แอตแลนติส
ผู้เข้าชมรวม
1,095
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เพลโต้กับอริสโตเติ้ล
โซลอน
ปัญหาใหญ่ๆเกี่ยวกับแอตแลนติส 1.มันจริงหรือเปล่า 2.ถ้ามี มันควรจะอยู่ที่ไหน 3.อาณาจักรแห่งนี้มีโอกาส โผล่ขึ้นมา ให้เราเห็นกันได้หรือไม่?
จากเพลโต้
หลักฐานเจิ่มแรกเกี่ยวกับแอตแลนติส มีอยู่ในหนังสือของเพลโต ที่เขียนราว 400 ปีก่อนคริสตกาล เขียนเป็น เชิง สนทนาระหว่างเพลโต้กับปราชญ์ชาวกรีกชื่อ "ไครทีอัส กับ มีเมอุส" ในหนังสือนั้นบอกว่าเรื่องราว ของ แอตแลนติส รับฟังมาจาก โซลอน หนึ่งในเจ็ดเปรื่องปราดชาวกรีก ซึ่งโซลอนรับฟังเรื่องนี้จาก ซอนคิส พระชาว อียิปต์อีกต่อหนึ่ง โซลอนไปได้เรื่องนี้มาระหว่างเดินางท่องเที่ยวหลังจากออกจากราชการไปยังเมืองซาอีส์ ซึ่งอยู่ แถวปากแม่น้ำ ไนล์ใน อียิปต์ อันเป็นศูนย์กลางอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก เรื่องนี้เกิดเมื่อราว 600 ปีก่อน คริสตกาล ซอนคิสเอาบันทึก หลักฐานเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ (ซึ่งปัจจุบันนี้ศูนย์หายไปแล้ว) มาให้โซลอนดู แล้วเรื่องราวของแอตแลนติส เมื่อ หลายพันปีก่อนก็พรั่งพลูออกมา หนังสือของเพลโต้เลย เหลือเป็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวที่พูดถึงแอตแลนติส ความที่มันเป็นบทสนทนานี่เองเลยทำให้แยกแยะลำบากว่าตรงไหนจริง ตรงไหนฝอยเพิ่ม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีคน ที่เชื่อว่าแอตแลนติส เป็นเรื่องกุขึ้น คนๆนั้นก็คือ อริสโตเติ้ลลูกศิษย์ เอกของเพลโต้นั่นเอง ความเคลือบแคลงนี้ก็ยืดเยื้อออ..มานับศตวรรษแล้ว
โลกของเพลโต้ มีทวีปใหญ่มาก ล้อมรอบมหาสมุทรแอตแลนติสอยู่
ในระยะเวลากว่า 9000 ปีก่อนคริสตกาล ลิเบีย (ทวีปแอฟริกาทั้งหมด ยกเว้นอียิปต์) ยุโรปจากสเปนถึงอิตาลีตก อยู่ภายใต้การปกครองของแอตแลนติส ทวีปเกาะที่อยู่ทางตะวันตกของเสาหินแห่งเฮอราคลิส (ชื่อเดิมของช่อง แคบยิบรอลตาร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ชาวแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ โพไซดอน (เทพเจ้าแห่งทะเล) และตั้งชื่อเกาะตามชื่อของยักษ์แอตลาส ลูกชายคนหนึ่งของโพไซดอน ชาวประชาอยู่อย่างสุขสงบหลายพันปี ต่อมาทำสงครามกับยุโรปและเอเซีย โดยเฉพาะกรีก หลังจากนั้นไม่นาน ดินแดนเกริกไกรแห่งนี้ก็กลับ ล่ม สลายไปภายในชั่ววันกลับคืนเดียวเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด "บริเวณใจกลางเกาะเป็น ที่ราบซึ่งกล่าวกันว่าสวยงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาที่ราบทั้งปวง ในที่ราบนี้มีเนินเขาลูกหนึ่งขนาด ไม่ใหญ่นัก ประมาณ 50 สเตด(Stade) หรือ 6 ไมล์หรือ 10 กิโลเมตร นอกจากเกาะที่อยู่ใจกลางแล้ว ถัดออกมา ยังมีผืน น้ำเป็นรูปวงแหวนคั่นระหว่างแผ่นดินด้วย ว่ากันว่าเทพโพไซดอน เป็นผู้ขุดคลองรูปวงแหวนเหล่านี้ ทำให้มีลักษณะคล้ายคูเมือง แรกๆดินแดนที่ถูกคั่นนี้ไปมาหาสู่กันไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักเรือและการแล่นเรือ ต่อมาเกิดผืนดินเล็กๆเชื่อม และชนรุ้นหลังก็รู้จักทำอุโมงค์และแล่นเรือ บริเวณใจกลางเกาะเป็นสถาน ที่ สีกการะ เทพโพไซดอนกับไคลโต(มเหสีชาวมนุษย์โลก) มีกำแพงทองล้อมรอบเป็นเขตหวงห้าม นอกจากนี้ยัง มีวิหารของโพไซดอนอีกแห่งหนึ่งต่างหาก ตัววิหารฉาบด้วยเงิน ตัวเทวรูปเป็นทอง รอบๆวิหารเป็นรูปปั้น ของ กษัตริย์องค์ต่อมาอีก 10 องค์พร้อมมเหสี มีน้ำพุใต้ดินสองแห่ง แห่งหนึ่งร้อน อีกแห่งหนึ่งเย็น ใช้เพราะปลูกกับ อาบ และกิน ที่อยู่อาศัยแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับราชวงค์ ชาวบ้านธรรมดา ผู้หญิง ม้าและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ น้ำจาก น้ำพุถูก ลำเลียงส่งไปยังบริเวณเพราะปลูกที่เรียกว่า Grove of Poseidon และส่งต่อไปยังพืนดินรอบๆนอก บนผืนดินที่เป็นวงแหวนล้อมรอบยังมีวิหารมากมายสำหรับบูชาเทพเจ้าต่างๆ สวนหย่อนใจ โรงยิม และสนามม้า สำหรับให้ออกกำลังกาย และยังมีท่าจอดเรือชั้นในด้วย รอบนอกสุดของดินแดนนี้ล้อมรอบด้วยกำแพง ห่างจาก วงแหวนในสุดประมาณ 50 สเตด เป็นกำแพงที่หนาแน่นมาก มีส่วนหนึ่งจดหน้าผาริมทะเล ตรงนี้เป็นเขต ชุมชนหนาแน่นรอบนอก ท่าเรือมีเรือสินค้าจากแดนไกลมาจอดเทียบ ทำให้คึกคักมากตลอดทั้งวันทั้งคืน
แผนที่แสดงที่ตั้งของแอตแลนติส ซึ่งเป็นจุดสนใจทำให้คนเริ่มค้นหากัน
แม้หลายๆคนในสมัยเพลโต้จะมีข้อกังขาเกี่ยวกับแอตแลนติส แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แผนที่สมัย ก่อนๆจึงมักมีเกาะในตำนานที่ว่านี้ในชื่อคล้ายๆกันใส่ลงไปด้วย
ขอร้องว่าอย่าเพิ่งถามว่า เพลโต้โกหกหรือเปล่า เพราะเราต่างก็คนละรุ่นกับเพลโต้ คำถามนี้จะเอาคำตอบ แน่นอนลงไปคงยังไม่ได้ เพลโต้เป็นถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิต เป็นนักศึกษาที่เอาจริงเอาจังท่านหนึ่ง อยู่ๆ จะแต่งเรื่องโกหกออกมาแหกตาชาวโลกได้นานเป็นพันๆ ปีออกจะทารุณไปหน่อย บางคนก็ว่าเราอาจจะ ตีความหมาย จากถ้อยคำของเพลโต้ผิดไป ทำให้ไขว้เขวกันไปใหญ่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ตอบคำถาม ข้อที่สอง ให้ได้ก่อน คือต้องค้นหามัน แอตแลนติส อาจจะคล้ายคลึงกับดินแดนในตำนาน โบราณคดีอีกมากมาย ที่คิด ว่าไม่มีจริง แต่ก็มีคนขุดจนพบได้ อย่างเช่น กรุงทรอย เป็นต้น
นครแห่งแอตแลนติสตามคำบอกเล่าของเพลโต้
กลางมหาสมุทรแอตแลนติส
การโต้เถียงเริ่มมาเผ็ดมันดุเดือดเอาสมัยศตวรรษที่ 19 ราวปี 1882 มีนักกฎหมาย นักการเมืองและนักค้นคว้า ชาว อเมริกันชื่อ อิกนาเทียส ดอนเนลลี่ ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Atlantis : The Antediluvian World เปรี้ยงออกมา บอกว่าแอตแลนติส ก็คือ เกาะอซอเรส ในกลางมหาสมุทรแอตแลนติส ใกล้ๆช่องแคบยิบรอลตาร์นี่แหละ (ตำแหน่งตามคำบอกเล่าของเพลโต้) ทฤษฎีของดอนเนลลี่ทำเอาวงการนักแอตแลนติสวิทยาปั่นป่วน เพราะถูก ข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่นำมาปะติดปะต่อกันระดมยิงอุตลุด ทฤษฎีนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลกับความเชื่อของคนมาก ดอนเดลลี่ยังพยายามพิสูจน์ว่า แอตแลนติส ก็คือดินแดนที่ถูกนำไปกล่าวอ้างอิงใน เทพนิยายและตำนาน ของขนชาติต่างๆ เป็นสวนสวรรค์แห่งอีเดน เป็นยุคทองของมนุษย์ชาติที่มีความเจริญทางอารยธรรมสูงมาก เป็นต้นตอของภาษาตัวอักษร เข็มทิศ การเดินเรือ ดินปืน กระดาษ ผ้าไหม ดาราศาสตร์ การเกษตร และเป็น บรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆหลายเผ่าทั่วโลก ก่อนยุคน้ำท่วม แต่ถูกภัยพิบัติธรรมชาติทำลายให้จมลง มีคนเพียง ไม่กี่กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ กระจัดกระจายไปสู่ดินแดนต่างๆ ทำให้มีตำนานเรื่องน้ำท่วมเล่าสืบต่อกันมา
มหาสมุทรแอตแลนติค
ทฤษฎีของดอนเนลลี่บอกว่า
แอตแลนติสในอดีตอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ตรงปากทางเข้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน........แอตแลนติสเป็นดินแดนที่เริ่มมีมนุษย์เผ่าแรกเกิดขึ้น และพัฒนาจากความเป็นคนเถื่อนสู่อารยธรรมขั้นสูง.........อาณานิคมเก่าแก่ของชาวแอตแลนติส บางทีอาจ จะเป็นอียิปต์ก็ได้.........แอตแลนติสเป็นแหล่งกำเนิดของอักษรฟีนิเชียนและอักษรของทางยุโรป.... แอตแลนติสคือแหล่งกำเนิดต้นตระกูลของมนุษย์เผ่าอารยัน อินโดยูโรเปียนและเซมิติค....... .ดินแดน แอตแลนติสสูญสลายไป เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้เกาะทั้งเกาะที่มีพื้นที่กว่า 400000 ตารางไมล์จมลง
ร่องใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติค
จากหนังสือของดอนเนลลี่เองมีส่วนผลักดันให้เกิดการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น สมุทรศาสตร์ ชีววิทยา ธรณีวิทยา โบราณคดี ดาราศาสตร์ ฯลฯ เพื่อหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือโต้แย้งหรืออธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส จากข้อความบางส่วนของดอนเดลลี่กล่าวว่า จากการตรวจสอบดูพืชและสัตว์ที่มีอยู่ตามผืนแผ่นดิน 2 ด้านระหว่าง มหาสมุทรแอตแลนติสแล้ว พบว่าเป็นแบบเดียวกัน ตามหลักนิเวศน์วิทยา แสดงว่าแต่ก่อนนี้ต้องมีดินแดน ที่เชื่อมระหว่างผืนแผ่นดิน 2 ส่วนนี้มาก่อน ก็มีคนโต้แย้งว่าไม่จำเป็นเลย เพราะอาจจะมีการอพยพ เมล็ด พันธุ์พืชก็อาจปลิวไปตามลม หรือถูกกระแสน้ำพัดพาไปหรือลอยติดไปกับซากสิ่งของในทะเล ไปยังที่ต่างๆ
อิกนาเทียส ดอนเนลลี่
สำหรับพฤติกรรมแปลกประหลาดในการอพยพของปลาไหลยุโรปนั้น ดอนเนลลี่บอกว่า ปลาไหลยุโรปเหล่า นี้มีแหล่งกำเนิดในทะเลซาร์กัสโซ ซึ่งเป็นทะเลสาหร่ายมหึมาและอุดมสมบูรณ์มาก อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้ กับเขตสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (อยู่ห่างจากเกาะอซอเรสไปทาง ตะวันตกเฉียงใต้ เล็กน้อย) บริเวณนี้เป็นเขตน้ำอุ่นกว้างใหญ่ใกล้ฝั่งอเมริกา ในช่วงที่เป็นตัวอ่อน ฝูงปลาไหลจะแหวกว่าย จาก ทะเลซาร์กัสโซนี้ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังเขตน้ำจืดตามแม่น้ำชายฝั่งยุโรป หลังจากนั้น 2 ปีจึงว่าย กลับไปวางไข่ ผสมพันธุ์ยังทะเลซาร์กัสโซอีก ทั้งที่ฝั่งอเมริกาก็อยู่ใกล้แค่นั้น แต่ทำไมฝูงปลาไหลจึงต้องท่อ สังขารฝ่าอันตรายไปถึงยุโรป นี่คงเป็นเพราะสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิด ถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ปลา ไหล ตอนที่ยังมีเกาะแอตแลนติสอยู่นั้น กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม จากฝั่งอเมริกาเคลื่อนไปทางยุโรป โดยมีส่วน หนึ่งวนกลับมาที่เดิม สู่ทะเลซาร์กัสโซ เพราะไปปะทะกับชายฝั่งเกาะแอตแลนติส เมื่อเกาะนี้จมหายไป ฝูงปลา ไหลเลยปรับตัวไปตามกระแสน้ำอุ่นสู่ยุโรป ขากลับก็อพยพกลับมาตามกระแสน้ำเย็นที่อยู่ลึกลงมาข้างล่าง นี่ก็เท่ากับให้กระแสน้ำช่วยพัดพาทั้งขึ้นทั้งล่อง และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆแล้ว การอพยพของ ปลาไหลยุโรปก็ไม่ได้จัดว่าแปลกมหัศจรรย์ ไปกว่าการอพยพของนก กวางเรนเดียร์ เต่า ผีเสื้อ ตั๊กแตน ปลาวาฬ หรือสัตว์อื่นๆเลย
สถานที่ต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นส่วนของแอตแลนติสมาก่อน ในกรอบคือบริเวณเกาะเทรา ชื่อที่อยู่ใต้สถานที่แต่ละ แห่งคือช่อคนที่เสนอทฤษฎีนั้นๆ มีตั้งแต่ เกาะอซอเรส เกาะเทรา เกาะครีต อเมริกา กรีนแลนด์ แอนตาร์ติค ใต้ทะเลสาบสะฮารา บราซิล เม็กซิโก หมู่เกาะอินเดียตะวันตก มองโกเลีย ศรีลังกา อิรัค อิหร่าน รัซเซีย แอฟริกาใต้ เกาะคานารี
ส่วนในหัวข้อที่ว่า อารยธรรมของชนชาติ 2 ฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติกอย่างเช่น ปิรามิด หรือมัมมี่ของอียิปต์ หรืออินคา ทำไมจึงไปคล้ายคลึงกันได้ แสดงว่าน่าจะมีต้นตออารยธรรมมาจากที่เดียวกัน นั่นคืออาจจะ เป็นเพาะ คนสมัยก่อนมีการติดต่อถึงกันได้ดีกว่าที่เราคิดกันเอาไว้
เส้นทางอพยพของปลาไหลยุโรปตามกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม A คือตำแหน่งเกาะแอตแลนติส S คือทะเลสาหร่ายซาร์กัสโซ
ที่ว่าร่องใต้พื้นน้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นระยะทางยาวรวมทั้งยอดภูเขาใต้น้ำนั้น อาจเป็นยอดเขาส่วน หนึ่งของแอตแลนติสมาก่อน ร่องรอยเหล่านี้พบได้ที่เกาะอซอเรส แสดงว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของทวีปที่จมไป เรื่องนี้ทางด้านธรณีฟิสิกส์แล้วเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบริเวณที่เป็นร่องนั้น ถ้าเคยมีทวีปจมลงไปจริง ร่องช่วง นั้นจะหายไป และเท่าที่ปรากฎทุกวันนี้ ร่องนี้ก็มีแต่ขยายใหญ่ขึ้นทุกที เนื่องจากการเลื่อนตัวของทวีป
เราลองไป้ด้อมๆหาแอตแลนติสที่อื่นๆกันบ้าง
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เมื่อราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล เกิดการระเบิดของภูเขาไฟบน เกาะเทรา ทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน ในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเชื่อกันว่ามีความรุนแรงเป็น 4 เท่าของภูเขาไฟระเบิดที่ครากาตั้ว ในมหาสมุทร แปซิฟิค เมื่อปี 1883 (ผลที่ครากาตั้ว ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นถึง 15 เมตร กวาดล้างเกาะเล็กเกาะน้อย ในบริเวณนั้น เสียสิ้น พ่นเมฆควันละอองเถ่าถ่านลาวา คลุมทั่วเกาะ ฆ่าคนไป 37000 คน เสียงของมันได้ยินไปไกลถึง 6300 กิโลเมตร คือ ไปไกลถึงออสเตรเลีย) ภูเขาไฟระเบิดที่เทรา ไปไกลกว่า 100 กิโลเมตร ถึงเกาะครีต ซึ่งขณะนั้น เป็นศูนย์กลาง อารยธรรมมินโนอัน (Minoan) ที่แผ่อิทธิพลครอบคลุมตั้งแต่ทางตอน เหนือของแอฟริกาจนถึง ยุโรปตอนใต้ อันอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ของแอตแลนติส ตามที่เพลโต้กล่าวไว้ ถ้าตัดเลข 0 ออกจาก ปีที่เพลโต้บอกว่า เป็นจุดจบของแอตแลนติส บวกกับปีที่พระอียิปต์เล่าเรื่องแอตแลนติสให้โซลอนฟัง (600 ปีก่อนคริสตกาล) จะได้เป็น 1500 ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาที่เกิดระเบิดที่เกาะเทรา การตัดตัวเลขออกไปเสียเฉยๆ ดูจะเป็นการทึกทักมากไปหน่อย (แต่ก็มีบางคนบอกว่าตัวเลข 100, 1000 , 10000 ในตัวเขียนของชาวเกาะ ครีตนั้นคล้ายคลึงกันมาก) และจาก การศึกษาซากการระเบิดของภูเขาไฟโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ปรากฎว่าภูเขาไฟบนเทราระเบิดก่อน 50 ปี แล้วอารยธรรมมินโนอันถึงถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหว
หมู่เกาะอินเดียตะวันตก
ใกล้กับช่องแคบยิบรอนตาร์ ไปทางฝั่งอเมริกาอีกหน่อย แถวๆตะวันออกของรัฐฟลอริด้า คือ ที่ตั้งของหมู่เกาะ อินเดีย ตะวันตก ตรงตามหลักฐานที่ มาร์เซลลัส นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้เมื่อคริสตศักราชที่ 1 ตามคำบอก เล่าของเพลโต้ แอตแลนติสก็น่าจะเป็นบริเวณนี้ ซึ่งยังมีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ นับแต่สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง มีบริเวณน้ำตื้น ชายฝั่ว กว้างมาก เกาะใหญ่ทั้ง 3 เกาะคือ คิวบา ไฮติ และปอร์โตริโก ไฮติอยู่ตรงกลาง มีขนาด กว้างประมาณ 100 ไมล์หรือ 1000 สเตด และเมื่อไม่นานมานี้มีผู้พบว่าแถวๆหมู่เกาะบาฮามาส์ มีซากปรักหัก พังของป้อมและวิหาร โผล่ขึ้นมา ให้เห็นใกล้ๆผิวน้ำ ที่เกาะไบมินิ ตามชายฝั่งมีก้อนหินทอดต่อๆกัน ดูแล้วเหมือน กับเป็นถนน เลยใช้ชื่อว่า "ถนนไบมินิ" มองจากเครื่องบินจะเห็นชัดมาก
ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นถนนไปมินิรูปตัว J
อเมริกา
ถัดจากหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเข้าไปก็คือ ทวีปอเมริกา ที่นี่ล่ะเป็นทวีปใหญ่สมใจแน่ เพราะ..."จากที่นี่คุณ สามารถ ข้ามไปยังทวีปอื่นที่อยู่รอบๆมหาสมุทรได้" ชนกลุ่มเหล่านี้ต้องเป็นพวกอารยธรรมยุคหินก่อนสมัยอียิปต์ มีความ ก้าวหน้ามากทั้งทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรกรรม และการเริ่มเอาทองแดงมา ใช้ให้เป็น ประโยชน์ ซึ่งคงต้องหันไปดูจากพวกอินคาหรือมายันในอเมริกากลางแถวเม็กซิโก
แอนตาร์ติค
นอกเหนือจากแนวความคิดของนักแอตแลนติสวิทยาแล้ว ที่ไกลกว่านี้ก็ยังมีคือ มีคนชื่อ อัล บาวเออร์ ไม่เชื่อว่า ดินแดนที่มีขนาดใหญ่มากอย่างแอตแลนติส (ขนาดเท่าลิเบียสมัยนั้น กับเอเซียน้อยรวมกัน) จะสามารถถูก กลืนหายไปในมหาสมุทรได้ การที่มันหายไปคงต้องเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงที่ผิวโลกครั้งใหญ่ เนื่องมา จากการวิ้งชนของดาวเคราะห์ที่อยู่ระหว่างโลกกับดาวอังคาร พร้อมกับเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรง ความแรงจาก การชนทำให้บริเวณขั้วโลกเหนือขณะนั้นมาอยู่ทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ในปัจจุบัน ขั้วโลกใต้กระดอน มาอยู่แถบบอร์เนียว ส่วนแอตแลนติสกระเด็นไปอยู่ขั้วโลกใต้ เป็นทวัปแอนตาร์ติคในปัจจุบัน โดนหิมะ ปกคลุมแช่อยู่ใต้ก้อนน้ำแข็งอยู่จนทุกวันนี้ (ความคิดแบบนี้ค่อนข้างจะอยู่ในแนวของ เวลีคอฟกี้) แต่จะพิสูจน์ ให้เห็นได้มีเพียงวิธีเดียวก็คือ ขุดซากเมืองขึ้นมาจากน้ำแข็งลึกลงไป 4500 ฟุต เห็นที บาวเออร์ ต้อง จัดตั้ง กองทุนสำหรับค้นหานี้โดยเฉพาะเสียแล้ว
ตามแนวคิดของบาวเออร์ ก่อนกลียุค แอตแลนติสอยู่เขตศูนย์สูตร
อีกสิ่งหนึ่งที่ บาวเออร์สนใจก็คือ แปลนเมืองของแอตแลนติสที่บอกว่า เมืองนี้ร้อมรอบด้วยโลหะ กำแพงชั้นนอก เป็นบรอนซ์ (ทองแดงผสมดีบุก) กำแพงชั้นในฉาบดีบุก และที่กำแพงและพื้นวิหารใจกลางเกาะก็เป็นทอง (ทองนี้เข้า ใจว่าเป็นสาร Orichalcum ซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี แต่มีลักษณะคล้ายทอง) และดินแดนเหล่า นี้มี คลองเชื่อมน้ำทะเลเข้าถึงได้หมด ถ้าเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ระดับน้ำจะเท่ากันด้วย ดังนั้นเมื่อ น้ำขึ้นถึงระดับหนึ่ง ก็อาจมี ปรากฎการณ์อิเลคโทรไลติก เกิดขึ้นทันที เท่ากับเทพโพไซดอน สร้างแบตเตอร์รี่เซล เดียวขนาดมหึมาเข้าให้แล้ว
ที่มา http://archaeology.thai-archaeology.info/index.php?option=com_content&task=view&id=391&Itemid=0
ผลงานอื่นๆ ของ Thunderwitch ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Thunderwitch
ความคิดเห็น