ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เข้าไปในเมือง
ช่วยๆกันหน่อยนะคะ>< http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=146945
"เฮ้อ~~~" เสียงถอนหายใจยาวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ฟูหลงควบม้าให้มันเดินช้าๆเนื่องจากเริ่มหมดอาลัยตายอยากในการเดินทางซะแล้ว เสียงเท้าของม้าเป็นดังนี้ กุบ กับ กุบ กับ ทำให้คนที่มองดูรู้สึกเบื่อไปด้วย
"เฮ้อออ~~~~~" เสียงถอนหายใจรอบที่11ของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลใจอย่างมาก ไหนจะเรื่องบ้าน เรื่องจุดหมายปลายทาง เรื่องห่วงอาเหมยอีก เด็กหนุ่มอยากจะหายตัวไปซะเหลือเกิน
กุบกับๆๆๆๆๆ เสียงม้าเร็วตัวหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา ฟูหลงรู้สึกแปลกใจ ด้านหลังเขาคือเขตภูเขาที่มีบ้านปลูกอยู่หลังเดียวคือบ้านเขาเอง ไม่มีใครมาจากที่นั่นแน่ๆนอกเสียจากคนในครอบครัวเขา รึว่า...
ความคิดของฟูหลงถูกต้อง ม้าสีดำราวกับนิลซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเร็วที่สุดในเมืองแห่งนี้ มีอยู่ตัวเดียวเท่านั้นคือบ้านเขา ร่างของเด็กสาวผมยาวสยายสีดำขลับดั่งราตรีกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยความเร็งสูงจนฝุ่นตลบอบอวล
เด็กสาวหยุดม้าเมื่อเห็นเขา ผิวขาวนวล ใบหน้ารูปไข่ ผมปล่อยยาวสีดำขลับตัดกับสีผิวปรกใบหน้าเล็กน้อย ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับนิล หน้าตาหวานน่ารัก เธอยิ้มให้เขาอย่างดีใจและซื่อบริสุทธิ์ที่สุด แม้จะไร้เสียงออกมาแต่ปากของเธอขยับเป็นคำพูด 'ฟูหลง'
"อาเหมย" ฟูหลงแทบไม่เชื่อสายตา เขาหยิกแก้มตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บ นี่ไม่ใช่ฝัน รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของฟูหลง เขากำลังหัวเราะ
"แล้ว..." ฟูหลงมองไปยังสัมภาระบนหลังม้าของอาเหมย "หึหึ นี่ตามพี่มาเหรอ"
อาเหมยพยักหน้าหงึกๆ ฟูหลงตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง แล้วขยี้หัวเด็กสาว "มันอันตรายกลับบ้านไปซะไป"
ใจจริงอยากจะขอร้องให้ไปด้วยกันแต่ไอ้ปากเจ้ากรรมดันพูดออกไปอย่างนั้น อาเหมยส่ายหน้าแล้วส่งสายตามุ่งมั่นพร้อมกับจับเสื้อของฟูหลงไม่ยอมปล่อย
'เด็กน้อยน่ารัก' ฟูหลงคิดแล้วเอื้อมมือไปแตะแก้มอาเหมยเบาๆ "ตกลงๆพี่จะพาเราไปด้วยก็ได้" เขาพูดด้วยสีหน้าที่ใจดีมากๆ
อาเหมยยิ้มร่า "มุ่งหน้าไปยังเมือง ปฎิบัติ" ฟูหลงควบม้าออกตัวไปอย่างเร็ว อาเหมยรีบควบม้าของตนตามไปติดๆ
------------
"ข้อหนึ่ง หญิงกับชายออกเดินทางด้วยกันสองคนมันจะไม่งาม ข้อสอง แม้เราจะเป็นพี่น้องกันแต่ระลึกไว้เสมอว่าไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ข้อสาม ถ้าแยกสองห้องมันจะเปลืองเงินน่าดู และข้อสุดท้าย ถ้าเกิดพี่เมาหรืออะไรก็ตามแล้วเกิดลวนลามเราขึ้นมาให้เอากระบองฟาดพี่ได้เลย จำไว้ให้ดีๆละ" ฟูหลงร่ายยาวจนลิงแทบหลับ แต่อาเหมยตั้งใจฟังแล้วพยักหน้าตามหงึกๆ
"เอาละ ทีนี้พี่จะไปหาเงินซักหน่อย แล้วห้ามออกไปเที่ยวเล่นละเจ้าน้องชาย" เมื่อฟูหลงพูดๆๆเสร็จก็เดินออกจากห้องปิดประตู ปัง!! อาเหมยที่อยู่ในชุดผู้ชายผูกผมแบบซาลาเปา1ลูกบนหัว(ไม่รู้จะเรียกว่าไร อิอิ)มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
'ตามไปดีกว่า' เมื่อคิดดังนั้นอาเหมยจึงค่อยๆเดินตามฟูหลงออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ หรือที่เรียกว่า สะกดรอยตาม
ฟูหลงเดินเข้าไปในตลาด เมืองนี้ไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไรนักแต่ก็มีผู้คนพลุกพล่านและค่อนข้างวุ่นวาย การจราจรก็แสนจะสับสนปนเป นี่เป็นเวลาเที่ยงวันพอดีอากาศกำลังร้อนได้ที่ อาเหมยวิ่งตามฟูหลงไปอย่างยากลำบาก เหงื่อกาฬไหลชุ่มแผ่นหลังไปหมด น่าแปลกที่วันๆหนึ่งวิ่งไปลำธารตั้งหลายกิโลเหงื่อยังไม่ออกเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ
'ปึ้ก' อาเหมย(ในชุดผู้ชาย)วิ่งไปชนหญิงคนหนึ่งเข้า เด็กสาวพูดขอโทษแบบไม่มีเสียง แล้วหันไปมองหาฟูหลง เขาเดินไปไกลมากแล้วเด็กสาวจึงรีบวิ่งตาม
'หมับ' ข้อมือของเธอถูกกระชากเอาไว้จนถึงกับเซ อาเหมยหันหลังไปมองคนที่จับมือเธอไว้ เป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เธอเดินชนเมื่อกี้นี่เอง
อาเหมยมองคนตรงหน้า ผมสีขาวโพลนแปลกประหลาดปล่อยยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวนวล คิ้วบางเรียบเฉียบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าทรงไข่ หน้าตาสะสวย เธอสูงกว่าอาเหมยราว10ซม.เห็นจะได้ ริมฝีปากสีซีดเม้มจนเป็นเส้นตรงก่อนจะเอ่ยคำออกมา
"ชนคนอื่นแล้วไม่พูดขอโทษมันเสียมารยาทมากนะ" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธอยังจับข้อมืออาเหมยไม่ปล่อยและอาจจะกลายเป็นบีบไปด้วยถ้าเด็กตรงหน้าไปพูดขอโทษภายใน1นาทีนี้
"ว่าไง" เธอพูดด้วยเสียงเหี้ยม ดวงตาเฉียบคมสีน้ำเงินเข้มจ้องเขม็งมาที่เธอ ตอนนี้อาเหมยชักจะเจ็บข้อมือซะแล้วแต่เธอไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าเกิดสู้กันแล้วหญิงสาวคนนี้บาดเจ็บมันจะไม่ใช่เรื่องดีแน่และเธอก็ผิดเองที่ไปชนเขาก่อน
"แค่ขอโทษ ปากหนักนักเหรอไง" หญิงสาวเริ่มตวาดแล้วชูมือขึ้นหมายจะตบอาเหมยด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เด็กสาวหลับตาแล้วยืนนิ่งโดยไม่คิดจะหลบแม้แต่น้อย
ภาพความทรงจำเก่าๆแล่นเข้ามาในสมอง
"แกมันไม่น่าเกิดมาเลย" ภาพของหญิงวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำเหมือนร้องไห้มาอย่างหนัก กำลังเอาไม้เรียวอันใหญ่ทุบตีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งอยู่
"แม่คะหนูเจ็บ" เด็กหญิงร้องไห้เพราะความเจ็บปวด แต่หญิงวัยกลางคนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับยิ่งตีแรงขึ้น ยิ่งเด็กหญิงร้องไห้หนักเท่าไรไม้เรียวที่ฟาดมาตามตัวก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น
"เจ้าเด็กบ้า ถ้าไม่มีแก ถ้าไม่มีแก..." หญิงวัยกลางคนพูดซ้ำไปซ้ำมาพร้อมด่าว่าเด็กหญิงเรื่องต่างๆที่เธอไม่รู้เรื่องเลยซักนิด เด็กหญิงหยุดสะอื้นแล้วยอมให้ไม้เรียวฟาดไปตามร่างกาย ถ้าทนได้ก็ต้องทน ถ้าทนไม่ได้ก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้น
ซักพักใหญ่ๆหญิงวัยกลางคนก็เดินออกไปจากที่นั่น เด็กหญิงปาดน้ำตาออกแล้วสำรวจแผลตามร่างกาย ก่อนจัดการหยิบกล่องพยาบาลมาทำแผล ความคิดบางอย่างก็ถูกฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกโดยที่เด็กหญิงไม่รู้ตัว
...คนที่ทำร้ายเราถ้าปล่อยให้เขาทุบตีซักพักเขาก็จะเลิกไปเอง ถ้ายิ่งเราขัดขืนก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น...
ไม่มีความรู้สึกเจ็บและเสียงของมือฟาดเข้าที่ใบหน้า อาเหมยลืมตาขึ้นดูอย่างประหลาดใจ
ฟูหลงจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะตบอาเหมย หญิงสาวพยายามแกะข้อมือของเธอออกจากฟูหลง "ปะ ปล่อย"
"ท่านก็ปล่อยมือของท่านออกจากน้องข้าก่อนสิ" ฟูหลงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแค่แฝงไปด้วยความโกรธนิดๆ ตั้งแต่เจอฟูหลงอาเหมยก็พึ่งเคยเห็นเขาโกรธก็คราวนี้แหละ หญิงสาวปล่อยมือเธอจากอาเหมยแล้วฟูหลงจึงปล่อยมือเธอบ้าง
"ทีนี้เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น" ฟูหลงถาม หญิงสาวผมสีขาวขมวดคิ้วก่อนจะพูด "ทำไมข้าต้องบอก ถามน้องท่านเองสิ"
"น้องข้าเป็นใบ้" ฟูหลงพูดพร้อมตีหน้าเฉยชา(ดำเย็น) อาเหมยเข้าไปหลบอยู่หลังฟูหลงโดยโผล่หน้ามานิดๆเหมือนหนูตัวน้อยที่กำลังจะถูกแมวกินจึงวิ่งไปหลบหลังสุนัขเพื่อขอความช่วยเหลือ
หญิงสาวหน้าแตกดังเพล้งๆๆ!! ก่อนจะหันหลังไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "งั้นข้าขอโทษละกัน ไปละ"
เธอร่ายมนต์บทหนึ่ง สายลมพัดแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหมุนคว้างรอบตัวหญิงสาว แล้วร่างกายของเธอก็อันตรธานหายไปในที่สุด
อาเหมยตาโต เธอพึ่งเคยเห็นมนต์ของธาตุอื่นๆเป็นครั้งแรก และที่สำคัญเธอยังร่ายมนต์ไม่เป็นเลยซักบทเดียวแล้วฟูหลงก็ยังไม่ยอมสอนให้อีกต่างหาก บอกว่า ให้เรียนรู้เอาเอง
"ว่าแต่เราน่ะ..." ฟูหลงทำสายตาเย็นชามาหาอาเหมย จนเด็กสาวสะดุ้งอย่างรับรู้ชะตากรรม "ออกมาข้างนอกทำไม พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่แต่ในห้องๆ พวกคนนิสัยไม่มีนะมีเยอะแยะนับไม่ถ้วน แล้วนี่ถ้าพี่มาไม่ทันจะเป็นยังไง เราก็โดนเขาตบแล้วใช่ไหม แล้วก็.. ฯลฯ"
ฟูหลงยืนอบรมน้องสาวกลางถนนเสียงดังแบบไม่อายใคร จนคนที่ขวักไขว่ไปมามองทั้งสองเป็นตาเดียว นอกจากคนถูกอบรมจะมีอาเหมยแล้ว คนที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมดก็ได้รับอานิสงค์แบบทั่วถึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งหมาแมวจนบางคนถึงกับปิดบ้านหนีเลยทีเดียว
"เฮ้อ~~~" เสียงถอนหายใจยาวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ฟูหลงควบม้าให้มันเดินช้าๆเนื่องจากเริ่มหมดอาลัยตายอยากในการเดินทางซะแล้ว เสียงเท้าของม้าเป็นดังนี้ กุบ กับ กุบ กับ ทำให้คนที่มองดูรู้สึกเบื่อไปด้วย
"เฮ้อออ~~~~~" เสียงถอนหายใจรอบที่11ของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลใจอย่างมาก ไหนจะเรื่องบ้าน เรื่องจุดหมายปลายทาง เรื่องห่วงอาเหมยอีก เด็กหนุ่มอยากจะหายตัวไปซะเหลือเกิน
กุบกับๆๆๆๆๆ เสียงม้าเร็วตัวหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา ฟูหลงรู้สึกแปลกใจ ด้านหลังเขาคือเขตภูเขาที่มีบ้านปลูกอยู่หลังเดียวคือบ้านเขาเอง ไม่มีใครมาจากที่นั่นแน่ๆนอกเสียจากคนในครอบครัวเขา รึว่า...
ความคิดของฟูหลงถูกต้อง ม้าสีดำราวกับนิลซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเร็วที่สุดในเมืองแห่งนี้ มีอยู่ตัวเดียวเท่านั้นคือบ้านเขา ร่างของเด็กสาวผมยาวสยายสีดำขลับดั่งราตรีกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยความเร็งสูงจนฝุ่นตลบอบอวล
เด็กสาวหยุดม้าเมื่อเห็นเขา ผิวขาวนวล ใบหน้ารูปไข่ ผมปล่อยยาวสีดำขลับตัดกับสีผิวปรกใบหน้าเล็กน้อย ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับนิล หน้าตาหวานน่ารัก เธอยิ้มให้เขาอย่างดีใจและซื่อบริสุทธิ์ที่สุด แม้จะไร้เสียงออกมาแต่ปากของเธอขยับเป็นคำพูด 'ฟูหลง'
"อาเหมย" ฟูหลงแทบไม่เชื่อสายตา เขาหยิกแก้มตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บ นี่ไม่ใช่ฝัน รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของฟูหลง เขากำลังหัวเราะ
"แล้ว..." ฟูหลงมองไปยังสัมภาระบนหลังม้าของอาเหมย "หึหึ นี่ตามพี่มาเหรอ"
อาเหมยพยักหน้าหงึกๆ ฟูหลงตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง แล้วขยี้หัวเด็กสาว "มันอันตรายกลับบ้านไปซะไป"
ใจจริงอยากจะขอร้องให้ไปด้วยกันแต่ไอ้ปากเจ้ากรรมดันพูดออกไปอย่างนั้น อาเหมยส่ายหน้าแล้วส่งสายตามุ่งมั่นพร้อมกับจับเสื้อของฟูหลงไม่ยอมปล่อย
'เด็กน้อยน่ารัก' ฟูหลงคิดแล้วเอื้อมมือไปแตะแก้มอาเหมยเบาๆ "ตกลงๆพี่จะพาเราไปด้วยก็ได้" เขาพูดด้วยสีหน้าที่ใจดีมากๆ
อาเหมยยิ้มร่า "มุ่งหน้าไปยังเมือง ปฎิบัติ" ฟูหลงควบม้าออกตัวไปอย่างเร็ว อาเหมยรีบควบม้าของตนตามไปติดๆ
------------
"ข้อหนึ่ง หญิงกับชายออกเดินทางด้วยกันสองคนมันจะไม่งาม ข้อสอง แม้เราจะเป็นพี่น้องกันแต่ระลึกไว้เสมอว่าไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ข้อสาม ถ้าแยกสองห้องมันจะเปลืองเงินน่าดู และข้อสุดท้าย ถ้าเกิดพี่เมาหรืออะไรก็ตามแล้วเกิดลวนลามเราขึ้นมาให้เอากระบองฟาดพี่ได้เลย จำไว้ให้ดีๆละ" ฟูหลงร่ายยาวจนลิงแทบหลับ แต่อาเหมยตั้งใจฟังแล้วพยักหน้าตามหงึกๆ
"เอาละ ทีนี้พี่จะไปหาเงินซักหน่อย แล้วห้ามออกไปเที่ยวเล่นละเจ้าน้องชาย" เมื่อฟูหลงพูดๆๆเสร็จก็เดินออกจากห้องปิดประตู ปัง!! อาเหมยที่อยู่ในชุดผู้ชายผูกผมแบบซาลาเปา1ลูกบนหัว(ไม่รู้จะเรียกว่าไร อิอิ)มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
'ตามไปดีกว่า' เมื่อคิดดังนั้นอาเหมยจึงค่อยๆเดินตามฟูหลงออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ หรือที่เรียกว่า สะกดรอยตาม
ฟูหลงเดินเข้าไปในตลาด เมืองนี้ไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไรนักแต่ก็มีผู้คนพลุกพล่านและค่อนข้างวุ่นวาย การจราจรก็แสนจะสับสนปนเป นี่เป็นเวลาเที่ยงวันพอดีอากาศกำลังร้อนได้ที่ อาเหมยวิ่งตามฟูหลงไปอย่างยากลำบาก เหงื่อกาฬไหลชุ่มแผ่นหลังไปหมด น่าแปลกที่วันๆหนึ่งวิ่งไปลำธารตั้งหลายกิโลเหงื่อยังไม่ออกเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ
'ปึ้ก' อาเหมย(ในชุดผู้ชาย)วิ่งไปชนหญิงคนหนึ่งเข้า เด็กสาวพูดขอโทษแบบไม่มีเสียง แล้วหันไปมองหาฟูหลง เขาเดินไปไกลมากแล้วเด็กสาวจึงรีบวิ่งตาม
'หมับ' ข้อมือของเธอถูกกระชากเอาไว้จนถึงกับเซ อาเหมยหันหลังไปมองคนที่จับมือเธอไว้ เป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เธอเดินชนเมื่อกี้นี่เอง
อาเหมยมองคนตรงหน้า ผมสีขาวโพลนแปลกประหลาดปล่อยยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวนวล คิ้วบางเรียบเฉียบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าทรงไข่ หน้าตาสะสวย เธอสูงกว่าอาเหมยราว10ซม.เห็นจะได้ ริมฝีปากสีซีดเม้มจนเป็นเส้นตรงก่อนจะเอ่ยคำออกมา
"ชนคนอื่นแล้วไม่พูดขอโทษมันเสียมารยาทมากนะ" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธอยังจับข้อมืออาเหมยไม่ปล่อยและอาจจะกลายเป็นบีบไปด้วยถ้าเด็กตรงหน้าไปพูดขอโทษภายใน1นาทีนี้
"ว่าไง" เธอพูดด้วยเสียงเหี้ยม ดวงตาเฉียบคมสีน้ำเงินเข้มจ้องเขม็งมาที่เธอ ตอนนี้อาเหมยชักจะเจ็บข้อมือซะแล้วแต่เธอไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าเกิดสู้กันแล้วหญิงสาวคนนี้บาดเจ็บมันจะไม่ใช่เรื่องดีแน่และเธอก็ผิดเองที่ไปชนเขาก่อน
"แค่ขอโทษ ปากหนักนักเหรอไง" หญิงสาวเริ่มตวาดแล้วชูมือขึ้นหมายจะตบอาเหมยด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เด็กสาวหลับตาแล้วยืนนิ่งโดยไม่คิดจะหลบแม้แต่น้อย
ภาพความทรงจำเก่าๆแล่นเข้ามาในสมอง
"แกมันไม่น่าเกิดมาเลย" ภาพของหญิงวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำเหมือนร้องไห้มาอย่างหนัก กำลังเอาไม้เรียวอันใหญ่ทุบตีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งอยู่
"แม่คะหนูเจ็บ" เด็กหญิงร้องไห้เพราะความเจ็บปวด แต่หญิงวัยกลางคนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับยิ่งตีแรงขึ้น ยิ่งเด็กหญิงร้องไห้หนักเท่าไรไม้เรียวที่ฟาดมาตามตัวก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น
"เจ้าเด็กบ้า ถ้าไม่มีแก ถ้าไม่มีแก..." หญิงวัยกลางคนพูดซ้ำไปซ้ำมาพร้อมด่าว่าเด็กหญิงเรื่องต่างๆที่เธอไม่รู้เรื่องเลยซักนิด เด็กหญิงหยุดสะอื้นแล้วยอมให้ไม้เรียวฟาดไปตามร่างกาย ถ้าทนได้ก็ต้องทน ถ้าทนไม่ได้ก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้น
ซักพักใหญ่ๆหญิงวัยกลางคนก็เดินออกไปจากที่นั่น เด็กหญิงปาดน้ำตาออกแล้วสำรวจแผลตามร่างกาย ก่อนจัดการหยิบกล่องพยาบาลมาทำแผล ความคิดบางอย่างก็ถูกฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกโดยที่เด็กหญิงไม่รู้ตัว
...คนที่ทำร้ายเราถ้าปล่อยให้เขาทุบตีซักพักเขาก็จะเลิกไปเอง ถ้ายิ่งเราขัดขืนก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น...
ไม่มีความรู้สึกเจ็บและเสียงของมือฟาดเข้าที่ใบหน้า อาเหมยลืมตาขึ้นดูอย่างประหลาดใจ
ฟูหลงจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะตบอาเหมย หญิงสาวพยายามแกะข้อมือของเธอออกจากฟูหลง "ปะ ปล่อย"
"ท่านก็ปล่อยมือของท่านออกจากน้องข้าก่อนสิ" ฟูหลงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแค่แฝงไปด้วยความโกรธนิดๆ ตั้งแต่เจอฟูหลงอาเหมยก็พึ่งเคยเห็นเขาโกรธก็คราวนี้แหละ หญิงสาวปล่อยมือเธอจากอาเหมยแล้วฟูหลงจึงปล่อยมือเธอบ้าง
"ทีนี้เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น" ฟูหลงถาม หญิงสาวผมสีขาวขมวดคิ้วก่อนจะพูด "ทำไมข้าต้องบอก ถามน้องท่านเองสิ"
"น้องข้าเป็นใบ้" ฟูหลงพูดพร้อมตีหน้าเฉยชา(ดำเย็น) อาเหมยเข้าไปหลบอยู่หลังฟูหลงโดยโผล่หน้ามานิดๆเหมือนหนูตัวน้อยที่กำลังจะถูกแมวกินจึงวิ่งไปหลบหลังสุนัขเพื่อขอความช่วยเหลือ
หญิงสาวหน้าแตกดังเพล้งๆๆ!! ก่อนจะหันหลังไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "งั้นข้าขอโทษละกัน ไปละ"
เธอร่ายมนต์บทหนึ่ง สายลมพัดแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหมุนคว้างรอบตัวหญิงสาว แล้วร่างกายของเธอก็อันตรธานหายไปในที่สุด
อาเหมยตาโต เธอพึ่งเคยเห็นมนต์ของธาตุอื่นๆเป็นครั้งแรก และที่สำคัญเธอยังร่ายมนต์ไม่เป็นเลยซักบทเดียวแล้วฟูหลงก็ยังไม่ยอมสอนให้อีกต่างหาก บอกว่า ให้เรียนรู้เอาเอง
"ว่าแต่เราน่ะ..." ฟูหลงทำสายตาเย็นชามาหาอาเหมย จนเด็กสาวสะดุ้งอย่างรับรู้ชะตากรรม "ออกมาข้างนอกทำไม พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่แต่ในห้องๆ พวกคนนิสัยไม่มีนะมีเยอะแยะนับไม่ถ้วน แล้วนี่ถ้าพี่มาไม่ทันจะเป็นยังไง เราก็โดนเขาตบแล้วใช่ไหม แล้วก็.. ฯลฯ"
ฟูหลงยืนอบรมน้องสาวกลางถนนเสียงดังแบบไม่อายใคร จนคนที่ขวักไขว่ไปมามองทั้งสองเป็นตาเดียว นอกจากคนถูกอบรมจะมีอาเหมยแล้ว คนที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมดก็ได้รับอานิสงค์แบบทั่วถึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งหมาแมวจนบางคนถึงกับปิดบ้านหนีเลยทีเดียว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น