ตอนที่ 47 : +ลวงรัก 15+ ผี ที่ ‘ไม่ได้หมายความว่าผี’ [2] 100%
“เป็นไงบ้าง” ทันทีที่เดินออกมาจากห้องประชุม แองจี้ก็รีบเดินเข้ามาทักฉัน
“ในห้องทุกคนดูเครียดมากเลย จีนแทบจะไม่หายใจแหนะ” ฉันตอบกลับพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เราเข้าห้องประชุมกันตั้งแต่สี่โมงเย็น ออกมาจากห้องประชุมท้องฟ้าก็มืดซะแล้ว บรรยากาศภายในห้องทุกคนดูจริงจังมาก เงียบ และตั้งใจฟังผู้ที่มีหน้าที่นำเสนองานกันเต็มที่เลย
เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ฉันได้สัมผัสถึงบรรยากาศในการทำงานของคนมีประสบการณ์จริง ๆ รู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเลยล่ะ
แม้กระทั้งคุณซีอีโอของบริษัทที่ปกติจะมีรอยยิ้มเคลือบอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่ในช่วงเวลานั้นเขากลับดู นิ่งสงบ ไม่ไหวติง และไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิด แถมยังยิงคำถามที่รู้สึกติดขัดแทบทุกจุด จนฉันจดปัญหาของงานมือแทบหงิก
ไม่แปลกใจแล้ว เพราะทำงานเนี้ยบขนาดนี้นี่เอง ถึงพาบริษัทมาได้ไกลแบบนี้
อันที่จริงด้วยความที่ฉันยังใหม่มาก และแทบจะไม่มีประสบการณ์ทำงาน แถมการพูดคุยในที่ประชุมยังใช้ศัพท์เฉพาะที่ฉันต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ จนมีบางหัวข้อที่เกือบจะจดไม่ทัน
ยังโชคดีที่คุณซีอีโอช่วยถามย้ำให้ตลอด อย่างกับมองเห็นสมุดบันทึกฉันอย่างนั้นแหละ
“คุณภาคินตรวจงานโหดมากเลยใช่มั้ย”
“อือ จีนจดมือหงิกเลยเนี่ย” ฉันยกสมุดจดขึ้นมาประกอบคำพูด
“แต่จีนก็สรุปการประชุมได้ดีทีเดียวเลยนะ สำหรับครั้งแรก ละเอียดมากเลย บางจุดที่จี้เผลอสติหลุดไปแล้ว แต่จีนยังเก็บได้ทุกเม็ด”
เรื่องนี้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้คนที่คอยแอบช่วยฉันลับ ๆ เลยล่ะ ถึงจะเหม็นขี้หน้าเขาแค่ไหน แต่เขาก็ช่วยกันได้เยอะจริง ๆ
“จีนเพิ่งทำงานนะก็ต้องพิสูจน์ตัวเองหน่อยสิ มันมีคนไม่ค่อยพึงพอใจจีนสักเท่าไหร่หรอก”
“ใครอ่ะ? คุณภาคินเหรอ? แต่ตอนจีนสรุปคุณภาคินนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ จีนไม่เห็นเหรอ”
ทำไมฉันจะไม่เห็นล่ะ ตอนที่ฉันลุกขึ้นสรุปการประชุมให้ทุกคนฟัง เขาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เอาแต่จ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มจนฉันแทบจะพูดสคริปผิด
แย่ที่สุด!
“อ่ะ! หรือว่าคุณเลขา ฯ” แองจี้พยักหน้าเหมือนรู้กัน ก่อนจะแอบหยิบของว่างที่เหลืออยู่บนโต๊ะหน้าห้องประชุมมาส่งให้ฉัน “แต่จะว่าไปจีนก็ได้เข้าประชุมเร็วมากเลยนะ ปกติต้องทำงานก่อนสักเดือน สองเดือน ถึงจะได้เข้าประชุมใหญ่ของบริษัทแบบนี้”
“งั้นเหรอ จีนนึกว่าปกติซะอีก” ฉันรับของว่างมาจากเธออย่างไม่อิดออด ตอนอยู่ในห้องประชุมฉันไม่กล้าแม้แต่จะยกน้ำขึ้นมาจิบ กดดันเป็นที่สุด ตอนนี้ฉันจึงรู้สึกหิวมากจริง ๆ
“ไม่ปกติหรอก เห็นคุณภาคินใจดีแบบนั้นก็จริง แต่เรื่องความลับบริษัท เขาไม่ค่อยไว้ใจใครหรอกนะ ถ้าพนักงานคนไหนปล่อยให้เรื่องในบริษัทหลุดละก็ เชิญออกสถานเดียวเลย”
ฉันนิ่งอึ้งไปตอนที่แองจี้พูด… นี่เขาเด็ดขาดขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ท่าทางดูแพรวพราวไม่จริงจังกับอะไรแบบนั้น ไม่เห็นจะน่าเชื่อเลย
อ่า… ถึงว่ายัยเลขานั่นดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันเข้าประชุมสักเท่าไหร่ เพราะแบบนี้เองสินะ เพราะบอสของเธอดูจะไว้ใจฉันอย่างนั้นเหรอ
แต่ว่าอันที่จริงถ้าจะโกรธก็ไปโกรธบอสเธอสิ เขาเป็นคนออกคำสั่งนะ จะมาโกรธฉันทำไมละย่ะ!
“เออ ว่าแต่จีนรู้จักคุณดรีมมั้ย”
“คุณดรีม?” ฉันขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงหน้าหนุ่มหล่อมาดผู้ดีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน “หัวหน้าแผนกมาร์เก็ตติ้งคนนั้นนะเหรอ”
“ใช่! จี้ว่าเขาต้องสนใจจีนแน่เลย” แองจี้ทำหน้าทำตาล้อเลียนฉัน “อะไรกันเนี่ย มาทำงานได้ไม่เท่าไหร่จะมีหนุ่มมาขายขนมจีบซะแล้วเหรอ ตนนี้ฮอตรอง ๆ จากคุณภาคินเลยนะ”
“ขายออกอะไรกันล่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันบอกปัด
ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะไม่รู้หรอก ฉันแค่ทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น
เขาเล่นเอาแต่จ้องกันจนแทบไม่มีสมาธิประชุมแบบนั้น โดนอีคุณซีอีโอดุไปหลายคำเลย สมน้ำหน้า!
“จ้า จะคอยดูนะ” แองจี้หัวเราะคิกคักชอบใจ “เลิกงานแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีมั้ย จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย”
“ก็ดะ…”
“คุณจีน อย่าลืมงานที่ฉันมอบหมายนะคะ พรุ่งนี้เช้าหวังว่าจะมีสรุปตั้งอยู่บนโต๊ะ” เสียงเรียบดังขัดคำพูดฉันขึ้นมา พร้อมร่างเพรียวระหงเดินเฉียดไหล่ฉันไป
ก่อนที่เจ้าของใบหน้าสวยเฉียวจะหันกลับมามองกัน “ส่วนแฟ้มเอกสารที่ฉันให้คุณศึกษา บริษัทไม่อนุญาตให้นำกลับบ้านนะคะ เป็นกฎของคุณภาคินที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด”
พูดจบเจ้าตัวก็สะบัดหน้าเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปทันที
“ไว้วันอื่นแล้วกันนะ จีนยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลย” ฉันหันไปตอบแองจี้
เสียดายจริง ๆ แองจี้เป็นคนที่นิสัยดีใช้ได้เลยนะ ถ้าได้คุยกันอีกเราต้องสนิทกันมากขึ้นแน่ ๆ
“ให้จี้รอมั้ย นี่ก็มืดแล้วนะ แถมซอยทางเข้าบริษัทยังแอบเปลี่ยวด้วย” แองจี้พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“จีนไม่รบกวนดีกว่า อีกอย่างไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่ไม่ได้ไกลจากบ้านจีนมาก แล้วจีนก็เอารถมาด้วย”
“โอเค แต่อย่าอยู่ดึกมากนะ” แองจี้พูดพร้อมกับมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดหวั่น “อยู่คนเดียวด้วย...”
“มี… อะไรหรือเปล่า” ฉันถามออกไปอย่างไม่ค่อยสบายใจ “ที่นี่... มีเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก จีนอย่าคิดมากเลย งั้นจี้ไปนะเจอกันพรุ่งนี้ ยังไงกลับถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกสักนิดนะ” แองจี้ไม่พูดอะไรต่อ แต่เดินตรงไปที่ลิฟต์ก่อนจะหันมาโบกมือให้ฉันอีกครั้ง
ฉันมองตามแองจี้ที่เดินหายเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดเหลวไหลของตัวเอง แล้วตรงเข้าไปนั่งทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
แองจี้บอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ! ส่วน ยัยเลขา ฯ บ้านั้น รอให้ฉันโงหัวขึ้นก่อนเถอะ ไม่มีทางได้กดขี่กันแบบนี้แน่!
ในระหว่างที่ฉันนั่งเคลียร์งานพนักงานคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกลับไปทีละคนสองคน จนตอนนี้ทั้งชั้นเงียบกริบไร้เสียงพูดคุย มีเพียงเสียงนิ้วมือกระทบแป้นพิมพ์ของฉันก็เท่านั้น…
รัวนิ้วมือพิมพ์ข้อความสุดท้ายของบรรทัดเสร็จฉันก็ละสายตาจากหน้าจอไปมองทางอื่นเพื่อเป็นการพักสายตา
ตอนนี้ทั้งชั้นเหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังแทบจะมืดสนิทมีแสงสว่างจากไฟเพียงดวงเดียวตรงระหว่างห้องฉันกับห้องประธานก็เท่านั้น
สายตาเริ่มล่อกแล่กกวาดมองไปทั่วในความมืดมิด อย่างรู้สึกวังเวงแปลก ๆ เมื่อกี้ตอนนั่งพิมพ์งานอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอมาคิดว่าทั้งชั้นกว้าง ๆ นี่เหลือฉันคนเดียวมันก็...
ฉันรีบชักสายตาตัวเองกลับมาก่อนที่หัวสมองจะจินตนาการอะไรน่ากลัว ๆ ขึ้นมาอีก
เหลืออีกนิดเดียว อีกแค่แฟ้มเดียวเท่านั้น! ก็จะได้กลับบ้านแล้ว
แกร็ก! ฉันนั่งตัวแข็งทือขึ้นมาทันทีที่อยู่ ๆ ก็มีเสียงเปิด และปิดประตูดังขึ้นมาในความเงียบ ก่อนจะรีบก้มลง และซ่อนตัวอยู่หลังหน้าจอคอม ฯ พีซีเครื่องใหญ่ของตัวเอง
ทั้งชั้นตกอยู่ในสภาวะเงียบกริบจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจของตัวเองอีกครั้ง
ตึก! ตึก! และเพียงไม่นานเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังก้องไปทั้งชั้น ถ้าฟังไม่ผิดล่ะก็… เสียงฝีเท้าที่ว่านั้นมันกำลังมุ่งหน้ามาทางฉันแน่นอน
ผี!? มีผีแน่ ๆ คำพูดของแองจี้ก่อนจะแยกกันวันนี้ก็พูดเป็นนัย ๆ อยู่แล้วว่าอย่าอยู่คนเดียวดึกดื่น แถมไอ้กายก็ยังเคยเล่าเรื่องผีโอทีให้ฟังอีกด้วย มันเตือนฉันว่าอย่าทำโอทีดึก ๆ คนเดียวเด็ดขาด
ไม่อย่างนั้นล่ะก็… จะมีผีโอทีโผล่มาช่วยทำงานด้วย และเป็นแบบนี้ทุกบริษัท!
ปกติฉันไม่ใช่คนกลัวผีอะไรเลยนะ แต่ให้มาเจอจัง ๆ แบบนี้ ก็ไม่เอาด้วยหรอก
เอาไงดีล่ะ… งานก็ยังไม่เสร็จ ผีก็กลัว พระก็ไม่มีติดตัวเลย บทสวดก็ท่องไม่ได้ ขืนท่องได้จริง ๆ ไอ้พวกมารศาสนาที่เรียกพระว่าแครอท เพราะสีสบงเหมือนสีของแครอทอย่างฉัน พระท่านก็คงไม่ช่วยหรอก
เมื่อคิดอะไรไม่ออกสุดท้ายฉันก็มุดตัวลงไปใต้โต๊ะ คิดเองเออเองว่า ถ้าผีมองไม่เห็น หรือหาฉันไม่เจอ ก็คงจะไม่หลอกกัน
แต่อยู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็หยุดลงที่ข้างโต๊ะทำงานฉัน ก่อนที่จะได้ยินเสียงเหมือนคนเอานิ้วเคาะลงบนโต๊ะด้วยความสบายใจ เพียงไม่นานฝีเท้าคู่นั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า
ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่นจนห่อเลือด กลัวจะหลุดเสียงร้องออกไปเมื่อคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาใต้โต๊ะ
ผีแน่ ๆ เพราะทั้งชั้นนี้มีฉันอยู่คนเดียว ยังไงไอ้ที่เห็นอยู่นี่ก็ต้องเป็นผี!
“เล่นอะระ…”
เพี๊ยะ! ฉันฟาดมือใส่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยความตกใจก่อนจะผลักเก้าอี้ให้ออกห่างแล้วรีบคลานออกมาจากใต้โต๊ะ แต่คลายหนีได้ไม่เท่าไหร่ ร่างฉันก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นพร้อมกับมือหนาที่กอดรัดเอวบังคับให้ฉันนั่งทับบนตักแกร่งของผีตนนั้นอีกที
ฉันหลับตาโบกมือตบตีผีตรงหน้าพัลวัน ทั้งยังจิกหัวไอ้ผีบ้าตนนี้ด้วยความโกรธแค้นที่บังอาจมาหลอกกัน ทั้งที่ฉันกำลังรีบทำงานอยู่แท้ ๆ หลอกไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาซะเลย
“ไอ้ผีบ้า ไอ้ผีเลว ไอ้ผีทุเรศ ไอ้ผีวิปริตปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะแช่งแกไม่ให้ผุดให้เกิดเลยคอยดู!”
TALK WITH ME
น้องอยู่คนเดียว แล้วเสียงที่ได้ยินจะไม่ใช่ผีได้ไง? ผีแน่ ๆ เพื่อนกายก็บอก เพื่อจี้ก็บิ้ว แต่นุ้งจีนจะเป็นสาวสตรองนุ้งจะด่า นุ่งจะจิกผมผีให้หัวหลุดเลยยยย 55555555555555555555 เอ็นดู
อ่านจบแล้วเม้น ๆ ให้เขาด้วยนะช่วงนี้คอมเม้นท์เหงามัก ๆ ♥
ใครอยากอ่านตะปอยความแซ่บของฝีปากยัยน้อง ไป จิ้มดูได้ที่เพจ MINNIK นะคะ ขอฝากเพจหน่อยไปกดไลก์กันได้น้า ♥
.
ป.ล. ใครเล่นทวิตไปคุยกันในแท็กได้นะคะ วันดีคืนดีมินนิคก็ไปสปอยในนั้นแหละ >,<
MINNIK
มีคำผิดบอกได้นะคะ เพราะแต่งสดลงสดงับ
อย่าลืมกด ♥ และคอมเมนต์เป็นกำลังใจดี ๆ ใจเรานะคะ
1 เมนต์ = สิบล้านกำลังใจ
ร๊ากกกรีดเดอร์สองล้านเท่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โดนอุ้มนั่งตักซะแล้ว อิอิ ผีตัวนี้มันไม่ไปผุดไปเกิดหรอกนะ และมันก็ไม่ชอบหลอกหลอน แต่มันจะลวงเอารักจากหนูนี่แหละ...เพราะมันคือผีอิพี่ภัคไง5555
555555555จีนนนน // มีอีบุ๊คไหมคะ
แหม่นุ้งจีนไม่ใช่ผีลูก5555
สงสารผีนิดหน่อยแหะ555