ตอนที่ 2 : +ลวงรัก 01+ การสิ้นสุดคือ 'การเริ่มต้น' [FULL300%]
‘บริการฝากหมายเลขโทรกลับ...’
ตี๊ด! ฉันกดตัดสายด้วยความหงุดหงิดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ หลังจากพยายามติดต่อแฟนหนุ่มของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่ว่าจะติดต่อยังไงก็ยังคงได้ยินเสียงเดิม ๆ ประโยคซ้ำ ๆ ของผู้หญิงคนเดิมอยู่ตลอด
“ไปไหนของเขานะ” ฉันพึมพำออกมาก่อนจะเหลือบตามองกล่องของขวัญขนาดเล็กหนังสีดำเรียบ ที่ตั้งใจซื้อมาให้อีกคน “อย่าบอกนะ... ว่าลืมอีกแล้ว”
“น้องเข้าซอยแล้วไปไหนต่อ” เสียงคนขับแท็กซี่เรียกให้ฉันหลุดออกจากความหงุดหงิดงุ่นง่าน ก่อนที่ฉันจะชี้บอกทางไปยังจุดมุ่งหมายของตัวเอง
เพียงไม่นานฉันก็ลงมายืนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ใจกลางเมืองแห่งนึงพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือติดต่อหาแฟนหนุ่มอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นได้ยินเสียงปลายสายแค่ ‘บริการฝากหมายเลขโทรกลับ…’ เหมือนเดิม
เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ ฉันก็นึกเป็นห่วงร้อนใจขึ้นมา หลังจากไม่สามารถติดต่อหาแฟนหนุ่มของตัวเองได้หลายชั่วโมงเกินไปแล้ว และเขาก็ไม่เคยหายไปนานขนาดนี้เลยด้วย
คิดได้แบบนั้นก็ตัดสินใจวิ่งไปบริเวณที่จอดรถข้างอพาร์ตเมนต์ มองไปก็ยังลานจอดรถก็เห็นรถเก๋งสีขาวคันเดิมจอดนิ่งอยู่ในที่ประจำ จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นไปเคาะประตูห้องพักของคนดูแลที่นี่เพื่อรบกวนให้เขาเปิดประตูทางเข้าอพาร์ตเมนต์ให้
แกร็ก! เคาะประตูอยู่ครู่นึงผู้หญิงวัยกลางคนก็โผล่หน้าออกมามองฉันด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก พร้อมทั้งเอ่ยออกมาเสียงแข็ง “มีอะไร?”
“หนูจะขอให้ป้าช่วยใช้คีย์การ์ดเปิดประตูหน้าอพาร์ตเมนต์ให้หน่อยค่ะ พอดีหนูจะขึ้นไปหาแฟน”
เธอไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายแล้วหายกลับเข้าไปในห้อง เมื่อได้คีย์การ์ดแล้วเธอก็เดินนำฉันไปที่ประตูกระจกทันที ก่อนจะเริ่มพูดตำหนิกันตามนิสัยโดยปกติของเธอ มาทีไรฉันก็โดนตินู่นนี่ทุกครั้งนั่นแหละ “ทีหลังก็หัดพกคีย์การ์ดลงมาด้วย ฉันไม่ได้อยู่เฝ้ารอเปิดประตูให้พวกเธอตลอดเวลาหรอกนะ”
เธอง้างประตูกระจกเปิดให้ฉันเดินเข้าไปแล้วเอ่ยประโยคที่ทำเอาฉันมึนงงถึงขีดสุดขึ้นมา “แล้วจะทำอะไรกันก็ช่วยเบา ๆ หน่อย หัดเกรงใจคนอื่นเขาบ้าง เห็นมั้ยว่าป้ายก็ติดเอาไว้อยู่”
ฉันหันไปมองที่บอร์ดประกาศตามที่เธอชี้ไป แล้วเห็นแผ่นกระดาษขนาด A4 ที่ตัวหนังสือขนาดใหญ่พิมพ์ไว้ว่า...
‘มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่า แต่ต้องมีมารยาทในการอยู่ร่วมกันด้วย!’
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อฉันเลื่อนสายตามามองตัวหนังสือเล็ก ๆ ใต้ข้อความนั้นก็มีคำแนะนำอีกว่า ‘ทริกดีทริกเด็ด! ขยับเตียงออกจากฝาผนัง เอาหมอนกั้นระหว่างเตียงอีกครั้ง แล้วใส่กันเบา ๆ เพราะคนข้างห้องจะนอน!!!’
“ฉันติดป้ายใหญ่ขนาดนี้ เธอมาตั้งกี่รอบแล้วไม่เคยสังเกตเลยหรือไง 2-3 คืนนี้ถึงได้มีอะไรกันเสียงดังลั่นจนเพื่อนร่วมชั้นโทรมาแจ้งฉันสายแทบไหม้ไม่ต้องหลับต้องนอนกันขนาดนั้น” เธอปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพูดกระแทกเสียงทิ้งท้ายอีกหนึ่งประโยคแล้วสะบัดหน้าเดินกลับไปทันที “ไปตายอดตายอยากมาจากไหนกันนักหนา”
ฟังที่ผู้หญิงวัยกลางคนพูดจบ หน้าฉันก็ชายิบ ทั้งยังรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันเล่มรุมทิ่มแทงเข้ามากลางใจจนเจ็บจี๊ด ฉันขบปากพร้อมกำกล่องของขวัญในมือแน่น ก่อนจะรีบเดินเข้าลิฟต์แล้วกดไปยังชั้นเป้าหมาย เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องที่คุ้นเคยด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะยืนกำหนดลมหายใจเรียกกำลังใจตัวเองอยู่ครู่นึงแล้วจึงตัดสินใจเปิดประตู
คลิก! เสียงลูกบิดประตูปลดล็อคทันทีที่ฉันใช้ลูกกุญแจสำรองที่เจ้าของห้องเคยปั๊มเอาไว้ให้กันเมื่อนานมาแล้ว...
ฉันค่อย ๆ บิดลูกบิดประตูเข้าไปในห้องอย่างเชื่องช้า พร้อมก้าวขาเข้าไปด้วยเสียงที่เบาที่สุด
ไม่ได้กลัวว่าคนในห้องจะได้ยินหรอก แต่แค่อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องยังอยู่คงสภาพเดิม ไม่ต่างไปจากก่อนที่ฉันจะมาเหยียบที่นี่ก็เท่านั้น
หรือจะเรียกอีกอย่างนึงว่า...จับมันให้ได้คาหนังคาเขา!
ทันทีที่เข้ามาในห้องสายตาฉันทอดมองไปบนเตียงขนาด 5 ฟุตที่มีชายหญิงคู่นึงกำลังนอนหลับไหลอย่างสบายใจท่ามกลางเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ ข้างเตียงมีเสื้อผ้าของทั้งคู่หลุดกระจุยกระจายอยู่ตามพื้น แต่อะไรก็คงไม่กระแทกสายตาฉันได้ดีเท่าถุงยางอนามัยใช้แล้วถูกมัดเอาไว้ลวก ๆ 4-5 ชิ้น ที่เกลื่อนอยู่ข้างเตียงพอ ๆ กับเสื้อผ้าพวกนั้น
มันคงจะเป็นภาพธรรมดาของคู่รักทั่วไป... ถ้าผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้ ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของฉัน!
ฉันขบฟันแน่นด้วยความโมโห ร่างฉันสั่นไปหมด ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะต้องมาเห็นแฟนตัวเองอยู่ในสภาพนี้กับผู้หญิงคนอื่น เมื่อไม่รู้จะจัดการเรื่องตรงหน้ายังไงสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นกดเข้าแอปพลิเคชันกล้องถ่ายรูป ก่อนจะกดเปิดเสียงดังจนสุด แล้วหันกล้องไปหาคู่ชายหญิงตรงหน้า
แชะ! แชะ! แชะ!!... เสียงรัวชัตเตอร์อีกหลายช็อตดังขึ้นรัว ๆ โดยมีฉันยืนจ้องท่าทางที่เปลี่ยนไปของคู่ชายหญิงผ่านหน้าจอพร้อมเส้นเลือดที่ปูดขึ้นบริเวณหน้าผาก ก่อนจะได้ยินเสียงขาดผึงของเส้นความอดทนอันน้อยนิดของตัวเอง
“อะไรเนี่ย” เสียงแหลมของหญิงสาวที่ได้สติดังขึ้นพร้อมกับดวงตาสวยที่เบิกกว้างก่อนจะขยุ้มผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอง เผยให้เห็นผู้ชายหล่อตี๋ ผิวพรรณดี กำลังนอนแผ่หลาสวมเพียงบ๊อกเซอร์คู่ใจตัวเดียวอยู่บนเตียง เจ้าตัวมองมาที่ฉันด้วยความงัวเงีย แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็เบิกตากว้างตามหญิงสาวข้างกาย
“จีน!”
ฉันลดโทรศัพท์ในมือลงมองหน้าเขาด้วยความเดือดจัดก่อนจะกระแทกเสียงใส่คนตรงหน้า “จำชื่อฉันได้ด้วยเหรอ? นึกว่าจัดหนักจัดเต็มกับผู้หญิงคนอื่น จนลืมชื่อแฟนตัวเองไปแล้ว!”
“พี่! ไหนบอกไม่มีเมียไง” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงหันไปถามผู้ชายคนข้าง ๆ ด้วยความสับสน “พี่หลอกหนูเหรอ”
“ฉันไม่ได้เป็นเมียมัน” ฉันพูดดักคอเธอเสียงแข็ง “เป็นแค่แฟน ไม่สิ! กำลังจะเป็นอดีตแฟนแล้วด้วย”
“จีน! โอ๊ตอธิบายได้นะ”
“ภาพที่เห็นยังชัดไม่พอเหรอ คิดว่าฉันโง่มากจนยอมฟังเรื่องโกหกที่กำลังจะหลุดออกจากปากนายหรือไง ถุงยางใช้แล้วเกลื่อนขนาดนี้ คงจะมานอนคุยกันเฉย ๆ หรอกมั้ง!”
พูดจบฉันก็ปากล่องของขวัญในมือที่แอบซื้อมาเซอร์ไพรส์วันครบรอบของเราสองคนใส่หน้าอกเปลือยเปล่าของเขาเต็มแรง จนนาฬิกาข้อมือเรือนหรูที่อีกคนบ่นนักบ่นหนาว่าอยากได้ร่วงหล่นลงมา
“ของขวัญวันครบรอบ 1 ปี 5 เดือน แต่คงจะจำไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้วันอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำเซอร์ไพรส์ให้ฉันแบบนี้หรอก”
ฉันปรายตามองโอ๊ตด้วยท่าทางเอาเรื่อง แม้ในใจจะปวดหนึบจนอยากร้องไห้ออกมาที่ผู้ชายคนนี้ทำอะไรแบบนี้กับฉันได้ลงคอ แต่ด้วยนิสัยใจคอที่แสดงออกมาว่าเป็นคนแข็งกร้าวอยู่เป็นประจำ และสร้างมันไว้เป็นเกาะป้องกันตัวเอง ทำให้ฉันต้องซ้อนความเจ็บปวดไว้ข้างในแล้วเลือกที่จะแสดงท่าทีร้ายกาจออกมาแทน
“แต่ไม่ต้องขอบคุณนะ เพราะว่าต่อจากนี้คงจะไม่มีเซอร์ไพรส์บ้าบออะไรอีกแล้ว เปลี่ยนจากของขวัญครบรอบเป็นของขวัญอำลาเลยก็แล้วกัน!” พูดจบฉันก็ตวัดสายตาไปมองผู้หญิงอีกคน “ส่วนเธอ... ถ้าอยากได้ผู้ชายคนนี้มากนัก! ก็เชิญ เพราะฉันไม่เอามันแล้วเหมือนกัน”
“ทำไมจีนพูดงี้อ่ะ” โอ๊ตลุกขึ้นก่อนจะตรงดิ่งเข้ามาจับแขนฉัน แต่ฉันก็รีบสะบัดมันออกด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“โง่หรือไง ถ้าแค่นี้แปลไม่ออกละก็ ฉันจะบอกนายให้ชัด ๆ อีกครั้งก็ได้ ว่าเราเลิกกัน!!”
“ไม่! โอ๊ตไม่เลิก โอ๊ตตามจีบจีนตั้งนานนะ โอ๊ตไม่ยอมเลิกกับจีนง่าย ๆ แน่”
“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ได้ถามความเห็น เลิกก็คือเลิก!” ฉันผลักผู้ชายที่พยายามจะเข้ามาคว้าตัวฉันไปสวมกอดออกจากตัวอย่างแรง จนร่างใหญ่ ๆ ของเขากระเด็นออกห่างไปไกล แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องนั้นทันที
“จีน!” แต่เดินออกมาจากห้องได้ไม่ถึงสองก้าวอดีตแฟนหนุ่มที่เพิ่งบอกเลิกไปไม่ถึงนาทีของตัวเองก็รีบตามออกมามากระชากข้อมือฉันให้หันกลับไปหาเขาที่ยังอยู่ในสภาพน่าสังเวทโดยการใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวออกมานอกทางเดิน “โอ๊ตบอกแล้วไง ว่าโอ๊ตไม่ยอมเลิกอ่ะ”
“เพื่ออะไรวะโอ๊ต!”
“โอ๊ตรักจีนจริง ๆ นะ”
“รักเหรอ... ถ้ารักกันจริงจะทำแบบนี้มั้ยวะ” ฉันตวาดใส่เขาด้วยความสมเพช สมเพชทั้งผู้ชายตรงหน้า และสมเพชตัวเองที่โดนสวมเขาอยู่ตลอดแบบนี้ “ถามจริงนะ? มันเป็นแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว”
โอ๊ตไม่ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะหลบสายตาฉันที่จ้องเขาเขม่ง “ตอบมาดิวะ! จีนถามว่ากี่ครั้งแล้ว โอ๊ตไปนอนกับคนอื่นกี่ครั้งแล้ว!”
“ครั้งแรก...” โอ๊ตตอบเสียงเบาก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าฉันแล้วกอดเอวฉันไว้แน่น “มันเป็นความผิดครั้งแรกเอง จีนให้อภัยโอ๊ตได้มั้ย”
ฉันหัวเราะในลำคอพร้อมกลอกตาไปมาอย่างสุดทนกับการโกหกหน้าตายของเขา พร้อมผลักไสผู้ชายที่กอดเอวฉันแน่นให้ออกห่าง “จนถึงขนาดนี้ยังเลือกที่จะโกหกกันอีกเหรอ? จีนดูโง่มากเลยเหรอวะ!”
“โอ๊ตพูดจริง ครั้งแรกจริง ๆ นะจีน” คนตรงหน้ายังดื้อดึงจะยื้อฉันไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายฉันจึงหยุดการกระทำของตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดรูปที่เพื่อนสนิทเคยส่งมาให้
“งั้นอธิบายภาพนี้มาดิ ว่ามันคืออะไร” ฉันยื่นรูปชายหญิงคู่นึงกำลังควงกันเข้าม่านรูดให้เขาดู ซึ่งผู้ชายในรูปแม้จะพยายามมองให้เป็นคนอื่นแทบตาย แต่ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็คือคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันอยู่ดี
โอ๊ตเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แล้วเป็นอย่าที่คิดว่าเขาต้องปฏิเสธ “...แค่คนหน้าเหมือนอะจีน ในรูปไม่ใช่โอ๊ตนะ”
“...”
“ใครส่งให้จีน? ไอ้กายเหรอ จีนก็รู้ว่ามันไม่ชอบโอ๊ต มันก็ใส่ร้ายโอ๊ตไปเรื่อยนั่นแหละจีน” โอ๊ตยังคงพร่ำคำโกหกออกมาเรื่อย ๆ อย่างไม่มีหยุดยั้ง “จีนเชื่อโอ๊ตนะ”
ตั้งแต่คบกันมาผู้ชายคนนี้เคยยอมรับความผิดอะไรบ้าง!!
“หยุดโกหกสักทีได้มั้ย! จะทำตัวเฮงซวยแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” ฉันกระแทกเสียงใส่ก่อนจะยกเข่าขึ้นกระแทกตัวเขาให้หลุดออกจากการเกาะกุมกัน จนเจ้าตัวเสียหลักหงายลงไปนั่งอยู่บนพื้น พร้อมกับที่ผู้หญิงคนเดิมที่ค่อย ๆ แง่มประตูห้องออกแล้วมองมาที่ฉันด้วยความหวาดหวั่น
เมื่อผู้ชายตรงหน้ายังปากแข็งโกหกกันอยู่ฉันจึงตรงเข้าไปกระชากแขนผู้หญิงที่หลบอยู่หลังประตูออกมา แล้วถามเธอไปเสียงแข็ง “ได้กับมันมากี่ครั้งแล้ว”
“มันครั้งแรกนะจีน”
“ไม่ได้ถาม!” ฉันหันไปตวาดใส่โอ๊ตที่เอ่ยแทรกขึ้นมา จนเขาเงียบปากไป แต่พอหันกลับมามองคนตรงหน้าก็เห็นว่าเธอก้มหน้าหลบตาฉัน จนต้องกระตุกแขนเธอแรง ๆ อีกครั้ง เพื่อให้ตอบคำถามกัน “ตอบ!!”
“ค...ครั้งแรกค่ะ”
“ครั้งแรกแล้วทำไมไอ้คนดูแลหอบอกว่าคนชั้นนี้โทรไปแจ้งเรื่องคนเอากันเสียงดังมาจากห้องนี้ 2-3 คืนแล้วห้ะ!?”
“นะ...หนูมานอนกับพี่เขาหลาย... หลายครั้งแล้วค่ะ” ได้ยินที่ฉันตวาดใส่หน้าเธอ เธอก็รีบละล่ำละลักบอกความจริงพร้อมพ่นคำแก้ตัวออกมารัว ๆ “แต่หนูถามพี่เขาแล้วนะคะว่ามีแฟนหรือยัง เพราะหนูไม่อยากมีปัญหาแบบนี้... พี่อย่าเอาเรื่องหนูเลยนะคะ หนูขอโทษนะพี่”
“...” ฉันปรายตามองผู้หญิงตรงหน้าที่ยกมือขึ้นพนมมืออ้อนวอนฉัน
“แค่สนุกกันเฉย ๆ ค่ะพี่ One night stand หนูไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเลยนะคะ”
“ถ้าตามมานอนด้วยกันถึง 2 คืนเนี่ย เขาไม่เรียกวันไนท์แล้วมั้ง ติดใจกันมากเลยสินะ สนุกสุดเหวี่ยงกันเต็มที่เลยละสิ” ฉันแสยะยิ้มก่อนจะปล่อยแขนเธอแล้วหันไปหาผู้ชายที่นั่งหน้าเจือนอยู่ “แค่นี่ก็ชัดเจนแล้ว ว่าแกมันเลว”
“โอ๊ตเมา... มันก็เลยเป็นแบบนี้”
“เมาแล้วไงวะ ถ้าจีนไปนอนกับผู้ชายคนอื่นบ้าง โอ๊ตจะทนได้มั้ย?”
“ไม่! ไม่เอานะจีน”
“ทำไมจีนจะทำบ้างไม่ได้ โอ๊ตทำได้จีนก็ต้องทำได้ดิ”
“กับคนอื่นโอ๊ตก็แค่เล่น ๆ โอ๊ตรักแค่จีนอ่ะ รักจีนจริง ๆ นะ ไม่เอาแบบนี้นะจีน”
“หยุดพูดคำนี้ทีเถอะ ฉันจะอ้วก!” พูดจบฉันก็สะบัดขาที่ผู้ชายตรงหน้าตามมาเกาะแกะกันอีกครั้ง แล้วหมุนตัวเดินห่างออกมา “จบกันตรงนี้ แล้วหวังว่าจะไม่ต้องเจอกันอีก!”
“จีนจะทิ้งโอ๊ตไปแบบนี้ไม่ได้นะ โอ๊ตเป็นแบบนี้ก็เพราะจีนนั่นแหละ” เสียงที่ตะโกนไล่หลังมาทำเอาฉันหยุดชะงักการก้าวเดินต่อ “ก็จีนไม่ยอมให้โอ๊ตสักที โอ๊ตเป็นผู้ชายนะ เราเป็นแฟนกันแต่โอ๊ตมีอะไรกับจีนไม่ได้ โอ๊ตก็ต้องไปหาที่อื่นเอาดิ มันเรื่องธรรมชาติของผู้ชายไงจีน”
“...”
“จีนผิดเองอ่ะ ทำไมเรื่องแค่นี้จีนให้โอ๊ตไม่ได้สักที”
“...”
“ถ้ารักกันจริง จีนต้องให้โอ๊ตได้ดิ”
ฉันขบริมฝีปากแน่นกับคำพูดที่ออกมาจากปากเขา... เพราะเรื่องแค่นี้นะเหรอถึงได้คิดนอกใจกันแบบนี้
ทั้งที่ฉันอยากถามเขาใจจะขาดว่าไอ้ตลอดระยะเวลาเกือบปีที่ตามจีบกัน คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักแค่ฉันก่อนฉันจะตกลงคบกับเขา ไหนจะตลอดเวลาอีก 1 ปี กับ 5 เดือนที่เราคบกันมา มันไม่มีความหมายเลยเหรอวะ
... ฉันไม่เคยแสดงความรู้สึกดี ๆ กับเขาบ้างเลยหรือไง
กับไอ้แค่เพราะฉันไม่ยอมให้มีอะไรด้วยเนี่ยนะ มันแย่มากถึงขนาดที่ผู้ชายคนนี้มันคิดนอกใจฉันแบบนี้เลยเหรอ
ฉันมันเป็นแฟนที่แย่มากขนาดนั้นเลยเหรอวะ!
“ถ้าจะพิสูจน์ความรักด้วยการมีเซ็กกันละก็...เราก็ขาดกันตรงนี้แหละ!” ฉันคุมเสียงพูดตัวเองไม่ให้สั่น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห คำพูด และเหตุผลที่ออกจากปากของอีกคน จากนั้นจึงออกเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมองเขาอีก
ฉันเองก็ทนมาเยอะแล้วเหมือนกัน ทำเฉยมามากพอแล้ว
ถ้ามีความคิดที่จะนอกใจกันแล้วละก็... มันไม่ได้เรียกว่าความรักหรอก!
ฉันเดินหลบหลีกผู้คนที่ยืนต่อแถวรอคิวเข้าไปภายในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านขายซาลาเปาเจ้าเด่นเจ้าดังประจำถิ่นที่สืบทอดกิจการนี้มากว่า 20 ปี
“หมวย ไปไหนมาแต่เช้า ม้าบอกให้มาช่วยขายซาลาเปาเนี่ย วันนี้ลูกค้าเยอะจนทำไม่ทันเลย” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งจ่อพัดลม พร้อมโบกพัดในมือเบา ๆ มองลูกจ้างที่กำลังวิ่งวุ่นขายซาลาเปาอยู่หน้าร้านทักขึ้นทันทีที่เห็นหน้ากัน
“จีนไปทำธุระ” ฉันตอบอย่างขอไปทีก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตัวเอง
นั่งขบริมฝีปากกลั่นน้ำตาด้วยความโมโหอยู่ครู่นึง ปลายสายก็กดรับพร้อมกรอกเสียงงัวเงียที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจขึ้นมา (โทรมาตั้งแต่เช้ามีอะไรวะหมวย)
(...)
(ก็รู้อยู่ว่าเมื่อคืนกูฉลองกับพี่มาร์ค กูขออิ๊อ๊ะกับผัวบ้างได้มั้ย ขออยู่กับผัวโดยไม่มีมึงมาแทรกกลางบ้างได้หรือเปล่าคุณเพื่อน) เมื่อเห็นว่าฉันยังคงเงียบ ไม่ด่าหรือพูดเหน็บใส่ตามที่ชอบทำเป็นประจำ ‘กาย’ เพื่อนชายคนสนิทที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ปนแปลกใจ แตกต่างจากน้ำเสียงที่เหน็บแนมกันในตอนแรกโดนสิ้นเชิง (มีอะไรหรือเปล่าวะ)
(มึงพูดถูก) ฉันกรอกเสียงสั่น ๆ ลงไป (มันนอกใจกูอย่างที่มึงพูดไว้จริง ๆ ด้วย)
(...)
(กูเหมือนอีโง่อะกาย กูพยายามปัดป้องสิ่งที่มึงพูด กูจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นกับตาตัวเอง กูอุตส่าห์เชื่อมันหมดใจเลยเว้ย กูคิดเองเออเองว่าคนอย่างมันไม่มีทางนอกใจกู)
(...)
(กูเอาแต่คิดมาตลอดว่าอะไรที่ได้มายากมันจะมีค่ามาก... ตอนมันตามจีบกูมันใส่ใจกุกอย่าง แต่ตอนนี้... มันกลับลืม ลืมแม้กระทั้งวันครบรอบอะ มันลืมอีกแล้วอ่ะกาย ลืมตลอดเลย ทำไมวะ!) ฉันระบายออกไปด้วยความโมโห ไอ้เฮงซวยนั่น ตอนจีบก็ดูแลกันดิบดี ใส่ใจกันทุกอย่าง แต่พอได้คบกันกลับเป็นฉันที่ต้องคอยตามมันต้อย ๆ อยู่แบบนี้
(มึงใจเย็นก่อน มึงไปเจออะไรมาวะ)
(เมื่อเช้ากูไปหามัน) ฉันกลืนก้อนสะอื้นจากความเจ็บใจลงไปแล้วระบายสิ่งที่เจอให้เพื่อนฟังต่อ (กูเห็นมันนอนกับผู้หญิงคนอื่น ถุงยางใช้แล้วเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด มันทำกับกูได้ยังไงวะ ภาพแมร่งยังติดตากูอยู่เลย)
(เฮ้ย! มึงเจอวันนี้เลยเหรอวะ ไหนมึงบอกว่ามันนัดไปเดทกับมึงวันนี้ไง)
(ก็เออไง มันนัดกับกู กูจำได้ มึงยังจำได้ แต่คนนัดอย่างมันกลับลืม มันบอกกูเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเดือนนี้มันจะไม่ลืมวันครบรอบ มันจะมีเซอร์ไพรส์ให้กู แล้วก็ใช่... เซอร์ไพรส์จริง ๆ ว่ะมึง)
(แล้วมึงเอาไงต่อ)
(กูบอกเลิกมันไปแล้ว)
(คนอย่างมัน ยอมเหรอวะ)
(ไม่รู้แมร่ง!) ฉันพูดออกไปด้วยอารมณ์โกรธจัด ก่อนที่น้ำตาหยดโตจะไหลลงมาจากดวงตาด้วยความเจ็บใจ (มันบอกว่ากูผิด! กูผิดที่กูไม่ยอมมันสักที จนมันต้องไปเอากับคนอื่น)
(มันพูดเหี้ย ๆ แบบนั้นเลยเหรอ)
(กูผิดมากเลยเหรอวะ ก็กู... แค่ยังไม่เห็นความพร้อมอะไรในตัวมันเลย)
(เฮ้อ~ อีจีน กูขอพูดตรง ๆ เลยนะ แมงดาอย่างมันมึงทิ้ง ๆ ไปน่ะดีแล้ว มึงไม่ผิดเลยเว้ยที่มึงยังไม่พร้อมแล้วไม่ให้มันอ่ะ กูกับพี่มาร์คยังคบกันเป็นปีเลยนะเว้ยกว่ากูจะให้เขา แต่มันกลับงี่เง่าเรื่องนี้กับมึงมาตลอด มันเองยังไม่คิดจะทำความเข้าใจมึงเลยอะ)
กายกรอกเสียงกลับมาด้วยความเป็นห่วง (กูดูออกตั้งนานแล้วว่าผู้ชายแบบมันมีดีแค่ช่วงโปร แล้วยิ่งมันทำแบบนี้ ก็ดูได้ไม่ยากว่ามันหวังฟันมึงอย่างเดียว มึงคิดดูดิหลังจากพ้น 3 เดือนแรกที่คบกัน มันเคยจำอะไรสำคัญ ๆ เกี่ยวกับมึงได้บ้าง)
(...)
(กูเห็นมีแต่มึงที่จำ มีแต่มึงที่ใส่ใจมันตลอด ตอนมันไม่สบายมึงก็ไปนอนเฝ้า แต่ตอนมึงไม่สบายมันกลับบอกมึงว่าไม่อยากมาหา เพราะเข้ากับที่บ้านมึงไม่ได้)
(...)
(เอาจริงนะเว้ย ถ้าคนรักกันจริง ยังไงก็ต้องมาหาปะวะ ตอนนั้นมึงไส้ติ่งแตกเกือบตาย แต่มันไม่โผล่หัวมาเยี่ยมมึงสักวัน กูรู้สึกเหมือนมันไม่ได้รักมึง เหมือนมันแค่ต้องการตามจีบมึงให้สำเร็จ เพราะเห็นว่ามึงจีบยาก สุดท้ายพอมึงคล้อยใจไปตามมัน มันสมหวัง ก็จบ แล้วตอนนี้ที่มันยังอยากคบกับมึง เพราะมึงมันปากร้ายใจดีไง มันอ้อนนิด ๆ หน่อย ๆ มึงก็ซื้อนู่นนี่ให้มันแล้ว)
(... มึงคิดงั้นเหรอวะ) ฉันปวดหนึบในใจเมื่อคำบอกกล่าวของเพื่อนมันทำเอาฉันจุกจนแทบพูดไม่ออก เขาจีบฉันอย่างยากเย็น แต่พอได้ฉันเป็นแฟนจริง ๆ กลับไม่คิดจะใส่ใจกันสักนิด แบบนี้จะตามจีบกันทำไมตั้งเป็นปีวะ!
ไอ้เรื่องบนเตียงนั่นอีก ฉันไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก จริง ๆ มันก็มีครั้งนึงที่เราเคยถึงขั้นนั้นกันแล้ว แต่ไอ้เฮงซวยนั่นเอาแต่ใจมาก เขาบีบจนฉันเจ็บไปทั้งตัว โอ๊ตมีบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบที่กายบอกจริง ๆ ที่ว่า... เขาแค่หวังฟัน
เขาไม่ถามความรู้สึกกันเลยสักนิด ซึ่ง... มันแย่ที่สุด!
อีกอย่างมันถูกทุกอย่างตามที่กายพูดออกมาเลย ตอนฉันป่วยอยู่โรงพยาบาล โอ๊ตไม่โผล่มาเยี่ยมฉันสักวัน แถมยังให้ฉันไปหา ก่อนจะขอโทษขอโพยร้องไห้เสียใจใส่กัน จนไอ้คนปากร้ายใจดีอย่างฉันก็ให้อภัยเขาอีกจนได้
น่าสมเพชฉิบหาย ทำไมหน้าโง่แบบนี้วะไอ้จีน!
(กูไม่ได้จะทำให้มึงเสียใจเพิ่มหรอกนะเว้ย แต่กูอยากให้มึงคิด มึงสามารถเจอคนดี ๆ ได้มากกว่านี้ อย่าปิดโอกาสตัวเองเลย แล้วถ้ามันยังมาตามเกาะแกะมึงอีกนะ กูจะพาพวกไปกระทืบแมร่งเลย พูดออกมาได้ว่าเพราะมึงไม่ให้เอาถึงได้นอกใจ ไอ้เวร! อย่าให้กูเจอนะ/...ด่าใครครับ) ในระหว่างที่กายกำลังส่งเสียงด่าโอ๊ตด้วยความมันในอารมณ์เสียงทุ่ม ๆ งัวเงียของผู้ชายอีกคนก็ดังขึ้น (กายด่าพี่เหรอ/ป่าว ๆ พี่มาร์คกายด่าแฟนเก่าไอ้จีน มันเพิ่งเลิกกันแฟนเนี่ย)
(มึงอยู่กับผัวไปก็ได้ กูไม่รบกวนแล้ว) ฉันรีบตัดบท เพราะคิดได้ว่าตัวเองกำลังรบกวนเวลาของเพื่อนกับแฟนอยู่จริง ๆ
(เอ้ย! พี่มาร์คไม่ว่าอะไรหรอก มึงไม่คุยกับกูแล้วจะคุยกับใคร ในเมื่อกูเป็นเพื่อนคนเดียวของมึง ขืนปล่อยไปเดี๋ยวมึงก็นั่งซึมเป็นหมาคนเดียวนะสิ)
(มึงไม่คิดว่ากูจะคิดสั้นบ้างเหรอวะ)
(ถามอะไรโง่ ๆ คนอย่างมึงไม่มีทางคิดสั้นเพราะไอ้โอ๊ตหรอก ถ้าให้กูพูดตามจริงมึงก็ไม่ได้รักมัน)
(ใครบอกมึง) ฉันเถียงมันออกไป (กูคบกับมันมาตั้งนานกูจะไม่รักมันได้ไง ถ้าไม่รักมันกูจะโทรมาระบายกับมึงเหรอ)
(กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปีทำไมกูจะมองไม่ออก มึงมันขี้ใจอ่อนอีจีน) ไอ้กายพูดเหน็บฉันเสียงแข็ง (ถ้าอย่างนั้นมึงตอบกูมา ตอนมึงเข้าไปเจอภาพไอ้กายนอนกกกับคนอื่น ระหว่างรู้สึกเสียใจที่คนรักนอกใจกับเจ็บใจที่โดนคนที่ได้ชื่อว่าแฟนหักหลัง ความรู้สึกไหนมันมีมากกว่ากัน)
ฉันนิ่งไปก่อนจะย้อนนึกถึงตัวเองตอนที่เปิดห้องไปเจอภาพของแฟนหนุ่มนอนอยู่กับผู้หญิงอีกคน ในตอนนั้นฉันรู้สึกโกรธ และเจ็บใจที่โดนหักหลังมากกว่าหรือเปล่านะ...
(มึงไม่ต้องตอบกูหรอก มึงตอบใจตัวเองเอาก็แล้วกัน คำตอบนั้นมึงก็น่าจะรู้อยู่)
ก๊อก ก๊อก ก็อก!! ระหว่างที่กำลังประมวลผลความคิดของตัวเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมเสียงห้าวแข็งกระด้างของพี่ชายตัวเอง “หมวยอยู่หรือเปล่าวะ”
(งั้นแค่นี้ก่อนนะ ยังไงเดี๋ยวกูโทรไป) ฉันกดวางสายจากเพื่อนสนิท แล้วเดินตรงไปเปิดประตูให้ผู้ชายหน้าหล่อที่ตอนนี้มีหนวดเคราขึ้นเต็มหน้าอย่างที่เจ้าตัวไม่คิดจะโกนมันออกเลยสักนิด “โกมีไร”
“ไปส่งซาลาเปาแทนโกหน่อยดิ โกต้องไปอู่แล้ว วันนี้เฮียทัพมาเดี๋ยวโดนเฉ่ง” โกพูดก่อนจะเหลือบตามองฉัน แล้วขมวดคิ้วงุนงง “หมวยร้องไห้ทำไมวะ ตาแดง ๆ”
“ไม่ได้ร้อง” ฉันตอบอย่างขอไปทีแล้วผลักโกออกให้พ้นหน้าประตูก่อนจะเดินนำเขาไปที่ชั้นล่างพร้อมเช็ดคราบน้ำตาของตัวเองไปด้วย
“โกหก! ใครทำวะ อย่าบอกนะว่าไงแมงดานั่น” โกรีบเดินตามมาก่อนจะคว้าแขนฉันให้หันกลับไปหาตัวเอง “บอกมา โกจะเกณฑ์เด็กที่อู่ไปดักตีแมร่งเลย”
“จีนจัดการเองได้ โกอย่าเอาแต่ใช้กำลังดิ อีกอย่างจีนก็เลิกกับเขาแล้วด้วย” ฉันตอบโกไปเสียงแข็ง โตขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาแต่ใช้กำลังอีก ความคิดหยุดโตตั้งแต่สมัยเรียนช่างกลอยู่หรือไง
อะไรกันวะเนี่ย คนรอบตัวฉันเป็นลูกพระเจ้าตากกันหมดเลยเหรอ เอะอะก็จะยกพวกตีท่าเดียวเลย
“จริงเหรอวะ ดี! เลิกได้สักที” โกยกยิ้มทันทีที่ได้ยินคำนั้นแล้วยกมือขึ้นยีหัวฉันเบา ๆ จนต้องปัดออก “ตาสว่างสักทีหมวยของโก แล้วก็เลิกขี้สงสารมันได้แล้วนะ ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนมันจ้องแต่จะเอาเปรียบแฟนตัวเองวะ”
“เอาเปรียบอะไร”
“ต้องให้พูดเหรอ มันขออะไรหมวยก็ให้มันหมดอ่ะ ล่าสุดเพิ่งไปถอยนาฬิกาให้มันไม่ใช่หรือไง”
“โกรู้ได้ไง”
“พาสาวไปเดท แล้วเห็นเด็กเตี้ยยืนเลือกนาฬิกาอยู่”
“พูดมาก จีนไม่ใช่เด็กแล้วเถอะ คิดเองได้”
“คิดเองได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พลาด จริง ๆ แค่คบกับมันจีนก็พลาดแล้ว” ฉันกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย
ที่บ้านของฉันรวมทั้งกายด้วย ไม่มีใครชอบโอ๊ตเลยสักคน เอาแต่บอกว่าเขาเกาะฉันกินบ้าง เขาหลอกฉันบ้าง ฉันขี้สงสารขี้ใจอ่อนเกินไปบ้างแหละ
ซึ่งมันก็จริง ฉันมันเป็นประเภทปากร้ายใจดี ตอนแรกที่ฉันยอมคบกับโอ๊ต ก็เพราะว่าฉันสงสารเขาที่เทียวจีบ เทียวเหล่าลือกับฉันมาเป็นปี ๆ อีกอย่างมันก็รู้สึกดีกับเขานิดนึงด้วยนั่นแหละเลยตัดสินใจคบไป
เพราะตอนนั้นฉันเองก็ยังว่างอยู่ไม่ได้รู้สึกสนใจผู้ชายคนไหนอยู่แล้ว และดันอยู่ในช่วงอยากมีใครสักคนเข้ามาดูแลเป็นเพื่อนคู่ใจ ซึ่งโอ๊ตก็เข้ามาถูกจังหวะพอดี ฉันก็คิดเอาเองว่าอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ คงจะรู้สึกกับเขามากขึ้นจนรักไปเอง
แต่ใครจะคิด...ว่าคบกันได้ไม่เท่าไหร่ เขาจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถึงขนาดคิดนอกใจกันแบบนี้!
“ส่งที่ไหน” ฉันถามโกที่ยกกล่องซาลาเปาหลายสิบกล่องใส่หลังรถเต่าสีเขียวตุ่นคันเก่งของที่บ้าน ซึ่งอีกไม่นานฉันก็กำลังจะอุ๊บอิ๊บมันมาเป็นของฉัน
“บริษัทที่หมวยจะไปสัมภาษณ์งานอ่ะ รีบด้วยนะ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว” โกปิดกระโปรงท้ายรถพร้อม ๆ กับที่ฉันแทรกตัวเข้ามานั่งประจำคนขับ “ขับรถดี ๆ”
ฉันพยักหน้าให้โกผ่านกระจกมองข้างแล้วขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังปลายทางทันที ไม่ช้าไม่เร็วฉันก็ขับรถเข้ามาในบริษัทแบรนด์ชุดชั้นในสตรีที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะขับรถเข้าไปจอดหน้าตึกสำนักงานใหญ่
“มาส่งซาลาเปาที่สั่งไว้ค่ะ” ฉันบอกพนักงานรักษาความปลอดภัย เขาจึงพยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต และรีบเข้ามาช่วยฉันยกกล่องซาลาเปาเข้าไปด้านในโดยที่มีพนักงานตอนรับอีกคนนึงเดินเข้ามาช่วยกัน
ปี้น! ปี้น! แต่เดินเข้ามาได้ไม่นานเสียงบีบแตรรถก็ดังขึ้น ฉันหันไปมองทางด้านหน้าก็พบรถยุโรปหรูสีดำวาวคันนึงกำลังจอดจ่ออยู่ที่ท้ายรถคลาสิกของฉัน
“นี่รถใครเนี่ย! ทำไมมาจอดขวางทางด้านหน้าบริษัทแบบนี้” เสียงแหลมปี๊ดของหญิงสาวคนนึงดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปหารถฉันแล้วตะโกนถามหาเจ้าของ “มาเลื่อนรถเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่มีมารยาท!”
“รถฉันเองค่ะ” ฉันรีบเอ่ยปากบอกเธอแล้วส่งกล่องในมือให้พนักงานที่ช่วยขนของกันอยู่
“มาเลื่อนรถสิ นี่รถเจ้าของบริษัทจะจอดเทียบ มีประชุมด่วนด้วยนะ รถเธอก็จอดเกะกะอยู่นั่น ถ้าลูกค้าเขาไม่รอขึ้นมา เธอจะชดใช้ค่าเสียหายให้มั้ย?” เธอปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งพูดตำหนิกันก่อนที่ริมฝีปากฉาบสีชมพูอมนู้ดจะเบ้ปากใส่กัน
แม้จะไม่พอใจกับท่าทางของเธอ แต่ฉันก็ทำแค่หันไปแบะปากใส่เธอคืนทางอื่นแทนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วรีบเดินตรงไปที่รถของตัวเอง
ในจังหวะที่ก้าวขาไปยังรถด้วยความไม่ทันได้ระวังตัวฉันจึงชนเข้ากับร่างสูงของใครคนนึงเข้าเต็มแรงก่อนจะเสถอยหลังออกมา พร้อมกุญแจรถที่ร่วงหล่นจากมือไปยังปลายเท้าที่สวมรองเท้าหนังมันเงาของใครคนนั้น
เห็นแบบนั้นฉันก็พุ่งตัวก้มลงไปเก็บมันแต่เหมือนอีกคนจะไวกว่าเขาจึงหยิบกุญแจรถที่ว่านั้นส่งให้ฉัน พร้อมเอ่ยเสียงนุ่มทุ่มที่แสนมีเสน่ห์ออกมา “ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันก้มหัวขอบคุณเขาแล้วรับของกลับมา ผู้ชายสวมสูทเนี้ยบตรงหน้าพยักหน้ารับคำแล้วเดินสวนกันไปพร้อมกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณที่เขาย่างกายผ่าน แค่ได้กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ก็รู้สึกได้แล้วว่าคน ๆ นี้ต้องเป็นคนเจ้าสำอาง และมีความทันสมัยอยู่ในตัวสูง
ทั้งที่ใส่สูทเนี้ยบขนาดนี้ แต่กลิ่นน้ำหอมกลับรู้สึกผ่อนคลายแล้วน่าเข้าหาซะงั้น แปลกจริง...
“อีก 5 นาทีจะเริ่มการประชุม ตอนนี้หุ้นส่วนมารอบอสอยู่ในห้องประชุมแล้วค่ะ” สาวสวยที่ปรายตามองฉันเมื่อครู่รีบเดินเข้าไปประกบข้างผู้ชายคนนั้น แล้วอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานขัดกับที่พูดกับฉันลิบลับ
ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างของผู้ชายร่างสูงที่ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือสุด ๆ แม้ว่าสีผมบลอนด์เทาของเขาในตอนนี้มันอาจจะดูน่าขัดตาไปซะบ้าง แต่โดนรวมแล้วมันก็ดูดีจนแทบจะหาที่ติไม่ได้
ไม่ต้องหันหน้ามาก็เดาได้ไม่ยากว่าผู้ชายคนนี้คงหน้าตาโดดเด่นไม่น้อย ไม่อย่างนั้นพนักงานผู้หญิงทั้งหลายคงไม่มองตามตาเป็นมันแบบนี้หรอก
แต่เดี๋ยวนะ! เธอคนนั้นบอกว่าเขาคือเจ้าของบริษัทงั้นเหรอ แบบนี้แสดงว่า...ถ้าหากฉันได้งานที่นี่ ในตำแหน่งที่กรอกใบสมัครไป ฉันก็จะได้ทำงานกับเขาคนนี้สินะ
... ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่า CEO ที่แฟชั่นจ๋าขนาดนี้จะดีเลิศสักแค่ไหนถึงพัฒนาสิ้นค้าให้ติดตลาดได้ขนาดนี้
อีกอย่างที่เล่าลือกันว่า CEO คนใหม่นี้ทั้งหล่อทั้งแซ่บมันจะสักแค่ไหนกันเชียว
FULL...300%
TALK WITH ME
นุ้งจีนนางอยู่เป็นนะคะ 55555555 เปิดตัวพ่อสักที พ่อที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ บทที่ 1 ยาวมาก มินนิคเขียนเพลินมาก หวังว่ารีดเดอร์ก็จะเพลินไปด้วยนะคะ ><
MINNIK
มีคำผิดบอกได้นะคะ เพราะแต่งสดลงสดงับ
อย่าลืมกด ♥ หรือคอมเมนท์ให้กันสักนิดเป็นกำลังใจดี ๆ ใจเรานะคะ
ร๊ากกกรีดเดอร์สองล้านเท่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คำอ้างของคนไม่ซื่อ
เย้ เจอสุดหล่อแล้ว
นางเอกปากร้ายใจดีจริงด้วย ขี้ใจอ่อนจนเป็นจุดอ่อน
คบกับแฟนเก่า 1 ปี 5 เดือน
แล้วนางเอกบอกว่าแฟนลืมวันครบรอบอีกแล้ว
งง นะเนี่ย
ฉลองครบรอบกันทุกเดือนเรอะ
เพียงเพราะเราไม่ยอมมีอะไรด้วย เราเป็นคนหัวโบราณถ้าจะมีอะไรด้วยคือต้องแต่งงานก่อน และอีกอย่างเรายังเด็กด้วย
คืออารมณ์ตอนนั้นเหมือนจีนเลย ทิ้งไปโลดผู้ชายแบบนี้ #โทษทีเราอินไปหน่อย