวไหลที่ไหนกัน? ก็มันเรื่องจริง...ตานั่นแตะฉันแต่ไม่เป็นไร ...ทำไมแม่ไม่เชื่อฉันหว่า?...งงแฮะ...
A  N  T  I    M  A  L  E    E  F  F  E  C  T
“ค่าปรับทั้งหมด ยี่สิบบาทขาดตัว จ่ายมา”
ยี่สิบบาทเชียวเหรอ?...อูย~~ อย่างนี้ก็หมดตัวสิ....
ฉันแหวกช่องใส่ธนบัตรในกระเป๋าเงินอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดใจหยิบแบงค์ยี่สิบออกมา เฮ้อ! ไม่น่าเลย ฉันไม่น่ายืมนิยายเรื่องนี้มาอ่านเลย อ่านแล้วก็ไม่เห็นจะสนุกอย่างที่คำนิยมบนปกหลังบอกเลย แต่สุดท้ายฉันก็อ่านจนจบเล่ม (ขนาดไม่สนุกนะเนี่ย) เสร็จแล้วก็ดองไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือจนลืมเอามาคืน ดูซิ...ไม่สนุกแถมยังต้องมาเสียเงินอีก แย่จัง...
“ทีหลังก็อย่าคืนเลทอีกล่ะ ซิมมิ”
อาจารย์บรรณารักษ์พูดแล้วก็เอาเงินไป ฉันยืนจดบันทึกอยู่แป๊บนึงก็หอบหนังสือสามเล่มหนา ๆ ออกมาจากห้องสมุด...นี่แหละคือชีวิตของซิมมิ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปโรงเรียน เลิกเรียนเสร็จก็แวะเข้าห้องสมุด พอห้าโมงเย็นปั๊บก็อยู่ช่วยจัดหนังสือแล้วก็ค่อยกลับบ้าน
น่าเบื่อมั้ยล่ะ? ชีวิตฉัน... จะว่าไปแล้วฉันก็แอบเซ็งเหมือนกัน แต่ทำไงได้ล่ะ...ก็ฉันไม่เหมือนคนอื่นนี่....เฮ้อ!~~
เออ...แล้วงงมั้ยล่ะ? ว่าไม่เหมือนคนอื่นยังไง?...เดี๋ยวก็รู้....
ฉันรีบออกมาจากโรงเรียน ว้า! ขนมโตเกียว น้ำปั่น บาร์บีคิวกลับกันไปหมดแล้วเหรอ? แล้วฉันจะกินอะไรล่ะ? หิวนะเนี่ย....ฮือ ๆ
ระหว่างที่กำลังเอามือลูบท้องตัวเอง หนังสือเล่มหนาที่หอบไว้ก็สามัคคีกันร่วงลงพื้น...ฉันก้มลงเก็บก่อนจะ....
ปั๊ก! วืด...................
“นี่เธอ เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ?”
ฉันลืมตาขึ้น มองหน้าผู้ชายที่ก้มมองฉัน...โอ้ว! หล่อมาก ๆ หล่อเหมือนพระเอกซีรี่ส์ไต้หวัน...Make a wish Make a wish กรี๊ด! พี่วิคมาอรุณสวัสดิ์แต่เช้าเลยนะคะ...
เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน...ดูจากท้องฟ้ามันก็ไม่น่าจะตอนเช้านะ แล้วนี่ฉันก็มานอนอยู่กับพื้นถนน.. แล้วนี่หนังสืออะไรเนี่ย?...ฉันหอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่?...หรือว่า....อาการกำเริบอีกแล้ว?.....
ต้องใช่แน่ ๆ เลย...ฉันจะต้องไม่ระวังโดนตัวผู้ชาย หรือไม่ฉันก็ระวังแล้วแต่ผู้ชายมาโดนตัวฉันเอง...อย่ามัวแต่เดาเลย...เปิดสมุดบันทึกเดี๋ยวก็รู้...
ฉันลุกขึ้นหยิบสมุดบันทึกหน้าปกลายส้มมาพลิกไปพลิกมา...อ๋อ! วันนี้ฉันไปเรียนหนังสือ อาจารย์สั่งรายงานมาพรึ่บ...คืนนิยายญี่ปุ่นรักสามเส้าซ้อนสามเส้าซ้อนสามเส้าแล้วโดนปรับเงินยี่สิบบาท แล้วก็ค่อยยืมตำราฟิสิกส์สองเล่มกับปริ๊นเซส ไดอารี่อีกหนึ่งเล่ม ตอนนี้ห้าโมงเย็น เป็นเวลาที่ฉันควรจะกลับบ้าน..ใช่...เป็นอย่างนี้นี่เอง
“นี่เธอ ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
ฉันหันไปมองหน้าพี่วิคอีกรอบ ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นเด็กเอกบุรุษศึกษา โรงเรียนชายล้วนที่อยู่ข้าง ๆ โรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่...ฮึ! เพราะตาหน้าหล่อนี่แหละที่ทำให้ฉันต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำอย่างนี้เนี่ย...
“ไม่เป็นไรหรอก”
ฉันพูดไปลุกขึ้นเอามือปัดกระโปรงไป...ตานั่นทำหน้านิ่งแล้วก็เดินหนี...ตาบ้า ถามเสร็จแล้วก็เดินหนีเลยรึ? ไม่คิดจะขอโทษสักคำเลยหรือไง? หน้าตาหล่อซะเปล่า...แต่นิสัยแย่ที่สุด...
ฉันแลบลิ้นไล่หลังตานั่นแล้วก็ก้มลงเก็บหนังสือขึ้นมา...ตาบ๊องเอ๊ย! อย่าให้เจออีกนะ เจอแล้วจะ...วิ่งหนีให้ดู (เพราะกลัวอาการกำเริบ)
และนี่แหละ คือสิ่งที่ฉันบอกว่า...ฉันมันไม่เหมือนคนอื่น มีอย่างที่ไหน โดนตัวผู้ชายแล้วสลบแถมจำอะไรไม่ได้ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันก็เป็นอย่างนี้แล้ว...ตอนเรียนอนุบาล ฉันก็เลยถูกจับแยกจากเด็กผู้ชาย พอโตหน่อยก็เรียนโรงเรียนหญิงล้วน ฉันก็เลยไม่เคยมีแฟน(ทั้งที่อยากมีใจจะขาด) ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนผู้ชาย...
แม่เคยพาฉันไปรักษาหลายสำนัก ไสยศาสตร์ก็เคยมาแล้ว พบจิตแพทย์ก็เคยเหมือนกัน...รู้มั้ย? จิตแพทย์เขาหาว่าฉันเป็นอะไร...หาว่าฉันมีปม... มีความหลัง... อยู่ในกลุ่มอุปทาน...แล้วก็บ่นเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ต้องเปิดดิกกันจนมือหัก...บ้าไปแล้ว หมอโรคจิตต้องป่วยซะเองแน่ ๆ ฉันไม่ได้บ้า...ฉันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วต่างหากย่ะ
เฮ้อ! ถึงจะรู้ว่าวันนี้ฉันทำอะไรบ้าง แต่ก็จำไม่ได้ว่าตอนที่ฉันหมดสติไปเกิดอะไรขึ้น ฉันเดินประสาอะไรถึงปล่อยให้เขาเข้ามาชน เอ....หรือว่าฉันมองไม่เห็นเขา? โอ๊ย! อย่าไปนึกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว...ก็ให้มันแล้ว ๆ ไปละกัน
พอเดินออกมาจากซอย ฉันก็ขึ้นสะพานลอยข้ามไปอีกฝั่ง...เฮ้อ! ฟ้ามืดแล้วเหรอ?...ฟ้าจ๋า...จุ๊บ ๆ อย่าเพิ่งมืดสิ ฉันยังไม่ถึงบ้านเลยนะ กลับกลางค่ำกลางคืนมันน่ากลัวออกจะตายไป....เกิดฉันเจอโจรบ้ากามล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายจะทำยังไงเนี่ย?...โอย! ยิ่งคิดยิ่งหวาดระแวง...
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้หน้าป้ายรถเมล์...แถวนี้ก็ไม่มีใครเลย ตึกแถวนี้ก็พร้อมใจกันปิด...โอย! บรรยากาศเหมาะทำหนังฆาตกรรมมาก ๆ...โอมเพี้ยง! รถเมล์มาเร็ว ๆ ทีเถอะ....
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
หือ....เสียงใคร? เสียงผู้ชาย...มาจากไหน?...แถว ๆนี้แหละ...ว่าแต่...แถวนี้ที่ว่ามันแถวไหนล่ะ?
ฉันหันไปมองรอบตัว ไม่มีนี่หว่า...แล้วเสียงมันมาจากไหน?...บรื๋อ! อย่าบอกนะว่า...ผะ...ผะ...ผะ...ผีหลอก...
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้...ช่วยที”
อ๊าก....ก...ก! ยังไม่เลิกครวญครางอีก...กลัวแล้ว  อย่ามาหลอกหลอนกันเลย ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิด...ฉันกอดหนังสือกับกระเป๋า...หลับตาแน่น...รถเมล์ก็ยังไม่มาซะที อะไรเนี่ย?....กลัวนะ...
“เธอก็ได้ ช่วยฉันหน่อย เธอที่ถักเปียสองข้าง ใส่กระโปรงยาวเลยเข่า ยืนตัวสั่นดิ๊ก ๆ อยู่น่ะ”
แนะ...มีมาพรรณาโวหารถึงตัวฉันอีก...ผีอะไรอ่ะ? หรือว่า...ไม่ใช่ผี?
โอเค...ตั้งสติก่อน ซิมมิ...ลองมองดูอีกรอบซิ...ไม่แน่เสียงที่ว่าอาจะไม่ใช่เสียงผีก็ได้...
ฉันหันไปมองรอบ ๆ มองตามพื้นเพื่อความแน่ใจ...เอ๊ะ! นั่นมัน...ขาคนนี่นา ฉันเดินถอยหลังแล้วขยับไปทางซ้าย ด้านหลังกองขยะข้าง ๆ ป้ายรถเมล์มีผู้ชายนอนอยู่ โอ้ว! นอนกับพื้น หน้างี้เต็มไปด้วยเลือดเกรอะเชียว...น่ากลัวชะมัด ไปโดนใครทำร้ายมาเนี่ย?
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ฉันหันหน้าหนีทันที...ไม่ใช่เพราะกลัวเลือดหรอก แต่ว่า...ก็อย่างที่บอกแหละ ฉันมันไม่เหมือนคนอื่น ถ้าช่วยเขาก็ต้องโดนตัวเขา...แล้วฉันก็ต้องสลบอีกรอบ...เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงจริงมั้ยล่ะ?
“ช่วยด้วย...โอย....”
ได้ยินเสียงร้องก็ยิ่งหนักใจ...อยากจะช่วยแต่ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ให้คนอื่นมาช่วยแล้วกันนะนายหน้าเลือด
“ช่วยด้วย...”
โอ๊ย! หยุดร้องซะทีได้มั้ย?....ทนไม่ไหวแล้วนะ...
ฉันเดินเข้าไปที่ผู้ชายคนนั้น...มนุษยธรรมนำชาติเจริญ...เห็นคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ นี่สิ...ลูกผู้หญิงกระทิงเดือดเลือดพล่าน...ช่วยเขาแบบไม่แตะตัวเขาก็ได้นี่...เราก็ระวังซะหน่อย ก็คงไม่โดนหรอก....
“นี่คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉันย่อตัวหยิบไม้เสียบลูกชิ้นจากกองขยะมาสะกิดตัวเขา...ตานั่นก็ร้องโอดโอยแต่ไม่ยอมตอบอะไร เออ...ก็เขาช้ำซะขนาดนี้ จะมามีอารมณ์ตอบเหรอ? เอาไงดี?...วิชาสุขศึกษาบอกว่าก่อนพาไปที่โรงพยาบาลควรจะปฐมพยาบาลเบื้องต้น...แต่ฉันไม่มีเครื่องมือเลยนี่นา เอางี้ดีกว่า...ไปเรียกคนมาช่วยดีกว่า...
กำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ ๆ..ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกจับข้อมือไว้ พอหันมา จ๊าก! ตานั่น...จับข้อมือฉัน....
วืด................
เอ๊ะ! ทำไมฉันไม่สลบ? ทุกอย่างเป็นปกติ...งงอย่างแรง หรือว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย? แต่ดูการแต่งตัวน่าจะใช่นะ...
“นั่งหน้าเอ๋ออยู่ทำไม? ประคองฉันไปหาหมอสิ”
อะไร?...สะบักสะบอมขนาดนี้แล้วยังจะมาว่าฉันอีก อย่างนี้มันน่าช่วยมั้ยเนี่ย?...แต่เอาวะ ช่างมันเถอะ...ที่ว่าฉันจะยอมให้อภัย นี่ฉันเห็นแก่มนุษยธรรมนะเนี่ย...
ฉันบ่นอุบอิบแล้วเอื้อมมือไปแตะตัวเขาเพื่อความแน่ใจ ไม่เป็นไรจริง ๆ ด้วยแฮะ...แล้วก็ค่อยประคองเขาลุกขึ้นไปเรียกรถแท็กซี่...
A  N  T  I    M  A  L  E    E  F  F  E  C  T
จริงอ่ะ? ไม่มั้ง... >.< เป็นไปไม่ได้...นั่นน่ะสิ ...ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด แต่ก็เป็นไปแล้ว...นั่นสินะ...เออแฮะ..แต่ยังไงก็ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อเด็ดขาด...
ฉันลุกขึ้นจากเตียง...มองตัวเองในชุดนอนสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์...ฉันเองก็นอนหลับสบายดี ไม่เป็นไข้...ไม่ได้ละเมอ...เรื่องเมื่อตอนค่ำก็ไม่ใช่ฝัน เลือดตาคนนั่นก็ยังเปื้อนเสื้อนักเรียนฉันเลย...ซักก็ซักไม่ออกอีก...
แสดงว่ามันเป็นความจริง...แต่ทำไมล่ะ? ทำไมฉันโดนตัวเขาถึงไม่เป็นไร?...
“น้องซิม ตื่นรึยัง? หกโมงครึ่งแล้วนะลูก”
อ๋อ! นั่นเสียงแม่ฉันเองล่ะ...เป็นไง เสียงสาวมั้ย?...(ไม่ได้ยินก็จินตนาการเอาเองแล้วกัน)  แม่ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกบัญชีของโรงงานปลากระป๋อง กลับมาบ้านก็ต้องมาจ้องจอคอมพิวเตอร์ กดเครื่องคิดเลขยิก ๆ วันหยุดแท้ ๆ ยังเครียดจนหัวฟูเหมือนไอน์สไตน์...ดูแล้วไม่เห็นเหมือนหัวหน้าเลยแฮะ...
เอ้อ! แอบนินทาซะนาน รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า...เดี๋ยวมาดามหัวฟูมาโวยวายอีก...
พอแต่งตัวเรียบร้อย (เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนคไทสีดำ ทับด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีกรมท่า กระโปรงจีบรอบตัวสีขาว นี่แหละ เครื่องแบบของโรงเรียนสตรีละอองนวล ...ใครออกแบบชุดฟะ? คิดว่าตัวเองอยู่ปารีสหรือไงยะ? ร้อนจะตายชัก แฮก ๆ >O<” )ฉันก็รีบไปประจำตำแหน่งที่โต๊ะอาหาร... ส่วนแม่ก็กำลังทาเนยใส่ขนมปัง...นี่...เป็นไงล่ะ? กินขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้า...
“การบ้านทำเสร็จรึยัง? น้องซิม”
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ดีมาก”
แล้วแม่ก็กัดขนมปังต่อ เอาซอสแม็กกี้เหยาะใส่ไข่ดาวแล้วเอาส้อมจิ้มเข้าปาก...เออ...จริงสิ ตั้งแต่เมื่อคืน ฉันยังไม่ได้เล่าประสบการณ์สยอง
หน้าป้ายรถเมล์ >.< ..เอ้ย! เล่าเรื่องตาหน้าเลือดนั่นเลยนี่นา...จะได้ลองถามแม่ด้วยว่าคิดยังไง?
“แม่คะ”
“อะไรจ้ะ? น้องซิม”
“คือเมื่อคืน...ซิมไปเจอผู้ชายคนนึง...เขาบาดเจ็บแต่ซิมไม่กล้าช่วย...”
“ดีแล้ว...เดี๋ยวอาการกำเริบจะยุ่งนะ”
แป่ว! .ยังเล่าไม่จบเลย  -__-  แม่สรุปซะอย่างนั้น แล้วถ้าแม่รู้ว่าฉันช่วยเขา...แม่จะว่ายังไงน้า?....
“คิดอะไรอยู่? น้องซิม”
“เอ่อ...คือซิม...ซิมสงสารเขา ก็เลยช่วยเขาไปแล้วอ่ะค่ะ”
แม่จ้องหน้าฉัน...เดาไม่ถูกว่าแม่กำลังคิดอะไร? อย่าบอกนะ....ว่าแม่อยากกระโดดกัดหูฉันเป็นการลงโทษน่ะ...
“แล้วไง?”
“แล้ว...เอ้อ! แต่ว่า...ซิมไม่เป็นไรเลยนะคะ  ซิมไม่สลบ ยังพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลเลย...แปลกจังค่ะ ทำไมกับเขาซิมถึงไม่เป็นอะไร...หรือว่า...เขาจะสามารถช่วยให้ซิมหายได้คะแม่?”
ฉันพูดจบ แม่ก็ส่ายหน้าจิ้มไส้กรอกเข้าปาก
“อย่ามาเหลวไหลหน่อยเลย...เป็นไปไม่ได้หรอก”
“แต่เป็นไปแล้ว...ซิมจำได้ทุกอย่างเลยนะคะแม่...จริง ๆนะ”
“สายแล้ว รีบ ๆ กินแล้วตามแม่ไปที่รถนะ”
แล้วแม่ก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้าน...ฉันนั่งมองป้าคนรับใช้มาเก็บจานอย่างเซ็ง ๆ อะไรกันเนี่ย?...เหลวไหลที่ไหนกัน? ก็มันเรื่องจริง...ตานั่นแตะฉันแต่ไม่เป็นไร ...ทำไมแม่ไม่เชื่อฉันหว่า?...งงแฮะ...
A  N  T  I    M  A  L  E    E  F  F  E  C  T
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น