ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "KITOMIYA JUN" [คิโตมิยะ จุน กับถนนบนเสียงดนตรี]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่1 : คิโตมิยะ จุน(100%)

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 52


                ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

     

              ตัวเมืองดูทันสมัยและก้าวหน้าไปเสียทุกอย่าง ที่นี่คลาคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่เดินขวักไขว่ไปมาบนถนนคอนกรีตที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเมือง ใครจะเชื่อละว่า มหานครโตเกียวแห่งประเทศญี่ปุ่น จะมีผู้คนเดินเบียดเสียดแออัดยัดเยียดจนแทบจะเหยีบกันตายอย่างนี้

     

                  ภาพเหตุการณ์เดิมๆถูกฉายซ้ำไปซ้ำมา อยู่ทุกๆวัน...

     

                  ทุกคนดูรีบร้อนกับไปหมด หันไปทางนั้นก็เจอชายวัยกลางคนเดินหอบกระเป๋าคอมพิวเตอร์พร้อมกับเอียงคอคุยโทรศัพท์ไปด้วยในขณะที่ย่างเท้ายังคงเดินไม่หยุด หันไปอีกทางก็เจอเด็กวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งเดินอ่านตำราเรียนกันอย่างขมักเขม่น ไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะหยุดเพื่อแวะคุยกับใครเท่าไหร่นัก เพราะสังคมที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายสับสน มันทำให้ทุกคนจำเป็นที่จะต้องบริหารเวลาในแต่ละวัน เพื่อทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ทุกคนจะมัวมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระไม่ได้

     

                 แต่ถึงกระนั้น... หลายคนก็ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุข แม้จะมีคนบางส่วนที่กำลังลำบากทุกข์ยาก แต่ใครจะสนล่ะ ท่ามกลางสังคมที่มีแต่การแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกัน คงไม่มีใครใจดีถึงขนาดไปนั่งคิดถึงเรื่องของคนอื่นในเวลาแบบนี้ ฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่นั่นเป็นความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ เนื่องจากว่าค่าครองชีพที่นี่สูงมากจนน่าตกใจ คงไม่แปลกที่จะมีข่าวของคนที่ฆ่าตัวตายเพราะหนี้สินที่เอ่อล้นอยู่เต็มมือ คนที่ผ่านพ้นมันไปได้ ก็จะก้าวข้ามความลำบากได้ในอีกระดับ แต่ถ้าไม่... ก็สุดแต่ว่าจะลิขิตชีวิตของตัวเองอย่างไร

     

                   และนี่ก็เป็นหนึ่งในสังคมปกติของประเทศที่แห่งความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ที่หลายๆประเทศ จับตามองและเห็นเป็นประเทศที่สุขสบาย การเงินหมุนเวียน ทุกอย่างดูเพอร์เฟค แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าเหล่านั้น ทำให้คนที่ไม่สามารถไล่ตามความทันสมัยของเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ทัน ต้องถูกกีดกันออกไปอย่างไม่มีทางเลือก...

     

                  บนถนนเส้นเดียวกับที่ทุกคนกำลังเดินไปเดินมากันอยู่นั้น ก็มีเด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินปะปนอยู่กับผู้คนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เธอไม่ได้มีท่าทางแปลกประหลาดไปจากผู้คนเหล่านั้นนักหรอก และถ้าถามว่าเธอมีอะไรน่าสนใจ... เธอก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่ากลุ่มคนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ นอกเสียจากหน้าตาระรื่นกับการเดินฮัมเพลงด้วยท่าทางสบายอกสบายใจอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นกัน

     

                  เธอสวมเฮดโฟนเอาไว้ที่หู ซึ่งมันได้ถูกต่อเข้ากับเอมพีสามเป็นที่เรียบร้อย เด็กสาวเดินผิวปากเบาๆ ตามทำนองของเพลงที่ฟัง พลางสอดส่องสายตามองไปรอบๆ ตัวเหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร

     

                   ผมสีดำยาวถึงกลางหลังถูกสไลด์ให้เป็นปลายแหลมโดยมีหมวกแก็ปทำจาผ้าสีดำสวมทับอยู่ ร่างเล็กเดินไปตามทางข้างหน้าโดยสะพายกระเป๋ากีต้าร์ที่แทบจะใหญ่กว่าตัวเอาไว้บนหลัง ดวงตาคู่สีดำโตเป็นประกายบวกกับใบหน้ากลมๆรูปไข่ดูน่ารัก ทำให้เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าตาดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

     

                  เธออยู่ในชุดเสื้อโค๊ตแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงยีน รองเท้าเป็นรองเท้าหนังสีดำ ดูไม่ค่อยเหมือนการแต่งกายของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเท่าไหร่นัก แน่ล่ะ... เธอไม่เข้าใจรสนิยมของเด็กในวัยเดียวกันที่จำเป็นจะต้องใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อรัดรูปโชว์สัดส่วนของตัวเอง เธอชอบใส่เสื้อผ้าลักษณะที่คนรอบข้างมักเดินมาถามว่า เธอเป็นเด็กผู้หญิงใช่ไหม?’ และคำตอบก็คือใช่

     

                  เด็กสาวเดินเลี้ยวเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งที่มีป้ายติดอยู่ด้านหน้าอย่างชัดเจนว่า มีห้องให้เช่าเมื่อเธอเดินเข้ามาถึงหน้าเค้าท์เตอร์ เธอก็หยุดอยู่ตรงนั้นเพื่อมองคุณลุงพนักงานต้อนรับที่นั่นซึ่งกำลังนั่งสัปงกจนหัวเกือบโขกกับโต๊ะ ดีที่สามารถดึงตัวขึ้นได้ทัน เด็กสาวกระแอมเบาๆเป็นเชิงเรียก คนตรงหน้าสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเธออย่างอัตโนมัต ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

                    ปัดโธ่ จุน อย่าทำให้ตกใจสิ เวลางีบกลางวันของลุงนะคุณลุงที่เค้าท์เตอร์เอ่ยแซว เธอยักใหลพลางเลิกคิ้วขึ้นประมาณว่า ใครสนล่ะ?’

     

                           ประธานโทษค่ะที่มาขัดจังหวะ แต่หนูขอกุญแจห้องหนูหน่อยเธอตอบไปด้วยน้ำเสียงติดจะกวนๆนิดๆ แต่ดูคนตรงหน้าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ คุณลุงยิ้มขำๆ แล้วเปิดเก๊ะไม้เก่าๆ ตัวนั้นเพื่อหยิบบางอย่างออกมาแล้วส่งให้เธอ

     

                        เธอรับมันมาแล้วตรวจสอบมันเล็กน้อย มันเป็นกุญแกห้องหมายเลข 204 ห้องของเธอเอง เธอเอามันใส่เขาไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ตก่อนจะทำท่าจะเดินจากไปแต่ก็ต้องหยุดและเดินกลับมาอีกครั้ง

     

                        เออใช่ ซึกิชิโระซัง วันนี้หนู...เด็กสาวยังเอ่ยไม่ทันจะจบ ก็ถูกขัดคอด้วยคำพูดของอีกฝ่ายเสียก่อน

     

                        เรียกคันดะสิ บอกกี่หนแล้ว หืม?”คุณลงย้ำ เด็กสาวกรอกสายตาไปมาอย่างเอือมระอา ก่อนจะตั้งท่าพูดใหม่อีกครั้ง

     

                         คันดะซัง วันนี้หนูกลับดึกหน่อย ไม่ต้องรอนะคะเธอว่า

     

                         จะไปไหนอีกล่ะเราคุณลุงถามต่อ

     

                         ก็เหมือนเดิมแหละเธอตอบไปสั้นๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแผ่นมันฝรั่งที่อยู่อีกฝากของโต๊ะมากินโดนไม่ขออนุญาต ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกเช่นกัน

     

                         เอาอีกละ ที่เก่าเพิ่งโดนเขาไล่ออกมา แล้วนี่จะไปนั่งเล่นที่ไหนอีกล่ะคุณลุงถามอีก

     

                         หนูมีที่ดีๆของหนูแล้วกันน่า ไปนะคะเธอว่าพลางหันหลังเดินไปที่บันได

     

                          คุณลุงมองตามร่างของเด็กสาววัยสิบแปดปีที่ค่อยๆ เดินหายขึ้นไปบนบันไดด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วกลับมาสนใจในการงีบต่อ...

     

                       แอ๊ดดดดด

     

                      ประตูห้องถูกเปิดออกช้าๆ ตามมาด้วยร่างของเด็กสาวที่ค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้ามาข้างในห้องนั้น เธอค่อยๆ วางกระเป๋ากีต้าร์ไว้ที่มุมห้องอย่างเบามือ และกระโจนขึ้นไปนอนบนเตียงทันที

     

                         ที่นี่คือห้องเช่าที่เธอเคยเช่าเอาไว้ตั้งแต่สองปีกลาย จนบัดนี้เธอก็ยังคงปลักหลักอยู่ที่นี่โดยไม่คิดจะย้ายไปไหน ลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมธรรมดาไม่มีลูกเล่นอะไรเป็นพิเศษ เตียงเป็นเตียงสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นที่นอนของเธอ ส่วนอีกชั้นนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีไว้ทำไม จึงปล่อยเอาไว้แบบนั้นโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์

     

           ...เฮ้ออออ เหนื่อยเป็นบ้าเลย ใครนะมันเป็นคนต้นคิดถนนแคบๆ ในเมืองที่มีคนชุกชุมแบบนี้ อึดอัดจะแย่...

     

                      คิโตมิยะ จุน สบถในใจ ก่อนจะค่อยๆถอดหมวกบนหัวออกแล้วโยนมันขึ้นไปไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ที่เต็มไปด้วยหนังสือดนตรีกองอยู่เต็มไปหมด

     

                     ไม่ใช่แค่บนโต๊ะ แต่เกือบจะทุกที่ในห้อง อาทิเช่นโปสเตอร์รูปศิลปินต่างๆ ที่ไม่ว่าเธอจะได้มาจากไหนขอให้มันเกี่ยวกับดนตรี เธอก็จับมันมาติดที่ผนังหมด จนห้องของเธอแทบจะมองไม่เห็นวอลเปเปอร์หลายดอกกุหลาบข้างหลังเลยด้วยซ้ำ ถัดจากประตูห้องไปทางซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้าที่ถ้าเปิดออกมาจะพบว่ากระจกข้างในเต็มไปด้วยรูปกีต้าร์ไม่ว่าจะรุ่นไหนทรงไหน และที่ขาดไม่ได้ อยู่ตรงปลายเตียงเธอนี่เอง... กีต้าร์ไล่ตั้งแต่ โฟล็ค โปร่ง   คลาสสิก จนไปถึงกีต้าร์ไฟฟ้า ใครจะเชื่อว่านี่คือห้องนอนของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูจากภายนอกเป็นคนเงียบๆ แต่ก็เถอะ คนเรามันดูจากภายนอกได้ที่ไหน...

     

                     ...กี่โมงแล้วนะ...

     

                    เธอถามตัวเองในใจ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปดูนาฬิกาเรือนโปรดลายกีต้าร์ที่อยู่บนหัวเตียง ก่อนจะหันกลับมาทางเดิมอีกครั้ง

     

                    ...เพิ่งบ่ายสองเหรอ? งีบก่อนดีกว่า ทุ่มสองทุ่มค่อยออกไป...

     

                     ว่าแล้วก็ยันตัวให้ลุกขึ้น ก่อนจะถอดเสื้อโค๊ดแขนยาวตัวใหญ่เกะกะออกเพื่อให้สะดวกแก่การนอน เหลือไว้เพียงเสือแขนสามส่วนสีดำลายตัวโน๊ต จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ดที่เพิ่งถอด หยิบมือถือขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ที่เวลาสองทุ่ม แล้วเอนกายลงนอน โดยไม่สนใจอะไรอีก...

     

                 ตื่นเถอะไอ้เด็กเวร จะนอนกินตึกฉันไปถึงไหน

                  ตื่นเถอะไอ้เด็กเวร จะนอนกินตึกฉันไปถึงไหน

                      ตื่นเถอะไอ้เด็กเวร จะนอนกิจตึกฉันไปถึงไหน

     

                     เสียงของลุงเจ้าของห้องเช่า ที่ดังมาจากโทรศัทพ์มือถือเครื่องสีขาวซึ่งวางอยู่ข้างหัวของเด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนเตียง เธอไหวตัวเล็กน้อยก่อนพลิกตัวกลับมาเพื่อคลำหามือถือของเธอ และเมื่อเจอแล้วก็กดปุ่มเพื่อปิดเสียงนาฬิกาปลุกอันแสนน่าพิศรมณ์ที่เธอบรรจงไปอัดมาจากปากของคันดะซังเพื่อเอามาทำเป็นเสียงนาฬิกาปลุกโดยเฉพาะ

     

                     มือถือถูกกำเอาไว้ในมือ เด็กสาวค่อยๆ ปรือนัยน์ตาขึ้นช้าๆ แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่บัดนี้มืดสนิท เธอค่อยๆ ยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ ก่อนจะแหงนหน้ามองนาฬิกาลายกีต้าร์เรือนเดิมที่ยังคงแขวนอยู่เหนือหัวเตียงดังเช่นทุกครั้ง

     

                     ...สองทุ่มแล้วเหรอ...

     

                     เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบหวีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสางผมตัวเองอย่างลวกๆ พอเป็นพิธี แล้วเดินกลับมาหยิบเสื้อโค๊ดตัวเดิมที่เพิ่งถอดออกไปเมื่อก่อนจะนอน มาสวมอีกครั้ง

     

                     ...ออกไปเลยดีมั้ยนะ...

     

                      เธอถามตัวเองในใจ ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างห้องของเธอและค่อยๆ เปิดมันออกช้าๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจอีกเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็ใช้แขนเท้าขอบหน้าต่างแล้วยื่นหน้าออกไปข้างนอกนั้นเพื่อสูดเอาอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามา

     

                      เฮ้อออออเธอถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปตามถนน ที่มีรถผ่านไปมาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน และแล้วเสียงโห่ร้องของแก๊งวัยรุ่นที่มักมาขับมอร์เตอร์ไซด์กวนประสาทเธอตอนจะนอนอยู่แถวๆนี้ทุกวันก็ดังขึ้นมา เธอหันหน้าไปมองพวกนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พวกนั้นผิวปากมาทางเธอแล้วทำเสียงเจ๊าะแจ๊ะกันเองอยู่ในกลุ่ม เธอมองคนพวกนั้นด้วยสายตาเบื่อหน่าย

     

                          เฮ้ แม่สาว เลิกเล่นกีต้าร์แล้วมาเข้าแก๊งกับเราสิ ว่างเสมอหนึ่งในพวกนั้นตะโกนขึ้นมาหาเธอถึงชั้นสามโดยไม่คิดจะเกรงใจใครแถวนั้นเลยสักนิด เธอกรอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์

     

                       ถ้าพวกนายมีเวลาว่างมากนักละก็ เอาเวลาไปเรียนหนังสือเหอะเธอตะโกนด่ากลับไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะตัดสินใจดึงตัวกลับเข้ามาในห้องแล้วปิดหน้าต่างลงเหมือนเก่า

     

                      ...ให้ตายสิพวกนี้ เสียบรรยากาศหมด...

     

                      เธอสบถด่าในใจ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋ากีต้าร์ขึ้นมาสะพาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป...

     

                   ตึก ตึก ตึก

     

                  ร้องเท้ากระทบกับบันไดทำให้เกิดเสียงเล็กน้อย ตามมาด้วยร่างของเด็กสาวที่มาพร้อมกับกระเป๋ากีต้าร์ที่สะพายอยู่บนหลัง ดังเช่นทุกครั้ง

     

                      คิโตมิยะ จุน ค่อยๆ เดินลงมาจากบันไดช้าๆ และเมื่อเท้าเก้าลงจากบันไดขั้นสุดท้าย เธอก็เดินมาที่เค้าท์เตอร์ เพื่อมาหาคันดะซังซึ่งกำลังหลับอยู่เหมือนทุกที เธอชะเง้อหน้าไปมองหน้าเขาก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

     

                      ...ทั้งชีวิตทำอยู่อย่างเดียวนะ ตาลุงขี้เซา...

     

                      สบถด่าในใจ ก่อนจะค่อยๆ เดินอ้อมไปหาคันดะซังที่เก้าอี้ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ๆ หู แล้วทำท่าจะพูดอะไร แต่...

     

                     ครอกกกก เสียงกรนจากคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องดังขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่โชยมาแตะที่จมูกของเด็กสาว เล่นเอาคนที่ยังไม่ได้ตั้งตัวอย่างเธอ นึกอยากจะกรอกน้ำยาล้างห้องน้ำใส่ปากตาแก่ตรงหน้านี่จริงๆ

     

                      ...ฟันนี่แปรงบ้างหรือเปล่าเนี่ย!!...

     

                     ตาลุงขี้เซา ตื่นได้แล้ว!!!” เธอตะโกนใส่หูคนหลับเสียงดัง จนคนขี้เซาถึงกับสะดุ้งโหยง

     

                    คันดะซังเด้งตัวขึ้นมาจนหลังกระแทกกับพนักพิง และทำท่าจะหง่ายหลังลงไปแล้ว ถ้าไม่ได้มือของเด็กสาวข้างหลังที่พยุงเอาไว้และผลักกลับมาทางเดิม จุนหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ ในขณะที่คันดะซังขมวดคิ้วมุ่น จ้องมาทางเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

     

                    ไอ้เด็กเวร! กล้าดียังไงมารบกวนเวลานอนฉัน หา!”คันดะซังตวาดกลับอย่างหัวเสีย แต่ถึงกระนั้น จุนก็ยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีทีท่าเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

     

                     ก็... ก็ลุง ฮะๆๆจุนเอ่ยไปหัวเราะไปจนน้ำตาแทบเล็ด คันดะซังเท้าเอวอย่างขัดใจ พลางมองมาที่เด็กสาวด้วยแววตาหาเรื่อง ฮะๆๆ ถ้าเมื่อกี้หนูไม่จับไว้ก็ดีหรอก ฮ่าๆๆ อุ๊บ... คิกๆคนขำยังคงขำไม่หยุด ทำให้คนถูกขำชักรำคาณ คันดะซังส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับเด็กสาว

     

                      แล้วปลุกเนี่ย มีอะไร?” คันดะซังถาม

     

                      ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าหนูไปแล้วนะ แล้วก็ลุงขึ้นห้องไปได้แล้ว บอกไปแล้วนี่ว่าวันนี้กลับดึก ไม่ต้องรอจุนว่าพลางทำหน้าทะเล้น คันดะซังถอนหายใจเฮือก

     

                      ...ปลุกมาแค่เนี๊ยะ? เสียเวลานอนหมด...

     

                     คิดในใจอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะทำท่าจะนอนต่อ แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงของเด็กสาวคนเก่า ที่อยู่ๆก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาคนแก่หัวใจจะวายตาย

     

                      เอ้อ! ใช่จุนโพล่งขึ้นมา พลางแสยะยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม คันดะซักกระดกหัวขึ้นมาดูคล้ายหมา เล่นเอาจุนแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ ก่อนที่ลุงแกจะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เป็นเชิงว่า มีอะไรอีก? ลุงคะ ขอบคุณสำหรับเสียงปลุกนะ ประสิทธิภาพดีมาก หนูไม่เคยหลับได้ลงเลยเวลาได้ยินเสียงนี้น้ำคำเล่นเอาคนจะหลับถึงกับหลับไม่ลง ว่าจะงอหัวขึ้นมาด่าต่อแต่ไอ้เด็กตรงหน้ามันกลับวิ่งหายไปเร็วอย่างกับติดเทอร์โบ

     

                       ...ได้ทีกัดไม่เลี้ยง ไอ้เด็กนี่มันน่านัก! มันเด็กผู้หญิงหรือเปล่าวะเนี่ย!!!...

     

                          คิโตมิยะ จุน สาวเท้าเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนเส้นเก่า ที่บัดนี้ ประดับประดาไปด้วยดวงไฟห้อยระโยงรยางค์ เพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นตอนกลางคืน ที่นี่อย่างเหมือนตอนกลางวันไม่ผิดไม่เพี้ยนหากแต่มีคนน้อยกว่าอยู่มาก เธอสอดส่องสายตามองไปรอบๆ เมืองอย่างเพลินตา ก่อนจะไปสะดุดตาเข้ากับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ดินแบกเครื่องดนตรีมากันยกแก๊ง

     

                      พวกเขาเป็นเด็กผู้ชายสี่คน รุ่นราวคราวเดียวกับเธอเนี่ยแหละ คนหนึ่งแบกเบส อีกคนเป็นกีต้าร์ไฟฟ้า ถัดไปคิดว่าเป็นกีต้าร์โปร่ง และอีกคนที่ไม่ได้แบกอะไร แต่เดินตวัดไม้กลองไปมาด้วยทีท่าหยิงยโสน่าเตะแต่แค่เห็นเป็นนักดนตรีด้วยกันเธอก็นึกอยากจะเดินเข้าไปทักทาย...เพียงแต่เธอไม่รู้จักพวกเขา

     

                      กลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านั้น เดินมาในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเธอ และก่อนที่พวกเขาจะเดินสวนเธอไปนั้น ผู้ชายที่ยอมผมเป็นทองหนึ่งในกลุมผู้ชายเหล่านั้นก็เอ่ยทักขึ้นมา

     

                      เฮ้! หวัดดีสาวน้อย เล่นดนตรีเหมือนกันนี่ ทำไมไม่ไปที่คลับหลังเมืองโน่นล่ะน้ำคำที่เล่นเอาเธอชะงักกึก เธอหยุดเดินแล้วหันไปทางเขาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อแลเห็นสภาพของคนอยู่ๆ ก็ทักเธอเมื่อครู่

     

                    เขาเป็นผู้ชายที่ย้อมหัวได้สีอัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเคยเจอมาเพราะมันออกทองจนแทบจะเรืองแสงได้ในความมืดด้วยซ้ำ ส่วนมือข้างหนึ่งก็กระเตงกีต้าร์เบสเอาไว้โดยไม่คิดจะหากระเป๋าใส่ ราวกับกลัวว่ามันจะไม่มีรอยขูดขีดอย่างไงอย่างงั้น เธอกลืนนำลายลงไปเอื๊อกหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามกลับไป

     

                      หมายความว่าไง?”เธอว่า คราวนี้ผู้ชายหัวทองนั่นก็หยุดเดินพร้อมๆ หันกลับมาหาเธอ และเหมือนกับว่านายนั่นจะมีรัศมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง ทำให้เมื่อหยุดแล้ว กลุ่มทั้งกลุ่มนั้นหยุดเดินอย่างอัตโนมัต

     

                      ก็คลับที่เพิ่งเปิดใหม่ข้างหลังเมืองนั่น เขาจะจัดงานเปิดร้านพรุ่งนี้แล้วเขาเปิดรับสมัครนักดนตรีเพื่อจะโชว์ในงาน จะไม่ไปลงทะเบียนหน่อยเหรอ เห็นเธอก็แบกกีต้าร์เขาว่า พลางมองมาที่กี่ต้าร์ของเธอ

     

                      งั้นเหรอ...เธอทำสีหน้าครุ่นคิด แต่วันนี้ฉันว่าจะไปเล่นที่อื่นคงไม่ไปหรอก ขอบใจนะที่บอกเธอว่าก่อนจะทำท่าจะหันเดินจากไป ก่อนจะต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มคนเดิมที่ดังตามมา

     

                      เฮ้! ไปสมัครพรุ่งนี้ก็ยังทัน แต่จะได้คิวหลังๆ แค่นั้นแหละ ไปคิดดูแล้วกันนะนายนั่นยังคงสาธยายต่อ ราวกับว่าอยากให้เธอไปนักหนา จุนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหันกลับไป

     

                      เออ ได้ ไว้ฉันจะเอากลับไปคิด ขอตัวนะเธอตอบกลับไปอย่างขอไปที แล้วจ้ำเดินจากไปทันที ทิ้งเด็กหนุ่มคนเดิมให้มองตามร่างของเธอที่ค่อยๆ เดินหายไปด้วยสายตางุนงง ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ

     

                        เธอเดินจากไปแล้ว แต่เด็กผู้ชายคนเก่ายังคงยืนอยู่ที่เดิม จนเพื่อนๆ เริ่มหันมาเหล่หางตาใส่

     

                      อะไรของนาย คายะผู้ชายคนที่ถือเบสถามขึ้น

     

                      เฮ้อ ผู้หญิงอะไรไม่น่ารักเลย กะจีบสักหน่อยคายะเอ่ยพลางเกาหัว

     

                      อ้อ ถ้าแบบเมื่อกี้นี้เรียกว่าจีบ นายคงจะต้องอยู่โสดตลอดชาติผู้ชายผมดำใส่แว่นทรงสี่เหลี่ยมคนข้างๆ ที่ถือกีต้าร์โปร่งเอ่ยแซวขึ้นมา ว่าแต่ ยัยคนเมื่อกี้มีอะไรน่าสนใจ อยู่ๆ ก็เดินไปทัก ฟังดูเหมือนไม่ใช่นายว่ะ คายะ

     

                     เจ้าของชื่อส่ายหัว แล้วชู้นิ้วชี้ขึ้นก่อนจะแกว่งไปมา

     

                      ก็ยัยนั่นเล่นกีต้าร์เก่งอย่าบอกใคร แถมเสียงดีจะบ้า นายไม่อยากได้เข้าวงหรือไงคายะเอ่ย ก่อนจะหันหลังกลับไปทางเดิม และเดินนำเพื่อนๆ ไป ไปเหอะ จะได้คว้าคิวแรกๆเอาไว้

     

                      เฮ้ย อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องเดะ ไอ้ที่ว่าเก่งน่ะเก่งแค่ไหนผู้ชายคนที่ใส่แว่นคนเก่า ยังคงเซ้าซี้ไม่เลิก

     

                      ก็เก่งเกินเด็กผู้หญิงคายะว่า

     

                      แล้วไปรู้จักได้ยังไงเด็กหนุ่มอีกคนที่ดูเป็นคนเงียบขรึมซึ่งเดินควงไม้กลองอยู่ริมขวาสุดเอ่ยถาม

     

                      ฉันเจอเล่นอยู่ข้างทาง คนมุมดูเพียบคายะว่า ถ้าได้เธอมาเข้าวง มีหวังวงเราคงได้อัฟระดับอีกมากโข เขาว่าไปเดินไป ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ยิ่งมองก็ยิ่งงง ก่อนคนที่ย้อมผมเป็นไฮไลท์สีน้ำเงินซึ่งดูหน้าเด็กที่สุดในวงจะเอ่ยขึ้นมาบ้าง

     

                       ถ้าอยากได้นัก ก็ไปชวนแม่นั่นเข้าวงมา ไม่เห็นยากอะไร นายเป็นที่หมายปองของสาวๆ อยู่แล้วนี่

     

                       น้ำคำที่เล่นเอาคนถูกหาว่า เป็นที่หมายบอกของสาวๆขมวดคิ้วมุ่น

                       นายก็พูดไปเหอะ ยู แต่ดูท่าทางนั้นเค้าจะยังไม่สนใจเราเลยนะคายะว่าพลางทำสายตาที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ก็เถอะ ฉันต้องดูประโยชน์ใช้สอยก่อน ถ้าเอามาแล้วไม่มีประโยชน์ ฉันก็ไม่เอาเจ้าของชื่อ ยูเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างมั่นใส้

     

                       ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้นายเอาฉันก็ไม่เอา

     

                        จุนเดินห่างออกมาจากกลุ่มผู้ชายเหล่านั้นมาไกลพอสมควร เธอเดินเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะที่มีนักดนตรีหลายคน นั่งอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อนักดนตรีเหล่านั้นเห็นเธอที่กำลังเดินไปนั่งตรงน้ำพุซึ่งอยู่กลางสวนสาธารณะ ทุกคนก็พากันหยุดเล่น และมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน

     

                          ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรกับใคร ซึ่งนั่นทำให้เธอเธอกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย และในความเงียบเหล่านั้นเอง เสียงๆ หนึ่งก็เอ่ยทักเธอขึ้นมา

     

                           เฮ้! จุน พวกเรารอเธอนานมากเลยเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหล่านักดนตรีแถวนั้น เขาค่อยๆ วางแซรกโซโฟนในมือลงกับพื้นอย่างช้าๆ แล้วย่างเท้าเดินมานั่งยองๆ ตรงหน้าเธอ จุนหมุนคิ้วเข้าหากันเล้กน้อยก่อนจะเอ่ยกลับไป

     

                        ลุงรออะไรฉัน?”เธอถามอย่างงุนงง ก่อนจะค่อยๆ เอากีต้าร์ออกมาจากกระเป๋า ชายตรงหน้าเมื่อได้ยินคำว่า ลุงก็แทบจะสำลักอากาศที่เพิ่งจะหอบเข้าไปเมื่อครู่ออกมา เขาหันมาจ้องหน้าจุนอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะเอ่ยกลับไปว่า

     

                        เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ฉันเพิ่งสามสิบห้าเองนะ เรียกลุงแล้วเหรอ?”ว่าแล้วก็เอานิ้วชี้มาที่หน้าตัวเองด้วยสายตาออกเชิงไม่อยากจะเชื่อ จุนมองหน้าคนตรงหน้ากลับด้วยสายตาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจนดูเหมือนกับว่าประชดเสียมากกว่า และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จุนหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ แล้วนั่งตั้งสายกีต้าร์ไปพลางๆ

     

                        หน้าอย่างนี้สามสิบห้าเหรอเนี่ย!”จุนเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ พลางทำตาโต แน่นอนว่าอันนั้นเธอก็กำลังประชดอยู่อีกเช่นกัน คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะฉีกยิ้มที่มุมปาก

     

                        หน้าฉันเด็กใช่ไหมล่ะ ใครๆ ก็ทักฉันว่าหน้าอ่อนกว่าวัยทั้งนั้นคนตรงหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเอามือขึ้นเสยผมสีดที่ถูกไฮล์ไลท์ด้วยสีน้ำตาลอ่อนไปด้านหลัง เหมือนเป็นเชิงอวด จุนเหล่หางตาไปมองเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาตรงๆ อย่างเบื่อหน่าย

     

                         ไม่เรียกตาก็บุญโขแล้วอันด้วยนิสัยที่พูดอะไรใส่ตรงๆ โดยไม่เคยเกรงใจใครของเธอ เล่นเอาคนฟังถึงกับเบ้หน้าลงถนัด แต่ก็ต้องทำใจเพราะถ้าหากจะหวังคำพูดเพราะๆ หวานๆ จากปากของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า คิโตมิยะ จุน แล้วละก็ คงจะต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักสิบชาติ

     

                         อ๊ะๆ เอาเถอะๆ เข้าเรื่องดีกว่าคนถูกเรียกเป็น ลุงพูดตัดบทไปเสียอย่างงั้น จุนขมวดคิ้วมุ่น และก่อนที่คนตรงหน้าจะได้เอ่ยปากพูดอะไรต่อนั้น เด็กสาวก็พูดแทรกขึ้นมา

     

                         แล้วลุงเป็นใคร ลุงรู้จักฉัน แต่ฉันไม่รู้จักลุงอย่างนี้ ฉันเสียเปรียบนาจุนเอ่ยพลางยักคิ้วกวน เล่นเอานตรงหน้าเถียงแทบไม่ออก จุนนึกขำอยู่ในใจโดยพยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ปล่อยก๊ากออกมา ...แกล้งคนที่อายุมากกว่า... หึหึ จะซักกี่ที ก็ไม่เบื่อ

     

                           ยิ่งคิดก็ยิ่งตลก ชายตรงหน้ากระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกฟอร์มตัวเองกลับคืนมา ก่อนจะเอ่ยตอบ

     

                         ฉันชื่อ ฮอนดะ อาอิระ

     

                         อาอิระ? หมาแถวห้องพักของฉันก็ชื่อ อาอิระ แม่ลุงนี่เข้าใจตั้งชื่อให้นะจุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวนกวนประสาท น่าเอาเท้าถีบเป็นที่สุด คนฟังได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยต่อ

     

                         มาแถวห้องพักเธอจะชื่ออะไรก็ช่าง เข้าเรื่องซะทีนะจุนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก็จะหันกลับมาสนใจกับการปรับสายกีต้าร์ต่อ

     

                         ว่าไปเธอเอ่ยกลับไปอย่างส่งๆ

     

                         คืองี้นะ ฉันได้ยินว่าคลับตรงท้ายเมืองตรงโน้นน่ะ เค้าจัดงานเปิดร้านใหม่ มีให้สมัครเล่นดนตรีด้วย เธอน่าจะไป...คนถูกหาว่าชื่อเหมือนหมายังเอ่ยไม่ทันจะจบ แต่คนฟังก็ดันพูดขัดพอมาเสียก่อน

     

                         พรุ่งนี้น่ะลุงเธอโพล่งขึ้นมาห้วนๆ อาอิระกระพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะหมุนคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม จุนถอนหายใจอย่างรำคาณนิดๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย เฮ้ย ลุง เข้าใจอะไรยากจัง พรุ่งนี้ ที่ว่านี่ก็หมายถึง ฉันจะไปสมัครพรุ่งนี้ และนั่นก็หมายความว่าฉันรู้เรื่องนั้นแล้ว เกทหรือยัง? ”

     

                         บ่นกลับมาเป็นขบวน อาอิระผู้โดนผู้น้อยกว่าบ่นใส่เป็นครั้งแรกก็ได้แต่อึ้ง ทึ่ง และงงอยู่อย่างนั้น โดยที่พยักหน้าเบาๆ ไปด้วยเป็นเชิงรับรู้ และระเห็จตัวเองกลับไปยังที่นั่งเดิมที่เคยนั่งอยู่เมื่อครู่อย่างจำใจ

     

                        คิโตมิยะ จุน เมื่อตั้งสายกีต้าร์ได้ตรงเรียบร้อยแล้ว มือก็ล้วงเข้าไปหยิบปิ๊กกีต้าร์สีดำลายขนนกสีขาวจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาลูบไล่เพื่อตรวจเชคสภาพ ก่อนจะใช้มันดีดกับสายกีต้าร์เพื่อตีคอร์ดเป็นจังหวะ เสียงกีต้าร์ดังขึ้นเป็นทำนองอยู่ครู่หนึ่ง

     

                       เธอค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ก่อนที่เสียงใสๆ ของเธอจะเริ่มขับขานขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงหวานๆของกีต้าร์โฟล๊กตัวนั้นที่ดังคู่กันไป ตอนนี้เธอดูน่ารักและน่าหลงใหลจนทุกคน ณ ที่นั้น อดที่จะหันมามองไม่ได้ และใครที่กำลังมองเธออยู่นั้น ก็ยากนักที่จะละสายตาจากไป...

     

                       ชีวิตประจำวันของคิโตมิยะ จุน ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หลังจากที่ออกจากบ้านมา... ชีวิตในเส้นทางของนักดนตรีของเธอได้เริ่มต้นขึ้น ถึงแม้เธอต้องเสียอะไรบางอย่างไป แต่เธอก็ได้บางอย่างกลับคืนมา... และสิ่งนั้นมันก็มากพอที่จะให้เธอใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข เธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอตอนนี้เป็นอย่างไร เธอไม่รู้ว่าเธอคิดถูกหรือผิดที่แยกตัวออกมา ไม่รู้กระทั่งสิ่งที่เธอควรจะทำต่อจากนี้ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอรู้... เธอจะเดินอยู่บนถนนเส้นนี้...นับตั้งแต่นี้และตลอดไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×