คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หอพัก
หอพักที่นี่มีสำหรับเด็กเกรด 10
ขึ้นไปเท่านั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ ถ้าอยู่ก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายสักแดง
โครงสร้างอาคารเป็นรูปตัวยู ปีกขวาเป็นของฝั่งชาย ปีกซ้ายเป็นของฝั่งหญิง
ส่วนพื้นที่ตรงกลางเป็นสระว่ายน้ำสำหรับผ่อนคลาย
อาคาร 10 ชั้น 90 ห้อง ห้องละสี่ที่นอนมีห้องน้ำในตัว
สำหรับนักเรียน 360 คน ชั้นหนึ่งไม่มีห้องพักแต่ตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปจะมีชั้นละ 10
ห้องด้วยกัน
ในการตกแต่งมีด้วยกัน 5
รูปแบบได้แกแบบโกธิค แบบกรีก แบบวินเทจ แบบธรรมชาติและแบบโมเดิร์น โดยการตั้งชื่อเรียกแทนห้องที่ตกแต่งตามแบบต่างๆได้แก่
ห้องสีกุหลาบ ห้องอำพัน ห้องสีคราม ห้องใบไม้ และห้องสำลี ตามลำดับ
ทิมเดินนำแมทธิวขึ้นไปยังชั้นสามของอาคาร
“นายอยู่ห้องสีอะไร?” แมทธิวถามพลางอ่านข้อมูลบนโบชัวร์ของโรงเรียน
“ใบไม้..ฉันชอบสีเขียวน่ะ” ทิมตอบยิ้มๆ ทว่าพอใกล้ถึงที่หมายจู่ๆประตูสีฟ้าก็เปิดออก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาแสดงกิริยาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าแมทธิว
“แมทธิว!” เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าว “โอดิติน?!” แมทธิวจำญาติเขาได้ดี โอดิตินนี่แหละคือเพื่อนของแมทธิวที่ห้องพักเต็ม ทั้งคู่กอดกันอย่างอบอุ่นที่กลางโถง “นายได้ห้องแถวนี้เหรอ?” โอดิตินคนนั้นถาม
ความจริงทิมจำได้ว่าเขาชื่อโอลีเวอร์แต่ถ้าแมทธิวเป็นญาติของเขาจริงๆ...ทิมก็น่าจะเรียกเด็กหนุ่มคนนี้ว่าโอดิติน
“ใช่”
เด็กหนุ่มผมดำพยักหน้าเป็นคำตอบ “นี่เอ่อ...”แมทหยุดกึกเพราะลืมถามชิ่อของอีกฝ่าย
“ทิโมธี ไทเลอร์”
ทิมแทรกขึ้นมาทันพอดี
“เขาให้ฉันอยู่ด้วยน่ะ” แมทธิวผายมือพลางยิ้ม ทิมทำตัวไม่ถูกนักจึงยิ้มตามไป
โอดิตินหรือโอลิเวอร์ได้ยินก็พยักหน้าและเหมือนกำลังคิดที่จะยิงคำถามอีกเพราะเขาทำท่ากอดอกและชายตาไปที่เพดาน
โอดิตินดูเป็นคนดีก็จริง แต่บทสนทนานี้มันน่าอึดอัดสิ้นดี!
ทิมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ออกไปจากสถานการณ์แบบนี้อย่างสุภาพและดูให้เกียรติ์เพื่อนบ้านมากที่สุด
คิดได้ดังนั้นแล้วทิมก็ขัดขึ้นมาโดยการร้อง
“โอ้ะ” และทำท่ามองไปที่ข้อมือ “นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย?
พวกเราขอไปจัดกระเป๋าก่อนนะ!”
เมื่อพูดเสร็จทิโมธีก็ลากเพื่อนใหม่ไปยังห้องพักของพวกเขาโดยปล่อยให้โอดิตินยืนงงๆอยู่คนเดียวพลางคิดว่าหมอนั่นไม่ได้ใส่นาฬิกาข้อมือสักหน่อย
เมื่อเข้าไปในห้องแล้วทิมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงที่ริมหน้าต่าง
“นายเป็นอะไรน่ะ?” แมทธิวนั่งบนเตียงข้างๆและสะกิดอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ไม่รู้สิ
มันอึดอัดน่ะ”ทิมถอนหายใจอีก
“นั่นคงเป็นวิธีการจบบทสนทนาแบบนาย
ยังไงซะ ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครว่าแต่...”
“อะไรเหรอ?
ทิมผงกหัวขึ้นมาเพื่อฟังว่าแมทธิวจะพูดอะไรต่อไป”
“เราต้องนอนรวมกัน
4 คนไม่มีกั้นห้องเป็นห้องเล็กๆเหรอ?” ได้ยินคนพูดแบบนั้นในห้องที่มีเตียงสี่เตียงวางเรียงกันอยู่ทิมก็หัวเราะขึ้นมา
“มีอะไรตลกล่ะ?”แมทขมวดคิ้วงงๆ “นายอาจไม่ชิน แต่พอดีว่าครูใหญ่เป็นคนอเมริกันที่ดันมาแต่งงานกับผู้บริหารคนก่อนที่เป็นชาวอังกฤษน่ะสิ”
“ช่างมัน...”ว่าแล้วแมทธิวก็นอนลงท่าเดียวกับทิม
ทั้งคู่มองไปที่เพดานสีครีม สีหลักของห้องนี้คือขาวออกครีมและเขียว มันก็สบายตาดีนับว่าจัดห้องได้เยี่ยม
สักพักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นอีก เด็กหนุ่มคนที่สามเดินเข้าประตูมา “เด็กใหม่นี่”
คือคำแรกที่ออกมาจากปากเขา เขาคือคนที่นั่งอีกข้างของทิม แม็กซ์เวลล์นั่นเอง
เด็กหนุ่มผมทองไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงนอนมองเพดานอยู่อย่างนั้นเแต่เขาก็ไม่สนใจนัก
“นายแมทธิวใช่ไหม? ฉันแม็กซ์เวลล์” เขายื่นมิอเพื่อหวังจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงพลางยิ้มมุมปาก
แมทธิวลุกขึ้นนั่งและเซ็คแฮนด์กับเขา
“ดีใจที่เจอนะ แม็กซ์”
“ว่าแต่พวกนายนาย..”
เด็กหนุ่มผมทองมองไปที่ทิม
“เราเจอกันระหว่างทางมาหอน่ะ”ทิมขัดและขยี้หัวตัวเองพลางลุกขึ้นนั่งบ้าง
“อ๋อ
พล้อตเดิมๆสินะ”
“เขาสะดุดขาฉันน่ะ”แมทธิวพูดขึ้นพลางหัวเราะเบาๆ
เมื่อได้ยินดังนั้นแม็กเวลล์ก็หัวเราะบ้างแต่ทิมไม่ เพราะเขาเป็นคนที่ล้ม
จริงๆแล้วทิมก็สงสัยนะว่าทำไมแมทธิวต้องโปรยอาหารให้นกด้วย
หลังจากนั้นไม่นานมากนักระหว่างที่ทั้งสามคนคุยกันจุกจิกแม็กซ์เวลล์ก็ลุกขึ้นและบิดขี้เกียจ
“เหนียวตัวจัง”เด็กหนุ่มว่าแล้วก็หาวก่อนจะพูดต่อ“ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” แม็กซ์หยิบผ้าขนหนูและชุดนอนเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อประตูปิดดังปังแมทธิวก็หันมาถามทิม “เขาไม่หนาวเหรอ?”ที่เขาถามอย่างนั้นก็เพราะอังกฤษน่ะหนาวจะตาย
หน้าต่างทุกบานก็ต้องปิดเพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามามากเกินไปอีกอย่าง
แมทธิวก็ยังเป็นขี้หนาวอีกด้วย
“ไม่หรอก
แม็กซ์ยังเคยใส่กางเกงในตัวเดียวไปวิ่งกลางหิมะเลย”
“ผอมขนาดนั้นไม่แข็งตายได้ไงนะ”
“แม่ฉันรับเขามาเลี้ยงจากหมู่บ้านสนัก”
“หมู่บ้านอะไรนะ?”แมทธิวเกาหัวอย่างงงๆเพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านแบบนั้นมาก่อน เดาว่าคุณก็ไม่เคยได้ยินใช่ไหมล่ะ
“มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆในยูคอนที่แคนนาดาน่ะ
ตอนที่เราไปที่นั่นติดลบตั้ง63แน่ะ”
“ถ้าฉันไปหนาวตายแต่แรก”
“มิน่านายถึงสวมสเวตเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนั้น”ทิมหัวเราะแห้งๆ
แมทแค่ยิ้ม มาอีกแล้วสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์แบบที่อยากคุยกันแต่ไปต่อไม่ถูก
อึดอัด อึดอัดเสียจริงๆ
แต่ทิมก็ไม่อยากเดินหนีแมทธิวเพราะมันจะยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิม
คิดดูนะว่าอยู่ในห้องพักแล้วจะหนีไปไหนได้อีก? ออกไปข้างนอกเหรอ?จะพิลึกเกินไปรึเปล่า
บอกว่าเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้เพราะเพื่อนผมทองก็กำลังอาบน้ำอย่างสบายใจ ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆจะได้ยินเสียงฮัมเพลงของเคที
เพอร์รี่
“มีอะไรรึเปล่า?
จู่ๆก็เงียบไปเลย?” แมทธิวเลิกคิ้วขึ้น ความจริงหน้าตาเขามันก็เหมือนเลิกคิ้วขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้วนะ
คิ้วโก่งซะขนาดนั้นแต่คิ้วขึ้นไปได้สูงกว่าที่ทิมคิด “อืม..แค่”ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มก็หันไปเจอะกระเป๋ากีต้าร์ของตนที่วางไว้บนตู้เสื้อผ้าซึ่งสูงแค่เอว
“เอ่อ..นายอยากฟังเพลงอะไรไหม?”ทิมถามพลางลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปหยิบมันและกลับมานั่งที่เตียง
โอ้ไม่ๆ เขาไม่ได้นั่งบนเตียงของตัวเองหรอกนะ แต่เขากลับลงนั่งข้างๆแมท
“เพลงเหรอ...?”แมทถามย้ำ
“ใช่”
“ไม่รู้สิ..”แมทธิวชายตาขึ้นมองเพดานจริงๆก็ไม่ใช่เพราะอยากมองแต่มันเป็นกิริยาที่มักทำเมื่อเขาใช้ความคิด
“ไม่เอาน่า
นายต้องมีเพลงที่ชอบบ้างสิจริงไหม?”ทิมกล่าว
“ฉันแค่..เพลงที่ฉันชอบนายคงไม่ชอบหรอก”เด็กหนุ่มเบ้ปากพลางหลบสายตา
“บอกมาเถอะน่า”
“อิมมิแกรนต์สซอง
ของเลดเซพเพลิน”แมทยักไหลอย่างเสียไม่ได้ คุณรู้จักเลดเซพเพลินไหม?
ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรแต่ทิมรู้จัก
“เลดเซพเพลิน! ล้อเล่นรึเปล่า ฉันก็ชอบวงนี้นะแต่จริงๆแล้ววงโปรดของฉันคือโรลลิ่งสโตนส์”
“โอ้ความจริงเล่นเพลงของโรลลิ่งสโตนส์ก็ได้นะ
เพ้นท์อิทแบล็คก็ได้!”แมทธิวตาวาว ใครเล่าจะไม่ดีใจที่เจอคนรุ่นเดียวกันและมีรสนิยมเหมือนกัน
เมื่อเพลงเริ่มบรรเลงแมทธิวก็เอนหัวลงนอน
เด็กหนุ่มวางขาบนตักของทิมที่เล่นดนตรีอยู่ที่ปลายเตียงอย่างไม่คิดอะไร
เขากลับสู่สภาพเดิมกับตอนแรกคือนอนมองเพดาน สายตาเลื่อนลอย ความง่วงของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกวินาทีและทุกครั้งที่ทิมดีด
แต่แมทคงไม่หลับถ้ายกเซ็ททั้งวงมาเล่น ยังดีที่ทิมมีแค่กีต้าร์ตัวเดียวมันจึงออกจะเป็นทำนองที่สบายหูหน่อย
“ว่างๆนายสอนฉันเล่นบ้างสิ”
แมทพูดเบาๆพลางหัวเราะฮิๆ ทิมพยักหน้า “ได้สิ”
“เฮ้พวกนายทำอะไรกัน”แม็กซ์เวลล์พูดจากในห้องน้ำที่มีเสียงซ่าๆของน้ำที่ไหลจากฝักบัวแทรกอยู่ตลอด
“ฉันได้ยินเสียงนายดีดกีต้าร์นะทิม”
“แหงล่ะฉันก็กำลังเล่นกีต้าร์อยู่ไง!” ทิมตะโกนตอบก่อนจะหยุดเล่น
“ห้ะ?! นายว่ายังไงนะ?” แม็กซ์ตะโกนถามอีกเพราะเขากำลังล้างตัว
ฝักบัวอยู่ใกล้หูมาก
“นายก็ออกมาฟังเองสิ!” ทิมตะโกนอีกก่อนจะหัวเราะกับแมทธิว
เช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าสดใส
แสงแดดสาดส่องล่องลอดเข้ามาในห้องพักซึ่งเป็นผลมาจากการแง้มผ้าม่านไว้เล็กน้อยก่อนทุกคนจะนอนทว่าแสงแดดนั้นไม่ได้ปลุกแมทธิวหรือแม็กว์เวลล์เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นพวกหลับลึกกันทั้งนั้น
แล้วมันปลุกใครกันล่ะ? คำตอบคือไม่ได้ปลุกใคร
ไม่ได้ปลุกทิมด้วยเพราะเขาตื่นอยู่แล้ว
ทิมที่นั่งอยู่บนเตียงขยี้ตาและบิดขี้เกียจ
เสร็จแล้วก็หันไปมองเพื่อนทั้งสองที่หลับเป็นตาย
แม็กซ์เวลล์ที่เตียงข้างๆและถัดไปก็คือแมทธิว ถัดออกไปอีกก็เป็นเพียงแค่เตียงที่เต็มไปด้วยข้าวของของทั้งสามคนเพราะกลัวว่าจะมีแขกที่ไม่ได้รรับเชิญมานอนด้วยกลางดึก
บางคนเช่นแม็กซ์บอกว่ามันไร้สาระทว่าทิมคิดว่ามันป้อกันผีได้แล้วแมทธิวที่เป้นคนถูกชักจูงง่ายก็เลยเห็นด้วยทิม
ผีไม่ใช่เรื่องไร้สาระสำหรับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเพราะแม้เขาจะอยู่ในร่างของคนเป็นส่วนใหญ่แต่สายตาของเขาก็สามารถมองเห็นในสิ่งที่แมวเห็น
และแน่นอน
แมวก็มักเห็นพลังงานบางอย่าง กล่าวคือทิมมองเห็นผีและรับรู้ถึงการมีตัวตนของปีศาจ
ตอนเด็กๆในทริปทัวร์อเมริกาเหนือของเขาและแม่(เลี้ยง)เขาได้พบกับสัตว์ประหลาดบิกฟุตอย่างลับๆแต่พอกลับมาเล่าให้เพื่อนฟังก็ไม่มีใครเชื่อ
ทิมโดนล้ออยู่สักพักใหญ่ๆแต่ตอนนี้ทุกคนคงลืมไปแล้ว
แล้วตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้ทิมได้กลิ่น กลิ่นอะไรสักอย่างในห้องนี้ มันฉุนมากๆน่าจะเป็นกลิ่นของ...ปีศาจ
เด็กหนุ่มลุกจากเตียงเดินดมกลิ่นไปๆมาๆวนๆเวียนๆเป็นวงกลม “น่าจะเป็นแถวนี้นี่นา”ทิมบ่นพลางคุ้ยกองถุงเท้า
”ไม่ใช่กลิ่นนี้”
“ฮิๆนายทำอะไรน่ะ?”
แมทธิวทักอีกฝ่ายพลางลุกละเดินไปหาเด็กหนุ่มอีกคน ทิมที่กำลังทำท่าดมถุงเท้าอยู่ก็ทิ้งถุงเท้าออกจากมือ
“เอ่อ..ฉันได้กลิ่นแปลกๆน่ะ”
“เอ..ถุงเท้าก็ไม่ได้มีกลิ่นแรงอะไรนักนี่นา”แมทธิวฟุดฟิดๆและหันไปบอกทิมที่กำลังหน้าแดงเพราะเขินที่ถูกเจอในสภาพนี้
จะอธิบายว่าได้กลิ่นปีศาจก็ไม่ได้ ใครจะเชื่อเขากันเล่า? “ช่างเรื่องถุงเท้าเถอะน่า...ว่าแต่นายหิวรึยัง?”
Writer's note: ช่วงนี้ผู้เขียนท้องเสียบ่อยๆอาจจะอัพช้านิดนึงนะคะ ;w;
ความคิดเห็น