คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : EP.06 : ความรู้สึกผ่านการกระทำ [100%]
Episode 06
ความรู้สึกผ่านการกระทำ
ความรู้สึกที่มิอาจจะเอื้อนเอ่ย
… การกระทำที่มิอาจฝืน …
“อ่ะ..ขนม” ฉันยื่นขนมซึ่งเป็นของว่างในระหว่างพักเบรกให้เขา..ไม่ใช่อะไรหรอก ฉันเดินออกไปเอาขนมพอดีเลยหยิบติดมือมาเผื่อ ยังไงก็เพื่อนกันนี่นา และฉันก็เห็นว่าเขาก็คงขี้เกียจไปเอาด้วยนั่นแหละ
“อืม..” เขารับมันมานิ่งๆ ก่อนฉีกซองหยิบขนมใส่ปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่อร่อยเหรอ?” ฉันถาม
“อร่อย” เขาตอบก่อนจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นมาตรงหน้าฉัน เขาคิดจะทำอะไรกันแน่…
“ไม่กิน อิ่มแล้ว” ฉันตอบก่อนหลุบตาลงต่ำ ฉันไม่อยากสบตาเขาเลย ฉันรู้ตัวดีว่าฉันคงทำตัวปกติในตอนนี้ไม่ได้ เฮียอย่าทำแบบนี้เลยนะ… ก่อนที่ทุกอย่างมันจะไม่สายไป
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาหน้าม้าลงมาแบบนี้” เขาใช้นิ้วชี้ปัดหน้าม้าให้ฉันก่อนจะเดินสวนออกไปนอกห้อง ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกเมื่อครู่ที่ยังติดอยู่บนหน้าผาก
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไร
แต่ว่านะ…ยิ่งทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ฉันก็ยิ่งกลัวใจตัวเองมากขึ้นไปอีก
พระเจ้าคะ…อย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันกำลังคิดเลย
วันนี้ในคาบแล็ปฟิสิกส์ ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ฉันนั่งไม่ไกลจากพีชเท่าไหร่ ที่จริงเรานั่งหันหลังชนกันมากกว่า ด้วยความที่นั่งกันเป็นกลุ่มเพื่อทำแล็ป ฉันเลยทำเป็นไม่สนใจเขา แต่ว่าจะให้เมินไปเลยมันก็คงจะไม่ใช่นิสัยของฉัน ฉันก็เลยหันไปทักเขาเบาๆ
“เฮีย หนาวมั้ย?” ฉันถูฝ่ามือไปมาด้วยความหนาว ฉันเงยหน้ามองไปตามแรงลมที่เป่า เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่หนาวเหรอ ทำไมขิงหนาว มือเย็นเนี่ย!” พูดจบฉันก็เอามือทั้งสองข้างไปกำแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง ที่จริงฉันแค่จะทำให้ดูว่ามันหนาวๆจริงๆ แต่พอมารู้ตัวอีกทีเราทั้งคู่ก็นิ่งไป… เหมือนตกอยู่ในภวังค์
และก่อนที่มันจะสายไป… ฉันเลยรีบเอามือออกจากแขนของเขา โดยวางตัวให้ ‘เนียน’ ที่สุดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่
“หนาวเนอะ ทำแล็ปดีกว่า” ฉันยิ้มเบาๆ จริงๆออกจะไปเชิงยิ้มเจื่อนๆเสียมากกว่า แล้วฉันก็หันหลังไปทำแล็ปกับเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มโดยไม่ได้สนใจหันกลับมามองเขาอีกเลย
เพราะอะไรน่ะเหรอ…เพราะฉันกลัวว่าเขาอาจจะกำลังมองฉันอยู่
เพราะฉันกลัวว่า…เขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไร
เพราะฉันกลัว…
ผู้หญิงนิสัยไม่ดีแบบฉันไม่ควรคู่กับคนอย่างเขาหรอก ฉันกำลังรู้สึกดีกับแฟนคนอื่น แบบนี้มันไม่ดีเลย…
เหมือนฉันกำลังกลายเป็นคนเลวเลย… ขอให้จบค่ายนี้ ฉันเลิกรู้สึกแบบนี้กับเขาได้เสียที ขอให้ทุกอย่างไม่ถลำลึกไปกว่านี้ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของค่ายแล้ว พวกเราก็กำลังจะเดินทางกลับ พวกเราต่างขนของสัมภาระพะรุงพะรังเต็มไปหมด ทั้งๆที่ตอนมาก็มากันแบบกระเป๋าเบาๆชิลๆแท้ๆ แต่ทำไมตอนกลับกระเป๋าถึงได้หนักขึ้นก็ไม่รู้
ตอนนี้ฉันและบลายธ์ก็ต่างขนกระเป๋าสัมภาระของตัวเองออกมาจากที่พักเพื่อมาเก็บที่รถโดยสารคันใหญ่ที่จอดรอเราอยู่
หลายครั้งฉันก็เผลอแอบมองหาเขาอยู่เหมือนกัน…
ไม่รู้สิ…พอมันรู้สึกแบบนี้มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งๆที่เขาไม่มีอะไรให้ฉันห่วงแท้ๆ
ก็ใช่ไง…คนนอกอย่างฉันจะไปวุ่นวายกับชีวิตเขาทำไมกันล่ะ
“มองหาใครเหรอขิง” บลายธ์ที่เดินตามหลังฉันมาเอ่ยขึ้น ฉันไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆแล้วเดินต่อโดยทำสีหน้าว่า ‘ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับใจฉันทั้งนั้น’
บ้าจริง… ทำไมต้องมองหาด้วยนะ!!
เลิกมองสักทีเถอะ ! เลิกมองหาแฟนคนอื่นสักทีเถอะ !
ไม่นานทุกคนก็ขนของขึ้นรถจนเสร็จ ต่างคนก็ต่างนั่งรอให้รถออกอย่างเฮฮา บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เต้น บ้างก็นอน ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันอยากจะรีบๆหลับไปเสียมากกว่า
จะได้ไม่ต้องเผลอมองเขาบ่อยๆแบบนั้น เดี๋ยวจะทำให้เขาลำบากใจเปล่าๆ ยิ่งถ้าฉันทำให้เขาลำบากใจจริงๆ ฉันคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ
จบค่ายแล้ว…ความรู้สึกฉันจะจบไปด้วยรึเปล่า ฉันยังไม่แน่ใจเลย
แล้วยิ่งต้องมาเจอหน้ากันทุกวัน เจอความใจดีของเขาทุกวันแบบนี้ ฉันจะทำใจได้ยังไงกันล่ะ เขาเป็นเพื่อนฉันนะ เขามีแฟนแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่ามันผิด…ก็หยุดมันซะสิขนมขิง
--------------------------------[50%]--------------------------------
กลับมาสู่สภาพความเป็นจริง…กลับมาสู่โรงเรียน….กลับมาอยู่ในสภาพปกติ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ปกติล่ะ
ตลกเนอะ…ชีวิตฉันน่ะตลกเนอะ
ทุกครั้งที่ฉันมองเขา ทั้งๆที่นั่งเรียนอยู่ หรือมองดูเขากำลังคุยกับเพื่อน มองดูเขายิ้มและหัวเราะ(น้อยครั้งจะเห็น) ฉันก็แอบเผลอยิ้มตามอยู่เหมือนกัน บางทีก็เผลอคิดว่า ถ้าเขายิ้มเพราะฉันก็คงจะดีเนอะ… พอคิดแบบนั้น ความถูกต้องในใจก็แทบจะลอยมาตบหน้าฉันในทันใดว่าเขามีเจ้าของแล้ว ฉันก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ
พอกลับจากค่าย ฉันกับเขาก็ดูจะพูดกันน้อยลงมากโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ถ้าแอบคิดเข้าข้างตัวเอง เขาอาจจะกลัวตัวเองหวั่นไหว แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอก
“ขิง ไปนั่งเล่นข้างล่างกัน คาบนี้ว่างอ่ะ ครูไม่มา” เพื่อนในกลุ่มฉันรวมถึงบลายธ์ด้วยลุกกันพรึบพรั่บก่อนหันมาดึงเขาฉันเบาๆ อันที่จริงฉันไม่ได้อยากลงไปข้างล่างนี่ ฉันชอบนั่งมองเขามากกว่า
“อ่า..โอเค ป่ะๆ” ฉันตอบอย่างปฎิเสธไม่ได้ ทำไงได้ล่ะ เพื่อนไปกันหมดกลุ่มเลยนี่นาจะให้ฉันนั่งอยู่คนเดียว ก็ดูจะยังไงๆอยู่นะ มันอาจจะดูชัดเจนไปจนดูไม่ดี งั้นฉันควรจะลงไปดีกว่า ก็แค่มองคนๆเดียวไม่เป็นไรหรอกหน่า
ว่าแล้วฉันก็ถอนหายใจเบาๆก่อนลุกขึ้นเดินตามเพื่อนไป บอกตรงๆว่าอยากจะหันหลังกลับไปมองเขาอยู่นะว่ากำลังทำอะไร แต่ก็หยิ่งเกินกว่าจะหันไปล่ะมั้ง
ดีแล้วล่ะ..ดีแล้ว
ฉันค่อยๆเดินมายังโต๊ะของเพื่อนๆฉันที่ลงมาก่อนฉันได้สักไม่กี่นาทีพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ในใจก็รู้สึกโหวงๆแปลกๆ
“ขิง ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เพื่อนคนหนึ่งสบตาฉันก่อนจะระบายยิ้มให้
“แค่เหนื่อยๆน่ะ” ฉันตอบยิ้มๆ หน้าฉันคงดูเหนื่อยๆ เบื่อโลก อะไรแนวนี้ล่ะมั้ง เพื่อนถึงได้ทัก ปกติฉันก็เฮฮาอยู่นะ แต่ถ้ามีเรื่องอะไรในใจก็จะเงียบลง
“ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยพูดเลยอ่ะ”
“ก็เงียบเป็นปกตินี่นา ไม่เห็นจะแปลกเลย” ฉันส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหยิบสมุดออกมาจากกระเป๋าเพื่อจดงาน อันที่จริงแทบจะไม่มีงานต้องจด แต่ว่าเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม ฉันก็เลยต้องทำแบบนั้น
น่าตลกเนอะ…นี่ฉันเศร้าจนไม่พูดกับใครเลยเหรอ ทั้งที่ปกติไม่ใช่แบบนี้สักนิด
เพื่อหนีปัญหาและการตอบคำถาม ฉันเลยก้มหน้าจดงาน ทำนู่นทำนี่ให้ดูยุ่งที่สุด จนไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที.. ฉันก็เห็นเขากับกลุ่มเพื่อนของเขาเดินมานั่งที่โต๊ะเยื้องๆจากโต๊ะฉัน
พระเจ้าเล่นตลกเสมอ! เราเผลอสบตากันครู่หนึ่ง แต่จะให้ทำหน้ายังไงกันล่ะ เป็นอะไรกันเหรอ เพื่อนสนิทก็ไม่ใช่
จะยิ้มทักดีมั้ยนะ…
จะเดินไปทักดีมั้ยนะ…
ทำยังไงดีนะ…
สุดท้ายความคิดฉันก็หยุดลงตรงที่ไม่ทำอะไรเลยเสียดีกว่า ไม่เอา ไม่ทำดีกว่า กลัวจะเผลอใจตัวเองไปมากกว่านี้
จริงๆแล้วเขาอาจไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำ ที่เขาใจดีก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาใจดีแบบนั้นกับทุกคนนั่นแหละ ที่ฉันได้รับมันก็เป็นเพราะว่าเรา ‘สนิทกัน’
…สนิทกัน ? มันจริงเหรอที่เราสนิทกันน่ะ
“อ้าว ทำไมนั่งคนเดียว” ‘อาร์มี่’ เอ่ยทัก ฉันลืมแนะนำเขาไปสินะ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าเราเป็นญาติกัน เราเจอกันตอนงานรวมญาติ และก็ได้รู้ในตอนนั้นว่า เขาก็เรียนอยู่ห้องเดียวกับฉัน
มันดูเป็นเรื่องตลกพิลึกเลยเนอะ แต่ว่าด้วยความที่เขาเป็นคนทะเล้น เฮฮา แล้วก็พูดมากหน่อย เลยทำให้เราสนิทกันสมกับที่เป็นญาติกันขึ้นมาหน่อย
“ทำงานๆ” ฉันตอบก่อนก้มหน้าจดงานต่อ
“เขยิบดิ นั่งด้วย” คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติฉันเอาตัวมาเบียดฉัน จนต้องยอมเขยิบให้เขานั่ง
“ที่นั่งอื่นก็มีอ่ะ ทำไมไม่นั่ง?” ฉันมองเขาด้วยความหงุดหงิดนิดๆ หมอนี่ชอบทำอะไรไม่เกรงใจฉันเท่าไหร่เพราะถือว่าเราเป็นญาติกัน
“ไม่อ่ะ” เขาแกล้งเบียดฉันมาอีก ฉันขยับหนีจนแทบจะตกเก้าอี้
“เบียดทำไมเล่า!” ฉันฟาดมือไปที่แขนเขาทีหนึ่ง แน่ล่ะ เขาไม่เจ็บหรอก เขาตัวใหญ่กว่าฉันตั้งเท่าไหร่
“ไม่มีที่นั่ง” เขาตอบหน้าเฉย โอ้ยย…ฉันนี่แทบจะผลักเขาหนีเสียให้ได้ คือฉันอยากนั่งอยู่คนเดียว เคยเข้าใจฉันมั่งมั้ยเนี่ย?
“นั่งไป” ฉันลุกขึ้น ก่อนจะแอบเหลือบมองไปที่โต๊ะนั้น…โต๊ะที่ ‘คนๆนั้น’ นั่งอยู่
แล้วสายตาเราก็สบกันพอดี…
แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่ง สายตาก็ยังคงนิ่ง…
ฉันอ่านไม่ออก…ฉันอ่านความรู้สึกเขาไม่ออก…สายตาที่มองมาแบบนั้น มันหมายความว่ายังไงกันนะ
Talk with Kat
สวัสดีค่าาา ยังจำกันได้อยู่มั้ย แคทเอง T^T หายหัวไปชนิดที่ว่า นานมากกกกก
หลายคนคงลืมเนื้อเรื่องไปแล้วววว แคทกลับมาแล้วนะค้าาาาา
เม้นต์หน่อยยยจิเตงงงง เม้นต์ด้วยยย อย่าลืมมม ขอกำลังใจโหน่ยยย
กำลังจะเข้าโหมดดราม่าแล้ววน้าาา
ความคิดเห็น