ตอนที่ 41 : บทที่ 41 ผลแห่งการลงกระบี่ครั้งนี้!1
บทที่ 41 ผลแห่งการลงกระบี่ครั้งนี้!1
"ข้าก็มีแต่พี่ชายเท่านั้น!"
เย่หลิงส่งยิ้มหวาน
"ดังนั้นทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือพี่ชายของข้า!"
เด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างเย่หลิงก็พลันถามขึ้น "พี่ชายของเจ้ามีพลังขนาดนั้นเชียว?"
เย่หลิงพยักหน้าและตอบอย่างจริงจัง "แน่นอนว่าพี่ชายของข้านั้นแข็งแกร่งมาก!"
เด็กน้อยพูดเสียงดัง "ไม่ว่าพี่ชายของเจ้าจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปมากกว่าท่านพ่อของข้าได้หรอก"
เย่หลิงมองไปยังเด็กชายตัวน้อย "ท่านพ่อของเจ้าก็แข็งแกร่งมาก ๆ ด้วยอย่างงั้นเหรอ?"
เด็กชายตัวน้อยดูกระฉับกระเฉงขึ้นมาและพยักหน้าอย่างเร็วไว "แน่นอน ท่านพ่อข้าคือชาเต๋อเหลียน เจ้าแห่งเมืองพันภูเขา ชาวเมืองทุกคนล้วนต้องเชื่อฟัง!"
ชาเต๋อเหลียน!
เย่หลิงกะพริบตา "โอ้โห สุดยอดไปเลย"
เด็กน้อยพูดอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอน เพราะในเมืองพันภูเขานั้นตระกูลของข้าใหญ่ที่สุด!"
เย่หลิงหรี่ตามองเด็กน้อยและกล่าวเตือน "พี่ชายของข้าเคยกล่าวไว้ว่าเจ้าไม่ควรพูดโอ้อวดตัวเองมากเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นแล้วหากไปข้างนอกก็จะถูกรังแกเอาได้!"
เด็กชายตัวน้อยส่ายศีรษะ "ถ้าจะมีใครทำอย่างนั้นแล้วละก็ พวกเขาคงไปลงมือกับท่านพ่อของข้าโน่น ไม่มาทำข้าหรอก!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หลิงก็ตกใจ "นี่เจ้าคนนี้ตั้งใจปฏิบัติต่อท่านพ่อของตัวเองแบบนี้จริง ๆ เหรอ?"
ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ชี้ไปที่เย่ฉวนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลและถามว่า "นั่นใช่พี่ชายของท่านหรือเปล่า?"
เย่หลิงพยักหน้ารับ "นั่นพี่ชายของข้าเอง หล่อใช่ไหมล่ะ?"
เด็กน้อยเถียง "แบบไหนกันที่เรียกว่าหล่อ? หล่อไปก็กินไม่ได้เสียหน่อย!"
เย่หลิงพูดกลั้วหัวเราะ "ถ้าหล่อ ในอนาคตก็จะหาคนแต่งงานด้วยได้ง่ายน่ะสิ"
เด็กน้อยหันขวับและเถียงขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้ามีเงิน ฉะนั้นข้าจะมีภรรยามากเท่าใดก็ได้อย่างที่ข้าอยากได้!"
เย่หลิงส่ายหน้า "เจ้าเด็กอ้วน ขอข้าพูดหน่อยเถอะ เงินน่ะซื้อทุกอย่างไม่ได้หรอกนะ!"
เด็กชายตัวน้อยไม่เห็นด้วย "นั่นไม่จริงเสียหน่อย ท่านพ่อของข้าบอกว่า 'กุญแจสีทองน่ะเปิดประตูใดก็ได้’ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องใช้เงินทอง หากบางอย่างใช้เงินไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าเราใช้เงินไม่พอต่างหาก ดังนั้นแล้วข้าเองก็จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เลย!"
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เขาก็นึกอะไรขึ้นได้และเริ่มขุ่นเคือง "เจ้าเรียกข้าว่าเด็กอ้วน ข้าอ้วนมากขนาดนั้นเลยเหรอ?"
เย่หลิงไล่สายตาไปทั่วร่างกายของเด็กน้อย มองขึ้นและมองลง หากพิจารณาจากลักษณะภายนอกแล้ว เท่าที่เห็นตอนนี้ เขาต้องหนักไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลกรัมแน่ ๆ! ดังนั้นนางจึงผายมือออกและถามกลับ "แล้วนี่เจ้าไม่ได้อ้วนหรอกหรือ?"
เด็กน้อยร้องตะโกนด้วยความไม่พอใจ "พ่อของข้าบอกว่าแข็งแรงต่างหาก ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าแข็งแกร่ง!"
เย่หลิงส่ายหน้าก่อนจะมองเด็กน้อยด้วยสายตาเห็นใจ "ท่านพ่อของเจ้าใจดีจริง ๆ'"
ใบหน้าของเด็กชายยู่ยี่เล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง "เจ้าว่าข้าอ้วนจริงหรือ?"
เย่หลิงพยักหน้า "เจ้าน่ะอ้วนมาก!"
เด็กน้อยกำหมัดแน่นและพูดอย่างโกรธๆ "พวกเขาหลอกข้า!"
อย่างไรก็ดี เย่หลิงเลิกสนใจเด็กน้อยและเดินกลับไปหาเย่ฉวน เพราะว่าไม่ต้องการรบกวนพี่ชาย นางจึงเพียงจับแขนของเขาเบา ๆ และเอนศีรษะซบลงบนนั้น
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเด็กน้อยก็ไม่พอใจ เขาวิ่งกลับไปหาชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกล "ท่านพ่อ ข้าอยากได้พี่ชาย!"
ผู้เป็นพ่องงงวย "..."
เรือเมฆได้ข้ามภูเขากว่าพันลูกและมาถึงแม่น้ำสายใหญ่ แม่น้ำกว้างอย่างน้อย 10,000 เมตรและดูไร้จุดสิ้นสุด ช่างเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่เสียจริง!
เย่ฉวนยังคงยืนนิ่งและมองตรงไปข้างหน้าเหมือนพระชราที่กำลังนั่งสมาธิ
เขากำลังครุ่นคิดอยู่!
ในเวลานี้เย่ฉวนแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องต่าง ๆ และไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจเรื่องอื่นใดเลยด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้เขาได้โดยสารมากับเรือเมฆ ได้เห็นภูมิประเทศอันกว้างใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจและเกิดความคิดมากมายขึ้นภายในหัว!
เขาไม่เคยมีความคิดมากมายเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ!
ด้านในห้อง
ชายชราผู้หนึ่งมองฮั่นเซียงเหมิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา "ข้าได้ยินว่าเจ้าปล่อยให้พวกเด็กวัยรุ่นไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาอาศัยอยู่ห้องข้างบนอย่างนั้นหรือ?"
ฮั่นเซียงเหมิงพยักหน้า "ใช่ เป็นข้าเองที่อนุญาตให้พวกเขาทำเช่นนั้น ทำไมหรือ? คงไม่ใช่ว่าท่านผู้อาวุโสกู้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกกระมัง?"
ชายชราในชุดเสื้อผ้าธรรมดากล่าวเสียงเย็น "ห้องชั้นบนนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เจ้าสมควรที่จะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครนะ!"
ฮั่นเซียงเหมิงหัวเราะเบาๆก่อนจะกล่าวว่า "ชายผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างที่ท่านเข้าใจหรอก เขาคือยอดผู้ฝึกกระบี่และข้าต้องการที่จะเอาชนะใจเขา มันมีปัญหาตรงไหนเหรอ?"
"ยอดผู้ฝึกกระบี่?"
ชายชราในชุดเรียบ ๆ หัวเราะหยัน "เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกใคร? ยอดผู้ฝึกกระบี่อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีนั้นมีที่ไหนกัน? ไยเจ้าจึงไม่บอกว่าคนผู้นั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นไปเสียเลยล่ะ?"
ฮั่นเซียงเหมิงขมวดคิ้ว "ผู้อาวุโสกู้ นี่ไม่ใช่ว่าท่านจงใจจับผิดข้าอย่างนั้นหรอกหรือ?"
ผู้อาวุโสกู้ยิ้มเยาะ "ข้าจะกล้าได้ยังไง? คุณหนูฮั่น แม้ว่าท่านจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อดูแลหอการค้าในเมืองพันภูเขาและเมืองหลวงของจักรวรรดิ ทว่าตามกฎของตระกูลแล้ว คำสั่งนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อท่านไปถึงยังเมืองหลวงแล้วเท่านั้น ใครก็ได้เข้ามาที่นี่ซิ!"
เมื่อสิ้นเสียงผู้อาวุโสกู้ ทหารยามสองคนก็เดินเข้ามา
ผู้อาวุโสกู้พูดอย่างเย็นชา "เจ้าพี่น้องสองคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะพักอยู่ห้องชั้นบน โยนข้าวของพวกมันออกไป"
ทหารยามสองคนทำความเคารพรับคำสั่งและถอยจากไป
ฮั่นเซียงเหมิงมองผู้อาวุโสกู้ด้วยสายตาเย็นเยียบ "ดูเหมือนว่าท่านตั้งใจจะแสดงความจงรักภักดีต่อใครบางคนงั้นสินะ!"
ผู้อาวุโสกู้หัวเราะเยาะ "ขออภัย ข้าไม่เข้าใจว่าคุณหนูฮั่นกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ข้าเพียงแต่ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร หากคุณหนูฮั่นรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ท่านจะไปร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาก็ได้นะ!"
ฮั่นเซียงเหมิงพยักหน้า "ได้ ข้าจะจำไว้!"
หลังจากนั้นนางก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ผู้อาวุโสกู้ที่ยังคงนั่งอยู่ภายในห้องหัวเราะเยาะ "หากท่านต้องการดึงคนมาอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วละก็ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านได้สมหวังแน่ คุณหนูฮั่น!"
ผู้อาวุโสกู้เดินออกจากห้องบ้าง เขากำลังจะเกษียณในไม่ช้า ถ้าหากไม่รีบแสดงความจงรักภักดีต่อคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว เกรงว่าเมื่อกลับมา เขาคงไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างอับเฉา แต่ในเมื่อตอนนี้เขาค้นพบโอกาสแล้ว ชายชราก็จะไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่!
ข้างบนดาดฟ้าของเรือเหาะ
ผู้อาวุโสกู้และทหารยามสองคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังเย่ฉวนอย่างเงียบเชียบ เมื่อรู้สึกตัว เย่หลิงจึงปล่อยแขนของเย่ฉวนและหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสาม "ขออภัย ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใคร?"
ผู้อาวุโสกู้มองไปยังเย่ฉวนที่ยืนอยู่ข้างหลังเย่หลิงก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จึงสามารถมองเห็นลำดับขั้นพลังของเย่ฉวนได้ในเพียงพริบตา "เจ้าเย่ฉวนคนนี้มีพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณเพียงเท่านั้น ยอดผู้ฝึกกระบี่อะไรกัน? นั่นมันเหลวไหลสิ้นดี!"
เมื่อผู้อาวุโสกู้หันมองทหารยามจากนั้นก็พยักหน้าส่งสัญญาณ ทหารยามทั้งสองพยักหน้ารับคำสั่งและเริ่มโยนสัมภาระของทั้งสองพี่น้องออกมากองตรงหน้าของเย่หลิง
"พวกท่าน..." เย่หลิงสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะนั้นทุกคนรอบด้านต่างหันมามองเป็นตาเดียว
ผู้อาวุโสกู้หัวเราะหยัน "พวกเจ้าขึ้นมาพักที่ห้องชั้นบนนี่ได้ยังไง?"
เย่หลิงจึงรีบร้อนอธิบายอย่างรวดเร็ว "พี่สาวคนนั้นได้เชิญเราทั้งสองมาที่นี่ แล้วนางก็..."
"พวกเจ้าได้จ่ายเงินค่าเข้าพักแล้วหรือยัง?"
ผู้อาวุโสกู้พูดขัด "มีตั๋วหรือไม่?"
เย่หลิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบอธิบายทันทีว่า "เป็นพี่สาวคนนั้นที่เชิญข้าและพี่ชายให้มาพักที่นี่จริง ๆ ท่านสามารถไปถามนางก็ได้ ท่าน..."
ผู้อาวุโสกู้ไม่เชื่อ "พวกเจ้าสองคนไม่มีตั๋วแล้วยังกล้าโป้ปดปลิ้นปล้อนอีก ข้าว่าพวกเจ้าต้องมีเจตนาแอบขึ้นมาที่ชั้นบนนี่อยู่แล้วแน่ ๆ"
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสกู้ก็แสดงท่าทีเย็นชา "ใครก็ได้โบยพวกมันให้ตายแล้วโยนออกไปพ้น ๆ เรือเหาะนี้ซะ เดี๋ยวนี้!"
ทหารยามทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปหาสองพี่น้อง เย่หลิงหน้าซีดลงทันที นางรีบไปยืนขวางหน้าเย่ฉวนและพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด "พี่สาวคนนั้นเป็นคนเชิญให้พวกเราขึ้นมาพักอยู่บนนี้ชัด ๆ ท่านกล่าวหาเช่นนี้ได้ยังไง? ท่านใส่ความพวกข้าแล้ว!"
ผู้อาวุโสกู้ยังคงเสแสร้งหาเรื่องต่อไปไม่มีหยุด "พวกเจ้ากล้าแอบเข้ามาพักที่ห้องชั้นบนโดยไม่มีตั๋ว นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าเหยียดหยามสำนักอัปสรเมรัย! ด้วยเหตุนี้ แท้จริงแล้วพวกเจ้าสมควรถูกประหารชีวิตยกตระกูลเสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเจ้าและพี่ชายของเจ้า!"
ผู้อาวุโสกู้แอบอ้างชื่อสำนักอัปสรเมรัยเพื่อกลั่นแกล้งทั้งสองให้ถึงที่สุด!
นั่นคือความรู้สึกของทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดแทนพวกเขาเนื่องจากมีชื่อของสำนักอัปสรเมรัยเข้ามา ใครไหนเล่าจะกล้ากล่าววาจาล่วงเกินผู้อาวุโสกู้และคนแปลกหน้าทั้งสอง!
ในไม่ช้า ทหารยามคนหนึ่งก็เข้ามาจับตัวเย่หลิงไว้และลากนางไปที่ด้านข้าง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
